610827_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 9 บ้านราชฯ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…
https://docs.google.com/document/d/1A4ok1fGrIX8mG2-AKGicOhYwEtoN-k29B7idNI7D7PY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=18gt5RQGm4PNfdZ-xI84-R0JtKRUFFJYY
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
มีคนเขียนsms มาว่า SMS 26 สิงหาคม 2561 (พ่อครู : วิถีอาริยธรรม)
_3867ขออนุญาติเสริมคำชาวอโศกศก.ดีเพราะไม่มีสตางค์!ชาวอโศกจึงจิตใจดีเพราะมีสติมากกว่าสตังค์!ขอบคุณญตธ.หน้าจอบุญนิยม!
พ่อครูว่า…คำนี้เป็นThe great word เลยนะ จะว่าอวดดิบอวดดีก็แล้วแต่นะ
_ลิมล ศรีนามะ · กราบนมัสการพ่อครูรับชมรับฟังเพื่อชำระล้างจิตใจตนเองทุกวันเจ้าค่ะ
มีบทความของอ.ไสว บุญมา …
ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีสัมมาทิฏฐิตรงกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาก็มีทิฏฐิตรงกับพระองค์และพระพุทธเจ้า
Sawai Boonma
25 สิงหาคม เวลา 00:05 น. ·
จีดีพี – เราได้ยินนักเศรษฐศาสตร์ (ทั้งจริงและจอมปลอม) และกลุ่มผู้นำด้านการบริหารประเทศพูดถึงกันไม่ขาด ขอถือโอกาสนี้ชี้แจงอีกครั้งเพื่อจะได้รู้ทันว่ามันคืออะไร (ในหลาย ๆ กรณี คนพูดเองก็มิได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “กรุงเทพธุรกิจ” เมื่อ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑
—————————
“การสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์”
ในยุคนี้คำว่า “จีดีพี” มีมนต์ขลัง ใคร ๆ ก็มักอ้างถึงคำนี้เมื่อต้องการจะชี้ให้เห็นถึงสภาวะทางเศรษฐกิจ การขยายตัวในอัตราสูงของจีดีพีถูกตีความหมายว่าเป็นสภาวะที่น่าลิงโลดใจ การขยายตัวในอัตราต่ำอาจทำให้รัฐบาลของประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยถูกไล่ออก แต่จีดีพีคืออะไรคนส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งนักและไม่รู้ด้วยว่าการขยายตัวของจีดีพีใช่ว่าจะดีเสมอไป
จีดีพีในที่นี้คือ GDP ซึ่งย่อมาจาก Gross Domestic Product นักเศรษฐศาสตร์ใช้จีดีพีวัดค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง ที่ว่าการขยายตัวของจีดีพีใช่ว่าจะดีเสมอไปนั้นเพราะการคำนวณจีดีพีมีข้อน่าท้วงติงมากมาย หากไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนถึงส่วนประกอบของมันอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด ตัวอย่างง่าย ๆ ได้แก่การสูบบุหรี่ ทั้งที่การสูบบุหรี่มีโทษมหันต์และสร้างความรำคาญให้ผู้อยู่ใกล้ ๆ ที่ไม่สูบ แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการจำหน่ายบุหรี่ถูกตีค่าให้เป็นบวกในการคำนวณจีดีพี ร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อผู้สูบบุหรี่มีปัญหาสุขภาพ เช่น เป็นมะเร็งในปอด ค่ารักษาพยาบาลที่เขาหรือผู้อื่นต้องจ่ายมีผลทำให้จีดีพีขยายตัวด้วย รัฐบาลของบางประเทศผูกขาดการผลิตบุหรี่ การทำเช่นนี้เป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ถึงสองกระทงคือ การผลิตและขายสินค้าที่เป็นอันตรายและการใช้วิธีผูกขาดซึ่งผิดหลักตลาดเสรี
กิจกรรมที่ให้โทษเช่นการสูบบุหรี่ถูกรวมไว้ในจีดีพีเพราะมันถูกกฎหมาย ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมีกฎหมายรองรับกัญชาและยาบ้า เมื่อนั้นกัญชาและยาบ้าก็จะมีค่าเป็นบวกในการคำนวณจีดีพี ในปัจจุบันนี้หลายประเทศห้ามเล่นการพนันรวมทั้งการออกหวยรัฐบาลด้วยเพราะการพนันให้โทษเช่นเดียวกับกัญชา ยาบ้าและบุหรี่ ในประเทศเหล่านั้นมักมีการลักลอบเล่นการพนัน การลักลอบนั้นไม่นับเป็นจีดีพี แต่เมื่อไรรัฐบาลออกกฎหมายอนุญาตให้มีบ่อน เมื่อนั้นกิจการเกี่ยวกับบ่อนการพนันจะถูกนับเป็นจีดีพี คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาพูดถึงการวิจัยที่ชี้ให้เห็นผลร้ายของบ่อนการพนันซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันถึงการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์เมื่อรัฐบาลทำให้มันถูกกฎหมาย เนื่องจากหวยเป็นการพนันอย่างหนึ่ง การทำหวยให้ถูกกฎหมายเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ด้วย ความสามานย์นี้มีความร้ายแรงสูงขึ้นไปอีกหากมีการสร้างแรงจูงใจด้วยการให้รางวัลสูงพิเศษ หรือ “แจ็กพอต” และผู้เล่นเป็นคนจนเพราะการเล่นนั้นเป็นการแย่งรายได้ซึ่งควรจะใช้ซื้อหาสิ่งที่มีค่าสูง เช่น อาหารโดยเฉพาะอาหารของเด็ก
ในปัจจุบันนี้ยังมีบางประเทศห้ามผลิตและซื้อขายเหล้าเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2463-2476 แม้ในประเทศเหล่านั้นจะมีการผลิตเหล้าเถื่อนและซื้อขายเหล้าเช่นเดียวกับในสหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่กิจกรรมเหล่านั้นไม่นับเป็นจีดีพี เมื่อรัฐบาลทำให้มันถูกกฎหมาย การผลิตและจำหน่ายเหล้านับรวมในจีดีพีทันที เหล้าต่างกับบุหรี่ในแง่ที่เหล้าบางชนิดมีประโยชน์หากดื่มเพียงวันละแก้ว เช่น เหล้าองุ่น แต่การผลิตและจำหน่ายเหล้าเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์หากมีการกระตุ้นให้เกิดการดื่มเหล้าที่ไม่มีประโยชน์และในปริมาณมากเกินที่การวิจัยได้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ และด้วยวิธีผูกขาดซึ่งขัดกับหลักตลาดเสรี ยิ่งถ้าการผูกขาดทำโดยพวกมหาเศรษฐีที่ให้แรงจูงใจแก่นักการเมืองเพื่อบิดเบือนนโยบายไปในทางเอื้อประโยชน์แก่ตนด้วยแล้ว ความสามานย์นั้นยิ่งร้ายแรงเพิ่มขึ้น
การตัดต้นไม้และทำลายป่าเพื่อเอาไม้และที่ดินมาใช้ทำอย่างอื่นก็สร้างจีดีพี เนื่องจากการทำลายป่าอาจสร้างปัญหาสารพัด จากปัญหาน้ำท่วมและดินพังทลายในท้องถิ่นไปจนถึงปัญหาการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและบรรยากาศของโลกหากไม่ทำตามหลักวิชา มันอาจเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ด้วย
การสร้างอนุสาวรีย์ก็สร้างจีดีพีเช่นกัน การสร้างจีดีพีโดยวิธีนี้อาจมีผลถึงกับทำให้สังคมล่มสลายไปจากผิวโลกเลยทีเดียว อาณาจักรเขมรสร้างอนุสาวรีย์ที่ใหญ่โตซึ่งในปัจจุบันนี้ยังมีเหลืออยู่ให้เห็น เช่น นครวัด อาณาจักรพุกามสร้างเจดีย์น้อยใหญ่ซึ่งยังมีเหลือให้เห็นอีกหลายพันองค์ อาณาจักรมายาและอาณาจักรอียิปต์สร้างพีระมิดซึ่งอยู่มาได้หลายพันปี เกาะเล็ก ๆ ในทะเลใต้ชื่ออีสเตอร์ยังมีอนุสาวรีย์หินขนาดยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ทั่วไป สังคมที่สร้างอนุสาวรีย์เหล่านั้นล่มสลายเพราะใช้ทรัพยากรไปในทางที่ไม่มีประโยชน์มากเกินไปจนทำลายความสมดุลกับธรรมชาติอย่างร้ายแรง สังคมปัจจุบันยังแข่งขันกันสร้างอนุสาวรีย์ เช่น โบสถ์และพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในบางประเทศผู้นำเผด็จการถึงกับสร้างรูปปั้นขนาดยักษ์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อบูชาตัวเอง สิ่งเหล่านี้สร้างจีดีพีแต่เป็นการสร้างด้วยวิธีสามานย์เช่นเดียวกันกับสังคมที่กล่าวถึง
แน่ละ การทำนาเป็นการสร้างจีดีพี แต่การทำนาแบบไทยนอกจากจะไม่เป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์แล้ว ยังมีข้อดีที่มักไม่ค่อยมีใครนึกถึงอีกด้วย เช่น เมื่อคราวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 แรงงานตกงานกันระนาว แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่อดอยากแสนสาหัสเพราะสามารถกลับไปอาศัยญาติพี่น้องที่เป็นชาวนาได้เนื่องจากการทำนาของไทยเป็นกิจการในครอบครัว แม้จะไม่มีรายได้ในระดับมั่งคั่ง แต่ก็ยังมีข้าวพอประทังความหิวโหยของญาติพี่น้องในยามเข้าตาจน การสร้างจีดีพีแบบวิถีไทยเป็นการให้ประกันสังคมชั้นดี จนมีผู้ยกย่องรวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบลโจเซฟ สติกลิตซ์ ด้วย (ในหนังสือ Globalization and Its Discontents ซึ่งมีบทคัดย่ออยู่ใน “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับ 23 กันยายน – 4 ตุลาคม 2545)
เนื่องจากชาวนาไทยสร้างจีดีพีได้ไม่ค่อยสูงนัก จึงมีผู้มองว่าถ้านำมหาเศรษฐีอาหรับมาร่วมลงทุนในรูปบริษัทขนาดใหญ่แล้วใช้ชาวนาไทยเป็นลูกจ้าง เมืองไทยจะสร้างจีดีพีได้สูงขึ้น ทั้งที่การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์เพราะมันจะทำลายวิถีไทยที่ได้รับการยกย่องดังกล่าว แต่พวกเขาไม่แยแส ทั้งนี้เพราะพวกเขามีวิธีคิดแบบสามานย์ นั่นคือ จะสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้อย่างไรโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมและจริยธรรม แม้แต่การทำลายวิถีไทยซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายชาติของตนเองพวกเขาก็ทำได้ถ้ามันทำให้พวกเขาร่ำรวยเพิ่มขึ้น จะว่าคนพวกนี้มีความสามานย์เป็นสันดานก็คงไม่ผิดนักและความยุ่งยากในสังคมไทยในขณะนี้มีต้นเหตุมาจากคนไทยส่วนใหญ่ตามพวกเขาไม่ทันจึงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ การสร้างจีดีพีด้วยวิธีสามานย์ยังมีอีกมาก แต่ขอพักไว้เท่านี้ก่อน หวังว่าที่เขียนมาจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจเมื่อได้ยินคำว่า “จีดีพี”
พ่อครูว่า…ข้อมูลผู้เขียน คือ ไสว บุญมา หรือ ดร.ไสว บุญมา เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ที่ตำบลพิกุลออก อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดแหลมไม้ย้อย จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนบ้านนา “นายกพิทยากร” จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นเข้าศึกษาในวิทยาลัยครูเทพสตรี โดยระหว่างที่ศึกษาอยู่ได้ทุนอเมริกันฟิลด์เซอร์วิส (American Field Service Scholarship : AFS) เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นจึงกลับมาศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูเทพสตรีต่อจนจบชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.สูง) แล้วจึงเข้าเรียนที่วิทยาลัยวิชาการศึกษา (ประสานมิตร) ศึกษาอยู่เพียง 4 ภาคเรียนก็ได้รับทุน Frank Bell Appleby ไปศึกษาต่อที่ วิทยาลัยชายแคลร์มอนท์ (Claremont Men’s College ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น Claremont McKenna College) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนระดับสูงสุด (Summa Cum Laude) จึงได้ทุนจาก Earhart Foundation ศึกษาต่อที่ บัณฑิตวิทยาลัยแคลร์มอนท์ (Claremont Graduate University) จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2517
พ่อครูว่า…อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่ง ไม่ใช่พูดเล่น อาตมาไม่ใช่นักบริหารของประเทศ แต่ถ้าอาตมาบริหารจะบริหารแบบนี้ แล้วทำให้เกิดเศรษฐกิจแบบนี้ คือเศรษฐกิจแบบคนจน แบบในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส มั่นใจว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสว่าต้องบริหารแบบคนจน ท่านก็ตรัสว่า พูดแบบนี้นักเศรษฐศาสตร์ได้ยินก็จะบอกว่าไม่ใช่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร จะเป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐกิจขนาดใดมาบอกว่า จะต้องพยายามมาเป็นคนจนบริหารเศรษฐกิจให้ดีที่สุดต้องแบบคนจนเขาคิดไม่ออก ในโลกนี้เขาคิดไม่ออก มันเป็นเรื่องที่อจินไตย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงง่ายๆ
เขาคิดว่าพูดไปเป็นการพูดเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องสุดวิสัยเป็นไปไม่ได้ พวกคุณว่าเป็นไปได้ไหม …ได้ ชาวอโศกเราเป็นไปได้ เป็นคนจนจริงๆนะ ไม่ใช่พูดเล่น Schumacher ไม่ได้คิดถึงขนาดนี้ แต่ก็มีแนวโน้มมาทาง เศรษฐกิจพอเพียง Small is beautiful ของ Schumacher ทำเล็กๆได้ยิ่งสวยงาม ยิ่ง smallยิ่ง beautiful
เมื่อพูดถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ที่ คนมีปัญญา เข้าใจแล้วว่าอ๋อ เราเป็นคนจนแล้วมีความพร้อม จิตพอ ไม่ต้องอยากร่ำรวยมากกว่านี้หรอก อยู่กันอย่างขนาดนี้หรือว่าจะจนยิ่งกว่านี้ จริงๆใจลึกๆ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิสัมมาปัญญาแล้ว จนจริงๆจนกระทั่งจนสูงสุดคือ อยู่ในสังคมนี้แหละ มันต้องมีสังคมนะ เศรษฐศาสตร์แบบนี้ต้องมีสังคม มีส่วนกลาง
จริงๆแล้วใครก็ตามส่วนตัวนี่แหละ ไม่ต้องอยู่ในสังคมหมู่นี้ มีชีวิตอยู่โดดเดี่ยว จะไปไหนก็ได้ แล้วก็มากินกับส่วนกลาง สังคมที่เป็นรูปผลสำเร็จในเรื่องของ เศรษฐศาสตร์คนจน เศรษฐกิจทำให้สังคมเป็นคนจนได้สำเร็จอย่างชาวอโศก ก็มีโรงเรือนมีร้านมีขายอาหาร แจกอาหาร วิธีทำอาหารให้กินฟรีทุกวัน เข้ามาอาศัยกินตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดอะไร ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีประโยชน์แก่ประเทศชาติอะไรเลย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการกินการเลี้ยงชีวิตเรา แต่เราอาศัยที่เขาเข้าใจแล้ว อาศัยได้ มนุษย์ในโลกนี้ เราก็เอาแรงงานความสามารถของเราไปทำงานที่มีประโยชน์ และอื่นๆ โดยที่เรื่องนี้ไม่ต้องเอาเป็นภาระตัวเองไปทำงานอื่นให้เต็มที่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อนลึกซึ้ง อาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็ไม่ได้คิดถึงเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจถึงขนาดนี้ก่อนมาทำงานศาสนา แต่เมื่อมาทำงานศาสนาแล้วก็บอกว่าเราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ตั้งแต่แรกที่อาตมา พาพวกเรา สร้างชุมชนเกิดชุมชน ตั้งแต่ชุมชนแรกปฐมอโศก ก็เริ่มต้นเศรษฐกิจ สาธารณโภคี เศรษฐกิจส่วนกลาง ตั้งแต่เริ่ม ชุมชนแรก จนกระทั่งทุกวันนี้ชุมชนทุกชุมชนของชาวอโศกเป็นสาธารณโภคี แล้วสำเร็จ
เพราะพวกเราไม่ได้เป็นปัญหา ที่ไม่เป็นปัญหาคือ
-
สังคมนี้ไม่เป็นหนี้ ทั้งหมู่บ้านไม่เป็นหนี้ จะมีไหมที่ชุมชนในประเทศไทยจะอยู่เป็นสิบคนร้อยคนที่ทำอย่างนี้ ที่ไม่เป็นนี่มีไหม ไม่มี มีแต่ชาวอโศก
2.ไม่เบียดเบียนใคร ทำกินทำใช้เลี้ยงตนเองรอดพึ่งพาตนเองได้ ไม่เดือดร้อนใครไม่เดือดร้อนรัฐบาล
-
ทำกินทำใช้ปัจจัยที่จำเป็นชีวิตไม่ได้สร้างสิ่งมอมเมาไม่ใช่สิ่งที่เป็นอบายมุข ไม่ได้เอาแรงงานสร้างสิ่งไร้ค่าไร้สาระ สร้างให้เกินกินเกินใช้ด้วย
4.สะพัด ตั้งแต่ขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุนขายต่ำกว่าทุนจนแจกฟรี
ก็มีระบบของเราจนทุกวันนี้แจกฟรีได้สบาย แจกเป็นประจำด้วยทุกวันเลยก็มี แจกเป็นครั้งคราวก็ได้ แล้วเราไม่ได้แจกเอาหน้าเอาตา ไม่ได้แจกเพื่ออวดอ้าง แจกเพื่อมีนัยแฝงในจิตใจอะไรที่จะเป็นเครื่องเสริมอัตตา บวกอัตตา บำเรออัตตาตัวเอง ด้วยความจริงใจเรามีเหลือเผื่อแผ่ก็จะกลายสภาพไป ว่างๆก็นัดกันซื้อสินค้ามา แล้วมาขายในราคาต่ำกว่าทุน ให้คนเขาดื้อๆนี่แหละ มีแต่ชาวอโศกนี่แหละทำ ทำเมื่อไหร่ก็เบิกบานสำราญใจ ซึ่งมันเป็นเรื่องของจิตจริง เป็นจิตจริงที่เราจะได้เสียสละได้ให้ผู้อื่นมันเป็นความประเสริฐของคน
ความประเสริฐแปลว่า เสฏฐะ จึงเป็นศาสตร์ของคนประเสริฐ คือเสฏฐบุคคล เป็นคนเจริญคนประเสริฐ เศรษฐีคือผู้มีพฤติบท ของเสฏฐะ ที่แปลว่าการเจริญ การประเสริฐ
เรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจที่เป็นไปได้คือ
-
สาธารณโภคี อาตมาพูดมาหลายปีแล้วพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ในวงฆราวาส แต่ทำได้ในวงสงฆ์ เพราะว่าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของทาส ประชาชนในยุคนั้นไม่มีความรู้ในสิทธิของตัวเอง สิทธิของมนุษยชาติต่างๆ สิทธิในทางวัตถุ สิทธิในการแสดงออก ในความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ยังไม่มีความรู้ เพราะว่ามันเป็นยุคทาส ไม่มีสิทธิ์อะไรมีแต่กดขี่ข่มเหงอะไรเป็นเจ้าเป็นนาย เป็นทาส เป็นนายทาส มันก็เลยทำไม่ได้
แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำในกรอบของท่าน ธรรมนูญของท่าน หลักเกณฑ์ของท่าน แล้วท่านก็พาลัทธิของท่าน ศาสนาของท่านไปที่ไหนได้ทุกแคว้น ก็คือทุกประเทศนี่แหละในแคว้นอินเดีย ปกครองแผ่นดินในแต่ละประเทศยกให้ทั้งหมดเลยเป็นรัฐอิสระ ที่พระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้นยกให้ท่านเลย ซึ่งเขาเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ท่านอนุญาตให้พระพุทธเจ้าประกาศลัทธินี้อยู่ในประเทศของเขา เอาคนของประเทศเขา มาเป็นคน เข้ารีต เป็นลัทธิของพระพุทธเจ้าได้ ซึ่ง เป็นความยิ่งใหญ่มาก ที่ทำได้ในยุคนั้น
ยุคนี้จริงๆได้ อย่างเรานี่อิสระเสรีภาพ ใครที่เห็นดีเห็นงามจะมาเป็นอย่างนี้จะเป็นชาวต่างประเทศก็มาได้ ถ้าถูกกฎหมาย พูดกับใครกัน (มีเดวิด ชาวอิงแลนด์มาในศาลา พ่อครูจึงทักทายว่า พูดกับเขาหน่อย)
พูดถึงเรื่องนี้แล้วอาตมาว่าเมืองไหนก็ตามเมืองไทยก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์นักเศรษฐกิจผู้ที่บริหารประเทศ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะฟังในหลวงท่านตรัส ว่าต้องบริหารประเทศทำให้สังคมนี้เป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแบบคนจน แบบให้คนในสังคมนี้มาขาดทุน แล้วการขาดทุนของเรานั่นแหละคือกำไร ขาดทุนเราได้ขาดทุนคือกำไร
ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา Our loss is Our gain. ท่านตรัสจริงๆนะ จริงพระทัยเลย อย่างอยากจะให้สังคมเป็นอย่างนี้
คำตรัส พลความ ไปอยู่ในเศรษฐกิจพอเพียงไปอยู่ในอื่นๆเยอะเลยถ้าเข้าใจ เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างอาตมานี่ ไม่ได้ปิดบังอะไร ในเมืองไทยมีพระโพธิสัตว์ 2 องค์ คนเขาทำนายไปแล้ว ถูกที่สุด แล้วก็มาทำอันนี้ จะมีพระธรรมิกราช 2 องค์ประกอบกู้วิบัติ ในหลวงกอบกู้ภัยจนสิ้นพระชนม์เลย แล้วอาตมากอบกู้หรือเปล่า? คนเขาไม่รู้แต่คนที่มีดวงตาปัญญาจะรู้ว่า อ๋อ โพธิรักษ์ทำงานเพื่อสังคมประเทศชาติ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือเรื่องเศรษฐกิจ จะรู้จริงๆ
เพราะฉะนั้นผู้รู้ก็คือผู้รู้ผู้ไม่รู้ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมามีหน้าที่ทำงาน ช่วยมนุษยชาติ ช่วยได้ 2 คน 5 คนร้อยคนพันคนมากขึ้นก็แล้วแต่เป็นหลายหมื่นคน หรือจะให้ช่วยระดับประเทศก็ยินดี แต่อาตมาก็ต้องมีวิธีการของอาตมาบ้างนะ
_แก้วบุญ…ทำอย่างไรหนูจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อกับผู้ใหญ่
พ่อครูว่า…โอ้โห เป็นความสำนึกที่ดีมาก เป็นคำถามที่ดี ทำอย่างไร หนูก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ ต้องฟังคำสอนผู้ใหญ่ แล้วก็ทำตามที่ผู้ใหญ่สอนให้ได้ทำให้ได้ แล้วจะเป็นคนดี จะเป็นคนเจริญไม่ดื้อ เข้าใจไหม ถามดีมาก แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ทำอย่างที่ว่านี้ ให้เด็กถาม (ลมมาแรงพัดในศาลาจนของปลิว)
_โลกยุคนี้เข้าสู่กลียุคหรือไม่
พ่อครูว่า…มันก็เริ่มเข้าสู่กลียุคไปเรื่อยๆ ที่จริงต่างประเทศเขาเป็นกลียุคแน่ๆ เป็นกลียุคที่ยุ่งยากเดือดร้อนวุ่นวายกว่าประเทศไทยเยอะ ประเทศไทยนี่แสนดี แต่คนที่อยู่ในประเทศไทยนี้ไม่รู้ตัว คนต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยยังมีปัญญารู้เลย มันมีเลือดหลงชาติตัวเองนะ แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ ต่างชาติเขาลำบากหลายอย่าง แล้วมันจะหนักหน้าไปตามลำดับ
_คำกล่าวที่ว่า หยิบหญ้าขึ้นมาก็เป็นอาวุธเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทยหรือไม่
พ่อครูว่า..ที่ว่า หยิบหญ้าขึ้นมาก็เป็นอาวุธ เป็นคำพังเพยคำเปรียบเทียบไม่ได้หมายถึงบอกว่าเอาใบหญ้าขึ้นมาแล้วเนรมิตเป็นอาวุธ เป็นดาบเป็นหอกเลยไม่ใช่ เปลี่ยนแต่เพียงว่ามีอาวุธประจำตัวมีความโหดร้าย ปากคนก็เป็นหอก มือก็เป็นดาบ เป็นระเบิดปรมาณู มีความร้ายในตัวคนจะหยิบจับอะไรได้ก็มาเป็นอาวุธฆ่ากันเลย ซึ่งเป็นความเลวร้ายในสังคม แต่ต้องพยายามให้เป็นสังคมประเทศที่ดีนะ แสนดี
มันมีความซับซ้อนอยู่อย่างนี้ เมืองไทย พยายามที่จะทำตามประเทศที่เขาบอกว่าเจริญเช่นสร้างอาวุธฆ่าคนได้ประสิทธิภาพสูง เขาถือว่าเป็นประเทศเจริญ เมืองไทยก็เลยมีแนวโน้มจะทำแบบนั้น แต่ก็ทำไม่ขึ้น แอ๊คไม่ขึ้น สร้างอาวุธไม่เก่งเท่าเขา อย่าไปน้อยใจเป็นอันขาดเราทำชั่วทำบาปไม่ขึ้นนะดีแล้ว ประเทศไหนสร้างอาวุธได้ร้ายแรงก็เป็นบาปเท่านั้นสร้างมาขายแพงๆด้วย แล้วเป็นเครื่องมือ เบ่งอำนาจกูมีอาวุธร้ายนะโว้ย เกิดสงครามเมื่อไหร่เสร็จกู เป็นความโหดร้ายเลวร้ายเหมือนสัตว์ที่มีเขี้ยวงา พยายามใช้อาวุธของตัวเองที่เป็นร้ายแรงเป็นพิษสามารถปราบสัตว์อื่นๆได้ ฉันเดียวกัน ความคิดไม่ได้เกินกว่าเดรัจฉานเลย
โดยเป็นอจินไตยแล้ว ประเทศไทย อย่าว่าแต่สร้างอาวุธเลยเทคโนโลยีก็สู้เขาไม่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอกคนทำนาให้เก่งๆทำพืชให้เก่งๆ ทำนาให้เก่งๆกว่าเขา เอาจุดเด่นของเราสิ ทำให้เต็มที่เลย แม้แต่ที่สุดเขาจะบอกว่า เมืองไทยไม่เจริญเพราะว่าสร้างเทคโนโลยี ไม่เก่งเลยไม่ได้เรื่องเลย แต่สิ่งเหล่านี้เรามี ดี จนกระทั่งว่า คุณภาพดี มีมากเหลือ ไล่แจกคนทั้งโลก นี่แหละ GDP สูงสุด
GDP สูงสุดคือ ไม่ต้องไปเอาตัวเลข ถ้าจะเอาตัวเลขนั้น ตัวเลขที่สามารถ เสียสละหรือขาดทุน GDP ขาดทุนได้มากเท่าไหร่นั่นแหละคือ GDP เจริญ เห็นไหมนั่นคือเอาหัวเดินต่างตีนแล้ว เราขาดทุนให้แก่โลกเสียสละให้แก่ผู้อื่นได้มากขึ้นนั่นแหละคือ GDP แท้
GDP ที่บอกว่า เป็นเรื่อง domestic เป็นเรื่องภายใน แต่ทำไมเอารายได้จากภายนอกที่คุณได้เปรียบมาคิดเป็นรายได้สูงได้เปรียบ แล้วก็ได้มากคิดเปอร์เซ็นต์ นี่คือเอาเปรียบจากต่างประเทศว่าได้มากด้วย มาบวกรวมไปเลย แล้วบอกว่า GDP โตอีก คุณไม่ได้มีประโยชน์กับใครเลย ถ้าคุณเจริญจริง คุณต้องสร้างได้เองไม่ใช่เอาเปรียบเขา ประเทศไทยไล่แจกอเมริกาไล่แจกรัสเซีย ฝรั่งเศสอังกฤษไปเลยถ้าเรามีเหลือเฟือ ให้เป็นที่ลือลั่นไปเลยว่าประเทศนี้ไม่ได้ร่ำรวย แต่มีพฤติกรรมอย่างนี้ มีวิถีชีวิตของประเทศอย่างนี้ สามารถที่จะขายถูก แจกให้แก่คนที่ต้องการ ใครมาติดต่อซื้อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าไทยที่เป็นกสิกรรม เรามีพอ สร้างให้เหลือกินเหลือใช้ แล้วสะพัดให้แก่คนอื่น ต่างประเทศมาติดต่อ ประเทศไหนที่เขาอยู่ดีกินดีแล้วร่ำรวย จะมาซื้อก็แพงหน่อย ประเทศไหนที่มีความจนลำบากลำบนเดือดร้อน เราก็ให้เอาไปเลยแจกให้เลย อย่างนี้สิ เป็นการแสดงของผู้ที่มี GDP ที่เป็นประเทศเจริญ แม้มันไม่ร่ำรวยอะไร แล้วเราก็พออยู่พอกิน
อย่างที่ให้หลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส เราไม่ร่ำรวยอย่างเขา เราไม่อยากก้าวหน้าอย่างนั้น เพราะว่าก้าวหน้าอย่างนั้นมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว คำตรัสของในหลวงนี้ลึกซึ้งมาก
_เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา พ่อท่านถามว่าใครมีเงินเก็บไม่ถึง 1,000 บาทบ้าง ดิฉันรีบยกมืออย่างเร็วอยู่ในใจค่ะ ไม่ได้ยกจริง โดยความสัจจริงเป็นอย่างนั้นแต่ที่ไม่ได้ยกมือเพราะว่าตัวเลขในบัญชีมีอยู่ เพื่อครองสิทธิการเงินในการจัดการให้คุ้มค่าเงินบาทสำหรับลูกกับพ่อ ตัวเองไม่ถือว่าเป็นของตน
ส่วนของตนเองที่มีและได้มอบให้แก่ส่วนกลางตั้งแต่ปีแรกที่เข้าวัด เป็นคนส่วนกลางในพุทธสถาน อีกส่วนหนึ่งแบ่งฝาก บัญชีไว้ให้ญาติดูแลลูกๆ ปัจจุบันมีเงินเฉพาะส่วนที่พี่ๆให้ไว้ เป็นค่าเดินทางไปหาพี่น้องและลูก ในเวลาที่ควรไปค่ะ ในบางกาละ ค่าเดินทางทั้งขากลับไม่พอ ก็ต้องขอส่วนกลางติดตัวไปก่อน ถ้าพี่ๆให้มาอีก ก็จะเอามาคืนส่วนกลาง ถ้าไม่มีใครให้ก็ไม่มีคืนค่ะ
กับอีกส่วนหนึ่งคือเงินส่วนกลางที่เอาไว้เป็นค่าซ่อมอุปกรณ์การทำงานเท่านั้นค่ะ เงินที่ผ่านเข้ามาไม่ได้นำมาบำเรอตนเอง ตามคำสอนของพ่อท่านค่ะ เรียนรายงานมาเพื่อแสดงผลเพื่อหนึ่งเป็นการฉลองธรรมะของพ่อท่านค่ะ
พ่อครูว่า…อนุโมทนาสาธุใครที่ประพฤติเช่นนี้ มีพฤติบทของตัวเองก็ดีมาก เป็นการประพฤติตัวเองในส่วนที่เราทำได้ดี เป็นการประสบผลสำเร็จที่อาตมาได้พยายามสอนแนะนำให้คนเจริญ
_เกร็ดดิน…ดิฉันสงสัย สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน มีเหลือสังโยชน์ 7 ข้อ โกลังโกละ เหลือ 2-6 ข้อ เอกพีชี คืออีกชาติเดียว 1
พ่อครูว่า…มันจะมีประเด็นที่คนสงสัยว่า เอกพีชี้นี้ เชื้อพีชะ เอกคือหนึ่ง มันจะซ้ำกับคำว่า อนาคามี
อนาคามี หมายความว่าเกิดมาอีกชาติเดียว มันมีพยัญชนะสภาวธรรมที่ต่างกัน
อนาคามี เกิดมาในชาตินี้ ทั้งชาติ แต่เอกพีชีนั้น อาจจะเป็นใครก็ได้ ชาตินี้ปฏิบัติธรรมไป เช่น คุณเป็นโกลังโกละแล้ว ปฏิบัติตนในชาตินี้จนบรรลุ แทนที่จะใช้เวลา 3 ชาติ สองชาติ คุณกระทำเพียงหนึ่งชาติ นั่นคือเอกพีชี วันนี้ได้ในชาตินี้ คุณอาจเป็นโกลังโกละ แทนที่จะหลายชาติก็ทำ เพลงหนึ่งชาติก็บรรลุเป็นอรหันต์
คุณเป็นเอกพีชี สกิทาคามี คุณมีภูมิฐาน แม้จะอีกหลายชาติจะบรรลุ พอดีมาเจอกับโพธิรักษ์ เจอสัตบุรุษด้วย คุณก็เลยเกิดบรรลุธรรม อาจจะอีกสามชาติบรรลุ แต่ว่า มาเจอกับสมณะโพธิรักษ์กับกลุ่มก็บรรลุในหนึ่งชาติได้
เกร็ดดิน ..แต่พระโสดาบันมีญาณ 7 แต่ในสกิทาคามี ไม่มีคำว่าญาณ 7
พ่อครูว่า…ปุถุชน เป็นเครื่องชี้อันหนึ่งว่า จะเป็นพระโสดาบันได้จะต้องมี โลกุตรธรรมหรือปัญญา 7 ปัญญาโลกุตระหรือญาณ ในคนนั้น ถ้าหากเต็มรูปเลย คุณต้องมีหลักอันนี้
เกร็ดดินว่า..พระโสดาบันเป็นฐานรวมแห่งความรู้ที่จะต่อขึ้นไปจนถึงอรหันต์
พ่อครูว่า…เป็นอัญญาธาตุ เป็นโลกุตระไม่ใช่ธาตุรู้ของโลกียะ
ความรู้โลกียะคือเฉกา หรือเฉโก แปลว่าความรู้ความเฉลียวฉลาด แต่คนเขาไม่พูดกันไม่เรียกกันเพราะว่าเป็นเรื่องต่ำ ก็เลยเอาคำว่าปัญญาที่เป็นความรู้โลกุตระมาใช้แทนคำว่า เฉกา ทั้งที่ตัวเองไม่มีความรู้ปัญญา อาจรู้ไปหมด คำว่าปัญญาจึงเสียไป ค่าของปัญญาเลยเละเทะ ที่จริงแล้วปัญญาของคุณไม่ได้มีง่ายๆหรอก ปัญญาต้องมีญาณ 7
เกร็ดดิน…พระโสดาบันยังแบ่งออกเป็น 4 อย่าง โสตาปันนะ…
พ่อครูว่า…จะบอกว่าเป็นคุณสมบัติก็ได้ เข้ากระแสแล้ว โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ
_ช่วงก่อน พ่อท่านพูดถึงพระโพธิสัตว์ ผมสงสัยว่าพระโพธิสัตว์ที่เกิดมาบำเพ็ญต่อจะรู้ตัวเองหรือไม่อย่างไร
พ่อครูว่า..ไม่รู้ได้ง่ายๆ ผู้จะรู้ว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ต้องระดับ 7 ขึ้นไป ยังไม่ถึงระดับ 7 ยาก
อย่างในหลวงท่านรู้พระองค์ไหมว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์
พ่อครูว่า…ไม่อยากให้ถามเลย ตอบได้ว่าท่านยังไม่รู้ตัว แต่ท่านมีพฤติกรรมเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะไม่รู้เหมือนอย่างที่อาตมารู้ พอแล้วอย่าเอาในหลวงมาพูดต้องยกไว้อีกหลายอย่าง แต่รู้แล้วว่าในหลวงไม่ใช่คนธรรมดา
_หนึ่งฟ้า..สองวันก่อน มีญาติธรรมมาถามดิฉันว่า ครั้งที่แล้วถามเรื่องเจโตกับปัญญาบอกว่า นึกว่าจะรู้เรื่องกลับไม่รู้เรื่อง ให้ดิฉันช่วยอธิบายตอบ
สายปัญญา สายศรัทธา เป็นมาแต่กำเนิด
พ่อครูว่า…ใช่ ท่านแบ่งเป็นสาม ปัญญาธิกะ วิริยาธิกะ สัทธาธิกะ แต่ขั้วจริงๆมีสองอย่าง มีปัญญานุสารีกับธัมมานุสารี
หนึ่งฟ้าว่า…ดิฉันเดาเอาว่า คราวที่แล้วพ่อท่านตอบว่า สายปัญญาเดี่ยวๆได้แต่สายเจโตต้องประกบคู่กับศรัทธา
ดิฉันเดาว่า วิริยาธิกะ สัทธาธิกะน่าจะมาจากแต่กำเนิด
พ่อครูว่า…มันมีสายของมัน ศาสนาเทวนิยมเป็นเชิงเจโต ศรัทธา
หนึ่งฟ้าว่า…เชื่อมเจโตกับปัญญาที่ว่า สายปัญญาเดี่ยวๆได้แต่สายเจโตต้องประกบคู่กับศรัทธา
พ่อครูว่า…สายเจโต ต้องมีปัญญาร่วม หากไม่มีความเฉลียวฉลาด
เท่ากับปัญญา ก็จะเป็นได้มากเป็นแค่ศาสดา เทวนิยม ต้องเป็นสองขั้วตลอดการทำให้เป็นหนึ่งไม่ได้ ทำให้เป็นหนึ่งไม่เป็น จึงทำให้เป็น 0 ไม่ได้ จึงไม่มีนิพพาน จะต้องเป็น 2 นิรันดรด้วย ถ้าไม่สามารถทำให้เป็นหนึ่งเป็นศูนย์ได้
_หนึ่งฟ้าว่า…ความศรัทธามีการเชื่อถือเชื่อมั่นเชื่อฟังมีความสัมพันธ์กับ วิริยาธิกะ สัทธาธิกะหรือไม่
พ่อครูว่า..คุณไปจับภาษามาใส่กันเฉยๆ มันไม่ใช่ ไปใส่กันทีเดียวไม่ได้ มันบอกนัยยะคนละมิติ คนละ Dimension เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งจับใส่อะไรมากมาย เอาแต่ที่พอเข้าใจ หลายอย่างอาตมายังอธิบายไม่ได้
วิริยาธิกะคือคนกระเทย จะเป็นปัญญาก็ไม่ใช่เป็นศรัทธาก็ไม่เชิง จึงเป็นเรื่องยาวนานช้านาน จะเป็นศรัทธาก็ไม่จริงมีปัญญาก็ไม่จริง เหมือนกับคนจะเดินทางไปอเมริกา อเมริกาอยู่ตรงกันข้ามกับของไทย
ศรัทธา จะอยู่ประเทศไหนก็แล้วแต่ จะไปอเมริกาเลย เขาไม่อยู่จุดกลางก็ตาม เขาก็เดินทางไปเลยก็จะถึง คนที่เริ่มต้นด้วยทางที่ใกล้เข้าไปถึงแล้ว ไม่คนที่ไกลเกินไปก็จะถึง
แต่วิริยาธิกะ เดินทางไปตรงนี้บอกว่าไม่ถูกอีก ก็ต้องไปทางอื่นอีกวนไปวนมาเลยไม่ถูกสักที
เกร็ดดินว่า…มันมี สัทธา สัทธินทรีย์ สัทธาพละ
พ่อครูว่า…คุณสมบัติของจิตที่พระพุทธเจ้าท่านให้สร้างเป็นอินทรีย์พละ สายศรัทธา สัทธานุสารีกับ ธรรมานุสารี ก็จะเป็นขั้ว ก็ต้องมาสร้าง อินทรีย์ 5 พละ 5
สายปัญญาเป็นสายตรงจึงสร้างง่าย ใช้เวลาบรรลุแค่ 20 อสงไขยกับเศษแสนกัป ส่วนสายศรัทธานั้น 40 ส่วนสายวิริยาธิกะนั้น 80
_แสงแก้ว..สายปัญญาธัมมานุสารี ….สายเจโตจะดิ่งๆ พ่อท่านเทศน์ว่า เนื้อสัตว์ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอาหารของคน สายศรัทธาเขาก็ไม่กินได้เลย แต่แสงแก้วไม่ใช่สายเจโต เราก็ปฏิบัติกับการ ผัสสะ เรานั่งดูเพื่อนกินเนื้อสัตว์อยู่กับเพื่อน เราก็จับอาการเวทนาของเราขึ้นว่ามันเกิดความอยากเกิดขึ้นแล้ว แสงแก้วรู้นะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ขนาดนั้นต้องเป็นวินาทีนั้นที่เราพิจารณาคำว่า การกินนี่มันเป็นเหตุแห่งการฆ่า เรากำลังเกิดความอยาก เราก็กระหนาบมัน เรายังไม่เก่ง ตอนแรกเราก็จับ แล้วใช้สมถะนิดเดียวแต่ก็ใช้ปัญญาเลย แสงแก้วพิจารณาว่าเมื่อกี้นี้มันแรงอยากกินแต่ปัญญาทำให้อาการมันลด วันต่อไปก็นั่งกินอีก คราวนี้มันไม่แรงเหมือนเมื่อวาน มันลดลง ทำมันอีก มันกระดิกอีก เราก็ปหานมันอย่างนั้นจนกระทั่งมันเฉยมันว่างจากเนื้อสัตว์ เราผัสสะอีก จิตเราไม่เอาแล้ว ขั้นแรกเราเห็นอาการมันลดก็ โสตาปันนะ ต่อมาก็อวินิปาตธรรม จนนิยตะ สัมโพธิปรายนะ
_ หายโง่…ดิฉันเคยทำอาชีพประกันชีวิต ในบริษัทที่ใหญ่และกำลังจะร่ำรวย กำลังจะได้เงินเยอะ แต่มีความคลางแคลงใจว่าอาชีพนี้มันถูกหรือเปล่ามันเป็นมิจฉาหรือไม่ ตอนนั้นเดินผ่านพ่อครู จึงถามท่านว่าเป็นมิจฉาหรือไม่ พ่อท่านบอกว่า ให้ไปลาออกเสีย ตอนนั้นก็เลยไปลาออกเลย ตอนนั้นมีความศรัทธายังไม่มีปัญญาเท่าไหร่ ตอนหลังมาคิดได้ว่าถ้ามีปัญญาก่อนคงไม่ลาออก
พ่อครูว่า..ความศรัทธานั้นเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าหากศรัทธาคนที่พูดก็จะทำเลย หากสายปัญญาจะยึกยักๆ อย่างแสงแก้วนี่
_นักรบธรรม..อรหันต์นี่นะครับ ศรัทธากับปัญญา ผมไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรหรอก แม้เขาจะบอกว่า พวกสายศรัทธาเจโตจะช้าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่ผมก็มาดูที่พ่อครูสอน ที่เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผมก็ดำเนินตามพ่อครู พระโพธิสัตว์ก่อน พ่อครูประกาศอรหันต์ทีหลัง ผมก็ดำเนินตาม ทุกผัสสะ เราจะใช้ในการบำเพ็ญบารมีให้ถึงอรหันต์ได้ โดยไม่ต้องเจอแต่ปัญญาและศรัทธา ถึงอรหันต์นั่นแหละคือปัญญาที่พระพุทธเจ้าหมาย
พ่อครูว่า…คุณเข้าใจกลับหัวกลับหางก่อน ที่จริง อรหันต์ต้องเกิดก่อนโพธิสัตว์ หากไม่มีพระอรหันต์ก็เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้
_คุณเกื้อกูล…เมื่อ 20 กว่าปีก่อน พ่อครูเคยบอกว่า อยากให้พวกเรารู้สึกเหมือนภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก แคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่ที่ฉันแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากจนเศร้าใจทำอย่างไรจึงจะลดความแคร์คนอื่นให้น้อยลง เพื่อนร่วมงานเราเจริญธรรมเขาทุกวัน แต่เขาก็ยังโกรธเรา
พ่อครูว่า..คุณเองจะไปถือสาเขาทำไม เขาจะมีความโกรธอยู่ประจำไม่ทิ้งความโกรธก็ให้เขาอยู่อย่างนั้นเป็นร้อยชาติพันชาติก็ไม่เป็นไร เราก็ทำดีแล้ว มั่นใจว่าเราทำดีแล้วเราก็ทำไป คนอื่นเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ไปทำดีขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา คุณจะไปเอาให้ได้ดั่งใจอยากที่เขาเป็นให้อย่างที่คุณต้องการ มันเป็นไปได้อย่างไรคุณเป็นใครจึงบังคับให้เขาทำสิ่งต่างๆที่คุณต้องการได้ คุณยิ่งกว่าพระเจ้าไหม
_คนที่ตกภพ อยู่วัดมา 20 ปีแต่ไม่เลื่อนผ่านเพราะเขาโง่ สมณะสิกขมาตุ รู้ว่าเขาบกพร่องอะไรช่วยบอกเขาด้วย ที่เขายังไม่พัฒนาเพราะว่ายังไม่รู้ข้อบกพร่องตัวเองก็ได้
พ่อครูว่า…ก็ตกภพ หมายความว่า คุณไม่ค่อยจะมารับรู้ภายนอกที่สัมผัสกับภายนอก คุณสัมผัสอะไรก็ดูไม่ค่อยมีความรู้สึกตอบรับกับคนอื่นเท่าไหร่ คุณกลายเป็นเฉยเมย อยู่กับตัวเองมากเกินไป ก็อยากให้มารับฟังโอภาปราศรัยมีความยิ้มแย้มมีความรู้ คนอื่นก็จะ เจริญธรรม คุณก็เฉย เขาจะทักอะไรคุณก็เฉย ก็อยากให้ออกมามีความตอบรับ ต่อกันและกันเกิด responding ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรเลย
_คุณเกื้อดิน…ดิฉันเคยอ่าน 54 พระอรหันต์ แล้วก็สังเกตว่า อรหันต์ชายท่านจะพบกับพระพุทธเจ้าไม่มากพระองค์ อยากถามว่าเราเป็นผู้หญิง ถ้าเจอพระพุทธเจ้าตั้งหลายองค์ กว่าจะเป็นอรหันต์ได้ มันจะไม่นานหรือ
พ่อครูว่า..จริงๆแล้วมีนัยซับซ้อน หญิงนี่เชิงสายปัญญา เขาถือว่าเป็นสาย Dynamic สายปัญญา ส่วนชาย สาย Static เจโต โดยค่ารวมใหญ่ๆ แต่จริงๆแล้วมันซับซ้อน
สายปัญญา มันไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นความฟุ้งซ่าน มันเป็นการวุ่นวายมาก ก็เลยลงยากเพราะฉะนั้นพระสารีบุตร 15 วันจึงได้เป็นพระอรหันต์ ส่วนพระโมคคัลลานะ 7 วันก็บรรลุ รู้มากยากนาน มันสรุปไม่ค่อยลง
นี่ก็ว่าจะจบหนังสือคนจนที่มีแบบ เดี๋ยวก็มาแก้อีกแล้วมันละเอียดดี จะตัดรอบก็เมื่อย รู้มากยากนาน
_พระโพธิสัตว์กวนอิมใช่พระอวโลกิเตศวรหรือเปล่าครับ แล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์ระดับใด
พ่อครูว่า…ไม่รู้ ก็ต้องไปถามพระโพธิสัตว์ คือมันตรงกับประวัติเล่ามา อาตมาก็ไม่สามารถจะไประบุอะไรได้ จะบอกว่าเป็นพระอวโลกิเตศวรก็ใช่ เป็นปางหนึ่งปางผู้หญิง เป็นเรื่องเล่าที่จะได้เกิดความเข้าใจ จริงๆแล้วจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่รู้ตำนานนี้มันนานมามาก ก็เอาประโยคที่ว่าเรารู้ว่าควรรู้ลักษณะความหมาย คุณธรรมแบบนี้มีอยู่ในตัวเอง
_ทำอย่างไรเราจะรู้เท่าทันความรู้สึกที่เป็นกิเลสของตัวเองครับ
พ่อครูว่า…ก็ต้องมาเรียนดูอาการอารมณ์ความรู้สึก อ่านเวทนาให้รู้ ก็คือความรู้สึก อ่านรู้ คุณอยากรู้ความรู้สึกมันง่ายหรือ ฝึกไปเถอะ มาฝึกอย่างที่อาตมาพาทำ ทำอย่างไรก็ทำอย่างที่อาตมาสอนแนะนำ ไปที่อื่นช้ากว่านี้ ยิ่งไปย่างหนอก้าวหนอจะช้า แทนที่จะฝึกให้รู้ได้เร็วแต่ก็ไปฝึกย่างหนอก้าวหนอมันก็ไม่ทันกิน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ ไม่รู้อาจารย์คนไหนมาฝึกวิธีนี้ขึ้นมา สอนกันเต็มแล้วก็รับรองกันด้วยว่า เป็นวิธีการที่ถูกต้อง มันเป็นสายเจโตมันถูกต้องกับความรู้สึกตัวเอง แค่นั่งหลับตาหยุดสะกดจิต เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเป็นเรื่องของวิธีการ
_กรรมฐานคืออย่างไร
พ่อครูว่า…กรรมฐานคือจุดที่เราจะปฏิบัติ ฐานที่เราจะปฏิบัติ ตำแหน่งแห่งที่ที่เราใช้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นกรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนาเท่านั้น ความรู้สึกเท่านั้น อันอื่นไม่ใช่เลย อันอื่น จะเรียกว่าเป็นกสิณ แต่กรรมฐานกว้างกว่ากสิณ ว่าจะมาปฏิบัติก็ต้องใช้กสิณ สายไหน เมื่อมีสัมมาทิฏฐิก็จะปฏิบัติถูก เท่านั้นเอง
สรุปแล้วกรรมฐานคือจุดที่เราจะปฏิบัติ ให้อ่านเวทนา แม้ว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็เป็นเวทนาที่เป็นตัวหลัก เพราะว่าเวทนาเป็นฐานของการปฏิบัติในพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตร ข้อ 50-60 ไปข้อหลังๆ
ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
แม้ในมูลสูตรก็ตาม ก็ต้องมี เวทนาเป็นที่ประชุมลง ผัสสะเป็นเหตุ(สมุทัย)
แต่ไม่รู้ไปเรียนอย่างไรไปนั่งหลับตากันเต็มไปหมด ในประเทศไทยอาตมาถึงได้เหนื่อยจริงๆ เพราะเขาไปยึดมั่นถือมั่นกัน พระอาจารย์ใหญ่ชื่อว่าอาจารย์มั่นก็ไม่รู้ ไม่กระดิกเลย ไม่ฉุกคิดเลยว่า อยู่ด้วยกันนั่งหลับตา มันไม่มีในหลักการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า เป็นของเดียรถีย์
อ่านพระไตรปิฎกไม่แตก พระพุทธเจ้าเกิดมาก็มีแต่เดียรถีย์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็มาสร้างสมาธิของท่าน ในมหาจัตตารีสกสูตร ก็มีว่าไว้ ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ก็มีสัมมาสมาธิ หากไม่มีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ก็ไม่มีสัมมาสมาธิ
มรรค 7 องค์คือ ในการทำอาชีพ การกระทำ การพูด การคิด มีทิฏฐิ แล้วมีสติกับความเพียร แล้วก็จะตกผลึกเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิของพุทธเจ้านั้นไม่ใช่จิตที่นิ่ง แต่เป็นจิตที่แววไว แข็งแรงตั้งมั่น มีมุทุภูตธาตุ รวมให้เป็นหนึ่งได้เร็ว นั่นคือสมาธิ คือแข็งแรง คือสมาธิตั้งมั่นทำได้เร็ว ไม่ใช่การนั่งหลับตาและหยุด อย่างนั้นมันเป็นสมถะไม่ใช่สมาธิ
การไปนั่งหลับตาปฏิบัติได้เป็นสมถะ สมาธิต้องปฏิบัติแบบลืมตาตลอด แล้วสะสมเป็น อินทรีย์ 5 พละ 5 ปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนี้ไม่มีทางเป็นไปได้
ธรรมะของพุทธนั้นผิดไปไกล ทั่วไปยึดมั่นถือมั่น อาตมามาในปางนี้ยุคนี้มาแก้ความผิดก็เหนื่อยหน่อย แต่ไม่รู้ทำไง เกิดมาแล้ว
_การจะใช้ศิลปะในการชี้ขุมทรัพย์เพื่อนเราจะมีวิธีอย่างไร นอกจากเราใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เราจะมีศิลปะเช่นไร
พ่อครูว่า…ต้องเข้าใจว่าศิลปะหมายถึงเช่นไร ศิลปะหมายถึงความรู้ แต่ทุกวันนี้ศิลปะหมายถึงความเพ้อเจ้อเลอะเทอะ คิดอะไรขึ้นมาได้ก็เป็นศิลปะ แท้จริงแล้วศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ศิลปะแปลว่าความรู้ที่จะนำไปสู่โลกุตระ เป็นสิ่งที่จะนำพาไปสู่ความเจริญ
หากเอามาใช้ประกอบอันนี้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 แล้วจะเกิดพฤติบทของศิลปะขึ้นมา เช่น สัปปุริสธรรม 7ต้องรู้
-
ธัมมัญญูตา (รู้จักทุกองค์ประกอบ)
-
อัตถัญญูตา (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)
-
อัตตัญญูตา (รู้จักตนเอง)
-
มัตตัญญูตา (รู้จักประมาณจัดสรรสัดส่วน)
-
กาลัญญูตา (รู้จักกาลสมัย)
-
ปริสัญญูตา (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .
-
ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 65)
เวลาคนจะไปบอกไปเตือนเขาต้องรู้จักกาละ มีกาลัญญุตา ต้องรู้ว่า โอกาสนี้บอกไม่ได้ เดี๋ยวโดนหางเลข แล้วต้องรู้ปริสัญญุตา อยู่ในหมู่ชาวอโศก จะใช้ศิลปะอย่างไรคุณง่าย แต่ในบางวงคุณโดนแน่ ในบริษัทไหนท้วงได้ดี
สุดท้ายอันที่ 7 มัตตัญญุตา จะต้องประมาณทั้ง 6 ด้านให้ได้ดี นี่คือศิลปะ มันง่ายที่ไหน ยิ่งมหาปเทส 4 ต้องใช้ความรู้ของตัวเอง ท่านไม่ได้บัญญัติ เอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ไม่ได้เพราะไม่มี จึงต้องเอาของตัวเองมาใช้
_คุณเทียนดิน…ปัญญา สัญญา อันไหนมาก่อนอันไหนมาหลัง และ สัญญาเป็นโลกียะใช่ไหม ปัญญาเป็นโลกุตระใช่ไหม
พ่อครูว่า…ปัญญากับสัญญา …สัญญาเป็นได้ทั้งโลกียะและโลกุตระ ส่วนปัญญาเป็นโลกุตระถ่ายเดียวไม่เป็นโลกียะ แต่ทุกวันนี้มันได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว สัญญาเป็นธาตุรู้ที่กำหนดรู้แล้วเรียนประพฤติ กำหนดรู้โดยโลกียะ คุณก็มีธาตุรู้กำหนดรู้ แต่กำหนดรู้มันไม่ได้เข้าใจโลกุตระ มันก็มีแต่โลกียะ เป็นความดีความชั่วเท่านั้น ปัญญานั้นมันต่างจากสัญญาตรงที่ว่ามันเป็นความรู้ที่เข้าไปดูกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดได้ เป็นปุญญาหรือบุญ
ถ้าปัญญาไม่เกิดรู้กิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดก็ไม่เกิดปุญญา แต่คุณเป็นพระโสดาบันจับตัวกิเลสได้แล้ว พ้นวิจิกิจฉา แต่ไม่กำจัดเสียที เป็นสีลัพพตปรามาส ไม่ได้เป็นโสดาบัน หากกำจัดกิเลสได้เป็นปุญญะ รู้จิตเจตสิกได้เป็นอภิธรรม
สัญญาเป็นตัวกลางๆ เป็นโลกียะก็ได้ แต่ถ้าเป็นตัวรู้กิเลส กำจัดกิเลสได้เป็นโลกุตระไปตามลำดับ
_คุณเทียนดินผู้ปฏิบัติธรรมสกิทาคามี อนาคามีและอรหันต์ หมดเวทนาหรือยัง
พ่อครูว่า…หากจะหมดเวทนาต้องดับความรู้สึกเป็น อสัญญีสัตว์ ภาษาที่ถามคือ จะสำเร็จเวทนาเป็นอุเบกขาเวทนา แต่ถ้าบอกว่าหมดเวทนาเป็นไปได้อย่างไร
_แก่งธรรม…ผมเคยถามสิกขมาตุผุสดี ..ว่าพ่อท่านมี ปกติอุเบกขา 5 แต่ท่านรวดเร็วมาก ผมก็เลยสงสัยว่า พ่อท่านเคยพูดผิดได้ สิกขมาตุตอบผมว่าพ่อท่านวางแล้ว
พ่อครูว่า…สัญญาวิปลาสได้ ก็ใช่อาตมาไม่ได้ติดอะไรก็เลยเป็นอุเบกขาสมบูรณ์แบบ ทำแต่ในปัจจุบันอดีตกับอนาคตไม่ยึดถือ
แก่งธรรมว่า…ผมว่าอุเบกขา 5 มันเร็วมาก
พ่อครูว่า..มุทุภูตะธาตุอาตมาไม่เร็วพอ และสอง สัญญาอาตมาไม่ดีพอ ยังกำหนดพลาดสภาวะอย่างนี้จะใช้พยัญชนะอย่างนี้ก็พลาด
_คุณชญาดา…หนูเป็นคนขี้ขำ เห็นอะไรผ่านออกมาในวงจรชีวิต ก็เห็นเป็นเรื่องขำและสนุก เลยกลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จะทำตัวอย่างไร มันก็เกิดปัญหาชีวิต พ่อครูเทศน์คราวที่แล้วบอกว่าเห็นอะไรชอบใจก็ยิ้มได้แต่อย่าไปหัวเราะคนเดียว เลยถามพ่อครูว่า…มีแนวทางที่จะปฏิบัติตัวเองอย่างไรให้ขำน้อยลง
พ่อครูว่า..ไม่เป็นไรหรอกเราเป็นคนร่าเริงเบิกบานสนุก ขี้ขำ ขี้เล่น อาตมาว่าคุณไม่ได้ขำเวอร์มากมายเกินไป ไม่เป็นไร คนขำนี่ เรียกว่า humorist
_คุณกิ่งธรรม…สงสัยเรื่องที่ พี่หายโง่ถาม ว่าโสดาฯที่เชื่อพ่อท่านเป็นสายศรัทธาแต่เขามีปัญญารู้ว่าควรเชื่อใคร แสดงว่าเขาต้องมีปัญญารู้ว่า ใครเป็นคนที่ควรเชื่อ จะตัดสินว่าเขาเป็นสายปัญญาหรือศรัทธา ก็ยังสงสัยว่า หากเขาสายศรัทธาจะตัดไม่ได้ทันที แต่การที่เขาตัดได้เลยน่าจะเป็นปัญญา
พ่อครูว่า..มันก็คู่กันคุณแยกไม่ง่ายหรอก ต้องใช้ร่วมกันเสมอ พ่อครูว่า…ศรัทธารู้ได้เร็วตัดได้เร็วกว่าปัญญา พระโมคคัลลานะ 7 วันพระสารีบุตร 15 วัน มันมีความซับซ้อนที่จะกลับไปมา อาตมาอธิบายไม่เก่งในเรื่องความซับซ้อนเหล่านี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน กลับไปกลับมา อาตมาอธิบายว่าเป็นเรื่องเต็มๆว่า สิริมหามายา เป็นเรื่องเหมือนนักเล่นกล จึงเป็นคนเหมือนมีหรือไม่มีกันแน่เหมือนคนขี้หลอก กลับไปกลับมาอยู่เรื่อย แท้จริงผู้ที่มีปัญญาเป็นความจริงใจเป็นพระอริยะแล้วจะไม่มีความหลอก แต่มันเร็ว อาตมาใช้คำ ว่าหมุนสมองให้ทันสมัย อโสโกก็ใช้คำนี้ หากไม่หมุนสมองให้ทันสมัยจะงง ปัญญากับศรัทธานี้จะกลับไปกลับมา
ที่ถามมา ไม่น่าจะไปถามเป็นเรื่องธรรมชาติ พวกสายพวกนี้ จะไปบังคับไม่ได้ แม้อัครสาวกจะต้องมีสายปัญญากับศรัทธา
_จากศีรษะอโศก ลูกพิจารณาตัวเองด้วยเนื้อสัตว์ด้วยหลักธรรมะ 2
พ่อครูว่า..ธรรมะ 2 นี้จะต้องใช้ตลอดเพื่อตัดสิน เป็นสุดยอดแห่งหัวใจศาสนาเลย ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่งได้แต่ยังไม่เป็นสองทั้งหมดเพราะยังเหลือเนื้อเทียม
พ่อครูว่า…คุณก็ผ่านในสิ่งที่คุณผ่าน สิ่งที่คุณไม่ผ่านก็ยังถามอยู่ คุณยังเหลือเนื้อเจอยู่ ยังเหลือเนื้อเทียมอยู่ จะไปหลงรูปมันทำไม อาตมาว่า มันไม่น่าจะหมายความว่า คุณต้องไปซื้อ ที่เขาปั้นเป็นรูปเป็ดไก่มากิน มันมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์
เขาปลอมเป็นรส คุณก็ค่อยๆลดลง คุณก็กินสิ่งที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์แล้ว มันมาเป็นรูปเป็นรสอย่างนี้ สัมผัสแล้วเป็นเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนี้ ก็หัดวางใจอย่างนี้ รสอย่างเนื้อวัว เนื้อไก่ รสแบบไหนก็แล้วแต่
_น้อมยอดธรรม..ขอบอกว่า ศรัทธาเชื่อมั่นตั้งมั่น คงจะมีปัญญาบ้าง ดิฉันก็มีอาการ ในร่างกายนอก เจ็บซึ่โครงมาหลายวันแล้วแต่ไปทำงานไม่เคยเรียกร้องว่า ต้องให้ใครมารักษา แต่ดิฉันก็ทำงานอะไรที่พอทำได้ กระดูกไม่ได้กระแทกอะไร ถามใจตนเองว่า เหมือนกายนอกเจ็บปวดแต่กายในเราทำงานเราก็ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นสุขอะไรกับมัน เพราะว่ากายในกายเราช่วยกายนอกได้ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…มันทำได้แต่ว่ามันไม่ควร คุณเป็นที่สรีระของคุณ มันไม่บริบูรณ์ไม่สมดุล คุณก็ต้องไปให้เขาตรวจ เขารักษาได้ หรือคุณรักษาเอง อย่าไปปล่อยให้เรื้อรังจะเป็นปัญหา
_น้อมยอดธรรม…มันเป็นวิบาก
พ่อครูว่า…ศัพท์ไทยว่าเจียมสังขาร อย่าถือว่าเราหนุ่มแน่นนะ หัวขาวแล้วนะ
_สส.ธ.เพชรแสงธรรม…วันนี้ผมขอโอกาสถามคำถาม..ตอนนี้ผมก็ปิดเทอมอยู่ที่วัด ตั้งจิตกับตัวเองไม่จริงจังมาก ว่าจะอยู่เข้าพรรษาที่บ้านราช แต่อยู่ไปอยู่มาก็อยากจะปิดเทอม มีคนมาถามว่าไม่เหงาหรือไม่กลับบ้าน ก็เกิดความรู้สึกเดือดร้อนขึ้นมาอยากกลับไปเฮฮา คิดถึงมากเลยครับ ก็ขอถามว่า เราจะต่อสู้ เอาชนะความรู้สึกนี้อย่างไร แล้วการที่เราปิดเทอมแล้ว อยู่วัด มีประโยชน์มากกว่าการอยู่บ้านไหม
พ่อครูว่า…ตอบเองแล้ว เรารู้ว่าอยู่วัดมันจะได้ประโยชน์มากกว่าอยู่บ้าน เราก็อยู่เอาประโยชน์ดีกว่า อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เราจะไปทำไปทำไม จะไปรื่นเริงสนุกสนานเสร็จแล้วก็ตกต่ำไม่ได้ประโยชน์ เราก็รู้อยู่แล้วว่ากลับบ้านไปจะเจออะไรบ้าง อยู่ที่นี่เราจะเจออะไรบ้าง
_สส.ธ.เพชรแสงธรรมว่า..บางทีก็ถามตัวเองว่ากลับไปทำไม กลับไปก็จะถือศีลได้ยากขึ้น
พ่อครูว่า…เอาคุณค่าประโยชน์เป็นตัวตัดสิน
_ผมไม่เคยเห็นพ่อท่านหาว
พ่อครูว่า..ถ้าหากร่างกายต้องการพักผ่อนจะเกิดอาการหาว ที่มันหาวมากคือคนไปติดนอน คนติดนอนมากๆ ก็อยากจะนอนมากๆ ก็หาว คนที่หาวก็เลยฟ้องว่าติดนอน แต่อาตมาไม่ติดนอน ร่างกายพักไม่พอก็หาวบ้าง
_คนนั่งในห้องน้ำมักจะปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่าน เวลาพ่อท่านนั่งห้องน้ำคิดปรุงอะไรบ้างครับ
พ่อครูว่า…อาตมาเองยิ่งไม่มีข้างนอก อยู่คนเดียวหรือนอน หรือในห้องน้ำ แน่นอนก็ขบคิดอะไรของเรา เพราะว่า หนึ่งเราจะพักไม่คิดอะไรเลยอาตมาก็ทำได้ ให้จิตมันเป็นกลางอาตมาก็ทำได้ คนที่จะต้องฝึกฝนก็ต้องฝึกให้จิตแข็งแรงตั้งมั่น หมายความว่า สมาธิชนิดหนึ่ง ให้จิตเป็นอุเบกขา เฉยว่าง สายสมถะ ก็พยายามศึกษาฝึกฝน มันจะได้ต้องกดข่มเอาไม่งั้นไม่ได้ แต่อย่างพระพุทธเจ้าพาทำนี้ได้เป็นความว่างอุเบกขา ที่ไม่ต้องกดข่มอะไร อยู่ก็สบาย จะคิดก็คิด ไม่คิดก็ไม่คิด จะไม่คิดอะไรเลยอยู่เฉยๆก็ได้ แต่จะอยู่เฉยๆเพราะว่าเราต้องการพักผ่อนไม่ใช้แคลอรี่อะไร ก็ได้ แต่ถ้าเผื่อว่าเราพอก็อยู่ว่างๆ ถามว่าในห้องน้ำคิดอะไรก็คิดธรรมะ เยอะเรื่องที่ได้จากห้องน้ำ เพราะว่าไม่มีอะไรสัมผัสเรา อยู่ข้างนอก คนก็จะถามเราต้องพูดกับเขาแต่อยู่ในนั้นเราก็คิด ทำว่างได้ก็ทำ แต่เราพักพอแล้วไม่ต้องว่างหรอกก็คิด อะไรควรคิด
ถ้าคนที่ยังไม่บริสุทธิ์ไม่เป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอนาคามีเป็นต้นไป จะมีกาม พยาบาทฟุ้งแรง อนาคามีจะฟุ้งเท่าที่เขาเหลือรูปราคะ อรูปราคะ
อนาคามีสัมผัสภายอก ไม่มีพฤติกรรมโต้ตอบ ไม่มี Action Reaction กับรูปภายนอก มันสงบแล้ว อนาคามี
อนาคามี ไม่ได้หมายความว่าหลับตาอยู่ในภพ อนาคามีลืมตาสัมผัสแตะต้องแล้วไม่เกิดกิเลส ข้างนอกดูแล้วเหมือนพระอรหันต์แต่ดูได้ยาก จะไม่โกรธไม่โลภ เพราะว่า ข้างนอกไม่แสดงออกทางพฤติกรรมภายนอก แต่ข้างในมันมีเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นคนที่กดข่มไว้ แต่มีสภาพรูปธรรมอนาคามีก็กดไว้ แต่กดไม่ได้ก็ออกมา แต่กดได้ก็ไม่เป็นอนาคามี อนาคามีแท้ สัมผัสแล้วภายนอกมันก็ไม่เกิดอาการ กาม พยาบาทภายนอกเลย จะมีแต่ภายในไม่ออกภายนอก อนาคามีต้องรู้ภายนอกตัวเอง เวทนาอารมณ์ของเรามีกิเลสปรุงอยู่นะมีตัวร่วม เรียกสสังขาริกัง ตัวร่วมตัวปรุงเป็นกาม พยาบาท เราก็ทำการพิจารณา มันมีตัวจริงเป็นผีหลอก อนัตตา เหลือทุกข์ของอนาคามี
_นักรบธรรม…เราจิตว่างแต่ไม่ว่างในความคิด
พ่อครูว่า…ได้ ว่างจากกิเลสต้องไปอ่านมหาสุญญตสูตรหรือจูฬสุญญตสูตร คุณต้องแยกกิเลสออกจากจิตให้ได้ กิเลส หยาบ กลาง ปลาย ต้องแยกกิเลสออก จิตคุณว่างจากกิเลสนั้นคือจิตว่าง แต่ไม่ได้ว่างจากความคิดความรู้ความเข้าใจ เป็นคนเต็มมีความรู้ที่เต็มสัมผัสอะไรก็รู้เต็ม แต่ไม่มีกิเลสเข้ามาร่วม ปรุงแต่ง เรียกจิตว่างก็ได้ กิเลสหมดไปแล้วจิตของคุณก็ว่างเองไม่ต้องทำ สัมผัสอะไรในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ คุณก็ไม่ได้มีกิเลสโลภ อาฆาตพยาบาทอยากได้หรืออยากทำลายก็ไม่มี ไม่ต้องกดข่ม
ปฏิบัติของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติที่เดียว กิเลสหมดแล้วก็หมดเลย แต่ทำกดข่มอย่างที่ทำอย่างเขา ทำแล้วต้องทำใหม่ ยิ่งไปหลับตา ทั้ง 5 ทวารไม่ปฏิบัติประพฤติลดกิเลสแล้วไปหลับตา กิเลสที่อยู่ในสัญญาไม่ใช่ปัญญาด้วย แล้วไม่มีวันจะพ้นทุกข์ไม่มีวันเป็นอรหันต์ พวกนั่งหลับตาปฏิบัติ กาหน้าเลย ไม่มีทางได้เป็นอรหันต์ และไปหลงคิดว่าการนั่งหลับตาจะได้เป็นอรหันต์ ซวยมหาซวยเลย พระพุทธเจ้าต้องมาแก้ไข
แบบพวกฤาษีนั้นง่าย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นมันก็อาจจะยากหน่อย แต่ว่าถ้าเข้าใจดี เป็นสัมมาทิฏฐิก็จะไม่ยาก
สรุป…รายการสำมะปี๋กลายเป็นการมาถามปัญหาถามประเด็น แทนที่จะมาคุยเรื่องชีวิต ปรึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้เลยมีแต่ประเด็นถามปัญหาธรรมะทั้งนั้น แสดงว่าความเป็นอยู่ของชีวิตมันไม่มีปัญหามาก บางคนก็มี เปรยบ้างแต่น้อย นอกนั้นถามปรมัตถ์ อจินไตยอยากรู้จัง ธรรมะลึกๆนี่ หรือว่าอยากแสดงภูมิว่าฉันมีธรรมะลึกมาโต้ ก็ดูตัวเองบ้างบางทีเราอย่างโสดาบันยังไม่ได้ว่าไปถึงอรหันต์เลย เกินภูมิไป ดูตัวเองบ้าง ดูตัวเองบ้างอัตตัญญุตา ตัวเราเท่าใด ไม่ต้องถามเผื่อคนอื่นหรอก ถามเผื่อตัวเองก็พอ ก็ดีทุกคนวันๆอย่างนี้ นี่ยังดีนะ มากหน้าหลายตา อาตมาคุ้มค่าในการแสดงธรรม …จบ