บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ …พ่อครูหายจากอาพาธแล้ว เริ่มออกดูงาน
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561
พ่อครูตื่นเวลาปกติ 06.00 น. แล้วบอกว่า มีแผลคันที่แขนขวาบริเวณที่ปิดพลาสเตอร์ช่วงให้น้ำเกลือ คงมีอาการแพ้พลาสเตอร์ ส.แสนดินขอวัดความดัน วัดชีพจร ปกติ หลังจากนั้นพ่อครูออกกำลังกายตามปกติ 4 ท่าแต่ขอลดการวิดพื้นเหลือ 2 เซตๆละ13 ครั้งเหมือนเดิม พ่อครูก็ไม่ได้เหนื่อยและมีอาการปกติ พ่อครูออกจากเต๊นท์มานั่งเช็ดหน้าเช็ดตา ให้ท่านปัจฉาแสนดินดูแผลที่แพ้พลาสเตอร์ และทาน้ำมันมะพร้าวบรรเทาอาการคันและอักเสบ
หลังจากนั้นพ่อครูสนทนากับท่านปัจฉาสมณะตามปกติ มีโทรศัพท์จากลูกหลานพ่อครู โทร.มาไถ่ถามอาการด้วยความเป็นห่วงเรื่อง เรื่องเศรษฐกิจดีต้องพึ่งพากันได้ การที่แย่งชิงกันเพราะใจไม่รู้จักพอ เศรษฐกิจดีคือมีการช่วยเหลือกัน เศรษฐกิจไม่ดีคือผู้คนแก่งแย่งชิงกัน ท่านปัจฉาดินไทบอกว่า พ่อครูเทศน์วันก่อนว่า เศรษฐกิจดีคือหมูป่า พ่อครูบอกว่า ใช่ ต้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทีมพยาบาลนำเอกสารบัตรประชาชนมาให้พ่อครูและคณะปัจฉาเซ็นชื่อเพราะจะได้ย้ายสิทธิการรักษามาที่รพ.วารินฯ เพราะเมื่อวานที่พ่อครูไปทำการรักษา ได้รับการบริการดีมากและไม่แออัดมากเกินไป ติดตามเรื่องราวได้ทางสื่อธรรมะพ่อครู จนถึงเวลา 07.23 พ่อครูเข้าห้องส้วมขับถ่ายเป็นปกติ
เดินกลับห้องทำงานผ่านสวนสวรรค์ฯ ต้นไม้แต่ละต้นแตกใบเขียวสดมาก โดยเฉพาะวันนี้ยกให้ดอกบานบุรีสีม่วง ที่ออกดอกแตกเป็นช่อไล่ระดับสีสด งดงามดี เข้ามาห้องทำงานพ่อครูชั่งน้ำหนักได้ 49.5 เป็นปกติน้ำหนักไม่ลดไม่เพิ่มมากไปกว่านี้ จากนั้นพ่อครูมานั่งโต๊ะทำงาน เป็นปกติที่พ่อครูจะเริ่มทำงานทันที เป็นงานพิมพ์บทกวีของหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร
ในหัวข้อ เศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธ
เวลา 10.43 อาแรงผาและเฮียหัวโตมากราบขออนุญาตถวายการนวดพ่อครู จนถึงเวลา 11.44 นาทีนวดเสร็จ พ่อครูเข้าห้องน้ำสรงน้ำสักครู่และเตรียมฉันภัตตาหารที่ห้องทำงาน ซึ่งยังคงเป็นอาหารอ่อนแต่เริ่มมีกากใยบ้างแล้ว ท่านปัจฉาดินไทและท่านปัจฉาหนักแน่นได้มาฉันภัตตาหารด้านข้างพ่อครูในห้องทำงาน
เวลา 13.26 นาที อาทวิชนำหนังสือพิมพ์รายวัน 2 ฉบับมาถวายพ่อครู
หลังฉันภัตตาหารเสร็จเวลา 14.10 นาที พ่อครูลงจากลิฟต์เพื่อมาเดินย่อยอาหารและผ่อนคลาย ท่านเดินมาด้านหลังพระพุทธโตเห็นหญ้าปูเต็มที่สวนเกาะแก้วแล้ว พ่อครูยังมีดำริบอกท่านปัจฉาหนักแน่นที่ดูแลสวนว่าให้ทำสวนขยายไปถึงด้านหลังองค์พระเลยโดยเหลือเพียงตอไม้ใหญ่ ซึ่งเคยเป็นธรรมาสน์ไว้เพียงตัวเดียวและให้ตอไม้ใหญ่ เป็นองค์ประกอบของสวนด้วยรวมถึงจัดสวนไปถึงด้านหน้าหลังไดโนเสาร์ด้วย
พ่อครูเดินลงมาลานสะโพท่านปัจฉาหนักแน่นเรียนปรึกษาว่าสมควรจะตัดต้นหญ้าออกบ้างดีหรือไม่ เพราะส่วนที่มีคนเคยตัดไปมุมปีกหินโน้นก็แตกออกมาสวยดี พ่อครูบอกว่าเดี๋ยวหน้าแล้งต้นหญ้าก็จะตายไปเองคงปล่อยไว้เช่นนี้ พ่อครูเดินมาอาคารบวรเห็นผู้อายุยาว ยายกลดกับยายกองกำลังเข็นวีลแชร์และจักรยานมา พวกเรายังอดแซวไม่ได้ว่า มีรถไม่นั่งกันใช้เพียงพยุงตัวกันเท่านั้น พ่อครูเดินมาถนนด้านหลังวิทยาลัยอาชีวะ ดูงานสร้างถนนท่านปัจฉาหนักแน่นสังเกตเห็นผิวคอนกรีตเริ่มมีหินคลุกโผล่ออกมาเหมือนหน้าปูนบาง สงสัยเรื่องค่า Strength ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เดินไปได้สักพักหนานพุทธขับรถสัญญาตะวันมารับไปดูถนนคอนกรีตที่เพิ่งเทปูนหน้าโรงปุ๋ยพลังชีวิต พบพ่อหินเข้มกำลังคุมงานและได้สลับมาขับรถสัญญาตะวันพาพ่อครูเข้าไปในโรงปุ๋ย ท่านด่วนดีมากราบนมัสการและเรียนพ่อครูว่าขึ้นปุ๋ยเสร็จพอดี ทำเอาทีมปัจฉาและคณะโล่งใจเพราะไม่เช่นนั้นพ่อครูก็จะต้องลงไปช่วยอย่างแน่นอน ซึ่งคงไม่เป็นผลดีเท่าไหร่กับสุขภาพช่วงพักฟื้นเช่นนี้
รถสัญญาตะวันพาพ่อครูดูแนวถนนคอนกรีต ซึ่งเพิ่งเทปูนยังไม่แห้ง เห็นสุนัขเดินไปเดินมา จนถนนคอนกรีตเป็นรอยเท้าสุนัข คนงานก็พยายามไล่ตลอด จนพวกเราเล่ากันอย่างสนุกว่าสุนัขมักจะชอบมาเดินบนปูนที่เปียกไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น พ่อครูชี้ตำแหน่งบริเวณที่อยากจะให้ทำที่จอดรถบรรทุกและเครื่องจักรกลหนักของเรา ข้างหม่องค้าผงไปทางโรงแชมพูซึ่งถ้ามีพื้นที่พอก็จะทำ สขจ.หรือสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจด้วย ซึ่งขณะนี้พื้นที่เป็นป่ากล้วยและป่าอ้อยอยู่
พ่อครูนั่งรถมาตามถนนทางลัดไปหลังพระพุทธโตเพื่อไปลานเบิ่งฟ้าเห็นสวนทำกิน เวลานี้หน้าสวนเป็นป่ากล้วยและมะละกอ ฝั่งตรงข้ามเป็นน้ำตกหินน้ำไหลวันนี้ไม่มีใครมาเล่นน้ำเลย คงเพราะกลัวฝนจะตก รถสัญญาตะวันพาพ่อครูมาถึงลานเบิ่งฟ้าพบอากล้าทนกับลูกชายนายกระทกรกและทีมงาน กำลังทำทุ่นสำหรับเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งใกล้แล้วเสร็จ พ่อครูบอกว่าประชาชนเขามาดูทุกวันเห็นในภาพโฆษณาว่ามีแก่งมีน้ำที่องค์พระ มาไม่มีเหมือนในรูป จะผิดหวังเอา อากล้าทนและนายกระทกรกกราบนมัสการพ่อครู ท่านให้คำปรึกษาในเรื่องการติดตั้งต่างๆพร้อมกับดูงานเชื่อมทุ่นและให้กำลังใจทีมงานเพื่อให้งานแล้วเสร็จโดยเร็ว
เวลา 14.55 นาที พ่อครูจึงเดินทางกลับ ระหว่างทางผ่านนาข้าวที่ใช้เครื่องหย่อนข้าว สังเกตเห็นว่าไม่มีต้นหญ้าซึ่งอาจารย์ที่เป็นผู้ประดิษฐ์ เคยบอกว่าถ้าระยะห่างของต้นข้าวมีระยะห่างที่ต่อเนื่องกัน รากก็จะคลุมดินจนต้นหญ้าไม่สามารถเกิดได้เวลานี้ก็สังเกตเห็นได้เช่นกันว่านาแปลงนี้ไม่มีต้นหญ้า
พ่อครูผ่านป่ากล้วยและมะละกออีกครั้ง พ่อครูมีดำริว่าพวกเราน่าจะตั้งกองเก็บเฉพาะกล้วยกับมะละกอว่าปลูกที่สวนไหนบริเวณไหนบ้าง รวมถึงระยะเวลาในการปลูกว่าสวนไหนยังเก็บไม่ได้ สวนไหนเก็บได้แล้ว เพื่อที่จะสามารถจัดการทำให้ผลผลิตสามารถใช้ประโยชน์ได้ตลอดทั้งปี
รถกลับเข้ามาหลังพระพุทธโต สังเกตเห็นต้นมะละกอที่ออกลูกเต็มต้นกำลังจะขึ้น เนื่องจากลมพายุมาเมื่อวันก่อน แต่พวกเราก็นำไม้มาค้ำยันไว้ได้ รถมาจอดถึงหน้าลิฟต์ พ่อครูเดินไปดูงานทำกันสาดน้ำโตนที่ท่านสมณะคมคิดดูแล หลังจากนั้นกลับขึ้นชั้น 4นั่งที่โต๊ะทำงานตามปกติและอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน2 ฉบับจนถึงเวลา 16.00น.จึงได้พักเพื่อเตรียมจัดรายการสำมะปี๋ซีวิตในช่วงภาคเย็น
เวลา 18.00 น.พ่อครูลงมาจัดรายการ สำมะปี๋ซีวิต พอจะมานั่ง ผู้ใหญ่พาด.ช. ธัมโมอายุ 1 ขวบเศษมากราบพ่อครู พอเห็นพ่อครูด.ช.ธัมโมก็ก้มลงกราบทันทีแล้วเรียก ปู่ๆๆๆ แล้วจึงวิ่งไปเล่นกับย่าๆยายๆที่น้องธัมโม สนิทสนมยิ้มง่ายกับญาติธรรมทุกท่าน ในรายการวันนี้มีผู้ถามคำถามได้อย่างคล่องตัว รายการเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ลูกหลานห่วงใยอาการอาพาธพ่อครูและได้ข้อคิดในเรื่องความไม่ประมาทในชีวิต ผู้ที่ยังลังเลว่าจะมาวัดได้หรือไม่ ก็อย่าลังเลกันเลย พ่อครูบอกว่าท่านเรียกให้ลูกหลานมาอยู่รวมกันเป็น 1 ใน 1,000 ผ่านมา 20 ปีก็ได้เท่านี้ 500 คนจะถึงหรือไม่ ก็ไม่รู้ ช่วงงานมหาปวารณาอยากให้มากันเต็มอาคารบวร สร้างมาลูกหลานยังมาไม่เต็มเลย มาฉลองอาคารบวรกันซัก 5,000 คน ลูกหลานก็ผลัดกันเล่าสภาวะการปฏิบัติ และสุดท้ายท่านปัจฉาเดินดินสรุปว่า ปีนี้พิเศษพ่อครูดำริจะฉลองใหญ่ 84 พรรษา 48 โพธิกิจ อยากให้ลูกหลานมาช่วยกันจัดงานให้ยิ่งใหญ่
หลังจากแสดงธรรมจบ สนทนาซักครู่กลับขึ้นห้องทำงาน พ่อครูดูเวลาเพิ่ง 2ทุ่มจึงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ จากนั้นเวลาประมาณ 20.50 จึงเตรียมจำวัด โดยท่านปัจฉาหนักแน่นนิมนต์จำวัดในห้องทำงานเพราะด้านนอกมีกลิ่นควันอาจทำให้พ่อครูระคายเคืองได้ พ่อครูขอแกะพลาสเตอร์ออก ส.แสนดินจึงตัดออกให้พ่อครูก่อนที่พ่อครูจำวัดในเวลา 20.56 น.