610731 แหลกมุมหลากมิติของจิตวิญญาณ
พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 31 ก.ค. 2561
ส.หนักแน่น : อุปาทา กับอุปทานมันต่างกันยังไงครับ?
พ่อครู : ฮะ ?
ส.หนักแน่น : อุปาทา กับอุปทานมันต่างกันยังไงครับ?
พ่อครู : ก็เป็นพยัญชนะที่อุปาทา กับอุปทาน อุปาทายติ มันเป็น บอก ชี้บอกถึงหน้าที่ของการยึด ยึดนิดนึง ยึดต่อมา ยึดมั่นถือมั่น นี่อุปทานนี่ยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นเหนียวแน่นแข็งแรง อุปทานเต็ม อุปาทายติเป็นกิริยา กำลังยึดมั่น กำลังจะยึดให้มั่น อุปาทา ก็เริ่มต้นลักษณะกิเลส ลักษณะกิเลสขึ้นมา กำลังหาจะยึดอะไรดีวะ จะยึดอะไรดีวะ นี่อธิบายให้ภาษา ให้เข้าใจว่า ไอ้พวกนี้มันเป็นอย่างนี้ เขาก็ใช้พยัญชนะนี้ขึ้นมาตั้ง ให้ตัวนี้เป็นเช่นนี้ มีกิริยาตัวนี้ ไอ้นี่มีกิริยา มาจากอุปาทา เป็นอุปาทายติ แล้วก็เป็นอุปาทาน ยังมีอีก รายละเอียดมากกว่านั้นอีก อุปาทายังมีมากกว่านั้นอีก อุปปาเทติ อุปา อะไร อุปปาเทติ อุปาอะไร ไม่ได้จำ มันมีรายละเอียด มากน้อยแล้วลักษณะมิติต่างๆที่มันจะมีลักษณะ ละเอียดๆ แต่เราเข้าใจคร่าวๆ แล้ว เราเข้าใจละเอียดได้ว่า เออ ถ้ามันเป็นงี้ๆ มันละเอียด มันก็อย่างนั้น มุมนั้นมุมนี้ เป็นมิติของมันไปเท่านั้นเอง
ส.แสนดิน : อย่างนี้ต้องเอาเจตสิก ร้อยกว่าอะไร มันก็ ไม่ละเอียด
พ่อครู : เข้าใจได้นะ ถ้าเผื่อจะไปขยายร้อยกว่า เราก็มีปฎิภาณเข้าใจได้ง่าย เป็นแต่เพียงว่าจะต้องมาจำ มาจำชื่อ มาจำบัญญัติ ที่เข้า มุมนี้นะ ไอ้นี้เท่านี้องศาเรียกอันนี้ เท่านี้องศาเรียกเท่านี้
ส. แสนดิน : ในตรรกะของอนุสัยกับอาสวะก็คงจะละเอียด
พ่อครู : ใช่ เหมือนกัน นอกจากจะองศาแล้วก็ยังมีมิติอีกด้าน สูง ต่ำ ดำ ขาว เป็น dimension เข้าไปอีก เป็นต่างๆ มันมากกว่า สี่ dimension
ส. แสนดิน : อย่างนี้จึงบอกว่าพระอรหันต์เป็นผู้ไกลจากกิเลส เพราะว่ามันมีรายละเอียดของอนุสัยอาสวะที่ แม้แต่เป็นพระโพธิสัตว์ก็มีรายละเอียด
พ่อครู : ก็คุมได้รู้หมด รู้หมด
ส. แสนดิน : กิเลสของโพธิสัตว์ จริงๆไม่ใช่กิเลสของมนุษย์ทุกคน
พ่อครู : เพราะนั้นรู้ความเป็นเหลี่ยม รู้ความเป็นเหลี่ยม เป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม four dimension มันเต็มละ ถ้าออกไปจาก four dimension เป็น five dimension เป็น six dimension มันก็ไปกันอีก มันก็กลายเป็นลูกโลก ลูกโลกที่ขยายมุมเหลี่ยมออกไป เป็น six เป็น seven เป็น eight เป็น nine อะไรไป มันก็จะยิ่งเป็น dimension องศาของมันก็ยิ่งจะเป็นป้านขึ้นๆๆๆ จนกระทั่งรอบโลกนี่ โอ้โห มันหักมุมโดยไม่รู้องศา มันมีองศาเปล่า มันเหมือนเส้นตรงนะ แต่มันไม่ตรงหรอก ทุกๆอย่างมันต่อเนื่องไปเป็นสายเนี่ย มุมมันก็นิดๆๆๆองศา
คุณเจมส์ : ไม่ตรงครับ เพราะว่ามันมียอดเขา เพราะว่ายอดเขามันอยู่เปลือกโลก มันก็ไม่มีความกลม
พ่อครู : เพราะฉะนั้นเลยเกิด ทุกอย่างก็เกิด ไม่ smooth ไม่เป็นเส้นตรง ไม่เป็นเส้นตรงก็เป็นเส้นเลอะ อากาศมันวิ่งตรงไม่ได้ อย่างว่าไปเจอภูเขา ไปเจอเหว ไปเจอโน่นนี่ มันก็ต้อง อากาศมันก็ต้องเคลื่อนขึ้นลงไปตามอะไรต่ออะไรอีก มันก็เลยเอากลมดิ๊กไม่ได้
ส.แสนดิน : พ่อท่านบอกว่าแสงไม่ใช่เดินทางเป็นเส้นตรง
พ่อครู : แสงเป็นเส้นตรงไม่ได้เลย แสงเดินทางเป็นเส้นตรงไม่ได้ ถ้าแสงเดินเป็นเส้นตรงเมื่อไหร่ เอกภพหาย
ส.แสนดิน : ไม่มีการหมุนวน
พ่อครู : ไม่มีการกลับไง ถ้าแสงเดินทางเป็นเส้นตรงมันก็เป็น nuclear fission ไปหมดเลย แล้วมันอะไรจะกลับมาเป็นก้อนล่ะ เส้นตรงไปไม่มีเส้นโค้งเลย อะไรจะเกิดก้อน
ส.แสนดิน : อะไรๆที่มันมีขึ้นมาเป็นสมมติขึ้นมาทั้งหมด ก็คือมันจะต้องโค้ง
พ่อครู : มันมีตรงไง ไอ้ที่แสงที่มันตรงไปเลยได้ก็หายไปเลย เป็น nuclear fission ไปเลย ไอ้ที่มันโค้งมันก็คือยังอยู่ไง ไอ้ที่ไม่อยู่มันก็คือไม่มีสิ มันก็หายไป
คุณเจมส์ : หมายความว่าอย่างนี้รึเปล่าครับ แสงนี่มันเดินทางเป็นเส้นตรงในระดับหนึ่ง พอหมดระยะแรงของแสงมันจะหมดแล้ว
พ่อครู : หมดหายไปเลย
คุณเจมส์ : หรือว่าจะโค้ง ๆ ออกไป แล้วจะกระจาย
พ่อครู : ไม่มีแรง มันไม่มีแรง มันไม่มีอะไรต่อ แรงก็ไม่มี ความเจือจางก็หมด ตัวตนก็หมด หมดหายไปเลย
คุณเจมส์ : มันจะสะท้อนต่อ
ส.ดินไท : มันกระทบฝุ่นละออง กระทบอะไร
คุณเจมส์ : สะท้อนกลับได้
พ่อครู : ฝุ่นละอองมันไม่มี แสงหรือว่าอากาศมันยิ่งกว่าฝุ่นละออง ฝุ่นละอองมันเป็นธาตุดิน
คุณเจมส์ : แต่ตัวแสงไปกระทบ
ส.แสนดิน : ในฝุ่นละอองใน ในฝุ่นละออง ในฝุ่นละออง
พ่อครู : นั่นแหละ มันก็หายไปกับ
คุณเจมส์ : มันก็จะหักเหลี่ยม หักมุม
พ่อครู : ทุกอย่างเลย หายไปกับ infinity หายไปกับ ไม่มีอะไรแล้ว
คุณเจมส์ : ชั้นบรรยากาศมันก็สลายไป
พ่อครู : ไม่มีอากาศนะ อากาศนี่มันยังมีสภาพ ไอ้นี่ไม่มีแม้แต่อากาศ ไม่มีแม้แต่อะไรเลย อวกาศก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไร หายไปเลย
ส.แสนดิน : อากาศนี่ยังมี ไนโตรเจน ออกซิเจน เป็นโมเลกุล
พ่อครู : ไอ้นี่มันไม่เป็นอะไร ไม่มีโมเลกุลอะไร
ในสวนดาว ถอดความ
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=3lp4SwP-R-I[/embedyt]