610831_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ้นความวนในโลกนี้สู่พ้นทุกข์พ้นสุขในโลกหน้า
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/11oIjT1wrMI1DoNkO2CL9airzRgoVRagdhBG_JOQdhvM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1jOj43RBRoDk9UTcFrCCmtC3r326q9EID
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เราก็ยังยืนหยัดจัดรายการเช่นเดิม ก่อนมาได้เห็นข่าวหนึ่ง มีเจ้าควายเผือกเขาจะเอาไปฆ่า พระเจ้าอาวาสก็เลยไปไถ่ตัวมาราคา 8000 มาถึงวัดมันเดินรอบโบสถ์ 3 รอบ ก็เลยให้ชื่อว่าบุญค้ำนำโชค มันก็ตื่นมาทำวัตรเช้า อาตมาดูแล้วสลดใจ มันมาวัดมันดีใจมาก เราควรดีใจตั้งแต่เป็นๆ เป็นควายได้ประโยชน์ไม่มาก มาเป็นคนอโศกนี่ดีกว่า
มาปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องซ้ำซาก นั่งเก้าอี้ตัวเดิม คนแสดงธรรมก็เป็นคนเดิม เราควรจะทำให้เป็นนิสัยเลยเป็นชีวิตของเราเลยในการฟังธรรม มีความตั้งมั่นชัดเจนว่าอันนี้คือสิ่งที่ดีในชีวิต แล้วก็มาใช้ชีวิตแบบเป็นคน เป็นปกติ เกิดชาติหน้าชาติไหนก็ให้ไม่มีทรัพย์สมบัติมาก เป็นคนไม่มีอะไรเลยนั้นแสนสบาย แล้วเราก็เป็นผู้ให้อยู่เสมอ เกิดมาชาติไหนก็ตามก็จะมาเป็นผู้ให้
มีดาบตำรวจจินตวีย์ แกจะดูว่าคนไหนทุกข์ยากจะไปช่วย แบกของไปให้ถึงมือด้วยตัวเองเลย แกไม่เลิกเพราะมันเป็นชีวิตของแก แกมีชีวิตที่จะให้จนเป็นชีวิตปกติ เห็นแล้วไม่ได้ มันต้องให้ เอาเงินเอาของไปให้ แกไปด้วยตัวเองนะ เห็นจิตวิญญาณของคนที่ให้จนเป็นชีวิตปกติ ถ้าหากเรามีศีลธรรมโลกุตระ มีชีวิตเป็นปกติ พ่อครูเกิดมาแล้วไม่รู้จักความเครียด เราไม่เคยได้ยินว่าคนเกิดมาไม่รู้จักความเครียดเป็นอย่างไร ถ้าเราเป็นแบบนี้ได้นี่แหละคือชีวิตที่ดีที่เราควรดำเนินตาม ทำให้ได้อย่างซ้ำซากจนเป็นปกติของชีวิต เราเรียกว่าอเนญชาภิสังขาร
พ่อครูว่า…วันนี้อาตมานั่งบนโต๊ะก็สะดุดตาที่หัวปลีกล้วย ใหญ่เบ้อเร่อเท่อ ต้นมันล้มแล้วหรือตัดมาหรือตัดมาตอนที่ต้นไม่ล้ม หัวปลีหากมันออกเป็นกล้วยไปเรื่อยๆ ในหัวปลีจะมีลูกกล้วยในนั้น กำลังทยอยออกเป็นลูกออกผล ยังไม่สุด อาตมาว่า ตัดมากินก็จะได้กินกล้วยน้อยในปลี มันน่ากินหรือ ลูกใหญ่ แล้วเอามากิน ปลีหัวนี้ กล้วยมันล้มก็เลยต้องตัดหรือ ตัดมาก่อน …(โยมว่า จะนำไปจัดเป็นผักสดขึ้นศาลา) หัวปลีหากมันไม่มีลูกแล้วก็นำมากินได้ดี แสดงว่าหัวปลีนี้สุดแล้วยังใหญ่ขนาดนี้ ออกลูกไปสิบกว่าหวีแล้วนะ ลองเทียบลูกกล้วยข้างๆที่เห็น ปลีที่สุดเครือกล้วยแล้ว เอากำปั้นไปเทียบ (โยมว่า เป็นกล้วยพันธุ์พระราชทานต้นเตี้ย)
ได้ทักทายพืชพันธุ์ธัญญาหารไปบ้าง นี่อาตมาต้องชื่นชมกับพวกเรา ชื่นชมว่าพวกเราเป็นนักเศรษฐกิจที่ชัดเจน เป็นนักเศรษฐกิจที่มีภูมิปัญญา เป็นนักเศรษฐกิจที่ประสบผลสำเร็จ มายึดสัมมาอาชีพ ที่เป็นหนึ่งในโลก อาชีพกสิกรรมทำอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วก็มาปลูกข้าว เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สำคัญแล้วมีผลหมากรากไม้ และเป็นผลไม้ไร้สารพิษ เรามีพออยู่พอกินพอใช้แล้ว เราก็พอ เรามีความสันโดษอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้อยากรวยกว่านี้ เพราะว่า การไปแย่งความรวยเป็นความโง่ คนที่ไปแย่งความรวยมาให้แก่ตัวเองเป็นความโง่
แม้ว่าคนนั้นพออยู่พอกินแล้วไม่ต้องการรวยแล้ว แต่ขี้เกียจ อันนี้ก็ยิ่งโง่ใหญ่เลย คนที่พออยู่พอกินแล้วก็ขยันหมั่นเพียรสร้างในสิ่งที่ควรทำสัมมาอาชีพสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างดี ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์แล้วก็แบ่งให้คนอื่นกินใช้ตนเองอยู่สุขสบาย เป็นประโยชน์ต่อโลก อย่างนี้เดี๋ยวจะได้ขยายความ
การเศรษฐศาสตร์นั้นเขาจะรวยมากๆ เป็น maximize profit นักเศรษฐศาสตร์จะเป็นเช่นนั้นตลอด ไม่ว่านักเศรษฐศาสตร์ที่ไหน ทำไมเขาคิดไม่ได้ ว่าเศรษฐกิจดีที่สุดไม่ใช่หมายความว่าจะต้องรวย นั่นจึงจะเป็นความสุขที่พิเศษไม่ใช่เลย คนที่เพียงพอ รู้จักพอ แล้วก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร มีส่วนเหลือส่วนเกินให้มากที่สุด ที่ตัวเองกินใช้ ตัวเองก็แจกฟรีและขายบ้าง วนเวียนให้ชีวิตเราไม่มีขาดแคลน เศรษฐกิจดีเป็นคนเช่นนั้น ถ้าคนมีความเข้าใจเช่นนี้มีความสำนึกที่มีปฏิบัติเช่นนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แก่สังคม ก็มีที่จบ แล้วเป็นการจบอย่างยั่งยืนถาวรด้วย อย่างชาวอโศก สร้างเศรษฐกิจได้จบยั่งยืนถาวร แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมอื่นตลอดกาล ตัวเองก็เป็นสุขสงบเบิกบานสำราญใจไม่เดือดร้อนอย่างนี้ไปตลอดกาลเลยยั่งยืนจริงๆ การจะแก้ไขเศรษฐกิจให้ยั่งยืนมันต้องเป็นอย่างนี้
แต่ว่านักเศรษฐศาสตร์ไม่ว่าสำนักตักสิลาใดมหาวิทยาลัยใดในโลก ไม่เคยคิดตรงนี้ อาตมาว่าอย่างนั้นนะไม่เคยมีความรู้ตรงนี้และก็ไม่เคยมาบริหารประเทศแบบนี้ มีในหลวงรัชกาลที่ 9 เราเท่าที่อาตมาได้ฟัง ผู้ที่อยู่ในฐานะบริหารประเทศในระดับนี้มีภูมิธรรม ทำงานมีหน้าที่ก็มีในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้แต่ด๊อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ในเมืองไทยที่เป็นคนทั่วไปก็ไม่ได้เห็นอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้เห็นอย่างที่อาตมาพูด เขาไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงไม่กล้าคิดเช่นนี้ แปลกนะ
SMS 30 สิงหาคม 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)
_3867 พ่อครูฯให้บทเรียนเตือนใจคนชราเข้าห้องน้ำอย่าล็อคประตู!เกิดเหตุฉุกเฉินลูกหลานจะได้ช่วยชีวิตได้ทัน!ไม่ประมาท!ปลอดภัยไว้ก่อน ดีที่สุด!
__สราวุธ บุญญโก คุณแสงแก้วอธิบายเป็นแบบอย่างดีมากครับ จับสภาวะแทบไม่ทัน
_วันชัย สหมโนธรรม · ชาวอโศก..มีหลายระดับจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ
_บุญเลียบ · เสียงขาดๆหายๆค่ะ
_แหม่ม สวิส · เสียง ภาพชัดเจนดีค่ะ รับชมรับฟังจากสวิส
_ถาวร ทิพย์โชติ · ควรมีทีมจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมสับเปลี่ยนหมุนเวียนเฝ้าระวังสุขภาพพ่อท่าน ด้วยอีกทางหนึ่ง จะดีไหมครับ
_เดิมแท้ · ใครอยู่ใกล้เวที .ช่วยเสนอพ่อท่าน..ไม่ต้องอ่านคำถามเอง.หาคนช่วยคัดกรองคำถามให้พ่อท่าน ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระคอ_เสียงของพ่อท่านได้ระดับด้วยนะครับ เสนอให้พิจารณา..แบ่งเวลาให้พ่อท่าน(วัย 84แล้ว) ตอบคำถาม.เป็น 4 ยก ต่อ ชั่วโมง.(พักแต่ละยก 5 นาที)
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม)
_รามเทพ อิสระพงษ์ · พี่อัมพร(ดั้นเมฆ)ยิ้มรู้สึกเบิกบานในธรรมนะครับหรือพี่บรรลุธรรมแล้วเหรอครับ
พ่อครูว่า…อาตมาขอยืนยันว่าพวกเราบรรลุธรรมเป็นอาริยะชนไม่ใช่ปุถุชน แต่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไรและเขาไม่เข้าใจว่าเป็นอริยบุคคลด้วย พระอริยะเขาก็บอกว่าเป็นพระป่าไปโน่น
ผู้ที่เข้าป่าแม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ไม่รู้ หากซัก สักกายทิฏฐิ รับรอง ผู้ที่นั่งหลับตาที่บอกว่าเป็นอรหันต์ อาตมาซักเข้ารับรองว่าไปไม่ถูกหรอก ท่านจะหลอกตัวเองก็ตาม เพราะในเมืองไทยก็มีแต่อรหันต์เดาเอาเพราะว่า บอกไม่ได้ หรือมีบางองค์บอกว่าตนเป็นหรือไม่ก็บอกเป็นนัย เพราะเข้าใจว่าเป็นอรหันต์แล้วบอกคนอื่นไม่ได้
อรหันต์นี้มีสติวินัย ในข้อที่ 10 อภิณหปัจจเวกขณ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้บอกได้ อย่างไม่ได้สะดุดเลย เป็นธรรมดาธรรมชาติ เป็นแต่เพียงว่าจิตวิญญาณ มีอกุศลจิตเป็นกิเลส อย่าอยากบอก หากอยากบอกก็อาบัติ ใครอยากแล้วบอกก็ให้ปลงอาบัติเสีย ใครที่ไม่มีจิตอยากจะบอกแล้วต้องบอกก็ทำได้ แต่คนโกหกก็ตามก็ต้องปลงอาบัติ แต่คนที่รู้แล้วชัดเจนก็ไม่มีปัญหาบอกได้สบาย ๆ อย่างพระอรหันต์จริงจะรู้ตัวเอง บอกไป มันไม่มีกิเลสที่อยากจะบอก อนาคามีท่านก็รู้แล้ว อันนี้เป็นกิเลสที่ไม่ควรละเมิด ท่านก็ระวังแล้วท่านไม่ได้อยากจะบอก สกิทาคามีก็อาจเผลออยากอวด แต่โสดาบันก็อยากอวดบ้าง แต่ถ้ามีจริงก็ไม่เป็นอะไร ไม่ควรจะไปบอกเลอะเทอะกับใครต่อใครไปเรื่อย ท่านก็ปรับอาบัติเอา อันนี้ไม่ใช่ง่ายที่จะรู้ในเจตนา
_บุญลาภ แก้วมณี : ลูกไม่มีสิ่งใดเป็นการแทนคุณอันยิ่งใหญ่นอกเสียจากเอาชีวิตที่เหลือ
ในชาตินี้ไปถวายและรบกวนให้หมู่กลุ่มฯช่วยขัดเกลาตามที่ได้ตั้งใจไว้ กราบขอบพระคุณพ่อครูฯด้วยความเครพสุดเศียรสุดเกล้าครับ
กราบเรียนพ่อท่านฯและพี่น้องชาวอโศกทราบว่ามะเขือเทศพันธุ์โบราณที่ผมนำจากสวนบุญฯรังสิตคลองสิบสามมาปลูกที่บ้านติดผลแล้วเก็บมากินดิบตอนท้องว่างกินแล้วเวียนหัว 3 คนอาเจียน 2 คนมีคนเดียวที่ปกติครับ
_สราวุธ บุญญโก · ต้องถึงขั้นระดับพระพุทธเจ้ารึเปล่าครับ ถึงจะสามารถกำหนดอายุขัยตนเองได้
พ่อครูว่า…ใช่ แต่อรหันต์ที่ท่านมีความสามารถพิเศษ talent ของท่าน อรหันต์บางองค์ ท่านก็กำหนดอายุขัยวันตายวันเกิดของท่านได้
_มีชาวอังกฤษมาศึกษาอยู่ที่นี่ David เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา
มิสเตอร์เดวิด สรุปงานเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรคมาดังนี้ว่า แรงจูงใจในการมาเข้าค่ายก็เพื่อเรียนรู้ที่จะใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
ประโยชน์ที่ได้ ทั้งชีวิตของผมคิดถึงแต่ตัวเองทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จเพิ่มสถานะวางแผน แต่มาที่นี่สอนให้รู้ว่า สิ่งที่ผมเชื่อมันเป็นไปได้ มันมีอีกวิถีการดำเนินชีวิตที่เติมเต็ม สมบูรณ์ ในขณะที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนด้วยและเติมเต็มในส่วนของตน
กิจกรรมที่ชอบ การสรุปงานเข้าค่าย
สาเหตุที่ชอบ จะพบว่ามันเป็นการคิดบวก สิ่งที่ประทับใจ ประทับใจในความท้าทายในการเอาธรรมะมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แต่ทุกคนได้รับการสนับสนุนกระตุ้นตลอดทาง ผมคิดว่าเป็นวิธีใช้ชีวิตที่ดีที่สุด
สิ่งที่จะนำไปฝึก จะฝึกทุกอย่างต้องอ่านรู้จิต
เพราะเหตุใด เห็นวิธีทำความเข้าใจว่าโลกุตระ กับ ฌาน คืออะไร
ข้อเสนอแนะ อยากให้ค่ายนี้มีวันนานกว่านี้
พ่อครูว่า…เขาได้ แม้แต่ชาวพุทธรู้ปริยัติรู้บัญญัติเยอะ รู้เหตุผลภาษาอันนี้เป็นอย่างนี้เพราะอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เข้าใจภาษา แต่ไม่อ่านจิต ไม่รู้สภาวะของตัวเองที่อยู่ต่อหน้า เช่น จะบรรยายธรรมะภาษาก็เก่ง ใครถามมาก็ตอบได้หมด แต่ไม่เคยอ่านจิตตัวเองเลยว่าตัวเองอยากอวดโอ่ อยากโชว์ เกิดกาม ราคะ โทสะ โมหะ ไม่ชอบใจอะไรก็ไม่เคยอ่าน อันนี้สามารถระงับได้ก็ กดข่ม อันไหนกดข่มไม่ได้ ก็ออกมาเป็นอย่างนั้นส่วนใหญ่เยอะ
ก็ให้อยู่เดือนหน้าสิ จะมีเข้าค่ายอีก
_ชานติ ขอคำอธิบายเชื่อมโยงระหว่างคำว่า “อิตถีลิงค์ – ปุงลิงค์ – นปุงสกลิงค์ – อุเบกขา – เมตตา และสิริมหามายา”
พ่อครูว่า…ถ้าตอบอันนี้แล้วจะได้อธิบายถึงเศรษฐกิจไหมนี่ อยากให้อาตมาอธิบาย
อิตถีลิงค์ เพศหญิง- ปุงลิงค์ เพศชาย- นปุงสกลิงค์ ไม่มีเพศ – อุเบกขา คือจิตกลางๆเฉยๆโดยเฉพาะในศาสนาพุทธอุเบกขาเป็นฐานของนิพพาน ถ้าใครสามารถทำจิตให้เกิดอุเบกขาโดยสายปัญญา ถ้าอุเบกขาโดยสายเจโตสายเทวนิยม เขาก็ทำอุเบกขาได้ นั่งหลับตาสมาธิและก็วางเฉย ลืมตาเขาก็ฝึกว่างรู้นิ่งเฉย อย่างเช่นสายท่านพุทธทาสเป็นต้นรู้นิ่งเฉย เป็นการทำอุเบกขาแบบลืมตาสมถะเท่านั้น มันไม่เป็นวิปัสสนา ไม่สามารถรู้จักเวทนา 108 โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 ที่เป็นแกนเวทนาในเวทนาจะต้องแยกออกว่าเวทนา 18 เป็นโลกีย์อาการอย่างนี้โลกีย์ จะต้องเปลี่ยนให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา หากดีใจอย่างนี้โลกีย์ต้องเปลี่ยน มันไม่ได้เกิดจากกิเลสลดเลยเป็นตัวดีใจที่ได้เกิดจากลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหรือเกิดจากอัตตาตัวเอง จิตคุณสงบคุณก็ดีใจเพราะว่าจิตของคุณสงบ อันนี้ก็ยังเป็นเคหสิตอุเบกขา สายหลับตาตีทิ้งเลย ไม่มีเนกขัมสิตอุเบกขา
ปฏิบัติธรรมต้องลืมตามีผัสสะทางทวารทั้ง 6 เวทนา 108 เกิดจาก เวทนาสุขทุกข์อุเบกขา ในทางทวารทั้ง 6 แล้วอยากเป็นเนกขัมมะ กับเคหสิตะอีก เป็นมโนปวิจาร 18 หากไม่ลืมตาจะไม่สามารถรู้เวทนาเหล่านี้ได้เลย สัมผัสแล้วแยกอ่านอาการเวทนา อ่านอาการกิเลสได้ เอาจิตที่มันอยากมันชอบนี่แหละให้ลดลงๆ ต้องลดตัวกิเลสถูกด้วยนะ เรียก สักกายทิฏฐิ เป็นตัวแรกของสังโยชน์ 10 หากทำไม่ถูกจะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร มันเป็นบทที่ 1 โดยการวิปัสสนาในการทำกิเลสออกเป็นเนกขัมมะ จะดีใจหรือเสียใจก็แล้วแต่ จะทุกข์หรือสุข โสมนัสโทมนัส คนเกิดอาการโสมนัส คุณก็รู้ว่าอันนี้มันเกิดจาก กาม พยาบาท คุณก็ต้องลด กาม พยาบาท แต่คุณไม่ได้วิจัยเวทนาในเวทนาเหล่านี้เลย สายหลับตานั่งสมาธิจึงตีทิ้งได้เลย ไม่มีทางเป็นอรหันต์ของพุทธ มีแต่มิจฉาอรหันต์ มิจฉาสมาธิ มิจฉาฌาน มิจฉาวิมุติ วิโมกข์ มิจฉาหมด ขออภัย ไม่ได้ดูแคลนกดข่ม แต่สงสารจริงๆ ถ้าหากท่านฟังธรรมะด้วยดีแล้วเปลี่ยนมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า วิปัสสนาแบบพระพุทธเจ้าจะได้ทำฌาน แบบพุทธ จะได้เกิดสมาธิแบบพุทธ จะได้วิโมกข์วิมุติแบบพุทธ ซึ่งไม่ได้ผิดเพี้ยนมานาน ก็ขอยืนยันว่ามันไม่ถูกเลยเป็นสิ่งที่ผิด
นั่งหลับตานั้น ถ้าไม่สัมมาทิฏฐินั่งหลับตาไม่เป็นอุปการะมากเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า นั่งหลับตาทำสมาธิเป็นอุปการะมาก หากคุณสัมมาทิฏฐิ จะรู้ว่านั่งหลับตาไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธ จะได้รู้ว่านั่งหลับตาได้นั่งสงบพักผ่อน
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
พยัญชนะที่พูดนี้ คนที่เข้าใจสภาวะอย่างนี้ก็จะตรวจสอบได้ไปตลอดเลย ไปนั่งหลับตาก็ได้พวกนี้ คนที่ทำไม่ถูก ไปนั่งหลับตาจะทำสมาธิ ทำฌาน จึงเป็นมิจฉาทิฐิไปหมดเลย ถ้าหากนั่งสมาธิที่ไม่รู้ว่านั่งหลับตาไปทำไม ดี ไม่ดี ไปนั่งหลับตาแล้วจะเห็นเทวดา มหาบัวเขียนว่าอ.มั่นสอนเทวดาเยอรมัน ก็สอนภาษาทางธรรม ก็เก่งเนาะ สอนโดยไม่ใช้ภาษา เป็นเรื่องพิลึก อาตมาเห็นชัดว่า มิจฉาทิฏฐิไปไกล เรื่องมิจฉาสมาธิ แล้วก็บอกว่าบรรลุอรหันต์อีก ก็ต้องขอคารวะเคารพจริงๆในสิ่งที่ต้องพาดพิงถึงภันเต คนที่เขาเคารพกันเยอะแยะ อาตมาก็พูดทางวิชาการเป็นความรู้ทางธรรม ไม่ได้ตั้งใจข่มละเมิดอะไร
ถ้าเผื่อว่า ไม่เข้าใจอุเบกขา อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน ถ้าเข้าใจทำได้จะรู้ว่ามีองค์ธรรม 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เราก็จะรู้ว่า
ปริสุทธา กิเลสไม่เกิดอีกถาวรยั่งยืน
ปริโยทาตา มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ที่แม้จะกระทบกระแทกอย่างไรจะมีสัมผัสแตะต้องอย่างไร กับสามัญที่เรามีชีวิต กระทบกระเทือนยั่วยุอย่างไรจิตก็ยังสะอาดบริสุทธิ์ ปริโยทาตา
มุทุ ความแววไวคล่องของธาตุจิต ก็จะแคล่วคล่องทั้งเจโตและปัญญา ทำได้ยังไม่แปรเปลี่ยน หรือจะอนุโลมร่วมรับรู้ เออออห่อหมกกับเขา ก็สามารถอนุโลมกับเขาได้โดยจิตเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร อันนี้แหละคือสิริมหามายา
อาตมา อธิบายด้วยนัจจะวาทิตะ นี่แหละคือสิริมหามายา ดุเหมือนดูเหมือนโกรธไม่ชอบใจแต่อาตมาไม่มีจิตอย่างนั้นเลยอาตมาจิตว่างแต่อนุโลมแสดงท่าที ท่าทีนี้เหมือนไม่ชอบใจ ท่าทีนี้เหมือนแรง เหมือนมีอารมณ์ จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ทั้งภูมิปัญญาก็รู้เร็วไว ปรับเปลี่ยนก็ได้เร็วไว มันจะมีปัญญาแทรกว่าเราอนุโลมแล้วมีกิเลสมาแทรกไหม อนุโลมแล้วกิเลสเราไม่แทรก ก็จะรู้ซ้อนอยู่ในนั้น คือมุทุภูตธาตุ ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้ ทุกกรรมก็ปโหติ ทำได้อย่างเหมาะควรพอดี เพราะว่ามีสัปปุริสธรรม 7 มีมหาปเทส 4 สามารถควบคุมกายกรรมวจีกรรมกับข้างนอก เหมาะสม ทั้งในการกาลัญญุตา ทั้งในสัปปุริสธรรม 7 อุเบกขาจะเจริญขึ้น ทำกรรมการงานได้เหมาะควร กัมมัญญตา
สุดท้ายก็มีชีวิตอยู่อย่างสะอาดหมดจดผ่องใสตลอดกาลนาน คือปภัสสรา
นี่คือสุดยอดของอุเบกขา 5
แล้วก็มาหาเมตตา
เมตตาเป็นองค์ธรรมรวมของผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ เป็นพรหม จิตสะอาดบริสุทธิ์แล้วทำงานอยู่กับโลก ก็มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหมสี่หน้า เป็นพรหมสี่ลักษณะ เมตตาคือจิตที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ หรือแม้แต่ผู้อื่นที่มีสุขก็น่าสงสาร เพราะคนติดความสุขนี้มันไม่อยากออก แต่คนติดในความทุกข์นี้จะไม่อยากจะอยากได้อยากจะเอาออก แต่คนที่มิจฉาทิฏฐิจมอยู่กับความสุขนี้มันจมอยู่อย่างแนบเนียน ลึก ไม่ค่อยรู้ตัวได้มากนัก คนติดสุขจึงหนัก คนติดทุกข์ก็มาโซคิส หรือพวกซาดิสม์ เป็นสายชอบทรมาน ชอบเจ็บชอบรุนแรง ตนเองถูกกระทบกระแทกกระเทือนเจ็บยิ่งดีใจ ยิ่งจะไปกันใหญ่เลย มาโซคิสม์
การติดสุข เป็นสิ่งน่ากลัวมากเพราะมันเพลิดเพลิน แต่การติดในความทุกข์นี้ใครบอกก็เข้าใจได้ง่าย จะเป็นซาดิสก์หรือมาโซคิสก็ตาม ชอบดูมวยชอบดูเกมรบราฆ่าฟันเลือดสาดหนังบู๊ พวกนี้ไม่รู้ตัวเลย ว่าสั่งสมความอำมหิตใส่ตัวหนักเข้าไปเลย พวกบันเทิงโรแมนติกอิซึ่ม ปรุงแต่งเยิ้มไปหมด มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกในทาง ปฏิฆะหรือกามราคะ คนไม่รู้จักกำจัดขอบเขตในอารมณ์ของตัวเองก็ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้จะสอนกันอย่างไร
เมตตา อยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณา อยากให้เขาเป็นสุข โลกีย์ก็จะเข้าใจอย่างนั้น
มุทิตา ก็คือ เขาแปลว่ายินดี ที่เขาพ้นทุกข์ ยินดีที่เขามีสุข คือไม่ได้หลุดพ้นอะไร ไม่มีอุเบกขาเลย ทางโลกีย์ ไม่ติดสุขก็ทุกข์ อยู่อย่างนี้ ไม่ได้ออกจากโลกีย์เลย เพราะฉะนั้นอุเบกขาเขาก็ยิ่งแย่ใหญ่เลย
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นความบริสุทธิ์ 4 ขั้น
หนึ่งเมตตา เห็นเขาเป็นทุกข์ หรือเห็นเขาติดในความสุข ปรารถนาที่จะให้รู้ว่าเขาติดในความทุกข์มันก็ไม่ดี ติดในความสุขก็ยิ่งแย่ใหญ่เพราะว่ามัน เนียน ก็อยากจะให้เขาหมดทุกข์หมดสุข
สอง กรุณาคือลงมือช่วย กรณะเลย
สาม ช่วยเขาได้สำเร็จ ก็มุทิตา ยินดีที่เขาพ้นทุกข์พ้นสุข
สี่ จบเรื่อง อุเบกขา ไม่ได้ยึดติดในผลงานของฉัน คุณจะต้องมีกตัญญูกตเวทีทวงบุญคุณ ฉันเป็นเจ้าหนี้บุญคุณ อุเบกขาของโลกุตระไม่มี ทำแล้วก็จบ ไม่ได้มีภพชาติไม่ได้มีดีมีชั่ว ไม่มีบุญคุณ ไม่มีทุกข์ภัยอะไร เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่เข้าใจยังไม่เป็นโลกุตระ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแบบโลกียะวนอยู่ในนี้ อธิบายแบบเละเทะปนเป อาตมาก็ตามไม่ไหว แล้วแต่อาจารย์คนไหนจะอธิบายกันไปไม่อยู่ในร่องรอย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
สิริมหามายาเป็นคำที่ โดยรูปธรรม ชื่อพระมารดาของสัมมาสัมพุทธเจ้า
เจ้าชายสิทธัตถะ จะต้องเป็นผู้ที่มี สิทธัตถะ สิทธะ แปลว่าผลสำเร็จ อัตถะ แปลว่าแก่นแท้ ท่านชื่อว่าสิทธัตถะคือผู้ที่มีแก่นแท้แห่งผลสำเร็จ ตั้งแต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ก็มีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าท่านจะต้องเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้นองค์นี้ เมื่อนั้นเมื่อนี่ จะชื่อว่าสิทธัตถะมีอัครสาวกชื่อว่าสารีบุตรกับโมคคัลลานะ เป็นเรื่องอจินไตย จะต้องมี ปัญญา จะต้องมีแม่ชื่อสิริมหามายา ก็คือ มีมายาที่ดี สิริ คือ ดี มหา คือยิ่งใหญ่ มายา แปลว่าความหลอกลวง
อะไรกัน จะตั้งชื่อแม่ของพระพุทธเจ้าทั้งที ต้องตั้งชื่อว่าหลอกลวง มายา แม้จะนำหน้าว่าสิริมหามายา แต่เอาชื่อคำว่าหลอกลวงมาใส่ทำไมคำดีๆมีตั้งเยอะ
เพราะฉะนั้นจะต้องชื่อนี้ เพราะว่าสิริมหามายาหมายความว่า ความหมายของสภาวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สิริมหามายา อาตมานี้ กำลังแสดงสิริมหามายากำลังแสดงเป็นนักเล่นกล กำลังเล่นกลถึงความเกิดความดับ เดี๋ยวก็เกิดเดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็ว่าฉันเป็นเดี๋ยวก็ว่าฉันไม่เป็น จริงๆอาตมาเองไม่ได้แสดงอะไรทีเดียวหรอก เหมือนกับคนพูดกลับไปกลับมา แต่เมื่ออธิบายถึงสภาวะอันนั้นเป็นอันนี้ มันก็ต้องอธิบายเป็นอันนี้มันเป็นโลกีย์ ก็กลับมาอธิบาย โลกีย์ อย่างอุเบกขาแบบโลกีย์ เดี๋ยวก็ไปแบบโลกุตระ โดยไม่ได้ขานชื่อว่าอันนี้โลกียะอันนี้โลกุตระ เดี๋ยวก็ไปโลกียะอันนี้เดี๋ยวก็ไปโลกุตตระอันนี้ คนที่ไม่เข้าใจสภาวะก็บอกว่าเดี๋ยวก็พูดอันนี้อันนั้นกลับไปกลับมา อาตมาไม่ได้บอกชื่อว่า อันนี้เป็นโลกียะอันนี้เป็นโลกุตระ คนที่เข้าใจไม่ได้ก็หาว่าอาตมาพูดกลับไปกลับมา
คนที่หมุนสมองได้ทันสมัย อาตมาอันนี้พูดโลกียะนะ อันนี้พูดโลกุตระนะ โดยไม่ได้พูดกำกับทุกคำคุณก็จับสภาวะทัน ก็เลยเป็นเหมือนสิริมหามายา คนดูไม่ได้ง่ายๆ ก็จะสับสน กลับไปกลับมา
เพราะฉะนั้น การเกิดในโลกสมมุติ คือการเกิด ศาสนาพุทธนั้น ยุคปลาย พระพุทธเจ้าเมื่อท่านบรรลุธรรม ก็ว่า ก็มีอธิบายกันแบบ นามธรรม ว่า ก็มีมาร มาเลย นั่งอยู่หน้าพระองค์ แต่สหัมบดีพรหมเป็นคนทักท้วง แต่ที่จริงอาการเดียวกัน มารก็ว่าบรรลุแล้วตายได้แล้ว
พระพุทธเจ้าก็บอกว่าการบรรลุ คือการตาย คือการนิพพาน นิพพานแปลว่าตาย ศาสนาพุทธนิพพานแปลว่าตาย จุดสุดยอดของศาสนาแปลว่าตายไม่ใช่การเกิด แล้วยังเกิดอยู่ทำไม ก็ตายเสียสิ มารก็บอก คือมารมันโง่น่ะ เพราะจุดสุดยอดของศาสนาพุทธนั้น ตายแล้วผู้บรรลุแล้วตายแล้วต้องไม่เกิดอีก มารก็โง่ก็บอกว่า บรรลุแล้วจะเกิดอยู่ทำไม มันก็ไม่จริงสิแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นว่ามันตายหรือมันเกิดกันนี่ เห็นไหม ตายไม่เกิด
พระพุทธเจ้าก็บอกว่าตายยังไม่ได้ เรายังไม่ได้สอน เถรวาทบอกว่าอรหันต์ตายแล้วสูญจึงเป็นมิจฉาทิฐิในเมืองไทย อาตมาบอกว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดได้ เขาตีทิ้งเลย มีที่ไหนอรหันต์ตายแล้วเกิด เกิดได้อย่างไร อรหันต์ตายแล้วต้องสูญสิ นี่คือมิจฉาทิฏฐิของชาวพุทธในเมืองไทยน่าสงสารมาก
ไม่เข้าใจ โพธิสัตว์ที่อาตมาเอามาอธิบาย ถึง 9 ระดับ เขาไม่ฟังหรอก ก็บอกว่าตายแล้วเกิดไม่ใช่ อรหันต์ตายแล้วเกิดไม่ใช่ เพราะฉะนั้นจึงน่าสงสารซ้ำซ้อนในเถรวาท คือมันสับสนไปหมดเลย จนเขาจะเข้าใจว่า อรหันต์ ถ้าใครบรรลุอรหันต์แล้ว คุณตายแล้วต้องสูญ เกิดอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ จะต้องไม่บรรลุอรหันต์ ไม่บรรลุพระอริยะด้วย เพราะอะไร
ถ้าหากบรรลุอริยเป็นโสดาบันจะเกิดอีกได้แค่เจ็ดชาติ คุณต้องบรรลุอรหันต์ เพราะว่าโสดาบันเกิดได้อีก 7 ชาติ ก็เลยเข้าใจเป็นตัวตนเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ 7 ชาติ แล้วเป็นอะไรมันก็ต้องตาย 0 เมื่อคุณเป็นอรหันต์ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วจะบำเพ็ญแค่ 7 ชาติและจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นผู้ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญแบบพระพุทธะอิสระ จะไม่เป็นพระโสดาบันสกทาคามีอนาคามี อรหันต์ นี่แหละพวกเถรวาทสอนไว้เหมือนอย่างพระพุทธะอิสระ ท่านไม่เกี่ยวหรอกจะเอาพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านจะทำพระพุทธเจ้าอย่างเดียวจะมาป้องกันศาสนา ท่านไม่เกี่ยวกับพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ หากท่านพุทธอิสระได้ฟังก็น่าจะเอาไปไตร่ตรอง ไม่อย่างนั้นผิดหมด
ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่มีพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ อย่างนี้ผิดเพี้ยนนะ
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขั้นที่ 10 ไม่มี เป็นกัลกิริยาวตารแล้ว ของพวกฮินดูก็เหมือนกันมีอยู่ 9 ไม่มีปางที่ 10 คือปางที่ไม่มีตัวตน เป็น 0
เพราะฉะนั้นจึงวนไปหมด เป็นพระอริยะก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้ ก็เลยสับสนไปหมดน่าสงสารมาก เมื่ออาตมาประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์เขาก็ตีทิ้ง ก็น่าสงสาร แม้อาตมาไม่พูดไม่บอกก็ยิ่งจะไม่เข้าใจ มันก็จะไม่เป็นปรากฏการณ์แท้ มันจะกลายเป็น ตรรกะ ไม่มีตัวตนพฤติกรรมจริงไม่มีการแสดงออกจริง ก็ยิ่งไม่ละเอียด ก็จะไม่ครบ เป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปไม่รู้กี่ขั้นตอน เป็นพระโพธิสัตว์ก็บรรลุธรรมไม่ได้ บรรลุรวดเดียวเป็นพระพุทธเจ้าเลย ไม่เกี่ยวกับ พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปหาราทสูตร เรื่องความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์
ข้อที่ 1 เลยความเป็นลำดับ ลาดหลุมลึกเป็นน่าอัศจรรย์ ไม่โต่งเหมือนเหว ในพระธรรมวินัยก็เป็นเช่นนั้นมีการศึกษาไปตามลำดับปฏิบัติไปตามลำดับ บรรลุไปตามลำดับ ไม่ใช่จะไปบรรลุอรหัตตผลโดยตรง ต้องมีโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์
หากโสดาบัน ไม่สามารถอธิบายสังโยชน์ 3 ได้ คนนี้ไม่ใช่อรหันต์แน่ ขยายความไปเลอะเทอะก็เป็นโมฆะ หรือเริ่มต้นปฏิบัติสัมมาสมาธิ
สมณะฟ้าไทว่า…พักครึ่งก่อนครับ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สมณะแสนดิน
สมณะเดินดิน
พ่อครูว่า…เรื่องของธรรมะ อาตมาพูดถึงเรื่องสิริมหามายายังไม่เก่ง พยายามอธิบายให้ฟังในสิ่งลึกซึ้ง ในหนังสือคนจนที่มีแบบ ก็ได้เขียนขยายความสิริมหามายาไว้ หลากหลายเหมือนกัน หนังสือคนจนที่มีแบบ จะเป็นหนังสือที่ ไขอะไรอีกเยอะ พิมพ์ไปแล้วเล่ม 1 มาแก้ไข จนป่านนี้ยังแก้ไขไม่เสร็จ จะให้ทันมหาปวารณา ก็เลยเห็นว่าเวลามันไม่มีนะ ก็เลยจะจบเล่ม 1 ก่อน มีอะไรค่อยขยายในเล่มที่ 2 ต่อ ฉบับแก้แล้วไขอีก
ก็ต้องพิมพ์ซ้ำอีก ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ครบ มันก็ไม่มีในเล่ม 2 ใช่ไหม อันนี้เติมเข้าไปอีกเท่าตัว ก็เท่ากับเล่ม 1 ที่ขยายไปอีกเท่าตัว มันก็มีความละเอียดเป็นสิ่งละเอียดที่หาได้ยาก จะตกหล่นก็เลยทำใส่เสีย
สัมมาสมาธิ
อาตมามีความเข้าใจในเรื่องของ สัมมา ต่างๆ ที่น่าสงสารก็เพราะว่า ฌาน สมาธิ ก็ไม่ใช่ของพุทธ อาตมาอธิบายสิริมหามายา เขาก็ตีทิ้ง ต้องอย่างเขายึดถือ
ก็ขอบอกว่า มรรคมีองค์ 8 จะต้องเจตนาทำให้จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิที่สำคัญ สมาธิทุกวันนี้ สมาธิเขาแปลว่าการเพ่งก็ใช่ต้องเพ่งพิจารณาไม่ใช่เพ่งดับ เพ่งพิจารณาแล้วจะเกิดปัญญา เพ่งเกิดปัญญา ก็จะเป็นพลังงานใหม่ พลังงานใหม่นี่คือ อัญญา ปัญญา จะเริ่มสัมมาทิฏฐิไปตามลำดับๆ
สัมมาทิฏฐิตามลำดับแล้วจะเกิดกระบวนการของสัมมาทิฏฐิ 10 กระบวนการ
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) ก็คือศีลนี่แหละ ปฏิบัติตามพิธี มาแปลว่า วิธีการที่ปฏิบัติแล้ว วิธีปฏิบัติที่ทำให้เกิดผลที่ได้บูชาแล้ว บูชาคือปฏิบัติบูชา คือทานศีลภาวนา คุณได้ปฏิบัติบูชาและมีผลหรือไม่ นัตถิก็ไม่มีผล อัตถิก็มีผล
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) สำนวนก็เข้าใจยาก ปฏิบัติทาน ศีล แล้ว มันเกิดผลสำเร็จบรรลุเป็นความจริงไหม คุณได้มีผลนั้นถูกต้องแล้วได้เสวยผลนั่นไหม คือ หุตัง
หุตัง รากศัพท์คือ ฐานความจริง หุตัง มีความจริงที่บรรลุได้ผลไหม จากทานจากศีลนี้ไหม นี่คือ สัมมาทิฏฐิ 3 ข้อแรก
สัมมาทิฏฐิ มี 10 ข้อ สามข้อแรก สามข้อที่สอง สามข้อที่สามเป็นเก้า
ส่วนข้อที่ 10 คืออาตมา เป็นสมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง เป็นสยังอภิญญา ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้รู้อย่างแจ่มแจ้ง สัจฉิกัตวา ด้วยสยังอภิญญาของตนเอง ขยายความโลกนี้โลกหน้าหรือโลกต่างๆ โลกโลกียะ โลกโลกุตระ เป็นธรรมะ 2 ในโลกต่างๆ
คุณลดความวนได้ก็เป็นอีกโลกใหม่โลกหนึ่ง โสดาบันลดโลกอบาย ไม่มีความวนในโลกอบาย แต่สุดท้ายคุณก็ต้องเดินไปอีก ก็ดับโลกกาแฟได้ ซดกาแฟเป็นอบายมุข เหมือนคุณลึกลึก ก็เดินไปกินกาแฟ
การที่จะหยุดไม่ต้องไปไม่ต้องวนอีกแล้วในเรื่องนี้
พูดถึงเรื่องนี้ก็ระลึกถึงน้องเขยติดบุหรี่ บุหรี่หมด บ้านเขาอยู่ในซอยลึก ไปติดบุหรี่ จนอยากจะสูบมากจะต้องเดินออกมาซื้อ จะเดินออกมาก็เกรงใจเมีย ก็ออกมา เมียก็บอกว่าจะเดินไปไหนพี่ ก็เลยบอกว่าจะเดินไปซื้อบุหรี่ ก็ว่ากันไปตามประสา น้องเขยก็เสียไปแล้ว เหลือแต่น้องสาว มันเป็นเรื่องจริงก็เลยเอามาประกอบอธิบาย คือคนติดก็ต้องวนเวียนอยู่ในโลก จะให้เดินออกมาซื้อแล้วจะขับรถออกมาก็กลัวเมียจะรู้ แต่เมียก็รู้ได้
การที่มันไม่จบ โลกนี้ อยังโลโก หรืออิมัญจโลกัง ปรัญจโลกัง แปลว่าโลกอื่น คำว่าอื่น พยัญชนะ ประ อัญญะ
อัญญะก็แปลว่าอื่น แต่ว่าอื่นที่ลึกซึ้งกว่า ประ คือทั้งรูปและนาม ส่วนอัญญะคือธาตุจิต สำคัญมากเป็นธาตุรู้โลกุตระตัวแรกที่ต่างจากธาตุโลกียะ เป็นธาตุใหม่ที่ต่างจากโลกียธาตุ เป็นธาตุรู้ตัวใหม่ที่ไม่เหมือนเก่า มันคนละขั้วเลย เริ่มต้นธาตุก็เรียกว่า อัญญะ อัญญะแปลว่าอื่น ไม่ได้แปลว่ารู้นะแต่ก็เป็นธาตุรู้ อัญญะเกิดมาเป็นหนึ่ง เป็นอัญญะ เป็นเอกพจน์ยังไม่เรียกว่าธาตุรู้ เป็นธาตุอื่น ตื่นจากอะไร จากโลกโลกียะ เป็นความรู้ที่ไม่ใช่โลกียะแล้ว
มันจะเกิดไม่ได้จากศาสนาใดๆเลยนอกจากศาสนาพุทธเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านมาประกาศศาสนา ปุ๊บ พอเทศน์เรื่องอนุปุพพิกถา เทศ อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โกณฑัญญะเกิด อัญญะ เอามารวมกัน อนุปุพพิกถา มีอนัตตลักขณสูตร กับธัมมจักกัปปวัตตนสูตร สองสูตรนี้
เพราะฉะนั้นพราหมณ์ 5 คนนี้ ฟังธรรมะพระพุทธเจ้า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรคืออันนี้ คืออนุปุพพิกถากับอนัตตลักขณสูตร เป็นธรรมะ 2 โกณฑัญญะก็เกิดธาตุใหม่ อัญญธาตุ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า อัญญาสิ
อัญญา แปลว่าความรู้เป็นพหูพจน์ อัญญะ แปลว่าธาตุอื่น ตัวใหม่ของโลกุตระ ยังไม่เป็นตัวรู้ แต่ธาตุรู้อันใหม่ ได้เกิดในจิตของอัญญาโกณฑัญญะได้แล้ว มีผู้รู้ได้แล้ว ธาตุรู้นี้มีผู้รับรู้ได้
ท่านมีญาณหยั่งรู้บุคคล เกิดปั๊บรู้ปุ๊บ เร็วมาก อาตมานี่พอรู้แล้วว่า เมื่อเวลาพูดอธิบายธรรมะ คนนี้อ๋อ เข้าใจธรรมะลึกซึ้งได้ก็เหมือนกัน แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดเท่าอย่างนั้นยังไม่เก่ง แต่ก็พอรู้ คุณจะพอรู้ไหมว่าอธิบายไปแล้วเขารับได้ ของพระพุทธเจ้าท่านมี มุทุภูตธาตุรู้เร็วไว ยิ่งกว่า C1000
อัญญาสิ วตโพโกณฑัญโญ รู้แล้วหนอ อาตมาเอาโลกุตรธรรมมาประกาศพวกเราก็รู้ตาม ได้คนที่มีความรู้รบกวนแต่ละทำขึ้นมาจนปรากฏการณ์จริงเกิด มีสังคมคนอาริยะคนโลกุตระ ได้จริง ทางเถรวาทยึดมั่นถือมั่นเขาไม่ฟังด้วยซ้ำ จะมีคนที่แอบฟังคือพระสารีบุตรนั่งฟังพระพุทธเจ้า เทศน์ให้พระพุทธมารดา อยู่ที่ตีนเขาสิเนรุ เป็นบุคลาธิษฐาน ใครก็ตามที่แอบฟังอยู่นี่ หรือฟังอยู่ พวกเราฟังเต็มๆแอบ แต่มีคนแอบฟังเปิดโทรทัศน์ฟัง แอบฟัง นั่นแหละเป็นสารีบุตรที่ฟังอยู่ตีนเขาสิเนรุ อาตมาก็เทศน์ให้มารดาฟัง พวกคุณนี่คือมารดา พวกคุณคือมาตาในสัมมาทิฏฐิ 10 คือแม่ที่จะไปแพร่ลูกเกิดลูกออกต่อไป เป็นแม่เลี้ยงกับแม่นม ใครเจโตก็เป็นแม่นม ใครเป็นปัญญาก็เป็นแม่เลี้ยง นี่แหละใครสายเจโตใครสายปัญญา
อาตมาก็ฟัง บรรดาแม่ทั้งหลายที่จะไปเกิดลูกเป็นสัตว์โอปปาติกะ กันต่อไป นี่คือ สัมมาทิฏฐิที่อธิบาย ข้ามไปหา มาตา ปิตา สัตว์โอปปาติกะ
ผู้ที่เข้าใจโลกนี้โลกหน้าเข้าใจโลกียะโลกุตระ อกุศลกับกุศลก็เป็นโลก
โลกที่มันวนอยู่ในความสุขกับทุกข์ก็เป็นโลก คนที่หมดโลกดับโลกได้คือคนที่เหนือโลก และหมดโรค ราคะโทสะ โมหะ ก็หมดโลก ดับโลกได้ ไม่หมุนเวียนไม่ไปไม่มา ไม่ สูญ นิวตรอน กลางไม่เคลื่อน เฉยๆ ไม่อยากไม่มี ไม่ไม่อยากไม่มี
ผู้ที่สามารถแยกโลกียแยกโลกุตระออกก็คือผู้ที่สามารถ รู้ ข้อ 5 6 โลกนี้โลกหน้า
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
จนเป็นผู้ที่มีโลกหน้าสมบูรณ์ คนที่จะรู้โลกหน้า ต้องรู้โลกนี้ก่อน เอาแต่รู้โลกหน้าอย่างเดียวไม่รู้โลกนี้ จะไปออกจากโลกนี้ได้อย่างไร คุณก็ต้องรู้จักโลกนี้ รู้จักอาการของจิตที่ติดยึดในโลกนี้ รสเอร็ดอร่อยมีตัวตนในโลกนี้ จนกระทั่งคุณรู้ลดละแล้วในความเอร็ดอร่อยในความทุกข์ความสุข ลดอาการกิเลส จนมันไม่สุขไม่ทุกข์ อร่อยก็ไม่มีไม่อร่อยก็ไม่มี ไม่มีทั้งอร่อยและไม่อร่อย กลางๆ กินระกำมันก็มีรสอย่างนี้เปรี้ยวหวานอย่างนี้ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตจะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่มี รู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้ามีชอบหรือไม่ชอบแม้แต่มีอาการนิดน้อย 1 ก็จะรู้จักความต่าง โสดาบันก็จะหยาบ สกิทาคามีก็ละเอียดขึ้น อนาคามีอรหันต์ก็ละเอียดมากขึ้น แม้ความต่างนิดหน่อยก็อ่านสภาวะจิตได้
ผู้จะรู้จักเวทนาในเวทนา 108 จึงสามารถที่จะแยก เคหสิตะกับเนกขัมมะได้จริง ผู้ปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ไปนั่งหลับตาไม่มีเวทนา ก็ไม่รู้จัก มโนปวิจาร 18 ก็สุญโญ ไม่มีทางที่จะเป็นอรหันต์ ไม่มีทางลดละกิเลสเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้เป็นโมฆะบุรุษ ขอย้ำแล้วย้ำอีก
คนนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นโมฆะบุรุษจากศาสนาพุทธ
เอาแรงงาน แรงความคิด ทุนรอน สามอย่างนี้คืนมาได้ สรุปแล้ว นี่แหละคือความสูญเสียของมนุษยชาติ น่าเสียดายมาก เอาเวลามาศึกษาสิ่งที่เป็นสัมมา เอาแรงงานมาปฏิบัติที่เป็นสัมมา แรงงานคุณมีเท่าไรคุณไม่ต้องไปนั่งหลับตาไม่ต้องไปหาสถานที่ ไม่ต้องไปเสียเวลาอะไร ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน ยืนเดินนั่งนอนปฏิบัติธรรมหมด ทำงานอาชีพทุกคำกิริยาเรียกว่า กัมมันตะ พูดอยู่คิดอยู่ก็ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าตลอด ไม่ได้ไปแยกเวลาไม่ได้แยกสถานที่ไม่ได้เปลืองเวลาสถานที่ ไปเสียเวลาที่ไหนเลย ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้ทั้งนั้นเลย รู้จักผัสสะ อ่านจิตให้ออกแยกจิตให้เร็วขึ้น มันไม่รู้ก็เอาทีละอย่าง สัมผัสกับสัตว์ก่อนเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง สัมผัสกับสัตว์โดยเฉพาะกับคน สัตว์ต่างๆไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันเกิดมันเป็นอะไรก็อย่าไปยุ่ง อย่าไปจับมันกินมากิน ยิ่งเอามาเลี้ยงก็บ้าใหญ่ จะไปผูกพันมันทำไม สัตว์มันก็มีวิบากของมันให้มันไปของมัน มันมาอยู่ใกล้ถ้าเห็นแล้วช่วยมันได้ก็ช่วย เช่นมันตกในถังส้วมก็ช่วยมันขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นเราวิบากก็มากแล้ว ไม่ต้องไปเชื่อมโยงวิบากดีกับมันหรือชั่วกับมัน ขนาดนี้ก็เอาเวลา ทุนรอนปฏิบัติธรรมที่เป็นมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติธรรมสัมมาสมาธินั้นปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ไม่ได้บอกให้ไปนั่งหลับตา โว้ย
มันพูดมามากแล้วออกเสียงมากแล้ว โว้ยนี้ ไม่มีเสียงดังจะออกอย่างนั้นแล้วนะ โว้ย คือคำอุทานที่ดังออกมาแรง แต่อาตมาออกเสียงสรภัญญะธรรมดาไม่ได้ออกสำเนียง
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้พ่อครู อธิบายธรรมะปรมัตถ์ 2 ชั่วโมง ความจริงอยากจะฟังตอน อีกอย่างหนึ่งก็อยากให้พ่อครูพัก ก็ต้องตัดใจอยากฟัง มันก็เป็นสิ่งที่ กาละนี้ พ่อครูอายุมากแล้ว แม้ยังไม่มาก แต่วันนี้เรามาดับความวน ความวนของโลกกิเลส พ่อท่านยกตัวอย่างกาแฟ หลายคนสะดุ้งเฮือกเลย ใครไปคำกลางบ่อยๆ ดับโลกนี้ที่เป็นปัจจุบันไปสู่โลกอื่น อธิบายอัญญะ คือธาตุใหม่ ยังไม่เป็นธาตุรู้นะ