บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ …ทำงานติดลมจนไม่ได้เดินตรวจงาน
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
แสงแดดยามเช้าวันนี้ ทำให้นึกถึงเพลงก่อนสิ้นแสงตะวัน ที่ทำให้นึกถึงว่าเวลาล่วงเลยนำไป อย่าระเริงหลงว่าเวลาผันผ่อนจะพาร้อนใจ เราทำอะไรอยู่ แสงอรุณเวลา 6 โมงเช้าสว่างเรืองรอง พ่อครูที่ตื่นรับอรุณเวลา 6.00 น.ตามเสียงปลุกนาฬิกาตามปกติ กราบพระ ออกกำลังกาย 4 ท่าบริหารเช่นเคย โดยได้ลดจำนวนครั้งของการวิดพื้นเหลือเซตละ 12 ครั้งรวมทั้งหมด 4 เซตจำนวน 48 ครั้ง เริ่มวันนี้ที่ลดจำนวนครั้งเป็นวันแรก ออกจากเต๊นท์พ่อครูมาเช็ดหน้าเช็ดตา ฉันน้ำปัสสาวะอุ่นเป็นจอกแรก พร้อมกับสนทนากับท่านปัจฉาสมณะเป็นปกติ แต่วันนี้ระบบขับถ่ายคล่องตัวดี นั่งสนทนาไม่ถึง 10 นาที ก็อยากเข้าส้วมทำธุระส่วนตัวแล้ว หลังจากพ่อครูทำธุระเสร็จ ก็เห็นที่ห้องน้ำมีการเปลี่ยนแปลง พวกเราเรียนว่าท่านสิกขมาตุต้นข้าว นำช่างมาติดตั้งอุปกรณ์สำหรับจับและยึดในห้องน้ำไว้หลายจุดเพื่อความปลอดภัยของพ่อครูขณะที่ใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม ตามที่ลูกๆหลายคนเป็นห่วง จากนั้นพ่อครูกลับเข้ามาที่ห้องทำงานชั่งน้ำหนักตามปกติ วันนี้น้ำหนักอยู่ที่ 49.4กิโลกรัม ท่านปัจฉาเดินดินเข้ามาเรียนปรึกษาพ่อครูเรื่องที่ชาวบ้านกำลังจะเกี่ยวข้าว และเริ่มเข้าฤดูฝน ฝนตกแทบทุกวันและจะต้องตากข้าว ชาวบ้านซึ่งเคยเห็นพวกเราเคยตากข้าวที่อาคารบวร จึงขออนุญาตนำข้าวมาตากอาคารบวรพ่อครูบอกว่าให้ทำได้เลย ท่านปัจฉาเดินดินยังบอกไปว่าข้าวตากได้ แต่นกต้องคอยไล่เอาเอง เพราะพวกเราก็มีปัญหากับนกช่วงตากข้าวไว้เช่นกัน หลังจากนั้นพ่อครูก็เข้าสู่โหมดพิมพ์หนังสือคนจนที่มีแบบต่อ พร้อมกับดูข่าวสารจากทีวีทั้ง 3 ช่องเช่นเคย
เวลาประมาณ 6.35 นาทีอาญาดาได้นำหญิง 2 ท่านมาจากจ.นครพนม มากราบนมัสการพ่อครู ผู้ที่สวมเสื้อเขียวเคยดูและฟังธรรมะพ่อครูพร้อมรายการของชาวอโศกทางบุญนิยมทีวี ทำให้เข้าใจธรรมะของพ่อครูที่ให้ประโยชน์เกื้อกูลมนุษยชาติ จึงอยากมาดูสถานที่จริงและกราบพ่อครูซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ อีกท่านหนึ่ง หญิงท่านสวมเสื้อเหลืองไม่เคยฟังธรรมพ่อครู ไม่เคยดูทีวีที่พ่อครูแสดงธรรมเลย แต่นั่งนิมิตแล้วเห็นสถานที่นี้ จึงเดินทางมาตามนิมิตตนเองก็มีสถานที่นี้ตามนิมิตตนเองจริงๆ โดยทั้งสองไม่รู้จักกันมาก่อน มาพบกันที่บ้านราช อาญาดาได้ต้อนรับและนำไปพักค้างคืนที่บ้านและขึ้นมากราบพ่อครูช่วงเช้า สนทนากันสักครู่พ่อครูได้มอบหนังสือคนจนที่มีแบบ ก่อนที่ทั้งสองจะกราบลา หญิงท่านที่สวมเสื้อเขียวบอกว่าจะกลับมาบ้านราชอีกครั้งหลังจากไปที่เชียงใหม่กลับมา ประทับใจสถานที่นี้มาก
เวลา 7.50 นาทีพ่อครูลุกจากโต๊ะทำงาน มาพร้อมท่านปัจฉาหนักแน่น มาออกกำลังกายด้วยเครื่อง elliptical เป็นเวลา 25 นาที หลังจากนั้นได้ลงมาจากชั้น 4 เดินผ่อนคลายกล้ามเนื้อเข้าไปภายในหมู่บ้าน ผ่านหน้าบ้านอาดินนาแวะเยี่ยมแม่ของอาดินนาด้วย พ่อครูเดินผ่านหลังเฮือนตลาด ซึ่งกำลังมีการก่อสร้างฐานสโตนเฮ้าส์ เดินออกมาที่ถนนตรงกลาง บริเวณเรือกระแชงที่มาจากชลบุรี พ่อครูทักทายช่างจากอยุธยาที่ทำงานได้รวดเร็ว เรือที่ซ่อมใกล้เสร็จแล้ว พร้อมๆกับโครงสร้างฐานของเรือที่จะทำเป็นสโตนเฮ้าส์ก็ใกล้เสร็จเช่นกัน พ่อครูมีดำริให้ทาสีเรือเป็นสีทองเลย หลังจากที่ยกเรือวางบนฐานเรียบร้อยแล้ว เดินผ่านลำธารบริเวณแก้งตำอิด ฝนที่ตกทั้งคืนทำให้ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ช่วงนี้มีสุนัขที่มาอยู่ในชุมชนหลายตัวและคอยย่ำถนนคอนกรีตช่วงที่เทปูนใหม่ๆอยู่เสมอ
พ่อครูเดินเลาะมาด้านข้างวิทยาลัยอาชีวะ ข้ามสะพานมาด้านหลังเรือไฟฌาน ซึ่งเวลานี้เป็นดงต้นโสนที่ขึ้นมาเต็มพื้นที่ พ่อครูเดินกลับมาตามถนนหน้าเรือไฟฌานที่ค่อนข้างแฉะ เพราะฝนตกหนักเมื่อคืนนี้ เดินขึ้นมาบริเวณเรือโคกใต้ดิน ผ่านมาด้านข้างสขจ. พ่อครูชี้ให้ดูเห็นต้นไม้ที่เคยเป็นแผลแต่เริ่มงอกขึ้นมาใหม่แล้ว ท่านปัจฉาดินไทชี้ให้พ่อครูสังเกตว่ามีต้นพยุงอยู่แถวนี้ด้วย พ่อครูเดินกลับขึ้นที่ชั้น 2 เฮือนสูญ บันไดเป็นสีเขียวมรกตตัดกับขอบบันไดสีคล้ำเป็นธรรมชาติงดงามมาก พ่อครูแวะเข้าห้องน้ำที่ชั้น 2 โดยมีโดยมีท่านปัจฉาดินไทและคุณนาคแนวตรงคอยดูแลอยู่ด้านหน้าห้องน้ำ คอยดูวางยางกันลื่นหน้าห้องน้ำ กลับขึ้นชั้น 4 ท่านปัจฉาหนักแน่นนิมนต์ดูสวนเกาะแก้วที่เริ่มปรับพื้นที่กว้างขึ้นมีทรายมาถมเพิ่มอีก
พ่อครูกลับเข้ามาห้องทำงานเปิดทีวีและปรับจูนช่อง ด้วยตนเองก่อนที่จะเปลี่ยนชุดเพื่อรออาหัวโตและคุณแรงผาที่มากราบขอถวายการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นให้พ่อครูในเวลา 9.30 น.
เวลาประมาณ 12.00 น.พ่อครูครูฉันภัตตาหารที่ห้องทำงานชั้น 4 พร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับที่รับเป็นประจำ หลังฉันภัตตาหาร เวลาประมาณ 15.00 นตอนแรก พ่อครูมีดำริจะเดินย่อยอาหารด้านล่าง มีพวกเราเรียนว่าภายในชุมชนกำลังมีการพ่นหมอกควันไล่ยุง ทำให้พ่อครูนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ และเมื่ออ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ ก็ติดลมพิมพ์แก้หนังสือคนจนที่มีแบบต่อเนื่อง
ส่องผ่านเลนส์..แวะมาที่ห้องน้ำพ่อครู ที่หลายคนเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ท่านสิกขมาตุต้นข้าว อโศกตระกูลได้นำช่างมาติดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกกันลื่นทุกจุดภายในห้องน้ำ เริ่มจากประตูทางเข้าห้องน้ำก็จะไม่มีการปิดประตู ภายในห้องน้ำแต่ละห้องก็จะมีราวจับทั้งบริเวณสรงน้ำ บริเวณส้วมในทุกระดับทั้งท่ายืนท่านั่งจะมีราวจับสแตนเลสในทุกระดับสามารถจับเอื้อถึงได้ง่าย รวมถึงพื้นก็จะมีแผ่นยางกันลื่น ปูเต็มพื้นที่ ประตูห้องน้ำไม่ล็อคใช้เลื่อนปิดเฉยๆ ท่านปัจฉาสามารถเปิดได้ตลอดเวลา พร้อมกับมีราวจับหน้าห้องน้ำอีกด้วย ในห้องสรงน้ำก็จะมีเก้าอี้สำหรับพักระหว่างสรงน้ำถ้ามีอาการผิดปกติก็สามารถนั่งพักได้โดยไม่บาดเจ็บ เป็นความใส่ใจในรายละเอียดเรื่องความปลอดภัยในการใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมของพ่อครูที่ลูกหลานหลายคนเป็นห่วงในขณะนี้
พ่อครูนั่งทำงานจนถึงประมาณ 17.00 น.จึงได้นอนพักประมาณ 1 ชม.หลังจากนั้นก็ยังมานั่งพิมพ์งานต่อจนถึงประมาณ 21.00น.ถึงเตรียมจะจำวัด ที่พ่อครูถือว่าเป็นภาระมากในการนอน พ่อครูยังได้สนทนากับท่านปัจฉาสมณะเหมือนเทศน์ในรายการสำมะปี๋ ที่มีการซักข้อธรรมะไปมา เกี่ยวกับเรื่องเวทนา 2 เป็นเวทนา 1 และเวทนาสูญ ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้นถึงขั้นว่า เวทนา 1 เป็นอุเบกขาที่สามารถเป็นทั้งเนกขัมมะและเคหสิตได้(ในระดับรู้แล้วกดข่ม) จะมีเพียง เวทนา 0 เท่านั้นที่หมด ไม่สุข ไม่ทุกข์ อยู่เหนือเวทนานั้นๆแม้มีผัสสะอยู่กับสิ่งนั้น อธิบายปุงลิงค์ นปุงสกลิงค์ รวมถึงคนที่ร่างกายเป็นพีชะ(เป็นพืช)แต่ยังมีจิตนิยาม และยึดกับสรีระร่างกายจนไม่เน่า เหมือนครูบาอาจารย์หลายท่านที่ลูกศิษย์บอกว่าเมื่อตายไปแล้วไม่เน่า ไม่เปื่อย เป็นผู้บรรลุธรรมถึงขั้นอรหันต์ซึ่ งพุทธที่เป็นสัมมาทิฏฐิคือผู้นั้นไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย เป็นผู้ยึดอยู่กับพีชะ และไม่สามารถทำจิตหลุดพ้นไปได้อีกนานแสนนานเพราะไม่รู้จักปล่อยวาง (ติดตามฉบับเต็มได้ที่สื่อธรรมะพ่อครู) จนถึงเวลา 21.27 นาทีพ่อครูจำวัดท่ามกลางลมเย็นเอื่อยๆเริ่มเย็นมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครืนๆ