610827 ถอนหญ้าเพิ่มพลัง ณ สวนไวพลัง
วันนี้ เป็นวันบวรที่กลุ่มนิสิตวนบและชาวชุมชน กลุ่ม 1+7มีนัดหมายเคลื่อนกายย้ายจุดไปช่วยกันถอนหญ้าที่สวนไวพลัง เป็นการรวมพลคนบวรสำหรับกิจการงานที่เร่งด่วนและจำเป็นในรอบจันทร์นี้ ทั้งหมด 33 คน มีสิกขมาตุศิริพรเป็นที่ปรึกษา คุณงามบุญแม่ฐานงาน ทุกคนต่างยินดีและเต็มใจไปช่วยกันอย่างเต็มกำลัง
เริ่มด้วยเสียงประกาศตามสายหมู่บ้าน ดังก้องทั่วหมู่บ้าน เป็นสัญญาณว่า พร้อมพรึบกันที่จุดนัดพบที่หน้าเอือนโสเหล่ ณ เวลา 6.30 น. ด้วยรถจุนเท่(รถ 6 ล้อ) ผู้ใหญ่หลายคนพร้อมเด็กตัวเล็กตัวน้อย เช่น น้องน้ำมนต์ น้องเพลงติดตามไปร่วมด้วยช่วยกัน น้องม่อนสื่อบุญนิยมตามไปเก็บภาพ ที่ขาดไม่ได้ก็คือสิกขมาตุศิริพร ไปร่วมขบวนการกลุ่มและให้กำลังใจช่วยด้วย เป็นพลังสามัคคีที่เหนี่ยวนำให้เราเข้มแข็งขึ้น ทุกคนต่างยินดีมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนได้ไปทัศนศึกษา นอกสถานที่ เสียงทักทาย เจื้อยแจ้วดังไม่ขาดสายตลอดระยะทางเกือบ 3 กม. ซึ่งตามเหตุการณ์ปกติแต่ละคนก็มีฐานงานประจำอยู่คนละแห่ง ก็จะไม่ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตากัน เรียกว่าอยู่คนละมุมเลย พอมาถึงวันนี้ทุกคนตระหนักถึงภาระหน้าที่โดยมติส่วนกลางเห็นชอบร่วมกันตามข้อตกลงว่าจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนสิ่งที่เคยทำประจำมาช่วยกันโฮมแฮง จากทั้งหมดมีกลุ่ม 7 กลุ่ม บางฐานงานต้องการแค่ 1 กลุ่มบ้าง บางฐานงานต้องการ 2 กลุ่มบ้าง บางคนก็ไม่สามารถมาร่่วมกลุ่มได้ ด้วยภาระกิจส่วนตัว บ้างก็รักษาตัวอยู่ก็มี บางคนก็ขอให้ช่วยการงานที่เร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษก็มี ทั้งด้วยเหตุปัจจัยองค์ประกอบในปัจจุบันนั้น พาให้เปลี่ยนแปลง ไม่ได้เปลี่ยนเพราะตัวเอง จึงได้เรียนรู้ว่าเราไม่เอาแต่ใจตัวเป็นความเจริญแก่ตน เพราะได้ฝึกฝืนในสิ่งที่ชอบทำ สู่ทิศทางขัดเกลากิเลสในใจตนเองได้ พอเราคิดจะทำอะไรตามใจตนเองมากเกินไปก็จะ ฉุกคิดได้ว่า สิ่งนี้เราทำเพื่อส่วนตัวหรือทำเพื่อส่วนกลาง หากให้ชัดต้องมีการปรึกษาพี่ๆน้องๆ ผู้รู้ให้แน่ใจเรียกว่า”ปรโตโฆษะ” ที่พ่อครูเคยสอนไว้ว่า ต้องมีการรับฟังเสียงผู้อื่น ที่ต่างจากความคิดเห็นของเราด้วย ท่านสมณะเคยให้คติธรรมไว้ให้เวลา ให้ความเข้าใจ ให้อภัยและไม่ถือสาในข้อบกพร่อง จึงเริ่มค้นพบสิ่งวิเศษของตัวเองว่าการฝึกฝน ขัดเกลา และพยายามเอาชนะความเห็นแก่ตัวในตัวเราลดลงได้
เมื่อมาถึงสวนไวพลัง เป็นที่เรียบร้อย สิ่งแรกที่ควรรับรู้ร่วมกันนั่นก็คือ การรับฟังแม่ฐานงาน บอกการงานที่จะลงมือปฏิบัติ ก่อน– หลังเป็นไปทิศทางใด ภารกิจหลักวันนี้เห็นจะเป็นเรื่องของการประสานความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นพี่เป็นน้องในกลุ่มให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประหนึ่งว่า เปิดรายการสำมะปี๊ซี่วิตภาคสนามกลางแจ้งเลยทีเดียว ไม่มีไมโครโฟน ไม่มีสปอร์ตไลท์ เพียงกติกาว่าพูดอะไรก็ได้ ห้ามผิดศีล ไม่ใช้อารมณ์ คนละ 3 นาที ไม่แย่งกันพูด เริ่มจากการสนทนากลางแจ้งที่สวนกันเลย อาดินดอนเป็นคนแรกที่ไม่ทิ้งจิตวิญญาณครู เอ่ยว่า “อะไรเอ่ย” “ลูกยอน้ำใส กอไผ่ไล่ออก” สมาชิกถอนหญ้าไปครุ่นคิดไป พร้อมกับฉงนกันเป็นทิวแถว พลางเกริ่นกล่าวเบาๆ บางคนก็ทายแบบเดาสุ่มไปก็ยังไม่ถูกต้องนัก บ้างก็หัวเราะเสียงกลบคำตอบเพื่อนก็มี บ้างก็ตอบแบบมั่นใจ ก็ไม่ถูกอีก ส่วนสิกขมาตุท่านเก็บ ถอนหญ้าที่คนอื่นๆถอนไปข้างหน้าแล้ว ท่านจะไล่เก็บตามหลังเรียกว่าเก็บรายละเอียดพร้อมกับถอนหญ้าไปพร้อมกับพวกเรา คงจะหาคำตอบก็อาจเป็นได้ หรือไม่ก็ทราบคำตอบเป็นนัยๆ สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดตอบ อาดินดอนจึงเฉลย ถามเอง ต้องมาเฉลยเอง ว่าหมายถึง “เป็นวิธีการอยู่ การปกครองอยู่กับนักเรียนอันดับแรกก็เด็กทำอะไรก็ยังไม่ถูกต้องนักเราก็เยินยอเค้า พออยู่มาเค้าทำผิดพลาดเราก็ให้ความยุติธรรมเค้า ลูกยอน้ำใสๆคือความจริงใจ ความจริงของเขาให้ความยุติธรรมแล้วเค้าก็ยังทำผิดอีก กอไผ่คือตี ตีแล้วก็ยังไม่แก้ไข ก็ไล่ออก” พอทุกคนต่างได้ยินคำตอบแล้วต่างก็ร้องอ๋อเป็นเสียงเดียวกัน
อาดาวเพ็ญผู้อยู่บ้านราชในยุคแรกๆเล่าให้ฟังว่าดินแดนนี้ได้มาค่อนข้างลำบากต้องผ่านวิกฤตหลายสถานการณ์กว่าจะอุดมสมบูรณ์มาถึงขนาดนี้ ต้องสะสมความวิริยะอุตสาหะมากมายทั้งกำลังคน กำลังใจที่ทุ่มโถมกับหน้าที่และต้องปฏิบัติธรรมไปด้วย เรียกว่าปฏิบัติแบบน้ำตานองหน้าเลย เนื่องจากสวนแห่งนี้มีพืชผักที่อุดมสมบูรณ์ในหลายๆอย่างกว่า 30 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น ผลไม้ พืชผักสวนครัวมะนาว ขิง อ่อมแซบ กล้วย สัปปะรด ตะไคร์ มะละกอ มะพร้าว กระเพรา สมุนไพรต่างๆฯลฯ และไม้ยืนต้นหลายชนิด ที่สูงใหญ่ให้ความร่มเย็นแก่ผู้พบเห็นอย่างสม่ำเสมอ ส่วนอางามบุญเป็นคนที่กล้าหาญมากที่สละตนเองมาประจำทำสวนคนเดียวในช่วงนั้น หลังจากประสบกับความเจ็บป่วยและพอมีกำลังกายฟื้นขึ้นมาได้ ยังสามารถมาแวะเวียนมาช่วยเหลือที่สวนเป็นระยะๆด้วย อางามบุญบอกว่าต้องการให้แต่ละคนเป็นเจ้าของ ณ สวนแห่งนี้ รู้สึกดีมากๆ ที่เห็นเพื่อนๆมาร่วมแรงร่วมใจกันมา อยากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป ส่วนอาดาวเพ็ญเปิดใจว่า ตัวเองอยู่กลุ่มที่ 6 แต่ก็มาเข้ากลุ่มนี้ ถูกอาพูนไทแซวว่าวางอุปกร์เลย ขึ้นรถเลยป้าดาวเพ็ญมีไป2 กลุ่มแล้วมากพอแล้ว ไม่ต้องมาก็ได้ แต่อาดาวเพ็ญก็ตัดสินใจมาเพราะว่าเราซื้อหุ้นอาริยะขัดขืนกับงามบุญเป็นแผนกน้ำผักปั่นด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงมาได้โดยสะดวกไร้ข้อแม้ พอได้ยินดังนั้นทุกคนต่างหัวเราะ สนุกสนาน เฮฮา กันทั่วหน้า
ครั้นถอนหญ้าได้สักพัก เห็นอาเจมส์บอกว่าตอนแรกคิดว่าไม่มีคนมาเก็บภาพ จึงขับรถมาด้อมๆมองๆ เห็นรถจุนเท่จอดอยู่ก็รู้เป็นกลุ่มวนบจึงเข้ามาเก็บภาพด้วยเครื่องโดรน เก็บมุมสูง ได้อย่างสบายๆ
อากล้าธรรม: บอกที่นี่ไม่เคยมาประทับใจพืชพันธ์ุธัญญาหารมีมากมาย ตรงนี้เป็นองค์รวมแห่งความเป็นสาธารณโภคี ได้ประโยชน์ตน–ประโยชน์ท่านแต่เหนือกว่านั้นก็คือได้ผลผลิตพืชผักที่เก็บจากสวนแห่งนี้เข้าวัดมากมายมหาศาลเลย ได้พลังสามัคคีกับทุกเพศทุกวัยด้วย
สรุปจากสิกขามาตุศิริพร: แม้เวลาจะหมดพวกเราก็ยังเพลิดเพลินเจริญใจกันมาก วันนี้จึงรู้สึกไม่เหนื่อย มีความสดชื่น ร่าเริง แต่ละคนดูมีความยินดี แข็งแรง แข็งขัน อย่างที่ว่า จนอย่างสุขสำราญ เบิกบานใจ เราไม่ลำบากใจรู้สึกถึงความ มีพลังของแต่ละคนได้ดี ในช่วงเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงของวันบวรนี้ก็ถือว่การงานอะไรต่างๆที่ทำก็สำเร็จ บางคนบอกแถมว่า ต้องให้วันบวร2 วันต่อ1 สัปดาห์ก็น่าจะดี จากนั้นรวมตัวกันขึ้นรถกลับวัด โดยพร้อมเพรียงกัน กลับมาทานอาหารเช้าที่วัด ติดตามวันบวรคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวของชาวเราชาววัดได้ ในครั้งต่อๆไป