610826 ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมที่เป็นอิสระ
พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 26 ส.ค. 2561
พระครู : ผมอธิบายเห็นเรื่องมุมของการสวดมนต์ สุดท้ายจริงๆ ของศาสนาเทวนิยม เขาต้องติดสวดมนต์ มีศาสนาพุทธเท่านั้น ที่เป็นอเทวนิยม ที่หลุดออกมาจาก การติดสวดมนต์ได้ โดยรู้ว่าการสวดนั้น แยกได้ว่าสังคีติหรือสังคายนา และก็สังสาธยาย
สังคีติ ก็สวด เพื่อจำ สังคีติสวดตรวจสอบ สังสาธยายสวดคนเดียวสาธยาย
ไม่ได้หมายความว่าให้สวดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีศาสนาพุทธเท่านั้นที่ชัดเจน แล้วก็ทำกันมา
ยุคนี้ มันน้อยไง มันมีแต่ศาสนาพุทธที่จะเข้าใจรายละเอียดอย่างนี้ ศาสนาอื่นไม่เข้าใจ ศาสนาอื่นติดหมดต้องอย่างนี้ เพราะเขายังมีวิญญาณ เขายังมีการสวดอยู่ อันนั้นน่ะเป็นสำคัญ ยังนึกว่าสวดแล้วจะไปถึงอะไรอันหนึ่ง นี่แหละมันสำคัญ ความไม่รู้ของเทวนิยม เป็นเทวะ เป็น 2 ยังมี 2 ยังไม่เป็น 1 ไม่ได้เป็น 0 แท้จริง ยังมี 2 ยังมีส่วนมีอะไรอันหนึ่งที่รับอยู่ Action reaction เขาหยุด Action reaction ยังไม่ได้ เขาเป็น 1 ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องมีเพื่อน เขาต้องมีเพื่อน 2 ก็ต้องมีเพื่อน 2 เขาเป็นหนึ่งไม่ได้ นี่คือจุดสำคัญ เขาไม่รู้เลยเขาไม่เชื่อว่ามี 1 1 ได้อย่างไร 1 ก็มีแต่พระเจ้า พระเจ้าก็ต้องมีลูกศิษย์ ไม่มีลูกศิษย์ก็เป็นพระเจ้าไม่ได้ เขาไม่มีอิสระสมบูรณ์แบบ
อิสระสมบูรณ์แบบไม่ได้ อิสะระไม่ได้ อิเองเลย อิสระไม่ได้ เป็นหนึ่ง อิสะระ 3 เส้าตัวเองเลย อินี้คือ 3
สมณะดินไท : อะอาอิ อิ เป็น 3
พระครู : อิสระ อิ คือ 3
สะระก็คือพลังงาน พลังงานของเศษวรรค ระก็ 2 สะก็ 4 เป็นพลังงานเลขคู่ เลขคู่ของ 2 กับ 4 เอามาทำงาน ก็ให้อนุโลมให้แค่นี้ 2 กับ 4 ทำงานอยู่ เป็น 3 เส้า เป็นวงวนมี 2 กับ 4 ทำงานกันแค่นี้แหละ มีเศษวรรคพลังงานสุดท้ายแล้ว ทำงานเป็น 3 เส้า เป็นวงวนได้ มี สะ กับ ระ อิสระ
สมณะแสนดิน : ไปได้ทั่วทำงานได้ทุกอย่าง
พ่อครู : เป็นอิสระ เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีขึ้นกับใคร
สมณะแสนดิน : หมดทุกข์หมดสุข
พ่อครู : เป็นวงสุดท้าย เป็นทัสสะ เป็นสิทธิ์เลย เป็นทะ แข็งแรงที่สุด ทหาร เป็นทะ
สะ สะ เป็นพลังงาน 4 ออกมาจาก 3 เส้า 1 2 3 ยะ ระ วะ สะ ออกมาคุมวงวน เป็น อาคีมีดิส งัดโลก
สมณแสนดิน : ต้องหาที่ยื่นให้ได้นะครับ
พ่อครู : อาคีมีดิส งัดโลก ออกมาเป็น 4 กลุ่ม 3 เท่านี้เอง ความหมายสูงสุด อิสระ
สมณะดินไท : แปลว่าแกโม้อย่างฉลาด ที่สามารถจะงัดโลกได้ ถ้าหาที่ยื่นได้เฉพาะ
พ่อครู : สูงสุด อิสระ เพราะฉะนั้นเมื่อ ศาสนาไหนๆก็แล้วแต่ ไม่มีศาสนาไหนที่จะทำตนให้เป็นอิสระที่สมบูรณ์แบบที่สุดเหมือนศาสนาพุทธ นี่คือสรุปความหมายที่ชัดเจน ศาสนาพุทธทำให้ธรรมะ 2 เป็น 1 ทำให้เป็น 0 ได้จบ นอกนั้น 2 ขึ้นไปทางนั้น เทวขึ้นไปทางนั้น 3 4 5 6 7 8 Infinity
คุณเจมส์ : พ่อครูพูดเรื่องนี้มันเลยจะชัดเจนเรื่อง การที่ไม่สวดมนต์ เพราะว่าต้องการให้ทุกคนอิสระ คือสวดแค่ 2 แบบ คือ สวดแบบตรวจสอบ กับ สวดแบบท่องจำ และไม่ต้องไปหาหมู่ เพราะว่าอิสระในการที่จะทำ
พ่อครู : ชัดเจน อันนี้ก็ชัดเจน
คุณเจมส์ : เพราะถ้าไปสวด ต้องเรียกร้องหมู่ เพราะถ้าไปสวดอีกก็ยังไม่ปรับตัวเองว่าตัวเองชัดเจนได้
พ่อครู : อาศัยหมู่ 1 อาศัยหมู่ที่พร้อมเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่าสังคีติ สวดพร้อมกัน แล้วรักษาไว้ให้ได้หมด กับ สวด 1 คน อาศัยหมู่ตรวจสอบ สังคายนา เท่านั้นเอง นอกนั้นต่างคนต่างสาธยาย สรภัญญะ
สมณะดินไท : เจตนารมณ์ของการสวดสังคีติ เพื่อสืบทอด
พ่อครู : ใช่ เพื่อสืบทอด
สมณะดินไท : ยุคนี้มันมี google แล้ว มีหนังสือบันทึกไว้อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็น
พ่อครู : สวดก็ไม่จำเป็น แต่ต้องรวมความรู้เอาไว้อยู่ google มีไว้แทน ก็เท่ากับสมองจำ ก็เหลือแต่สมองจำ สมองจำมีแล้ว เป็นแต่เพียงเอามาใช้ คุณก็ต้องอาศัยสมองจำ
ทีนี้แทนที่สมองจำจะเป็นคน สมองจำเป็น google เป็นหนังสือ จะทิ้งไม่ได้ ทิ้งสองจำไม่ได้ สังคีติ คือ สมองจำ
สมณะแสนดิน : ถึงจะมีสมองกลอย่างไง แต่ว่าความคนถูกผิด อย่างไงนี่ มันก็ต้องมีการตรวจสอบอยู่ดี
สมณะดินไท : จะตรวจสอบได้ก็ต้องแบบพ่อครูอย่างนี้ ดูว่าเอะอย่างนี้ไม่ใช่
พ่อครู : หรือไม่ก็ เครื่องก็เทียบกันในรหัส ตั้งรหัสให้มันก็ได้
สมณะแสนดิน : แต่ถึงจะมีเครื่องมากมาย แต่ไม่มีใครไปรู้ ตัวจิตวิญญาณไปรู้ คนไปรู้
มันก็ทิ้งไว้เปล่าๆ
พ่อครู : มันก็ไม่ได้ มันก็ทิ้งเลย หมดคนรู้ก็จบ
สมณะแสนดิน : คนรู้ดันเอาความรู้ เพื่อจะเพี้ยนอีก จิตวิญญาณที่เพี้ยนๆ ไปรู้หมด
พ่อครู : เพราะฉะนั้น ถ้ามันเกิดพลังงานที่จะอุตุ มันก็ไม่มีใครตัดสินหรอก มาเป็นพีชะขึ้นมา ก็ไม่มีใครจะตัดสินอีก ต้องจิตนิยามจึงจะมีตัวตัดสินขึ้นมา ถึงจะสามารถรู้ได้ว่า อะไรคืออะไร แตกต่าง อะไรคือแตกต่าง ถึงจะเกิดลิงคขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีตัวที่ 3 ไม่นิ่ง ตัวที่ 3 ที่เป็นจิตนิยาม เพราะฉะนั้นจาก 3 แล้วนี่ มันก็เป็นกรรม อิสระ
กรรม อิสระ ก็ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างบุคคล ไป อิสระ ก็จัดการตรวจกันได้
สมณะดินไท : นี้อย่างไปท่องสวดตามกันมานี่ อย่างเมื่อนางจิญจมารวิกาเอาผ้าห่อไม้เขียนไปเขียนมา ห่อไม้หรือแปลผิด เป็นไม้วงกลมมา ตอนหลังเหมือนผู้รู้มาบอกว่าไม่ใช่ไม้วงกลม ไม้วงกลมมีที่ไหน ต้องไม้ทรงกลม มันต้องมีผู้รู้ ทีนี้ถ้าผู้รู้แล้วยุคสมัยนี้ จะบันทึกเอาไว้ รู้จริงสุดยอดแล้วนี่คืออันนี้ ต่อไปคนก็ไม่ต้องสวดตามตามกันมา ก็ดูจากที่รู้จริงอันนี้ เป็นหลักฐานยืนยัน มันก็เป็นตำรา
สมณะแสนดิน : มันก็จะเพี้ยนไปเหมือนเดินนี่แหละ คนมีกิเลสก็จะเอาไปเพี้ยนอีก
คุณเจมส์ : พระพุทธเจ้าจึงให้ตรวจทานกัน ไม่ให้บอกต่อ เพราะเราเคยเล่นกันแล้ว พูดคำหนึ่งใส่หูเพื่อน แล้วก็พูดกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายมาหาเรา ไม่ใช่คำพูดที่เราพูดคนแรก ก็คล้ายลักษณะเดียวกัน
พ่อครู : กาเซดซบ(ภาษาอีสาน คืออีกกาเช็ดศพ) พอพูดกันไปเรื่อย มันแค่กาเซดซบ สุดท้ายมันพิลึกเลย เป็นกาเจ็ดศพ กาเซดซบ มันธรรมดา กาเขาเช็ดปากเขาธรรมดา กามันกินอะไรแล้วมันเช็ด เฮ้ย ได้ยินเป็น กาเจ็ดศพ ก็ประหลาดหู ก็เอาไปพูดกันต่อ มีคนเจอกาเจ็ดศพ กลายเป็นกาเจ็ดปาก
สมณะดินไท : หนักเข้าๆ
พ่อครู : ไปกันใหญ่
คุณนิ่ม : ถ้าอย่างพิธีกรรม ถ้าไม่มีการมารวมกันเพื่อที่จะมาทำอะไรสักอย่างหนึ่งร่วมกัน แล้วจะเอาอะไรดี
พ่อครู : ก็นั่นแหละ ไม่ได้ไง มันบังคับว่าคุณต้องรวม มนุษย์มันอยู่แยกกันไม่ได้หรอก ต้องมารวม เราทำความเข้าใจทุกอย่าง ก็ต้องมาปรองดอง มาสมานฉันท์ นี่เราแยกสมานท์
คุณนิ่ม : เขามีการศึกษาวิจัยว่าการสวดมนต์ช่วยรักษาโรค
สมณะดินไท : ก็เหมือนสมาธิไง
พ่อครู : นั่นแหละสมถะ ให้เกิดจิตสมถะ
สมณะดินไท : พระธาตุก็จะออกมาสวยไง
พ่อครู : ยกเว้นพุทธ พุทธก็ไม่ทิ้งสวด สวดก็ได้ แต่สวดอย่างชัดเจน โสดเป็นประโยชน์ของมัน ส่วนอันนี้ประโยชน์อย่างนี้ สวดอย่างนั้นประโยชน์อย่างนั้น แล้วที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นภัย อย่าไปทำเท่านั้นก็จบ
แต่ทีนี้ คนไม่รู้เห็นไป สรุปว่ายังติดวิญญาณ
คุณนิ่ม : อยากให้พ่อครูขมวประเด็นนี้ด้วย เพราะมันเหมือนเราไปตีทิ้ง อันนี้ผิด อันนั้นผิด หมายความว่าผิดไปทั้งนั้น
พ่อครู : ก็พูด แต่มันก็พูดเหมือนจะพูดไม่ใช่น้อย มันละเอียด หล่นนั้นหล่นนี้ จริงพูดไปหมดแล้ว เสร็จแล้วคนก็คนหนึ่งก็จำได้อันนั้น คนนี้ก็จำได้อันนี้
สมณะแสนดิน : อุปัชฌาย์สิริถามว่าพ่อครูจะเติมเข้าไปอีกไหม เกี่ยวกับเรื่องสวดมนต์ในหนังสือคนจนที่มีแบบ
พ่อครู : ไม่แล้วๆ ไม่ได้เติมแล้วสวดมนต์
ถอดข้อความโดย อุทัย