บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ…ลานแสดงธรรมแห่งใหม่
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2561
ช่วงกลางคืนฝนตกตลอดทั้งคืน ทำให้ช่วงเช้าอากาศค่อนข้างชื้นเย็น พ่อครูตื่นตามเสียงปลุกนาฬิกา 6 โมงเช้าตามปกติ พ่อครูกราบพระและออกกำลังกายบริหาร4 ท่าซึ่งรวมการวิดพื้นคั่นในแต่ละท่าบริหารไว้จำนวน 13 ครั้ง 4 เซตรวมวิดพื้น 52 ครั้ง
หลังจากนั้นพ่อครูออกมานั่งเช็ดหน้า เช็ดตาและมีดำริที่จะลดการวิดพื้นจากเซตละ 13 ครั้งเป็น 12 ครั้งตามคำขอของผู้ดูแลรวม 4 เซตก็จะเป็นการวิดพื้นในช่วงเช้าละ 48 ครั้งซึ่งพวกเราก็เห็นควรเพราะตัวเลขสวยดีเท่ากับปีพรรษาพ่อครูบวช จากนั้นเหมือนเช่นเคยที่พ่อครูจะสนทนากับคณะท่านปัจฉาตามปกติ ซึ่งท่านยังดําริหลังสนทนาว่าจะเทศน์ที่ได้คุยกันเรื่อง “ดีหมด หมดดี สูญหมด หมดสูญ”ซึ่ งเป็นคำอธิบายของสิริมหามายา
รวมถึงจิตที่เป็นผลของพุทธพจน์ 7 อันเกิดจากสาธาณียธรรมที่ปฏิบัติด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติเบื้องต้น วรรณะ 9 จะสามารถเกิดผลได้ตามลำดับ ติดตามคลิปเต็มได้ทางสื่อธรรมะพ่อครู
เวลา 6.30 นาที พ่อครูเข้าห้องน้ำทำธุระ พบแม่เทียนดินเข้ามากราบนมัสการ ซึ่งเป็นเช้าวันจันทร์วันบวร นิสิตวนบ.กลุ่ม 4 จะมาขัดเงาพื้นโบสถ์และจัดตู้พระไตรปิฎก ท่านปัจฉาดินไทสังเกตเห็นไส้เดือนออกมาที่ทางเดิน จึงหยิบกลับไปวางในกระถางต้นไม้ พ่อครูมายืนดูตั่งของโบสถ์ ที่ท่านปัจฉาดินไทได้นำมาขัดและเคลือบเงาใหม่ พ่อครูบอกว่าทำแบบนี้ดูดีขึ้นมาก พ่อครูกลับเข้ามานั่งที่เดิมและสนทนากับคณะปัจฉาต่อ
เวลา 7.06 นาที พ่อครูกลับเข้าห้องทำงานชั่งน้ำหนักเป็นลำดับแรกเช่นเคย วันนี้ชั่งได้ 48.9 กิโลกรัมซึ่งถือว่าน้ำหนักลดหายไปอีก ปกติจะชั่งน้ำหนักได้ 49 กิโลกรัมกว่าๆวันนี้ลดระดับลงมาที่ตัวเลข 48
พ่อครูมานั่งโต๊ะทำงานหยิบหนังสือเราคิดอะไรฉบับ 337 เดือนสิงหาคม 2561 ดูที่ปกหลัง ซึ่งเป็นคำอธิบาย ของเพลง ทาสที่เขารัก อ่านดูสักครู่ก็กลับมาพิมพ์งานต่อพร้อมกับดูข่าวสารทางทีวีทั้ง 3 จอ
โดยที่โบสถ์ชั้น 4 มีนิสิต วนบ. กลุ่ม 4และ มีแขกพิเศษคือคุณปะตรงเตือนพร้อมลูกๆคือศิษย์เก่าตั๊บโต้ ศิษย์เก่าเต๊าะแต๊ะ และศิษย์เก่าพืช ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาราชธานีอโศก ได้เข้ามาช่วยขัดพื้นและจัดตู้พระไตรปิฎกภายในโบสถ์ด้วย
เวลา 8.05 นาทีคุณปะตรงเตือน พาลูกๆศิษย์เก่าทั้งสามคนเข้ามากราบหลวงปู่เด็กๆถามถึงอาการอาพาธของหลวงปู่ หลวงปู่ก็เมตตาเล่าให้ฟังโดยละเอียดเหมือนเล่าให้ลูกหลานที่เป็นห่วงฟัง ทำให้เห็นพลังแห่งความเมตตาของพ่อครูที่แผ่ออกไปสู่ลูกหลานศิษย์เก่าทั้งสามคน ศิษย์เก่าพืช ตั๊บโต้ได้กราบนิมนต์ขอถ่ายรูปกับหลวงปู่และได้ออกไปช่วยทำงานต่อ
เวลา 11.30 นาทีหลังจากพ่อครูสรงน้ำเสร็จ ช่วงนั้นฝนตกลงมาอย่างหนักมาก พ่อครูลงลิฟท์มาฉันภัตตาหารที่ชั้นล่างเฮือนศูนย์สูญ พร้อมท่านปัจฉาดินไทและท่านปัจฉาหนักแน่น และอ่านหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับที่รับเป็นประจำระหว่างฉันภัตตาหารไปด้วย
เวลา 13.09 นาที พ่อครูเคลียร์โต๊ะ แปรงฟัน เช็ดโต๊ะด้วยตนเองและยังคงอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออีกสักครู่
เวลา 14.10 นาทีหลังจากฝนหยุดตกไปได้สักครู่ใหญ่ พ่อครูออกมาเดินย่อยอาหารและตรวจดูตามพื้นที่ต่างๆเช่นเคย พ่อครูเดินมาดูสวนเกาะแก้วที่ท่านปัจฉาหนักแน่นดูแลอยู่ ถามว่าทำไมหญ้าถึงแห้งตาย พวกเราเรียนว่าเมื่อ 2 วันก่อนนั้นอากาศร้อนมาก เพิ่งจะมีฝนตกมาวันนี้อีกไม่นานหญ้าก็จะขึ้นมาใหม่ พ่อครูเดินต่อมาอีกเล็กน้อยบริเวณที่นำทรายลงมาปรับพื้นที่ใหม่ จนเห็นเป็นลานทรายโล่งโปร่งสะอาดตา โดยมีอาสนะเดิมที่เป็นตอไม้วางเด่นอยู่กลางสวน พวกเรานำเสนอว่าเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามเหมาะสมที่จะจัดรายการบริเวณนี้ โดยเฉพาะรายการพ่อครูเช่น สำมะปิ๋ซีวิต มองไปทางด้านหลังเห็นทั้งทางน้ำตกผาแหงน น้ำโตน แผ่นดินพุทธ อุทยานไม้ตายและภูมิทัศน์รอบๆลานสะโพ พ่อครูมายืนเล็งดูมุมกล้องและก็เห็นด้วยกับพวกเรา ที่จะใช้เป็นมุมจัดรายการ พ่อครูยังแนะนำว่ากล้องจะตั้งยากหน่อย ซึ่งพวกเรารับคำและจะนำไปปรึกษาทีมงานเพื่อเตรียมสถานที่สำหรับจัดรายการบริเวณนี้ต่อไป อาจจะเป็นช่วงหน้าหนาว ที่ไม่มีฝน
พ่อครูเดินมาที่อาคารบวร ยืนมองไปที่พญาแร้งหน้าเรือเจิ้นเทิ้นและองค์ประกอบต่างๆที่จัดใหม่ ท่านปัจฉาเรียนพ่อครูว่า คุณงามพิมพ์พุทธรายงานมาว่าคุณแสงศิลป์กำลังไม่ค่อยสบายเลยยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องแบบของพญาแร้งต่อ คงต้องพักรักษาตัวก่อนสักระยะหนึ่ง เดินไปที่ตลาดนัดบุญนิยมพวกเราเห็นนกเอี้ยงเหมือนจะตกลงมาจากรังที่อยู่ใต้หลังคาอาคารบวร ไม่แน่ใจว่าจะตายหรือเปล่าท่านปัจฉาดินไทได้เข้าไปดูอาการ เห็นว่ายังมีลมหายใจรวยรินแต่มีอาการธาตุแตกอุจจาระไหลออกมาแล้ว ท่าทางคงจะไม่รอด
พ่อครูเดินต่อมา ที่ถนนคอนกรีตด้านหลังวิทยาลัยอาชีวะ ผ่านมาถึงหน้าป้ายโรงปุ๋ยพลังชีวิต มองเห็นถนนหินคลุกที่เราเพิ่งเทหินคลุกลงไปทางลงลานจอดรถใกล้ที่นาของชาวบ้าน ซึ่งท่านปัจฉาสังเกตระดับน้ำโดยปกติเมื่อปีที่แล้ว ในช่วงกันยายนนี้น้ำจะมาถึงบริเวณขอบถนนแล้ว แต่ปีนี้ยังไม่มีวี่แววมาเลย คาดว่าน้ำคงจะไม่ท่วมข้าวของชาวบ้านก็คงไม่เสียหายเช่นกัน
.
พ่อครูเดินต่อมาที่ถนนคอนกรีตหน้าโรงปุ๋ยพลังชีวิต เจอต้นทองอโศกโค่นล้มลงหลายต้น วิเคราะห์กันว่าคงเป็นต้นไม้ที่ลำต้นไม่ค่อยแข็งแรงต้านลมไม่ได้เท่าไหร่เพราะเห็นการหักโค่นหลายต้นเมื่อมีลมพายุฝนมา
พ่อครูเดินผ่านป้ายของ”โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ”ซึ่งเป็นป้ายที่ติดตั้งมานานหลายปีแล้ว พ่อครูสังเกตดูว่าถ้าคนที่ผ่านมาแล้วไม่ได้พิจารณาอะไร ก็จะเข้าใจว่าเป็น ถนนคอนกรีตใหม่นี้เป็นโครงการของทางราชการ แต่แท้จริงแล้วเป็นงบประมาณของชาวบ้านราชและพ่อครูเอง โดยป้ายจะไม่มีวันเดือนปีที่จัดทำโครงการ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดกันได้ ถ้ามายืนอ่านก็จะเข้าใจว่าป้ายนี้ไม่ใช่ถนน ตามโครงการนี้ ดูได้จากชื่อโครงการ ที่เป็น การซ่อมแซมถนนลงหินคลุก แต่ถนนที่กำลังทำเป็นถนนคอนกรีตซึ่งสามารถเข้าใจผิดได้ว่าใช้งบประมาณเพียง 200,000 บาท พ่อครูและท่านปัจฉายืนอ่านกันไปสักพักก็สังเกตเห็นชื่อของสถานที่ได้เขียนมาผิดโดยมีสระอุในชื่อราชธานีอุโศก ท่านปัจฉาหนักแน่นจึงได้ไปขูดสระอุออก
พ่อครูเดินผ่านโรงปุ๋ยพลังชีวิต ท่านสมณะคิดถูกที่ดูแลฝ่ายผลิตของโรงปุ๋ยได้มากราบนมัสการ ถามไถ่ อาการอาพาธของพ่อครู ซึ่งพ่อครูได้บอกว่าหายแล้วเพราะเป็นมานานเกือบจะ 1 สัปดาห์แล้ว ตอนนี้ปกติแข็งแรงดี พ่อครูเดินกลับมาที่อาคารบวรถนนทางลัดเป็นโคลนตั้งแต่ต้นถนน มองไปที่ภายในสวนป่ากล้วยคนงานกำลังยกร่องทำแปลงผัก เดินขึ้นมาข้างอาคารบวรต้นทองอโศกโค่นล้มหลายต้นอีกเพราะมีพายุฝนมาค่อนข้างแรง
พ่อครูเดินกลับมาด้านหน้าอาคารบวร เห็นม้าไม้กระดกจากแมนน้ำริน ได้นำมาวางไว้ที่สวนเพื่อฟ้าดินหน้าอาคารบวรเรียบร้อยแล้ว เดินมาทางลงหน้าอาคารบวรสังเกตเห็นต้นกระจงที่กำลังเติบโตงดงามดี มีรังนกมาทำรังอยู่เป็นจำนวนมาก พ่อครูกลับมาทางลานสะโพ ป้าแมวกับแม่เปลี่ยนจอดจักรยานมากราบนมัสการพ่อครูพ่อครูถามว่าจะนำแผ่นโฟมไปทำอะไร ป้าแมวเรียนว่านำไปใส่เก็บผักบุ้งที่วางแผ่นโฟมบนน้ำแล้วนำตัดผักบุ้งวางบนโฟมลอยมาถึงริมแปลงสวนได้เลย มาถึงหน้าน้ำตกผาแหงนมีเด็กนักเรียนมาเล่นน้ำกันอยู่หลายคน ก่อนที่พ่อครูจะลุยโคลนมาถึงชั้นล่างของอุทยานไม้ตาย ท่านปัจฉาดินไท ล้างเท้าและรองเท้าที่เปื้อนโคลนถวายพ่อครู พ่อครูสังเกตเห็นหลังเท้าตนเองมีสีทูโทนเนื่องจากสวมรองเท้าเดินตากแดด หลังเท้าส่วนที่อยู่ในรองเท้าก็จะขาวกว่าส่วนที่ตากแดด
พ่อครูขึ้นลิฟท์กลับขึ้นชั้น 4 ก่อนจะเข้าห้องทำงาน พ่อครูเห็นตาข่ายแหที่นำมาให้ต้นไม้เลื้อย พ่อครูบอกว่าคนนี่เก่งจริงๆพี่สรรหาอุปกรณ์มาดักจับสัตว์ สัตว์เมื่อมองไม่เห็นตาข่ายโดยเฉพาะปลาก็จะมุดเข้าไป ก็จะติดร่างแหไปไหนไม่ได้ พวกเรายังบอกว่ายิ่งคนคิดอุปกรณ์เพื่อจับสัตว์มากเท่าไรหมายความว่าสิ่งที่มีคนบอกว่าสัตว์เหล่านี้เกิดมาเพื่อเป็นอาหารให้มนุษย์นั้นเป็นความเชื่อที่ผิด พ่อครูบอกว่าถ้าเขาเชื่ออย่างนั้นว่าสัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารมนุษย์ ถ้าเราคุยกับสัตว์ว่า วันนี้มีสัตว์ตัวไหนจะมาให้ทำอาหาร ให้ออกมา สัตว์เหล่านั้นคงเดินมาหาเราเอง ไม่ใช่ต้องหาอุปกรณ์มาดักจับสัตว์ ซึ่งแสดงว่าสัตว์ไม่ได้เต็มใจมาเป็นอาหารของมนุษย์ ซึ่งต่างจากมนุษย์พืชเช่นชาวอโศก มีการใช้แหเหมือนกันแต่นำมาเพื่อให้ต้นไม้ใช้เลื้อยเพื่อต่อชีพของไม้เลื้อยนั้นๆไม่ใช่ทำลายชีวิตของแม้กระทั่งพืช
พ่อครูกลับเข้ามาที่โต๊ะทำงาน อ่านหนังสือคนจนที่มีแบบ ก่อนที่จะเช็ดหน้าเช็ดตาและเปิดคอมพิวเตอร์แก้ไขปรับปรุงหนังสือคนจนที่มีแบบต่อ พร้อมกับเตรียมพักผ่อนก่อนจะแสดงธรรมในรายการสำมะปี๋ซีวิตในช่วงเย็น