610830_สำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 10
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1PvpKHfy6WFB0d4qw9KW0FXZZy9UenGjy21P14MTOQvk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1PMSs0Ox_oAhECe_ROLKWbZGm_waZBL-L
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
SMS 29 สิงหาคม 2561
_3867พ่อครูป่วยอาหารเป็นพิษมีหมอสมณะฯพยาบาลกทธ.ดูแลฯวิบากเหมือนพระพุทธเจ้าตอนเจ็บป่วยด้วยพระโรคโหิตปักขันทิกาพาสจากอาหารสุกรมัทวะเป็นพิษ มีหมอชีวกโกมารภัจจ์ดูแลฯ ทำให้เห็นสัจธ.โรคภัยเวร กรรมวิบากเก่าฯไม่ว่าจะเป็นปุถุชน,สามัญชน,อาริยชนฤาอรหันต์ทุกระดับก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงหนีพ้นไปได้เลย!กบปลงตก!
พ่อครูว่า…คนที่แสดงความเห็นใจที่อาตมาล้มครั้งนี้ก็เยอะก็ขอบคุณทุกคน แต่เขาไม่เอามาหมดมันเยอะ ก็ขอบคุณไปพร้อมๆกันก็แล้วกัน
_4208ดาวพิมพ์ฟ้า ขอให้พ่อครูมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่กับลูกๆไปนานๆค่ะ
_3867ตอนพ่อครูป่วยตนสวดโพชฌังคปริตรบท 3 แปลว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงประชวรเป็นไข้หนัก!รับสั่งให้พระจุนทะเถระกล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพฯ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัยหายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน!ด้วยการกล่าวคำสัตย์ฯนี้ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแด่พ่อครูฯสาธุ!กบสิ้นโศก
_เอื้อมเอื้อ · ท่านแสนดินให้ข้อมูลเรื่องอาหารดีค่ะ เพราะโยเกริต์ไม่ควรกินท้องว่างหรือก่อนอาหารเช่นเดียวกับน้ำมะพร้าว กินตอนท้องว่างยิ่งก่อนอาหารเช้าจู๊ดๆแน่นอน ต่อไปก็ต้องระวังเรื่องการกินให้มากขึ้นค่ะ
_มาลินี จุ๋ม · ดีใจ มากที่เห็นพ่อครูดูแข็งแรงสดชื่นมากจริงๆค่ะ ขออาราธนาให้พ่อครูมีอายุที่ยืนยาวต่อๆไปค่ะ
_กิ่งฟ้า ขันหล้า · ดีใจมากวันนี้เห็นพ่อท่านค่ะ..เมื่อวานต้องอ่านตัววิ่งใต้จอค่ะด้วยใจเศร้าค่ะ
_อำภา รื่นใจดี · ดีใจและหายกังวลที่เห็นท่านพ่อครูกลับมามีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว แต่ขอนิมนต์ให้พักผ่อนมากขึ้นอีกนิดนะเจ้าคะ เพื่อความสบายใจของลูก ๆ
_พรชัย จันทรศร · พ่อท่านยังดูสดใสแข็งแรงตามปรกติ ไม่มีอ่อนระโหยโรยแรงปรากฎให้เห็น คงเป็นเพราะพลังงานสัมประสิทธิ์มีเหลือล้น กราบนมัสการด้วยปิติครับ สาธุ
_บุญเลียบ · เห็นข่าวพ่อคูรเข้ารพ.ให้รู้สึกเศร้าๆใจยิ่งนักแต่ได้เห็นพ่อมาเทศน์ยิ้มได้หน้าสดชื่นเสียงใสก็ให้รู้สึกดีใจค่ะ
_อำภา รื่นใจดี .อีกเรื่องที่จะขอนิมนต์ท่านพ่อครู ตอนเข้าห้องน้ำพ่อครูอย่าล๊อคกลอนประตู เพราะท่านปัจฉาคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ แล้วเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ธรรมดาไม่ได้ล็อคนะ แต่มีบ้าง ประตูไม่ล็อคไม่ได้มันเปิดเอง บานพับไม่อยู่จะโป๊ไปก็เลยต้องล็อคบ้าง ธรรมดาจะไม่ล็อค
_พิศมัย ชำนาญคิด · ขอให้พ่อครูแข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกๆทุกคนตราบนานเท่านานนะคะ กราบนมัสการสูงสุดคะ สัญญานชัดเจนทั้งภาพและเสียงนะคะ จากคลองหลวง ปทุมธานีคะ ขอบคุณค่ะ
_สรายุทธ บุญญโก · ฟังธรรมพ่อครูมา 7-8 ปีแล้ว จะติดตามฟังต่อไป
_น้ำมนต์..หนูชอบรายการสำมะปี๋ซี่วิต หนูอยากให้มันมีสี่วันค่ะ
พ่อครูว่า…แล้วคนอื่นเขาจะมีรายการไหมนี่ คนอื่นๆมันน้อยไปนี่ ทุกวันนี้สองวันต่อสัปดาห์เอาน่า เดี๋ยวถ้ามันดีจะเพิ่ม
_หนูตั้งตบะอะไร สิ่งนั้นก็มา
พ่อครูว่า…ดีจัง การตั้งตบะ เท่ากับเรามาโฟกัสตรงนี้ ธรรมดาเราไม่ตั้งใจจะทำ มันผ่านมาแล้วก็ไม่สนใจ เมื่อเราตั้งตบะเราจะเล่นงานมัน เราจะทำกับมันให้ดีที่สุด พอตั้งใจแล้วมันจะยากทุกคน ก็จะทำให้มันดีสำเร็จ พอตั้งตบะแล้ว แต่ก่อนเผินๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรมัน แต่ตอนตั้งตบะแล้วมันจะมา ใช่ เจอเข้าให้แล้ว ตั้งตบะอะไรบ้างล่ะน้ำมนต์
น้ำมนต์ว่า…จะไม่กินขนมกับไม่แกล้งเพื่อน
พ่อครูว่า..เก่งจัง ดีมาก ตั้งตบะอย่างนี้
_แม่เพิ่มพร…ดิฉันเป็นโรคกลัวไมค์ จับไมค์จะลืมหมดตอนนี้พยายามสู้สักกายะ จะพยายามไม่ลืม มีเหตุการณ์แปลกมาเล่าค่ะ
ที่ขอนแก่นช่วงนั้นฤดูหนาว มีวันหนึ่งแมวก็เข้ามา มาคลอดลูกใส่ข้างๆ คลอดได้ สิบกว่าวัน มีแมวตัวดำวิ่งออกมา ไปดูลูกแมวตายเรียบสามตัว ก็นอนไมหลับทั้งคืน เศร้าใจ พอดึๆ แม่มันมา ก็มานอน พอสว่างก็เอาลูกมันไปทิ้ง มันคาบไปไหนก็ไม่รู้ แม่มันร้องอยู่สามวัน
เมื่อฤดูฝน มันก็ตั้งท้องอีก แต่ไปคลอดอีกที่หนึ่ง ดิฉันไปเห็นแมวคลอดลูกอยู่ในลิ้นชัก ไม่ได้นับว่ามีกี่ตัว คิดว่ามันคงปลอดภัย ทีนี้ พอได้สองสามวันก็ไปเดินดูอีก ไปเห็นแม่แมวตายอยู่ข้างนอก ไปดูลูกก็ตายเรียบ คล้ายๆมันต่อสู้กับแมวตัวที่มันมาฆ่า ดิฉันก็เศร้าใจและสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยถามว่า สมัยเป็นคนมันคงจะฆ่ากันมาแล้ว แต่พอมาเป็นแมวคงจะอาฆาตพยาบาทกัน
พ่อครูว่า…คิดไปได้ อาตมาจะไปพยากรณ์ได้อย่างไร อาตมาไม่สามารถระลึกหยั่งรู้ได้ เหมือนพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ถึงขั้นนั้น ตอบไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ แต่ก็พอรู้ว่ามันจะมีการแก้แค้นกันไป มีรักมีชัง มาร่วมกันกับทำร้ายกัน นัยใหญ่ๆสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่คนก็เช่นกัน มาร่วมสร้างสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกัน
แม่เพิ่มพร …ตัวที่ฆ่าคือตัวลายๆดำๆมันคงอาฆาตพยาบาทหลายชาติ ไม่ใช่พ่อมันมาฆ่านะ
พ่อครูว่า…มันก็ทำอย่างนี้แหละ
_สุวิดา…อยากแสดงความรู้สึกว่า ท่านฟ้าไท เคยเทศน์กับพ่อครูว่า พ่อครูลองตายดูไหม พ่อครูอย่าทำนะคะลูกตกใจ
สมณะฟ้าไทว่า พ่อครูพูดเองว่าลองตายดูไหม อาตมาก็ว่าหากตายแล้วฟื้นก็ลองได้ หากไม่ได้ก็ไม่ทำ
สุวิดา…เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ไม่ประมาท ใครจะรีบมาก็รีบมานะ
พ่อครูว่า…อาตมาตั้งใจจะอยู่ไปอีก แต่มันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันยาก แต่ได้เท่าไหร่ก็เอา
_บุญยิ่งแก้ว…วันที่พ่อครูไม่สบาย หนูไปงานที่กทม. ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะรีบกลับมาแล้ว แต่งงานข้างหน้าก็มี แต่วางใจอีกใจก็เป็นห่วง เชื่อมือปัจฉาฯ นอนก็ไม่ค่อยหลับ เมื่อเสร็จงานก็รีบกลับมา
_1025ที่พ่อครูบอกว่า ให้มีก็ได้ไม่ให้มีก็ได้ ให้มีหรือไม่ให้มีอะไรค่ะ ขอความชัดเจนด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..สิ่งที่จะอนุโลมมา เหมือนสิ่งนั้นเป็นสิ่งต่ำ อาตมาผ่านมาแล้วแต่ต้องอนุโลมให้กับผู้ที่อาตมาต้องโอภาปราศรัยด้วย เหมือนกับพ่อแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงไปกับลูก ทั้งที่เป็นของเล่นแต่ก็ทำเป็นสนุกสนานไปกับลูก จริงจังเต็มที่ แต่ใจจริงลึกๆมันหลุดพ้นไม่ได้ติดหรอก แต่เวลาที่เราอนุโลมกับเขา เราก็ต้องจริงใจจริงจัง แต่เราหลุดพ้นเราไม่ติดเหมือนกับแม่ครัว เขาก็รู้รส ทำให้คนนี้คนนั้นกิน ทำให้เขาติดฝีมือเลย จริงใจจริงจังแต่ตัวเองไม่ได้ติดเลย รสตรงนั้นอย่างนี้เป็นต้น ก็เปรียบเทียบได้แค่นี้
คุณสู่แดนธรรมว่า…ของจริงก็เหมือนกับพ่อท่านแต่งเพลงหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…ก็ใช่อันนั้นก็ได้ ใช้อารมณ์อันนี้อร่อยอันนี้สนุกแต่อาตมาไม่ได้ติด แต่ก่อนที่ยังติดคือ เรื่องเพลงอาตมาทิ้งเป็นอันสุดท้ายเลย ที่จริงทิ้งจนคิดว่าเพลงนี้เราติดเยอะ เราจะไม่กลับไปอีกแล้ว พยายามทิ้งจนกระทั่ง จำโน้ตก็เขียนไม่ได้ กว่าจะกลับมาอีกที ยาก ตอนมาบวชแล้ว ก็โอ้โห ต้องฟื้น โน้ตเกือบจำไม่ได้เลย ต้องค่อยๆฟื้นคืนใหม่ ลืมไปเยอะเลย ต่อไม่ติด แต่ก็ฟื้นมาได้พอสมควรก็ทำไปบ้าง เพราะเห็นประโยชน์ เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้ว มันไม่ขั้นปรุงไม่ขึ้นแล้ว ทำมาได้ตั้ง 9-10 อัลบัม เยอะพอได้ ก็ เห็นว่าเป็นประโยชน์เป็นเพลงหรือศิลปะขั้นโลกุตระ ทั้งเนื้อหาและทำนอง ทำนองของอาตมาก็จะยากหน่อย ตามตัวเองทำได้ ก็ได้อย่างนี้แหละ ก็ผ่านไป จะตอบที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ก็คืออนุโลมตนเองจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้
_1057ปักเพาะชำถึงแล้วครับ กราบนมัสการพ่อครูโพธิรักษ์ ครับ
พ่อครูว่า…
_พ่อครูตอนวูบไปในห้องน้ำ มีนิมิตอะไรไหม?
พ่อครูว่า…ก็ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ถึงขั้นจะไปเลย ไม่ถึงขั้นขาด คือพลังงานจิตวิญญาณไม่ได้ขาดตอนเลยทีเดียว ถ้าเผื่อว่าพลังงานมันเป็นอย่างที่ฟื้นมาแล้ว เป็นพลังงานที่ไม่เต็ม บางคนฟื้นขึ้นมาก็เป็นพืช ก็มี หรือฟื้นมาแล้วไม่เต็ม อัมพาตบางส่วนได้ การหมุนเวียนของดินน้ำไฟลมไม่สมดุล สะดุด สูบฉีดเลือดไม่ครบ บางทีหัวใจบางส่วนเสียไป สมองบางส่วนเสียก็ได้ มันต้องพึ่งพากันระหว่างอวัยวะกับจิตวิญญาณ แต่อาตมาไม่ถึงขั้นนั้น
พอรู้สึกตัว ทำไมมันฟุบอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร ก็นั่งโถส้วมอยู่ดีๆ ตัวก็โค้งๆอยู่อย่างนั้น แต่หน้ากับตัวไปติดซอกประตูข้างล่าง ดันก้นติดกับโถนั่งไม่หลุดออกไป พอรู้สึกตัวก็ว่าเราเป็นได้ถึงขนาดนี้หรือมันจะตายแล้วหรือ เราก็บอกกับตัวเองว่ายังตายไม่ได้นะ ก็พยายามมีสติขึ้นมา ก็ดี ข้างนอกได้ยินเข้า อาตมาปิดประตูด้วย ท่านได้ยินก็ปีนมาดู อาตมาก็พยายามถอดกลอน พอถอดกลอนได้ก็หิ้วปีกกันสองคน หิ้วไปสองปีก คือท่านก็ลากกันมาเลย มันไม่มีแรง มีแต่บอกว่าไม่ไหวๆ มันจะขาดใจ ประคองมา ก็มาถึงอาสนะสงฆ์ก็นอนลงไป มันจะไม่ไหวจริงๆ ทางนี้ก็ว่ากันไป นวดนั่นนวดนี่ อาตมาก็จำไม่ได้บ้างหรือจำได้บ้าง ก็เรียก รถ ambulance มา
_น้อมยอดธรรม …วันอังคาร ที่ดิฉันไปนอนที่อุทยาน เพื่อนเปิดให้ดูว่า พ่อท่านอยู่รพ. พ่อท่านพูดที่รพ. ดิฉันก็อ่านเวทนาว่าไม่ทุกข์ไม่สุข เฉยๆ สัญญาความจำคำสอนที่มีของท่าน ให้เราลดกิเลสมากมาย เจตนาก็ไม่วิตก เสร็จแล้วก็มีผัสสะจิตก็ไม่ฟุ้งซ่านก็มนสิการ คือทำใจในใจ ก็สงบ อุเบกขา ฉันไม่เสียใจ มีเจตนาดี พ่อครูไม่ตายแน่ อาทิตย์ที่แล้ว พ่อครูเทศน์เรื่องอจินไตย พระพุทธเจ้าอายุ 80 ก็ปรินิพพาน จิตท่านจะอยู่ต่อ แต่ปัจฉาฯของท่านไม่ได้นิมนต์ให้อยู่ต่อ ท่านก็เลยต้องไป แต่ดิฉันคิดว่าพ่อท่านมีปัจฉาฯนิมนต์ให้อยู่ต่อ แล้วดิฉันก็นิมนต์ให้อยู่ต่อ ดิฉันยังรู้น้อย
ขอถามพ่อครูว่า…ดิฉันเกิดจิตโลกุตระ ตามพ่อสอน มีเวทนาที่เป็นหนึ่งจนเหลือศูนย์ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…คุณก็พัฒนาไปตามลำดับ
อาตมาพยายามย้ำ ภาษาก็เป็นความรู้ความเข้าใจ เราเข้าใจความหมายของภาษา เราก็พยายามที่จะเอาภาษานี้ ไปเข้ากันกับสภาวจิต เจตสิก อาการจิตของเรา มันเป็นการเคลื่อนไหวเป็น นามธรรม ลักษณะการเคลื่อนไหวแต่ละอัน เวทนาก็คือความรู้สึก
สัญญาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง มากขึ้น ทำหน้าที่ได้มากขึ้นจากเวทนา เวทนา เป็นความรู้สึกที่เป็นตัวรับ ตัวตั้งตัวเป็น มันทำอะไรไม่ได้มากเป็นตัวรองรับที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อสูงขึ้นมาเป็นสัญญาเป็นตัวที่สองมันทำหน้าที่กำหนดรู้ ซ้อนลงไป กำหนดหมาย เข้าใจอะไร โดยเฉพาะเข้าใจเวทนาด้วยกัน แล้วมันก็ เข้าใจสังขารก็ได้ เข้าใจวิญญาณก็ได้ เข้าใจเจตสิกอื่นอีกได้ มันเป็นตัวกำหนดรู้ได้อีกมากมาย สัญญาก็มีความสามารถมาก
สัญญานี้ทำงานหนักทำงานมาก ทำงานเป็นตัวต้นเลย ทำงานในกระบวนการของขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัวสัญญาทำงานมากที่สุด ในกระบวนการของนามธรรม มันกำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้สังขาร ถ้าสามเส้ามีเวทนา สัญญา สังขาร
สังขารคือการปรุงแต่งกัน สสังขาริกัง คือมีตัวอะไรร่วมปรุงเป็นตัวที่ 3 คือกิเลส มันเป็นอะไรขึ้นมาอีกรูปหนึ่งเป็นสังขตธรรม เหมือนกับนิวเคลียส มันก็มีบวกและลบทำงานกัน เรียกว่าพลังงานอะตอม พลังงานของสองสภาพ
สสังขารคือมีตัวร่วมอีกอัน คือกิเลส อสังขาร คือไม่มีตัวร่วมปรุง ถ้าเผื่อว่ามีมาร่วมก็เป็นกิเลสไม่มีกิเลสร่วมคืออสังขาร เราจัดการสังขารนี้ได้คืออภิสังขาร ถ้าทำไม่สำเร็จก็เป็นสสังขาร คือปรุงไปเลย แต่ตัวสสังขารนี้มันสสังขารด้วยอวิชชา ถ้าวิชชาก็สังขารกำจัดกิเลสได้เป็นปุญญาภิสังขาร มีตัวกำหนดรู้กิเลสแล้วสร้าง พลังงานบุญขึ้นมาทำลายกิเลส บุญก็คือกำจัดพลังงานกิเลส พลังงานกิเลสก็หมดไป มันได้ไปบางส่วนเรียกว่า ปุญญภาคิยา ได้เป็นส่วนๆเรียกว่า ยังไม่ได้หมดตัวตนของกิเลส ตัวตนมันมีร้อย ก็ทำลายไปได้ 20 30 40 ก็ได้เป็นส่วนๆ ถ้าจะครบก็นึกว่าหมด ถ้าได้บางส่วนก็เรียกว่าเป็น เสขบุคคล ถ้าได้ครบก็เรียกอเสขบุคคล
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…อันนี้จะอยู่ในพระไตรปิฎก สาวัตถีนิทาน…
อานนท์เธอชอบพระสารีบุตรหรือไม่
อานนท์ว่า ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาลคนมุทะลุคนงมงายคนวิปลาส จะไม่ชอบพระสารีบุตร เพราะท่านเป็นบัณฑิตมีปัญญามาก เป็นเจ้าปัญญา มีปัญญาชนให้ร่าเริง มีปัญญาแล่นมีปัญญาหลักแหลมแทงตลอด มีความปรารถนาน้อยสันโดษ เป็นผู้สงบกายวาจาใจ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียรเป็นผู้เข้าใจพูดอดทนต่อถ้อยคำ เป็นผู้โจษท้วงคนผิด การพูดตำหนิคนผิดคนชั่ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แล้วใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล คนมุทะลุ คนงมงาย คนวิปลาส จะไม่ชอบพระสารีบุตร
ข้อ 303 พระพุทธเจ้ากล่าวย้ำกับพระอานนท์ทุกคำอย่างนี้อีก คิดว่าในสมัยพุทธกาล พระอานนท์กับพระพุทธเจ้าต้องทำทั้งสองพระองค์แบบนี้ เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้แทงตลอด แต่ถ้าสายสมถะ ก็ไม่ต้องมาทำงานแบบนี้ ไม่ต้องติคนชั่วมาก แต่ผู้มีหลักแล้วท่านต้องทำงานแบบนี้ได้ งานที่พ่อครูทำตอนนี้ถึงไม่มีใครทำได้
พ่อครูว่า…ใช่สายเจโตศรัทธาจะไม่ค่อยทำหน้าที่ที่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นให้มาก เป็นประโยชน์เหมือนกันแต่เป็นประโยชน์อีกอย่าง เป็นคนมักน้อยสันโดษ ผู้สงบมีจิตใจเมตตาดี เป็นกายกรรม ไม่ละเอียดเหมือนวจีกรรม
การแสดงออกกายกรรมก็เป็นเรื่องหยาบ วจีกรรมก็เป็นเรื่องละเอียดกว่า พฤติกรรมเป็นเรื่องรู้ภาษาแยกแยะความแตกต่าง ลิงคะ สายเจโต จะแยกแยะความแตกต่างไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นก็ได้ ได้เต็มรูป แต่ตัวเองแยกไม่ออก ยิ่งไปแยกละเอียดละออ มีภาษามิติมุมเหลี่ยมต่างๆก็ยิ่งน้อยสายเจโตสายศรัทธา เป็นสัจจะอย่างนั้น
ท่านเป็นตัวอย่างให้คนสัมผัสเอาเองรู้เอาเอง ท่านจะเป็นได้อย่างแข็งแรงสายศรัทธา เป็นได้เต็ม ถ้าจะอธิบายด้วยภาษาก็ยาก สายเจโต จะเป็นอรหันต์ได้เต็มกว่าสายปัญญา
สายปัญญาจะเป็นอรหันต์ได้ไม่เต็มเท่าสายเจโต
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…สายปัญญาอย่างพระสารีบุตรจะมีคนไม่ชอบมากพอสมควร พระพุทธเจ้าถึงถามว่าอานนท์เธอชอบพระสารีบุตรหรือไม่
พ่อครูว่า…ปราชญ์จะชอบเพราะได้รับความรู้และประโยชน์ ส่วนเจโตจะได้ประโยชน์น้อยเพราะอ่านเอาเองอ่านไม่ออกมันเป็นก้อน แต่ของสายปัญญานี่ นึกว่าครบแล้ว สายปัญญายังมีแยกแยะให้รู้มุมเหลี่ยมละเอียดอีกเยอะแยะเลย มันต่างกัน เพราะฉะนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายเจโต จะชอบสายปัญญามาก เพราะเจโตมีสภาวะ แต่ไม่รู้ชื่อ ความจริงนั้นเต็มแต่ความรู้มีไม่มาก สายปัญญาความรู้มาก บางทีความเป็นจริงก็ยังไม่ได้ ยังไม่เต็ม เต็มก็ไม่แน่นเท่าเจโต เด่นกันคนละมุม
_เกร็ดดิน..ดิฉันอยากจะถามถึง 2 ทำให้เป็น 1 หรือ 0 มันต้องรู้ 3 ใช่ไหม ยกตัวอย่างดิฉัน เจอขนมชั้นก็ชอบมาก ก็ลองดู หาอะไรต่ออะไรทำมันก็ไม่ใช่
พ่อครูว่า…ต้องอ่านคนคืออะไรยกตัวอย่างขนมชั้น
เกร็ดดินว่า… ต้องพิจารณาลงให้ถึงที่เกิด ต้องไปหาสมุทัย ที่เกิด มันเกิดตั้งแต่เพราะว่า ตอนไม่สบายเป็นเด็ก คุณแม่เอาขนมชั้น เป็นถาดเล็กให้กิน กินก็ติดใจชอบใจ มันไม่ใช่แค่ขนมชั้นแต่เป็นความรักแม่ ความรักแม่ล้างลำบาก ก็ค่อยๆพิจารณาไปเพราะว่ามันยิ่งใหญ่ ก็ค่อยๆทำมาเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่หมด แม้ความรักคู่ เราเคยทำแบบพระเจ้าก็มีความภาคภูมิใจมีความสำเร็จ แต่อัตตานี่เราล้างกิเลสได้ตัวหนึ่ง แล้วก็จะมีปีติ
พ่อท่านเคยบอกว่าถ้าปีติแล้ว หากแช่ในปีติก็กลายเป็นปิตะ เป็นพ่อใหญ่ บรมอัตตา ก็เลยกลายเป็นเปรต ก็เลยว่าตายแล้วใหญ่มาก พระเจ้านี่
พ่อครูว่า…บาลีคือเปตัง
เกร็ดดินว่า… ก็ต้องระวังหากจะล้างภายนอกได้ต้องล้างภายในด้วยไม่งั้นมันจะค้าง
พ่อครูว่า…จากปิตะมาเป็นปีติ มาเป็นเปโต
ปัญหาแห้งไม่ค่อยมี…
_คน คือ สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการจากอุตุนิยาม พีชนิยาม จนเป็นจิตนิยาม ระหว่างการวนในวัฏฏะต่างๆล้านชาติก็สั่งสมกิเลสมากมาย จนล้นไปด้วยทุกข์ก็ดิ้นรนแสวงหาทางออก เมื่อจะทำการชำระออกทำไมแสนยาก การมีชีวิต เป็นการรวมตัวของมหาภูตรูป 4 และบวกกับวิญญาณ เป็นสิ่งที่ไม่ควรครอบครอง
พ่อครูว่า…คนไปสั่งสมมากมาย เรารู้ได้ด้วยภาษาบัญญัติ แล้วเราก็เอาไปแก้ไขว่าอันนี้ควรจะสลายควรจะต้องทำออก คุณจะต้องมีพลังงานแห่งธาติรู้ที่เรียกว่าปัญญา พลังงานอันนี้คุณจะต้องมีการสร้าง สร้างจนกระทั่งพลังงานธาตุรู้นี้มันมีจริงๆ มันมีประสิทธิภาพ มันมีความพร้อมพลังงานที่ได้จนสามารถที่จะมีฤทธิ์มีอำนาจมีพลัง เข้าไปสลายพลังที่ยึดอกุศลจิตอันนั้น พลังเดียวกันแต่มันคนละขั้ว พลังนี้ก็จะไปสลาย
พลังงานบวกลบก็จะผนึกกันด้วยการดูดหรือผลัก จะเป็นปฏิกิริยาอีกนานเท่านานเป็นธรรมะ 2 ต้องมี 3 ประธานที่ 3 ขึ้นมาใหม่ มันกับนิวเคลียสมันมีบวกลบจับกันแน่น ไฟฟ้าสามารถแยกพลังงานบวกลบให้มันระเบิดหายไป พลังงานนิวเคลียร์ที่มันเกิดจากนิวเคลียสที่มี 2 ตัว จับตัวกันแน่น ไอน์สไตน์สามารถให้คนเอามาใช้ แตกระเบิดออกไป บวกลบหายไปกระจายกลายเป็นอย่างอื่นหมดเลยจบ มันก็มีเท่านั้น อุตุนิยาม
ส่วนจิตนิยามนี่ มันมีประธานที่ถูกอยู่ 2 อย่างคือบวกกับลบ ถ้าเฉพาะลบมันก็เป็นตัวที่จะสลายและแยก ถ้าเฉพาะบวกมันก็จะบวก เข้าหากัน พอมารวมตัวกันเข้ามันก็แตกตัว คู่นี้ก็เป็นแกน บวกลบเป็นตัวแกน เป็น Static เกิด Dynamic เป็นแกนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆควบแน่นเข้าจนเป็นล้านๆชาติ มันจึงคลี่คลายออกได้ยากมาก
ฟังก็ดูเข้าใจสองหน่วยสามหน่วย แต่มันซับซ้อนเข้าไปเป็นล้านหน่วย ที่ทำมาก็เข้าใจแต่ทำไมออกยาก เพราะไม่ใช่มีน้อย มันย่อยก็ดูมีน้อย แต่มันมีมากมุมเหลี่ยม อย่างที่มีคนเขียนภาพ หมุนซับซ้อนมากมายจนตามไม่ไหวทำเป็นรูปเห็นไม่ได้ สานกันแน่น ที่จริงมันเป็นระบบนะ แต่เป็นระบบที่แต่ละปมมันเละเทะ แต่พลังงานแต่ละพลังงาน มันจะออกไปเสือกไปเกี่ยวกับอันอื่น ที่จริงไม่มีหน้าที่ของมัน มันก็เป็นตัวเล็กตัวน้อยยุ่งยาก มันก็เลยยากที่จะแก้เป็นเหมือนปมไหมที่พันกัน มุ่นไปหมด แต่ที่จริง มันมี 1 2 3 มันมีเล็กน้อยเยอะอีก ก็เลยดูเหมือนมีอะไรผูกพัน แต่เราไม่รู้ ถ้าเรามีพลังงาน ที่เพียงพอมันจะเป็นพลังงานใหญ่ที่ไปสลายเป็นอัตโนมัติช่วยได้ พลังงานใหญ่จะสลายพลังงานน้อยที่กระปิดกระปอยนี้ได้โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องไปทำหมด ทำให้หมดไม่ได้หรอก ไม่ใช่ไม่หมด มันมีวิธีของพระพุทธเจ้าที่จะสลายตัวตนได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ ลู่ทางและรู้วิธีที่จะทำ ผู้ที่จะเป็นอรหันต์ใช้เวลาน้อยกว่าโพธิสัตว์ต่างๆ ปุถุชนใช้เวลามากกว่าจะมาเป็นอรหันต์
_คุณตามตะวัน…ครั้งก่อนถามพ่อครูเรื่อง ศิลปะในการชี้ขุมทรัพย์ วันพรุ่งนี้วันสุดท้ายของเดือนสิงหาคม นึกถึงตัวเองที่มีความรักแม่มาก เมื่อมาปฏิบัติธรรม ก็เลยรู้ว่าไม่จริงหรอกที่เรารักแม่มากที่สุด เรารักใน อัตตาตัวเองมากกว่า เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่ประสบมา ตัวเองก็อยากให้แม่ได้ไม่ผิดศีล ทีนี้ พอเข้ามาอยู่ทางธรรม เราก็มาเจอมิตรดี ที่เหมือนพ่อท่านบอกว่าเป็นสนามแม่เหล็ก มันเป็นเรื่องจริงค่ะ มันเป็นแรงดึงดูด อย่างเช่นแม่ปุยที่อยู่ด้วยกันก็ได้เช็คข้อบกพร่องตัวเองได้ ตัวเองก็อยากจะทำอย่างนั้นด้วย ได้จากแรงกระตุ้นที่พ่อท่านเกิดวิกฤตครั้งนี้ทางสุขภาพ ตัวเองก็เลยจะให้เพื่อนๆที่รู้จักนิสัย รู้จักว่า การใกล้ชิด สามารถชี้ข้อบกพร่องได้ ก็เลยเอาตัวนี้ไปก็แล้วกัน เป็นการตอบแทนหมู่กลุ่ม แล้วก็มาได้ยินที่อาดินดอนบอกวันอาทิตย์ว่า ระหว่างกิเลสกับวิบากอะไรน่ากลัวกว่ากัน ดิฉันบอกว่ากิเลส อาดินดอนว่า กิเลสเรายังได้ผลัดกันแพ้ชนะ แต่ตัวเองได้รับวิบากมาเยอะ มันก็น่ากลัวทั้งคู่ เรามีบาปเราต้องกำจัดกิเลสมันก็น่ากลัวที่เรายังมี จะมีวิบากที่ร้ายมาให้เราอีก ก็พยายามจะสู้ต่อไป กับกิเลส รายงานให้พี่น้องได้รับทราบแค่นี้ค่ะ
พ่อครูว่า…ใช้ได้
สมณะมือมั่น..คราวก่อนพ่อครูพูดถึงความเป็นพระโพธิสัตว์ ตัวเองจะรู้ได้ยากมากว่าเราเป็นหรือเปล่า อันนี้คงเป็นเพราะว่า สังคมไทยเราเป็นเถรวาท
พ่อครูว่า…เพราะทางไทยนี้เป็นเถรวาทมากเป็นหลัก ก็เลยรู้ตัวเองยากมากว่าเป็นโพธิสัตว์ ส่วนมหายานก็รู้ยากเหมือนกันเพราะอะไรก็เป็นโพธิสัตว์หมด มันก็เลยเลอะเทอะไปหมด นึกว่าเป็นแต่ไม่ถูกไม่ตรง แต่รวมแล้ว มหายานจะรู้จักโพธิสัตว์ได้ดีกว่า
สมณะมือมั่นว่า..ผมเคยไปดินแดนที่เป็นมหายาน แต่ละตำบลจะมีโพธิสัตว์มากมาย คือเขาเองคิดว่า ตัวเองสามารถมีสัพพัญญูตรัสรู้ได้เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังคมมหายานคือมีประวัติของพระโพธิสัตว์มากกว่าพระพุทธเจ้า เขาดูเหมือนว่าเขารู้ตัวเอง สามารถพัฒนาตัวเองเทียบเท่าพระพุทธเจ้าจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ไทยไม่มีแบบนี้คนละอย่าง
พ่อครูว่า..เพราะเหตุนี้แหละโพธิรักษ์ถึงได้ยากมาก เพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องโพธิสัตว์ อาตมาก็จึงยากมากเลย ที่จะให้เขาเข้าใจเรื่องโพธิสัตว์หรือให้เขาเชื่อว่าอาตมานี้เป็นโพธิสัตว์ แล้วก็อธิบายว่าโพธิสัตว์นั้นจะต้องมีอรหัตตผลก่อน แม้เริ่มต้นเป็นโพธิสัตว์โสดาบันก็ต้องมี อรหัตตผลของโสดาบันก่อน แล้วจึงได้ชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์
โพธิสัตว์ไม่ใช่ผู้ที่ต้องคิดว่าจะไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็เลยเป็นโพธิสัตว์ได้เลย มันเป็นเพียงความคิดเท่านั้นเลยเป็นความปรารถนาเท่านั้นเอง ถ้ายิ่งตั้งจิตแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องบรรลุธรรมให้ได้ก่อนตั้งแต่พระโสดาบันถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ถ้าคุณอยากจะเป็นแล้วไม่รู้จักวิธีเลย ขออภัยยกตัวอย่างบุคคล พระพุทธะอิสระ ตั้งจิตจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่รู้ระบบความเป็นพระเจ้าเลย เขาใช้คำว่าฉัน เขายึดติดว่าใช้คำว่าอาตมาก็เป็นตัวตนสิ เขาจะไม่ใช้ก็ใช้ศัพท์กลางๆว่าฉัน อย่างนี้
เขาก็เคยพูด อาตมาก็เคยฟัง ทิฏฐิโพธิสัตว์ของพุทธอิสระเป็นอย่างนี้เอง ก็เห็นได้ว่าซวยแล้ว อย่างนี้ได้แต่เป็นผู้ที่สร้างสิ่งที่ดี มันเป็นโลกียะยังไม่เป็นโลกุตระ
โลกุตระ ต้องเข้าใจจิตเจตสิกต่างๆ อ่านจิตเจตสิกให้ได้ บอกว่าฉันไม่เรียนธรรมะ ฉันจะทำแต่ความดีเพื่อไปเป็นพระเจ้า ความดีที่เขามุ่งหมายก็คือ จะช่วยคน จะช่วยผิดช่วยถูกก็ไม่ฟังเสียงทั้งนั้น ก็เลยสับสนหน่อย ก็น่าสงสาร แต่ก็มีจิตดี เป็นผู้มีปณิธานสูง
สมณะมือมั่น…ผู้ที่ตั้งจิตจะช่วยผู้อื่นย่อมต้องมีคุณธรรมระดับหนึ่งต้องเสียสละพอสมควร ผมว่า มันก็เลยดูเหมือนว่า มหายานจะเจริญกว่า เพราะจิตที่เป็นโพธิสัตว์ต้องลดละความเห็นแก่ตัวระดับหนึ่ง อย่างเช่นฉื่อจี้ ก็จะมีจิตโพธิสัตว์ช่วยเหลือผู้อื่น เขาก็ได้ในระดับของเขา
พ่อครูว่า…สรุปตรงแกนเลย การช่วยผู้อื่นคือไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เป็นตัวจบที่จะทำเพื่อผู้อื่นอย่างเสแสร้ง ที่จริงก็เอามาเพื่อให้แก่ตัวเองมากเลยเช่น ธนินท์ เจียรวนนท์ ทำเพื่อผู้อื่นสังคมประเทศชาติแต่ตัวเองก็ยิ่งรวย นั่นแหละแกหลอกโลก โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองหลอก เป็นอวิชชา เพราะฉะนั้นวิบากที่ไปเอาเปรียบเขาก็ยิ่งมากขึ้น ก็ทวียกกำลังหนาขึ้น ก็ไม่รู้ตัวเป็นหนี้ซับซ้อนน่าสงสารมาก โดยที่หลงว่าทำเพื่อช่วยผู้อื่น โดยวิธีการเชิงซับซ้อนฉลาด ให้แกรวยเร็ว ภายในชาตินี้จึงได้มาตรฐาน
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์แต่มาเกิดในเมืองไทยแกนเถรวาท
พ่อครูว่า…แกนพุทธแม้มันมากเลยสับสน แต่แกนเถรวาทมีน้อยก็ไม่สับสน จะเข้าใจง่ายสำหรับผู้ที่ได้ แต่คนที่วุ่นวายสับสนอยู่มีเยอะ เพราะฉะนั้น ต้องทำให้ได้สัดส่วนที่เป็นมรรคผลช้ากว่า เถรวาทได้จริง แล้วก็จะได้ไปเรื่อยๆ เป็นแกน
สมณะฟ้าไทว่า…เราไม่คิดจะเป็นโพธิสัตว์อย่างเขา แต่เมื่อเราลดกิเลสก็รู้ว่าจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า..เถรวาทได้จุดสำคัญเป็นวิธีการสมาธิที่จะไปถึงอรหัตตผล มันก็จะตรง ไม่ต้องไปทำอีกซับซ้อน มหายานจะทำซับซ้อนกว่าเยอะ
_คุณละอองบุญ..หลายปีได้ฟังสิกขมาตุองค์หนึ่งเล่าให้ฟัง ท่านไปเยี่ยมคนป่วยที่อายุมากแล้ว ถ้าคนป่วยที่อาการหนักมากมีแต่ทรงกับทรุดไม่มีหายทำประโยชน์อะไรไม่ได้ มีแต่เป็นภาระให้คนอื่นก็มีทางออกให้ชีวิตกับผู้ป่วยคนนั้น หาทางออกว่า เมื่อเขาป้อนข้าวป้อนน้ำ ก็จะกินอาหารให้น้อยลง ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไม่กินอาหาร ได้แต่ดื่มน้ำ และดื่มให้น้อยลงไปเรื่อยๆจนหมดก็จะตายอีกไม่นาน ดิฉันก็เห็นคล้อยด้วย มีสติก็จะทำเช่นนี้
แต่เมื่อมาเล่าให้เพื่อนอีกคนฟังก็ถูกเพื่อนบอกว่ามันเป็นบาป ดิฉันก็อยากทราบว่าเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…ที่เขาท้วงว่าเป็นวิธีการฆ่าตัวตายอีกอย่างหนึ่งก็ใช่ เวลาละเอียดอย่างนี้มันแยกได้ยากจะเป็นเจตนาดีก็ใช่ จะว่าเป็นเจตนาเสียก็เชิงนั้นอยู่ เพราะฉะนั้นบางทีเราก็จะไปจัดการเจ้ากี้เจ้าการกับเขาไม่ได้หรอกในรายละเอียดมากๆ
ต้องเป็นชีวิตเรา ชีวิตคนอื่นเราไปจัดการไม่ได้ บางทีเขาก็เห็นว่าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เขา เป็นภาระคนอื่นก็เป็นหนี้ ก็จบๆเสียดีกว่า ก็ไม่เสียหายอะไรมันก็ถูก แต่ว่าเขาพูดนี่ มันก็มีเชิงอยู่ว่า ถ้าเขายังไม่สิ้นไป เขาก็เป็นคนดี ทุกคนก็ห่วงใย บางทีก็ยังช่วยกันพูดบ้าง ถ้ามันพูดก็ไม่ได้อะไรก็ไม่ได้เลย ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆคนนี้ก็ไปเสียเลยดีกว่า
ถามว่าไม่มีวิบากหรือ ก็สร้างวิบากให้แก่ตัวเองและผู้อื่นด้วยซ้ำไปมันเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะถ้าเรายังอยู่คนที่อยู่ก็ได้กุศลวิบาก เราก็ต้องผูกพันกับกุศลวิบากไปอีก เราก็ตัดเสียก็ไม่ได้รุนแรงหยาบคาย ตัวเองก็สงบไปเฉยๆ ไม่ได้ไปฆ่าตัวตาย
_มีคนถามดิฉันว่า ลูกให้เงินใช้เดือนละเท่าไหร่ ก็ตอบไปว่าไม่ได้รับส่วนตัว เคยบอกลูกว่า หวังเพียงให้ลูกเป็นคนดีก็พอ มีคนบอกว่าอย่างนั้น ก็ล้มเหลวในการดูแลลุกให้ลูกไม่กตัญญู รู้คุณ แต่ดิฉันเห็นว่าเงินไม่ใช่สาระสำคัญที่ตัดสิน อีกประการคือ การอยู่ในชุมชนอโศกไม่จำเป็นต้องใช้เงิน การลดกิเลสต่างหากสำคัญ
พ่อครูว่า…ถูกแล้วจบเราไม่รับ ความกตัญญูต่อผู้อื่นไม่ใช่ความเลวร้ายเสียทีเดียว เราก็ไม่ได้ต่อวิบากเท่านั้นเอง ก็เป็นความดีของเขาที่เขาจะกตัญญูกตเวที เราไม่ให้ทำเขาก็ไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้ยุ่งยาก ก็ตัดวิบากแม้วิบากดี แต่ของเราเองหากเป็นวิบากที่ต้องพัวพันกันอีก
_คุณปุยดิน…ปีพศ.46 ตัวเองอายุ 60 พอดี พอดีฟังธรรมะก็ยังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ไม่เข้าใจวิบาก มีวันหนึ่งขี่จักรยานมา มาถึงเนินสูง มองดูแล้วรู้สึกว่าเหมือนจะพ้นไม่มีอะไร แต่พอลงมาจริงมันเร็วขึ้นๆ ก็คิดว่าอย่างไรก็คงจะหยุดไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยปล่อยวาง ไม่คิดอะไรมันคงจะสลบไป ไม่มีสติแล้ว ล้มไป เราก็ตัดรอบปล่อยวาง คิดว่าสลบไปไม่รู้นานเท่าไหร่ รู้สึกตัวได้ยินคนพูดใกล้ๆ เป็นหนึ่งผา เขาก็ไม่ได้ช่วยยก กลับมาบ้านราชฯก็มีหมอเพชรตะวันยกไปรพ.ค่าย คือวิบากรอบแรก แขนหักข้างขวา
รอบสองปี 50 คนเป็นห่วง เตือนเราก็ไม่ฟัง ศีลก็ไม่ปฏิบัติ ได้รถมอเตอร์ไซค์มา ทีนี้แขนหักข้างซ้าย ผ่าตัดขาอีก 2-3 ครั้ง เอาเหล็กออก แขนก็ใส่เหล็กขาก็ใส่เหล็ก ก็เลยมารอบนี้ ก็ไม่มีอะไรสงสัยว่าวิบากกรรมมีจริง มันชินแล้วกับที่ต้องประคองร่างกายไป จะให้หมดก็ไม่หมด
พ่อครูว่า…ฟังไว้นะปล่อยวางอย่างนี้ มาถึงตรงนี้อาตมาอยากอธิบายศีล
ศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ถัาสองเส้า ก็จะทำงานด้วยอวิชชาไม่รู้เรื่อง เมื่อมาเป็นตัวที่ 3 มีประธานรู้เรื่องได้ เป็นจิตนิยาม
จิตนิยามขั้นอาริยะ ของโลกุตระ ก็จะเข้าควบคุมพลังงานสอง ธรรมะสองให้เป็นทีละคู่ๆ แล้วพลังงานทีละคู่นี้แหละ เราก็ทำให้สำเร็จผลเป็นหนึ่ง และก็ทำต่อให้เป็น 0 จะทำต่อให้เป็น 0 ก็ได้หรือจะทยอยทำไป มันจะมีพลังงานซ้อนหากเราใส่ใจทำ 0 ให้สำเร็จก็จะได้ 0 ก่อนได้ 1 อันต่อไป
ถ้าเราทำ 1 แล้วไม่ทำ 0 ค่อยทยอยตกผลึกเป็น 0 ได้เองก็จะได้ 1 มากขึ้น ไปหาตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ก็จะทยอย ช้า แต่ถ้าเผื่อว่าเอาให้เร็ว
ความเร็วของการทำแกนให้แน่น สายเจโตจะเก่งกว่า สายเจโต เพราะฉะนั้นสายปัญญา สายปัญญาจะมัวแต่แก้ปัญหาสนุกกับการแก้ปัญหา สายเจโตจะไม่ชอบสนุก จริตสองอย่างนี้ก็เป็นธรรมดา
ศีลแต่ละข้อ มันเป็นข้อกำหนด ถึงขั้นบรรลุสูงสุด ศีล จะเกิดสมาธิเกิดปัญญาเกิดนิมิต
ถ้าศีล ทำไม่ถึงวิมุติ ศีลทำแค่เกิดอธิจิต อธิปัญญา แล้วจะซับซ้อนมาก จะเป็นผู้มีวิมุติได้น้อย สัดส่วนที่ได้จึงยากมาก อาตมาอธิบายก็ยังไม่เก่ง ก็มีเพิ่มอีกนิดหนึ่ง
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าธรรมะพระพุทธเจ้าจะมีลำดับเป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องจริงใจไม่ใช่เรื่องเล่น ศีล แต่ละข้อจะมีความซับซ้อน ค่อยๆเนียนสูงสุดได้ จะมัวแต่มาทำ 1 2 3 4 แล้วค่อยๆตกผลึกมันก็ช้า อันที่ 2 3 4 ก็จะมาเล่นงานเรามากขึ้นอีก
การจัดให้ได้สัดส่วนอันพอเหมาะ ปโหติ ได้สัดส่วนอันพอเหมาะ สุดยอดยาก ท่านพูดถึงสัมมัตติ ที่ได้มรรค 8 ผล 2 นี่ ได้ทีละสัดส่วนมันไม่ง่ายเลย
ที่อาตมาขยายศีล 3 ตั้งแต่ตัวเราเองเป็นคนเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับของ สามเส้ามีสัตว์ ของ และการจัดการอภิสังขารในการจัดการสัตว์กับของ ที่เกี่ยวกับการอุปโภคและบริโภคในชีวิตของคนไม่เป็นอันเดียว ก็ต้องทำกับสัตว์และของ เราก็จะมีความสามารถ ได้สัดส่วนที่มาช่วยกัน
ของเป็นอุตุนิยามสัตว์มันก็จะมีชีวะในตัวของมันเองมาช่วยเราได้แม้พีชะก็มีส่วนช่วย แต่ยิ่งเป็นพลังงานสัตว์ก็มาช่วยเราได้มากขึ้น พลังงานอุตุมาช่วยระดับหนึ่ง แต่พลังงานสัตว์มาช่วยได้สามส่วนเลย จะมากกว่ากัน
เพราะฉะนั้นสัตว์จึงเป็นตัวสำคัญที่คุณจะต้องเลิกวิบากให้ได้ก่อน ส่วนของนั้นระดับสอง มันจะทำลายหรือช่วยเราก็ตามมันช้ากว่าสัตว์ แล้วมันก็ไม่มีตัวบังคับที่จะมาเล่นงานเรา สัตว์มันมีความคิดของมันเป็นตัวเจ้าของมันเอาก่อนเลย อุตุหรือของมันไม่เร็วเท่าสัตว์ สัตว์มาก่อน จะรักหรือชังก็ตาม
สัตว์เป็นตัวตนมากเลยที่คุณต้องจัดการก่อน สำคัญกว่าของ ทั้งๆที่ ของนี่ไม่เป็นตัวร้ายอะไรมากมาย สัตว์มันเป็นตัวร้ายกว่า ของดูเหมือนไม่ร้ายแต่ของนั้นนานกว่าสัตว์ ของจะสองสัตว์จะหนึ่ง หนึ่งก็จะแรง สองจะเบาแต่นานกว่า สองเป็นเจโตแต่หนึ่งเป็นปัญญา แต่เวลาทำงาน สองเป็นปัญญา หนึ่งเป็นเจโต แต่หนึ่งแน่นในตัวแข็งแรงในตัว
_คุณอัมพร..รู้สึกว่าตัวเองจะวนเป็นลักษณะว่าทำไม่ถูกฐานตัวเอง ต้องวนมาทำใหม่ เหมือนว่าทำได้แต่ไม่ได้ พอไม่ได้เสร็จ ก็จะเกิดกำลังใจถดถอย เมื่อเริ่มต้นทำใหม่ทำไมมันรู้สึกว่า ทำไมกลับไปกลับมา
แต่มันเริ่มตั้งแต่พอรู้จัก อ่านหนังสืออโศก ก็เริ่มฝึกกินข้าวกับสะเดาอย่างไม่รู้ว่าต้องถือศีลอย่างไร เขาว่ากินมื้อเดียวดีก็ลองดู แม้ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่ากระโดดข้ามไปมาอยู่
ที่จะเรียนถามคือว่า การจะให้ตกผลึกเป็นลำดับ ให้แน่นเป็นช่วงทำอย่างไร
ถ้าเรารู้สึกว่าเราทำได้แต่ทำไมตีกลับได้ทำไม?
พ่อครูว่า…ทำได้แต่ไม่ถ้วนเต็ม เต็มแล้วไม่ตีกลับ
ให้อาตมาตอบ ตอบคุณไม่ได้ คุณจะต้องมีประสบการณ์ของคุณเอง อยู่กับหมู่กลุ่มไปนี่แหละ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าวิตักกะ มันจับความกำหนดรู้ไม่แม่น มันสับสน จริตของแต่ละคน มีจริตวิตักกะก็ยาก ของใครก็แล้วแต่ เราก็จะต้อง คุณอย่าไปจับอะไรมาก อย่าไปสนใจอะไรมาก อันหนึ่งที่จะบอกกับคุณคือ เรื่อง Coefficient หยุดเลย อาตมาก็จะหยุดมันน่ารู้อยากรู้ เข้ามาจับตัวสำคัญอันนี้ให้จบไม่กลับไปกลับมาให้ได้ แล้วคุณก็เอาตัวอย่างที่ทำให้แน่นไม่กลับไปกลับมาอันนี้ มาเป็นตัวอย่าง เป็นโมเดลให้แก่ตัวเอง
_คุณพัชรี ตุลาบดี…พอดี ในชีวิตของเราก็เจอแต่เรื่องของมนุษยสัมพันธ์ และธรรมะจัดสรร บางอย่างที่ผ่านมาเราไม่คิดว่ามีโครงการจะทำ แต่เป็นธรรมะจัดสรรให้เราทำเราก็จะทำ ตั้งเป้าหมายแปลว่าสิ่งดีๆที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นกุศลก็จะพยายามทำ ถามพ่อว่า เหมือนเราจะมีชาติที่แล้วมาก่อนหรือไม่
พ่อครูว่า..มีแน่นอน แต่คุณอย่าไปทิ้งโลกุตระ กุศลก็ดี เป็นทรัพย์สมบัติให้เราอาศัยได้ดีก็จริง แต่คุณจะต้องรู้โลกุตระ คือว่าจะต้องอ่านจิต จะต้องกำจัดกิเลส อย่าให้เสียผลกำจัดกิเลส จะทำกุศลมากจนเร็วจนจิตไม่ทัน จับกิเลสไม่ทันมันมีงานเยอะ อย่างนี้ก็ต้องลดเสียบ้าง ลดกุศล อย่าไปเห็นแก่กุศลหลงกุศลมาก เอาให้เหมาะกับตัวเอง ขนาดนี้เราทำขนาดนี้ เราอ่านทัน ต้องเข้าใจโลกุตระแยกแยะกิเลสให้ออก แล้วก็จัดการกับกิเลสให้ได้ อ่านอาการกิเลส ราคะโทสะ อ่านให้ออก ทำให้ลดให้ได้ ถ้าคุณอ่านตัวนี้ไม่ได้
โลกุตระคือ 1. แยกแยะกิเลสได้ ราคะโทสะสองแกนใหญ่ หากแยกได้ ก็ทำอย่างนี้ แยกเป็นสองคือกดข่มเฉยๆ กับปัญญา ความเฉลียวฉลาด กิเลสมันลดด้วยความเฉลียวฉลาดกับการลดด้วยการกดข่ม กดข่มได้ชั่วคราวเวียนกลับก็ต้องเห็นให้ได้ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นภาระวุ่นวายเป็นทุกข์ จริงๆแล้วมันไม่ใช่ตัวตน หากเราดับมันก็เป็นอนัตตาทั้งนั้น มันไม่มีตัวตนหรอกกิเลส แต่เราก็ต้องมีปัญญามีพลังงานอันนี้เข้าไปล้างมัน หากไม่มีปัญญาเข้าไปล้าง มันก็ได้แต่ตรรกะ ต้องล้างให้มันไม่มี เมื่อสัมผัสแล้วมันยังมีอยู่ก็ต้องล้างตัวนี้แหละ คุณทำให้ชัดหากไม่เข้าใจโลกุตระ จะไปทำได้อย่างไร
โลกุตระ 1 ต้องแยกแยะอาการจิตให้ออก เป็นอาการจิตที่ต้องรับรู้โดยตรง มันเป็นจิตที่ปลอมมา เป็นเวทนา 2 ให้ได้ แล้วเหตุที่มันเกิดพัฒนา 2 ลงไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความสุขความทุกข์ เมื่อมันมีเหตุก็จับเหตุให้มันแน่นนั่นแหละคือ พ้นสักกายทิฏฐิ ก็กำจัดตัวนี้ให้ชัด สร้างพลังงาน เอ็งมันไม่เที่ยงเอ็งมันไม่ใช่ตัวตนเองมันให้เกิดภาระ ทำให้ทุกข์ จะเรียกว่าทุกข์เล็กน้อยใหญ่ เอ็งทำให้ข้าเกิดกายสังขารปรุงแต่งอยู่ มันต้องหยุดสังขารไม่ปรุงอะไรในจิตถือว่าสงบ ก็จะต้องชัดตัวนี้ พลังงานอาการจิตตัวนี้ จึงจะถือว่าโลกุตรธรรม
ถ้าไม่เริ่มต้นรู้จิตเจตสิกละเอียด เราก็ยังไม่รู้เราควรจะทำให้เป็นตัวตนถึงศูนย์ได้ คือใช้พยัญชนะตัวต้นตัว 0 นิพพาน ตัวจบ เอาพยัญชนะมาเรียกว่า 0 เท่านั้น สภาวะไม่มีแล้วก็จบ ต้องใช้บัญญัติเรียกสภาวะอย่าไปติดใจพยัญชนะนัก ให้เอาตัวสภาวะให้ชัดสภาวะต้วสำคัญที่เป็นหนึ่งที่เป็นศูนย์คืออะไร
_คุณพัชรีว่า…เรื่องการชี้ขุมทรัยพ์การบอกแก่พี่น้อง เราจะได้รับขุมทรัพย์ว่าเป็นคนชี้อย่างตรงและแรง เราก็ถือว่าเป็นสัจจะ และถือว่าหากเราเห็นอะไรแล้วไม่บอกเขา เราจะเป็นคนใจดำ เราก็ประมาณว่าคนนี้เหมาะควรอย่างไรที่จะบอก แต่ถ้าไม่บอกเราก็คิดว่าเราใจดำ
พ่อครูว่า..ก็คล้ายๆกับที่อาตมาทำ
คุณพัชรีว่า…ในชาตินี้ถ้าทำกรรมอะไรไม่ดีไว้ก็จะแก้ในชาตินี้เลยไม่อยากต่อไปในชาติหน้าไม่อยากจะให้มันต่อไป สัมผัสเรื่องกรรมวิบากมาก็เลยซาบซึ้ง
พ่อครูว่า…ถ้ามันแรง แล้วมันไม่หยุดมันจะแรงมากยิ่งขึ้น อันนี้ควรหยุด ถ้ามันเล่นกลับไปกลับมา แทนที่มันกลับมานิดหน่อยแล้วจะหยุด หรือเราก็หยุดเขาก็หยุด แต่ถ้าแรงมากขึ้น เราจะเป็นผู้แพ้มากขึ้น เราก็ต้องหยุด ถอย เพราะเขาไม่หยุด เหมือนทักษิณ เขาแพ้ก็แพ้ล้มละลายแพ้อย่างสิ้นท่า เป็นการล้มละลายทางความคิดและการกระทำ
_พูนไท…สืบเนื่องจากที่เรื่องของศีล ความเข้าใจของผม ศีล คือข้อกำหนดที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อจะได้ปฏิบัติให้เกิดปัญญา ศีลข้อ1 อานิสงส์ก็คือเกิดเมตตา ข้อที่สองก็คือ ลด ความตระหนี่จนเกิดจิตที่คิดจะให้เสียสละ คิดว่าตัวเองในศีล 5 ข้อ คงจะปฏิบัติไม่ถึง อธิศีลทุกข้อ เพราะว่าดูในการปฏิบัติตัวเอง ก็เลยอยากเรียนถามพ่อครูว่า อธิศีล แต่ละข้อ 5 ข้อ จะไปสู่จิตเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…ก็ไปสู่ความสูญ หรือเป็นปัญญารู้จบ ไม่ทุกข์ไม่สุขอีกแล้วมันเป็นกลางๆ ไม่มีอะไรเกิดปฏิกิริยาให้เกิดทุกข์ หรือเรื่องยาว ให้ก่อเรื่องต่อไป
เรื่องสัตว์เราก็ไม่เกิดความสุขความทุกข์ เฉยได้แล้วไม่รักไม่ชัง ก็หยุด ก็เฉยๆกลางๆ
ข้อที่ 4 ไม่ต้องกังวล มันจะเกิดจากการที่ทำได้ 3 ข้อ มันจะเป็นฐานให้คุณพูด คือแกนของคุณมีแล้วจะพูดออกจากแกน ข้อ 4 เกิดจาก 3 ฐานใหญ่ ข้อ 4 เกิดจากสามข้อ มโนทำได้กับแกนกายกับวจีก็ทำได้ไม่ต้องกังวล
_คุณเกื้อดิน…เคยฟังเทศน์ว่า วิญญาณไม่เป็นชีวิตถูกหรือผิด ท่านพูดจากพระไตรปิฎกเลยนะ
พ่อครูว่า…วิญญาณไม่ใช่ชีวิต ความคิดนี้เป็นความผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เอามาจากโมเมสูตร วิญญาณเป็นชีวะชีวิตที่ปรุงแต่งขึ้นมา
อธิบายคำว่า จิต วิญญาณ มโน
รูปเวทนาสัญญาสังขารก็คือวิญญาณ เมื่อมาทำงาน ก็ไปเอาที่จิต ดูวิญญาณก็เป็นตัวรวมหมด ตัวใหญ่ แต่ให้ไปทำงานวิญญาณก็กลายเป็นรูป จิตก็เป็นตัวนามเป็นบทบาท ทำงานละเอียดลงไป สุดปลายของธาตุรู้จะเป็นมโน
วิญญาณเป็นตัวใหญ่หยาบ จิตจะแตกเป็นเจตสิกอีกเยอะ ก็จะละเอียดลงไป มโน เป็นตัวที่ละเอียดอยู่ปลาย
_คุณแสงแก้ว…เมื่อสักครู่อาดั้นเมฆพูดว่าวนไปวนมา ดิฉันมีประสบการณ์ ที่ว่าไปเอาปลายมาปฏิบัติ เรื่องอาหาร เคยกินมื้อเดียวอาหารธรรมชาติ แต่มันตีกลับกินทุกอย่างที่มันชอบ ไม่สามารถหาทางออกได้ จนที่แสงแก้วบอกว่า ปฏิบัติต่อ เรื่องสัตว์ เมื่อมีโมเดลเรื่องสัตว์ก็มาปฏิบัติเรื่องของ แล้วมาเรื่องกามภพ ขนมจีนน้ำยาเคยติด แสงแก้วจะปฏิบัติกับพวกนี้ หมายความว่าถ้าเรายังไม่ได้ดับความเป็นทาสของก๋วยเตี๋ยว ก็คือ คุณยังอยู่ในกามภพ จะมาปฏิบัติแบบอนาคามี มันจะทำไม่ได้เลย แล้วจะลักลั่นแล้วเวียนกลับ
อย่างมันเลื่อนในศาลา บอกว่าพิจารณาแล้วแต่ทำไมตักมาใส่ชามตัวเอง ถ้ามันอยากมากควรจะไม่ให้มันกิน ไม่ใช่ไม่ให้มันกินเฉยๆ เราก็ต้องอ่านความอยาก แล้วเราก็พิจารณาว่ามันมาจากอะไรเราคุยกับตัวเอง เส้นมันก็มาจากแป้งมาจากข้าวเจ้า คุยกับมันว่าอยากกินหรือมันมาจากอะไร ไม่ใช่ตั้งตบะไม่กินเส้น แล้วก็ไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่กิน แต่เมื่อออกจากเข้าพรรษาก็กินไม่บันยะบันยัง เป็นการกดข่ม แสงแก้วไม่ใช้แบบนี้ แต่ใช้วิปัสสนา แล้วมันไม่กินได้แต่ว่าเมื่อทำได้แล้ว เราเอาก๋วยเตี๋ยวมากินอีก ขณะมากินก็ต้องพิจารณาว่ามาจากแป้ง เราไปหลงมันทำไม คุยกับตัวเองขณะเกิดกิเลส เป็นปัญญาวิปัสสนา แล้วมันก็จะจางลงเรื่อยๆ เป็นกามภพ นี่จึงไม่เวียนกลับ มันสำเร็จเพราะเราทำต้นก่อน
_คุณกิ่งธรรม…ถ้าเราทำงาน ผัสสะที่เกิดกับงาน หรืออุตุ พีชะ แสดงว่า งานที่ต้องสัมผัสกับจิตวิญญาณจะได้ปฏิบัติธรรมมากกว่า
ถ้าเราทำงานที่สัมผัสกับจิตวิญญาณและได้พลังงานมากกว่า มันจะทำให้เราบรรลุธรรมได้เร็วกว่าไหมคะ แต่ถ้าจัดการมันไม่ได้ก็จะช้ากว่าใช่ไหม เราต้องจัดการมันให้ได้ถึงจะเร็ว
พ่อครูว่า…เร็วกว่าใช่
_นักรบธรรม..ชาวอโศก ที่สุดก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้พูดกันเล่นๆ ต้องอย่างนี้เสียด้วย ถึงจะทำให้เราพ้นทุกข์ โรค โศกเศร้าเสียใจทุกอย่าง เมื่อได้มาเจอชาวอโศกแล้วคิดว่าไม่เอาหรอกอสงไขย เอาปัจจุบันนี้ให้มันเป็นให้ได้ เพราะว่ามีทางนี้ทางเดียว ที่จะทำให้เราแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้าย สามารถเป็นไปได้ด้วยดี ด้วยความสุขสำราญเบิกบานใจ
พ่อครูว่า…ตกลง
_คุณเหลา…จากเหตุการณ์ของบ้านราชฯในรอบไม่กี่เดือน เคส อาบุญธรรม แม้จะป่วยก็เสียชีวิตเร็ว อย่างอาหน่อย อยู่ๆก็โคม่า เข้ารพ.หรืออาปะดาวบุญ ล่าสุดก็พ่อท่าน เป็นภาวะที่ไม่น่าเกิด จะส่งเสียงตามสายถึงพี่น้องแต่ละพุทธสถาน ให้รู้ว่า ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้กับทุกๆคนทุกท่านตลอดเวลา ขอให้เร่งด่วนเข้ามาบ้านราชฯ ท่านจะติดความสุขอยู่ทำไม
พ่อครูว่า…เขามีภาระเหมือนกัน แต่ก็อยู่ข้างนอกให้รีบเข้ามา แต่ถ้าอยู่ในพุทธสถานไหนก็อย่าเร่งเข้ามา เดี๋ยวเขาขาด
_คุณเหลา…สภาวะส่วนตัว โลภโกรธหลงน้อยมาก เคยมีครั้งหนึ่ง เกิดผัสสะรุนแรง พอรู้ว่าโกรธมันก็หายไปสลายไปเอง
พ่อครูว่า…ยังไม่หมดก็ต้องออกมาไม่มีผัสสะไม่รู้ จะหลงง่าย ไม่มีผัสสะ อย่าไปหลง อยู่กับหมู่นี่แหละ คุณเรียกคนอื่นให้มาก็ดีแล้ว
พ่อครูว่า…ตอนนี้อาตมามีปัญหากับภูผาฟ้าน้ำ ตอนนี้มันไม่มีคนแล้ว ยังเหลือตอนนี้ เขามี 2 คน ก็นี่ก็เมื่อเช้าก็ยังพูดกันว่าก็อยากจะมาที่นี่แล้ว แต่ยังคงพระรูปหนึ่งคือท่านยุทธวโร ท่านก็ว่าไม่ต้องห่วงท่าน อาตมาก็เลยว่าคุณก็มาก็แล้วกัน เราจะวางมือจากภูผาฟ้าน้ำ เพราะเราไม่มีคนเพียงพอ เรารู้สึกว่างานยังมีอีกเยอะ งานที่มีความเคลื่อนไหวมีเยอะ ที่ภูผาฟ้าน้ำความเคลื่อนไหวมันน้อย คนก็มีน้อยและมันอยู่ไกลด้วย อยู่ถึงภูเขา ก็เลยคิดว่า มีประโยชน์น้อยมากจริงๆ คนก็อยากมาที่นี่แหละ ที่บ้านก็มีอยู่แล้วที่บ้านราชฯก็มีสองคน กับใจ แน่นอน ถ้ามาก็ต้องมาด้วยกันสองคน หมดแล้ว
อันนี้เราก็ให้หมอเขียวไปแล้ว ยกทรัพย์สมบัติให้หมอเขียวไปแล้ว หมอเขียวมีประชากรที่จะเข้าไปจัดกิจกรรม พวกเราก็ มันน้อยแล้ว
มารวมกันที่ขณะนี้บ้านราชฯก็มีมากสุด สันติอโศกก็ไม่น้อย สีมาอโศกตอนนี้ก็กำลังขึ้น ตอนนี้ที่ไหนที่จะน้อยก็ชะลอลงไป ตัวอย่างเช่น ภูผาฟ้าน้ำ เป็นตัวอย่างสุดท้ายเราก็วางมือปล่อยให้คนอื่นเทคโอเวอร์ไป เราก็มาทำสิ่งที่สำคัญกว่า นี่ก็พูดเจตนาพูด ถึงผู้ที่ฟังอยู่แต่ละที่จะได้รู้ตัว เพราะฉะนั้นที่ไหนๆ ที่เป็นที่ของอโศกชุมชนอโศกขณะนี้ บางที่ มันไม่ได้ผล หรี่ลงๆ ก็จะต้องปิดตัวเหมือน ภูผาฟ้าน้ำ ถ้าไม่มีอะไรพอก็จะต้องปิด จะต้องเปลี่ยนให้ผู้อื่นไปที่เขาทำประโยชน์ได้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นเราจะเสียผล สถานที่คนอื่นก็ไม่ได้ แม้ที่สุดไม่มีใครมาทำอะไรก็ต้องให้ทางโลกเขาไป ขายอย่างถูกก็ขายไป ขายไม่ไหวก็ให้เขาไปเลย
มันจะไม่ไหวแล้ว อาตมามองว่า พวกเราทำได้ชั้นสูงขึ้นเยอะ แล้วกระแสสังคมใหญ่ก็รับรู้เรามาก จึงได้อันนี้มากเราก็ต้องสูญเสียสิ่งน้อยเพื่อจะได้ส่วนใหญ่ อาตมาก็พูดไม่ครบ ส่วนใหญ่คือรู้นะพวกเรา สัดส่วนสำคัญของประเทศที่จะมาประสานกัน ต้องยอมเสียส่วนน้อยเพื่อให้เกิดส่วนใหญ่ ไม่เช่นนั้นผลมันก็ไม่พอ เราต้องเก็บพลังงานเก็บผู้คนเข้ามารวมกัน ในกลุ่มใหญ่ที่มันจะเกิดพลังงานมาก เพราะที่นี่เรายังขาดแคลน
มาได้อีกนะอาตมาพยายามให้บ้านราชฯมีถึงพัน ป่านนี้ ยังไม่ถึงเลย 20 กว่าปีแล้ว ยังไม่ถึงพัน อาตมาว่า ตอนนี้ห้าร้อยยังไม่เต็มเต็งเลย ไม่จัดงานไม่ถึง
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…ว่าอีกปีหนึ่ง ที่นี่จะครบ 25 ปี
พ่อครูว่า…ถ้าบ้านราชฯครบ 1000 เมื่อไหร่จะเป็นรูปธรรมมากเลยเพราะว่ามีเสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ มันเป็นสัปปายะ 4 มันเป็นความเจริญ 4 อย่างที่ได้สัดส่วนจะไปได้เรื่อยๆแต่มันตอนนี้ไม่ได้ปริมาณ คุณภาพเราไปได้ แต่ว่าปริมาณยังไม่ได้ ขาด คุณภาพได้ แต่แน่นอนเราจะไปเก็บปริมาณมามากเป็นสวะก็ไม่ได้ ต้องเอาเนื้อแท้เนื้อธรรมก่อน อย่างน้อยก็เป็น โสดาบัน สกทาคามีก็ยังดี อนาคามีเข้ามาเลย ถ้าเป็นผู้ที่ข้างนอกมาจะเป็นพระโสดาบันอย่างน้อย ถ้าไม่เป็นพระโสดาบันไม่เอา
โสดาบันโดยรูปคือ 1. กินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อสัตว์ 2.มีศีล 5 แม้จะไม่บรรลุก็ตามก็ทำอย่างหน้านองน้ำตา อบายมุขไม่ยาก ที่นี่ไม่พาไปทำ นอกจากคุณแอบไป เขารู้คุณก็จะอยู่ไม่ได้ ถ้าคุณยังติดก็ต้องแอบไปหาอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นหลักเกณฑ์คัดเลือกผู้ที่จะเข้ามา
_คุณเย็นยิ่ง…เคยได้ยินสำนวนว่า ตกบันไดพลอยโจน ก็เหมือนกันว่า คนเป็นนักมวย การตกบันไดพลอยโจน มันจะดีกว่า คือเรากระโดดลงไปเลย ตอนนี้งานมันเยอะขึ้น ปานรุ้งไม่อยู่ผมก็ต้องไปทำน้ำปั่นผักแต่จิตผมก็ต้องทำอย่างยินดี การกระทำอย่างนี้เราได้ทำทั้งบุญและกุศลได้ตัดกิเลสที่ไม่อยากไป แต่เมื่อไปแล้วก็ทำเต็มที่ในสิ่งที่เราทำน่าจะใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่แล้วเป็นการเช็คการปฏิบัติ
_คุณป๋อง ตะกายภู…พ่อท่านเคยบอกว่าอาสวะเป็นแม่ อนุสัยเป็นพ่อ อยากฟังต่อครับ
พ่อครูว่า…มันก็สลับกันได้ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนกลับไปกลับมา ช่วยกัน มันจะไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ บางทีเป็นแม่ก็เป็นพ่อบางทีเป็นพ่อบางทีเป็นแม่ เรารู้แต่เพียงว่าถ้าเป็นแม่มีลักษณะอย่างไรเป็นพ่อมีลักษณะอย่างไร เอาที่ธรรมะเนื้อหาอาการ อาการของแม่ ดิ้นมากกว่า อาการของพ่อ นิ่งมากกว่า แข็งแรงมากกว่า เป็นตัวตั้งมากกว่า แม่เป็นตัวดิ้นมากกว่า นี่คือ ความหมายตัวต้นง่ายๆก่อน ก็จะกลับไปกลับมาช่วยกัน เดี๋ยวตอนนี้เป็นแม่แล้ว ทำให้เป็นหนึ่งได้ เป็นหนึ่งแน่นแล้วก็มาเป็นสองก็มาเป็นแม่ใหม่ เป็นแม่ได้แล้วก็มาเป็นพ่อ เมื่อเป็นพ่อแล้วก็มาเป็นแม่ใหม่ กลับมาเป็นแม่ใหม่อีกก็ได้เพิ่มขึ้น ก็จะอย่างนี้ตลอดกาล
ตัวควบแน่น เป็นพ่อก็จะเพิ่ม สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด…ไปได้เรื่อยๆเติมเข้าไปอีก
_สมณะเดินดิน…ปีนี้ครบ 48 พรรษา 84 ปี ก็มีคนคิดว่าจะมีงาน ฉลอง 48 ปีโพธิกิจ
พ่อครูว่า..ใครอยากให้งานใหญ่ก็มารวมกัน คนไม่มามันก็ใหญ่เอง ถ้าอยากใหญ่แต่คนไม่มามันก็ไม่ใหญ่ หากมหาปวารณามา 5,000 เป็นงานใหญ่แน่นอน หัวคิดจะมาแล้วลงมือทำจะใหญ่เอง แล้วหารายการทำ ใครมีวัตถุอะไรก็ติดมือมาเราจะมาทำอันนี้ ก็มาทำ เท่านั้นเอง เป็นไปตามธรรม ก็คิดว่าหลายคนก็คิด เรารู้สึกว่า ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย อย่างน้อยที่สุดก็ฉลอง ศาลาบวรเรานี่ อาคาร บวร กว้างยาว มีสองชั้น พื้นที่ตั้ง 11 ไร่ มาลองใช้ให้เต็มที่ หากมี5,000 มาใช้ แล้วจะเรียกคนนอกเข้ามาอีกได้อีกเยอะเลย มันจะมีความครึกครื้น เป็นไปตามสัจจะจะมี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้…ขอปลงอาบัติ ลากเสียงยาวก็ล้อเลียนเขาแค่นั้นนะ ….