610906_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 12
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1gfr7jIrWwWR6Hxxxn8-Gx3vVYUyrUOmAn0M14U7Nf5g/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ubqknJVLjtDhBKwwQ8p17gmRW5pouiIM
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสที่ 6 กันยายน 2561 ที่ บวรราชธานีอโศก
มีใบที่เขา sms ไลน์มาเมื่อวานก่อน
_แหม่ม สวิส รายการสำมะปี๋ซีวิตครั้งต่อไป….ขออนุญาตกราบเรียนฝากคำถามค่ะ
“มโนมยิทธิ”คืออะไร มีกี่แบบ ใช่หนทางดับทุกข์หรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ในวิชชา 8
-
วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . .
-
มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .
-
อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี)
-
ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)
-
เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
-
จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .
-
อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)
(พตฎ. เล่ม 9 ข้อ 127 – 138)
มโนมยิทธิ ก็ใช่หนทางดับทุกข์ เพราะเป็นวิชชาข้อหนึ่งในแปดข้อ มโนมยิทธิ เป็นตัวสำคัญเลย เป็นตัวที่ทำให้เกิดอำนาจ อิทธิ จิตที่สำเร็จ
เช่นการสร้างพลังงานจิตให้เกิดผลก็คือเกิดมโนมยิทธินี่แหละ เมื่อทำให้เกิดอภิสังขารในจิต ทำพลังงานจิตให้มีคุณภาพถึงขั้นบุญ
ข้อที่ 1 ทำให้รู้แจ้งเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มันทรงสภาพอยู่ แล้วเราก็อ่าน กายคือ ธรรมะ 2 เป็นองค์ประชุม ท่านกำหนดเป็นจิตและต้องรู้เป็นเวทนา รู้สภาพจิตหรืออารมณ์ แจ้งความเป็นจริงว่าเป็นสภาพที่มีอยู่นะ ถ้าคุณไม่มีจิตก็ตายแล้ว หรือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ในประเด็นที่ว่าเข้าใจคำว่ากาย คือดิน น้ำ ไฟ ลม กายไม่มีจิตร่วมอยู่ด้วย คนนี้ก็สูญเปล่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้แล้ว
เพราะว่าพิจารณาดิน น้ำ ไฟ ลมเป็นคนตายแล้ว ไปพิจารณาทำไม มันต้องพิจารณาคนเป็น ความรู้สึกที่มันยังเกิดอยู่ มีชีวะมีการดำเนินไปแล้วมันอยู่กับเรา มีธรรมะ 2 ต้องตรวจสภาพรูปกับนาม คือกาย แล้วกายคือ เทวธัมมา ทวเยน เวทนายะ ก็คือ เวทนาสองทำให้เป็นหนึ่ง เอกสโมสรณา ภวันติ อันนี้คือหัวใจศาสนาพุทธ หากไม่สามารถทำให้เวทนา 2 เป็นเวทนา 1 ไม่ได้ คุณก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธ เพราะว่าเวทนาคืออาการอารมณ์ ศาสนาพุทธคือศาสนาที่บำบัดทุกข์ ไม่ใช่ศาสนาบำรุงสุข อย่างที่พูดภาษาการเมืองสังคม
ศาสนาพุทธสูงสุดที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขนั้นคือสุดยอดเป็นนิพพาน เป็นอารมณ์ของคนประเสริฐสูงสุดคือพระอรหันต์ เป็นเรื่องเกินกว่าที่มนุษย์จะคิด เกินกว่าโลกียะสามัญ พวกเราพูดกันสบายๆ แต่คนข้างนอกฟังแล้วจะแปลกหูว่าอยู่ได้อย่างไรไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ก็พอเข้าใจ แล้วอยู่อย่างไรไม่มีสุข มันต้องมีสุข เขาก็หลงโลกียสุข
สุขเพราะว่าได้สัมผัสในวัตถุสมใจ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สมใจ ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สัมผัสทางทวาร 5 อาการสุขต่างๆพวกนี้ก็คือการบำเรอใจบำเรออัตตา ก็เป็นกิเลสติดอย่างนี้ คนก็ต้องเป็นอย่างนี้ แต่โลกุตระนั้นเกินกว่ามนุษย์สามัญของโลก
ศาสดาเทวนิยม ศาสนาพระเจ้าก็มีสุข ทุกข์ ดีชั่ว ปฏิบัติอยู่แค่นั้น แต่ของศาสนาพุทธออกจากความสุขความทุกข์ความดีความชั่วเหนือชั้น จึงไม่มีสภาพอุปาทานใด ไม่ยึดมั่นถือมั่นใด จิตจึงมีปรินิพพาน สามารถตายแล้วสูญไม่เกิดในที่ใดๆได้อีกเลย เพราะตั้งแต่เป็นๆก็ทำได้แล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ดีชั่วก็รู้ว่าเป็นสมมุติ ความสุขความทุกข์นั้นเป็นปรมัตถสัจจะ เรารู้ทั้ง 2 อย่างแล้วไม่ได้โหยหาในความสุขความทุกข์ความดีความชั่ว รู้สมมุติว่าใครเขาติดอย่างใด ของเขาติด แต่ของเรารู้ว่ามันเกิดอย่างนั้นในใครต่อใคร แต่ก็ไม่ต้องไปเป็นอย่างเขาได้
อย่างกระทบสิ่งนี้พร้อมกัน ทุกคนมองพร้อมกัน แต่ละคนก็มีความรู้สึกไม่เท่ากัน คนที่ฟังอาตมาแล้วเกิดความทุกข์ไม่รู้เรื่องมีความเบื่อมีความชังนักหนา ก็มี คนที่ใส่ใจ ได้ประโยชน์ก็มีความพอใจยินดี ก็เข้าใจว่าดีอย่างไร มีความเข้าใจก็จบด้วยปัญญา
มีกี่แบบ ก็มีแบบมิจฉาทิฐิกับสัมมาทิฏฐิ
มโนมยิทธิ แบบที่มิจฉาทิฐิก็เข้าใจไปว่ามีฤทธิ์เดชทางใจ แบบเดรัจฉานวิชชา
สัมมาทิฏฐิ คือ มีอำนาจมีฤทธิ์มีพลังทางใจที่สามารถทำให้กิเลสลดได้ เป็นความสำเร็จทางจิต มโนมยะ โดยสร้างอำนาจ พลังที่เป็นบุญ เป็นการกำจัดกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้เป็นมโนมยิทธิมีความเก่งทางใจอย่างสัมมาทิฏฐิ
มโนมยิทธิก็คือสัมมาทิฏฐิก็ศึกษาแล้วทำใจในใจให้เป็น เป็นมนสิการ
SMS 5 กันยายน 2561 (พ่อครู : พุทธศาสนาตามภูมิ)
_2166 พ่อท่านเคยพบกับ อ.สุจินต์ บวรวนเขต หรือเปล่าครับ? แนวทางของท่านสัมมาทิฏฐิไหมครับ? ระหว่างสายอ. มั่น-พุทธทาส-อ.สุจินต์ พ่อท่านว่า ใครสัมมากว่าครับ??
พ่อครูว่า…ไม่เคยเจอกันเลย เดินกันคนละทางคนละสาย อาจารย์สุจินต์แก่กว่าอาตมาตอนนี้เขาอายุ 90 แล้ว ทำงานศาสนาเหมือนกันแต่ไม่เคยเจอกันเลยให้อาตมาตอบคือแนวทางของท่านยังไม่สัมมาทิฏฐิเพราะว่าท่านอธิบายเป็นอภิธรรม ปฏิบัติให้รู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยงทุกอย่างเป็นทุกๆอย่างเป็นอนัตตา มาเป็นธรรมะก็สักแต่ว่าเป็นธรรมะเฉยๆ แล้วก็วางก็จบ ก็คือเป็นตักกะ ไม่ได้อ่านเข้าไปถึงเจตสิก โดยเฉพาะเวทนา 108 แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นจริงในขณะสัมผัสว่ามันกิเลสเกิดอย่างนี้นะ แล้วมันมีกาม พยาบาท ผสมมาแล้วกำจัด พยาบาท กาม ต้องเห็นของจริงความจริงในความเป็นจริงในขณะสัมผัสปัจจุบัน ไม่ได้สอนเข้าไปที่สภาวะธรรมอย่างนี้ มันก็ได้แต่ตรรกะ ก็ตอบแต่ว่าไม่สัมมาทิฏฐิ
พ่อครูว่า…ก็ท่านพุทธทาสสัมมาทิฏฐิกว่าแต่ท่านพุทธทาสก็เอาแต่ที่ตัวเองชอบ ชังอภิธรรม ชังเข้าไส้เลย เรียกว่าอภิธรรมเม็ดมะขาม แล้วบอกว่า พระไตรปิฏกนี้ฉีกทิ้งไป 60% ได้เลย อาตมาว่า พระไตรปิฎกฉบับนี้ อาตมาว่าใช้ได้ทั้งเล่ม อาตมาว่าจะบกพร่องไม่เกิน 5% ก็เป็นธรรมดาที่ถ่ายทอดกันมา มีการผิดเพี้ยนบ้างนิดหน่อย ก็เลยจะให้ตัดสินว่าอะไรที่ผิดเพี้ยนบ้างก็ยังไม่เก่งขนาดนั้น ขออภัยที่ไปพูดจาวิจารณ์อาจารย์ใหญ่ๆทั้งนั้น ถามมาก็ตอบไป
_แก่งธรรม..พลังงานมีแต่มโนมยิทธิหรืออย่างอื่นด้วยที่จะสามารถ ปรับปวาทะได้
พ่อครูว่า…หากคุณเองมีสมรรถนะความรู้พอสูงพอที่จะปรับปวาท หมายความว่า ผู้ที่เขามาพูดกับเราแล้วเขาเข้าใจไม่ถูก ผิดเพี้ยนอยู่ก็สามารถพูดคุยทำให้เขาเข้าใจ สามารถปรับวาทะกับผู้ที่มาพูดกับเรา โดยเฉพาะผู้ที่ยังเข้าใจไม่พอสามารถทำให้เขาเข้าใจได้อย่างเพียงพอ เรียกว่าเป็นผู้ที่สามารถ ปรับปวาทะ จะบอกว่า มโนมยิทธินั้น จัดการจิตของเราเอง แต่ปรับปวาทะ คือความสามารถที่จะพูดกับคนอื่น ไม่ใช่ไปเถียงเขานะ
แก่งธรรมว่า… ขณะที่เรากำลังจะทำความเข้าใจกับเขา เรามองว่า เขามีจิตต่อต้านเราอยู่ จากการที่เราได้พูดด้วยพลังงานของจิตที่มีความเมตตา เขาทุกข์มาเราก็พยายามให้เขาเข้าใจ จะเห็นว่าผู้ที่เข้าใจซาบซึ้งก็มี แต่อีกคนหนึ่งเขายังไม่ยอม แต่เรารู้ ผมถึงได้ถามว่า มันจะต้องมีพลังงานวิชชาอื่นๆประกอบในวิชชา 8 หรือไม่
พ่อครูว่า..ก็ต้องมีสิ ปรับปวาทะคือ ทำให้คนอื่นเข้าใจ แต่คุณออกกว้างไปมีสองอย่าง จะสามารถทำให้คนเข้าใจ นี่ถ้ายิ่ง สามคน สี่คน ร้อยคนก็ยิ่งยาก พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า จะต้องสร้างคนให้สามารถปรับปวาทะได้ ท่านจึงจะปรินิพพาน อาตมานี่ไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอก ไม่มีปัญญาทำได้ขนาดนั้น หลักของอาตมานั้น พยายามพูดถึงความถูกต้องที่อาตมาเข้าใจ เป็นธรรมะที่สัมมาทิฏฐิถูกต้อง อันอื่นไม่ได้เน้น
_1614 ไม่มีอะไรจะเป็น”เครื่องคุ้มกัน”มากเท่ากับ “สติ”-พุทธทาสภิกขุ ถ้าจะบอกว่าศีลเป็นเครื่องคุ้มกัน ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…มันประกอบกัน ศีล สมาธิ ปัญญา หรือเมื่อมีศีล แล้ว สำรวมอินทรีย์มีสติสัมปชัญญะ แล้วปฏิบัติให้เกิดสันโดษ นี่คือหลักการในสามัญญผลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 สูตรที่ 3
สูตรที่ 1 ตรัสองค์รวม การนั่งหลับตาสมาธิเรียกว่าเจโตสมาธิเป็นการปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิ 64 อย่าง อดีต อนาคต และสูตรที่ 2 ก็พูดถึงการออกป่า ตีทิ้งได้เลย ที่ถูกคือสามัญผล ก็คือสังวรศีล ตั้งแต่ศีล 5 ข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์ข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับของข้อที่ 3 เกี่ยวข้องกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณทำสำเร็จได้ผล ได้ผลคือลดกิเลสได้สั่งสมตกผลึกเรียกว่าสมาธิ
ขณะที่คุณจัดการกระบวนการของจิต ขณะสัมผัสของหรืออะไร คุณก็อ่าน จนแยกแยะสังกัปปะ 7 วิจัยกิเลสได้ แล้วมีวิธีการพิจารณาได้เก่งได้แข็งทำให้กิเลสลดได้ วิราคานุปัสสี ก็เท่ากับคุณทำฌานได้สำเร็จ สร้างพลังงานให้มันเผา กำจัดกิเลสเป็นอุณหธาตุให้กิเลสจางคลายดับได้ ฌานคือพลังงานปัจจุบันที่เรียกว่าพลังไฟ ความร้อนที่จะทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมูลสูตรว่า
สติ นั้นคืออธิปไตย ปัญญา คืออุตระ การปฏิบัติคนต้องมีสติให้เกิดพลังงาน แล้วต้องบวกความเข้าใจรู้ยิ่งด้วยปัญญา ถึงจะจัดการกับกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ ลดได้แล้ว คุณจะอยู่เหนือกิเลสได้ คุณทำให้ตัวคุณสำเร็จผล สิ่งเหล่านี้ในโลกก็มีความเป็นโลกีย์เขาปรุงแต่ง ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่เราสัมผัสอยู่กับสิ่งเหล่านี้แต่จิตใจของเราลอยตัวพ้นจากอำนาจของสิ่งเหล่านี้ เราก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้
นี่คือ ลาภ เราก็ได้ ลาภธัมมิกา ลาภได้โดยธรรม ไม่ทุจริต เราสุจริต เรามีผลงานแรงงาน ก็ได้ตามควร แล้วเราก็ได้ใช้กับสิ่งที่เราทำเราผลิต โดยไม่ได้ถูกหลอกให้ไปกินใช้อบายมุข เท่าไหร่ก็ไม่พอ ฟุ้งเฟ้อไปกับเขา ถูกโลกหลอกโง่ตลอดกาล แต่เราอยู่เหนือมันแล้ว เขามีก็มีไปแต่เราไม่ตกเป็นทาสเราไม่ตกเป็นเหยื่อ นี่คือความหลุดพ้นแล้ว แต่เขาปรุงแต่งจัดขนาดไหน มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้ามีการหลอกล่อกันเยอะ มากกว่ากันจนนับไม่ถ้วน แต่ก็สามารถที่จะใช้หลักของพระพุทธเจ้า ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อยู่อย่างชีวิตหลุดพ้นสบาย แล้วเป็นคนมีประโยชน์ได้
ศีล เป็นเครื่องคุ้ม ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธทาสไม่เอาเรื่องศีล ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลาย สรุปง่ายๆอย่างเช่น ศีล 3 ข้อแรก ข้อแรกสัมผัสกับสัตว์ โดยเฉพาะตัวคนนี่แหละเป็นหลัก จะเกิดกิเลสเกิดอะไรเราก็เรียนรู้แล้วจัดการ ส่วนของ ดินน้ำไฟลม จิตนิยามพีชนิยาม สัมผัสกับของ ไม่ใช่ของของเราก็อย่าไปละลาบละล้วง ดีไม่ดี คนก่อสร้างวัตถุพืชพรรณธัญญาหารขึ้นมาแล้วอาศัยกินใช้ จะขายตามวิธีของโลกก็ขาย ขายให้ต่ำกว่าทุน ก็ไม่เป็นหนี้ ยิ่งแจกยิ่งไม่เป็นหนี้ใหญ่เลย ขายเท่าทุนก็ยังเจ๊า แต่ไปขายขาดทุนอย่างลัทธิโลกีย์ก็บาป เป็นหนี้
ศีล เป็นต้นทางหมดเลย คุณสามารถปฏิบัติศีลข้อที่ 1 ก็จะอยู่กับโลกกับมนุษย์ อย่างที่มีแต่กุศล และก็ยิ่งศีลข้อ 1 คุณบรรลุเป็นอรหันต์ในศีลข้อ 1 อยู่กับคน กับสัตว์ สัตว์ก็ปล่อยไปตามวิบาก คนนี่แหละที่ต้องอยู่ร่วมกัน ทำประโยชน์ร่วมกันก็ทำร่วมกัน ทำประโยชน์ร่วมกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่ อย่างอาตมาเลือกเอางานที่จะสอน ความจริงของพระพุทธเจ้าเลยว่าทำให้ถูกต้อง คนไหนที่ไม่ถูกต้องจะสอนเขาบ้างก็ทำ อาตมาทำงานนี้โดยเป็นภิกษุเลย ปรปฏิพัทธาเมชีวิกะ ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ อาหารการกิน แม้จะให้อยู่ อุปการะไว้ ชีวิตมาทำหน้าที่นี้ ถ้าหากอาตมาทำไม่ดีไม่มีคนอุปถัมภ์ค้ำชูเลี้ยงดู ไม่ให้กินก็ปล่อยให้ตาย ป่วยไข้ก็ไม่รักษา อาตมาก็พึ่งพางานที่อาตมาทำ ถ้าทำได้ดี คนก็อุปถัมภ์ค้ำชูไว้ ป่วยเจ็บคุณก็ไม่ปล่อยให้ตาย เขารู้ว่ามีค่า พระพุทธเจ้าวางหลักไว้สูงสุดแล้ว
เรื่องศีลเป็นเรื่องใหญ่คนเข้าใจไม่ได้ ปฏิบัติในศีลแต่ละข้อแล้วก็มีมรรคผล คุณก็จะไม่รู้ชัดเจน ไม่รู้ในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ศีลทำให้เกิด สมาธิเกิดปัญญาเกิดวิมุตติ วิมุตติญาณทัศนะ ถ้าหากไม่มีศีลเลยจะไปรู้วิมุติได้อย่างไร
วิมุติเกี่ยวกับสัตว์กับของกับพืช วิมุติ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายที่ไปสัมผัสกับสิ่งต่างๆแล้วเกิดกิเลส ก็ต้องเรียนรู้กิเลสเหล่านี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว ศาสนาพุทธมีเท่านี้แหละ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ใครสุดโต่งไปทางสมาธิไม่เกี่ยวกับศีลไปนั่งหลับตานะน่าสงสาร ยิ่งถ้าไปเอาแต่อภิธรรมแล้วพากันคุยกัน เป็นธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ธรรมะก็ไม่ต้องมาพูดกันก็กลายเป็นอย่างอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ก็ไม่มีเบื้องต้นที่จะเป็นหลัก พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะของพระพุทธองค์นั้นเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์คุณจะเข้าใจอันนี้ไม่ได้
ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์คุณก็สามารถรู้องค์ประกอบชัดเจนกระบวนการของศีลข้อที่ 1 และทำจิตให้เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นวิมุติ เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ คุณก็จะไม่มีลำดับสมบูรณ์แบบ ลำดับที่มีความพร่อง ก็เป็นวิตักกะยาวนาน ถ้าเข้าใจชัดเจนมันก็จะเกิดความรู้ Solution ของมัน มันจัดการกันอย่างไร แม้จะเป็นนามธรรม ก็คือคุณอภิสังขารจัดการให้เกิดกระบวนการนี้ กระบวนการนั้นก็คือสังกัปปะ 7 เมื่อคุณไปสัมผัสแล้วจิตคุณก็จะเกิดสภาพพวกนั้นขึ้นมาเป็นภาวะ 2
คุณก็ต้องเรียนรู้สภาวะ 2 เป็นธรรมะ 2 อนึ่งนั้นคือ เวทนาเก๊กับเวทนาจริง แล้วคุณหาตัวเหตุของเวทนา เก๊ แล้ว กำจัดตัวเหตุให้ได้ด้วยปัญญา กดข่มได้บ้างแต่ปัญญาต้องรู้ไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ตั้งอยู่มันไม่เที่ยงหรอก แล้วมันก็หมดไป ดับไป จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนเลยทุกอย่างสัพเพธัมมาอนัตตาติ ทุกอย่างมันไม่มีตัวตน แต่คนเราที่อุปาทานยึดถือไว้แล้วเคยตัวเคยชิน
จะบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนและจะปฏิบัติทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่มีอนุสัยอาสวะทิ้งไปหมดแล้วสิ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าคุณมีอนุสัยอาสวะเหลือเท่าไหร่ไม่รู้ แม้แต่สัมผัสกับสัตว์ก็ไม่รู้ว่ายึดมั่นถือมั่นเท่าไหร่ คุณก็ต้องเรียนรู้ว่ายังถือสาขนาดนี้ยังชอบยังชังขนาดนี้ หรือว่าคุณไม่แล้วคุณมีบารมี สัมผัสกับสัตว์ก็กลางๆเฉย เขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเราสบาย ปฏิบัติอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันได้ก็ทำไป อะไรที่ทำงานร่วมกันไม่ได้ก็ไม่ต่อ ก็เท่านั้นเอง
_เกร็ดดิน…นิยาม 5 เอาแต่อุตุกับพีชะ ไม่เอาจิตกับกรรม อุตุ พีชะ คือสรีระร่างกายเรามีอาการ 32 มีดินน้ำไฟลม อากาศธาตุและพีชะ การปฏิบัตินี้ ทำให้รู้ว่าพ่อท่านรู้การแพทย์สรีระด้วย พอเริ่มต้นพ่อท่านบอกว่าต้องกินอาหารเวลานั้นเวลานี้ ตอนอยู่แดนอโศกจะลงตัวเลย เป็นกิจวัตรที่ลงตัว routine การเป็นอยู่ชีวิตประจำวัน ก็เกิดความแข็งแรง อวัยวะทำงานเป็นระบบตรงเวลา อาหารไม่ปรุงแต่งมาก อาหารธรรมชาติ เราก็แข็งแรงกัน พอเข้าไปที่สันติอโศกตอนนี้วุ่นเลย พ่อท่านกว่าจะฉันอาหารก็ตักไว้แต่ก่อนเทศน์ กว่าจะเทศน์เสร็จก็บูดเน่า ก็เลยว่า ต้องทำสำรับพิเศษแยกไว้เลย พ่อท่านรู้การควบคุมดินน้ำไฟลมดี
ถามว่า 8 อ.นี่พ่อท่านทำเพื่อรักษา กาย พ่อท่านบริหารได้ทั้งหมดทั้งการแพทย์ทางกายและจิตวิญญาณ พ่อท่านมีลมปราณดี พิสูจน์ 8 อ.ว่าพ่อท่านบริหารได้ดีหรือไม่
พ่อครูว่า…พอได้ แต่ก็มีส่วนที่เกิน เว่อร์ก็เลยวูบ
_หนึ่งฟ้า…คำถามสืบเนื่องจากวานนี้ เรื่อง สัมมาทิฏฐิ 10 หากพวกเราชาวอโศกยอมรับสัมมาทิฏฐิในข้อที่ 10 ก็ถือว่าหลุดพ้นมิจฉาฯข้อนี้แล้ว สิ่งที่พ่อท่านว่า ปรับอาบัติสังฆาทิเสส ดิฉันเดาเอาว่า หมายถึงคนไม่ยอมรับว่าสัตบุรุษคือใครที่เขาควรจะฟัง
พ่อครูว่า..เป็นไปตามธรรม พระพุทธเจ้าบัญญัติพระวินัยในสังฆาทิเสสข้อที่ 12 ความดื้อด้านบอกยากสอนยาก มันเข้าข่ายข้อนี้ เราบอกว่า เราเป็นพระอาริยะเป็นสัตบุรุษเอาสัมมาทิฏฐิมาให้ฟัง แต่คุณก็ไม่เชื่อตีทิ้ง เดี๋ยวปรับอาบัติสังฆาทิเสสข้อ 12 เลย พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าคนมันดื้อด้านนะน่าสงสาร มันไม่ได้อะไรหรอก ท่านก็ใช้คำนี้เป็นคำกลางๆ ดื้อด้านไม่เชื่อฟัง มันก็ไม่ได้ประโยชน์ คนที่ไม่ใส่ใจจะได้ใส่ใจขึ้น บอกง่ายขึ้น มาฟังขึ้น ถ้ายิ่งตั้งใจดีก็ยิ่งดี
_หนึ่งฟ้า…คำถามทีนี้สำหรับชาวอโศกที่ถือว่ายอมรับ สัมมาทิฏฐิข้อ 10 แต่ไปหลงสัตตาวาสข้อต่างๆ จะเข้าข่ายข้อนี้ได้หรือไม่
พ่อครูว่า…
สัมมาทิฏฐิ เป็นตัวหลักเลยถ้าคุณไม่มีข้อที่หนึ่งของมรรคมีองค์ 8 คือสัมมาทิฏฐิ คุณก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ใน 10 ประเด็นนี้คุณก็ไม่สามารถเป็นพระอรหันต์ได้เลย อาจจะเข้าใจได้ในบางประเด็น แต่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่ได้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) ถ้าไม่ได้มีข้อนี้ก็จะฟังอีก 9 ข้อไม่ได้เพราะอีก 9 ข้อต้องมาจากข้อนี้
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ทานต้องมีผลลดกิเลสได้ จึงสัมมาทิฏฐิ
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) เป็นวิธีการปฏิบัติต่างๆที่ต้องให้เกิดการลดกิเลสจึงจะสามารถทิฏฐิ แต่ไปนั่งหลับตานั้นไม่ได้ผลหรอก อาตมาก็อธิบายแล้ว ว่าจะต้องมนสิการอย่างไร ต้องรู้จักจิตว่ามีอาการอย่างไรในขณะสัมผัส อยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่อยากได้ไม่อยากมีอยากเป็น ปฏิบัติศีลต้องมีผัสสะ ผู้ที่รู้ก็จะอธิบายให้ฟัง ว่าปฏิบัติทานอย่างไรปฏิบัติ ศีลพรตอย่างไร จึงได้ผล ผลที่ได้คือหุตัง
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) ก็คือ การเรียนรู้ปฏิบัติตั้ง ทาน ศีล แล้วจะเกิดผลที่จิต 3 ข้อแรกก็คือทาน ศีล ภาวนา
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ เกิดจากกรรมกับกาละ ในมนุษย์นี้ศึกษากรรมกับกาละ เมื่อคุณสมบูรณ์ด้วยกรรมก็จบ เหลือแต่กาละ อรหันต์เหลือแต่กาละ กรรมจบแล้ว จะปรินิพพานเป็นปริโยสานเมื่อไหร่ก็แล้วแต่คุณ แต่ถ้ายังไม่สูญก็ต้องอยู่ในเอกภพนี้อยู่ คุณก็ยังอยู่ในกาละ นี่คือกรรมกับกาละ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา) ปัจจัย
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา)เหตุที่ทำให้เกิดให้เป็น ถ้าเหตุเป็นโลกุตระก็เกิดโลกุตระได้ ถ้าเหตุไม่ถูกต้องก็ไม่ได้ ต้องรู้โลกนี้โลกหน้า ก็ทำสัตว์โอปปาติกาสำเร็จ
-
สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ คุณก็จะรู้สัตตาวาส 9 ได้ คุณก็ปฏิบัติสัตให้พ้นความเป็นสัตว์ทั้งหมดเป็นมนุสโส
สัตตาวาส 9
-
สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า กายที่เป็นสัมมากับมิจฉา สัญญาก็ต่างกัน ก็จะเห็นเทวดามารพรหมต่างกันไป
-
สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น
ข้อนี้พยายามรวมจิตให้เป็นหนึ่ง ปฐมฌาน ทำให้จิตเป็นธรรมะหนึ่งทางเจโตก็ทำได้แต่เป็นเคหสิตอุเบกขา ทางสัมมาทิฏฐิก็เป็นเวทนาหนึ่งที่ถูกต้องเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ก็พ้นความเป็นสัตว์ไปตามลำดับ
-
สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .
-
สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .
-
สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบสทำนิโรธสมาบัติดับจนไม่รับรู้อะไร)
-
สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)
-
สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง
-
สัตว์บางพวก ..อากิญจัญญายตนะ (ดับไม่ให้มีอะไร)
-
สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น..เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)
(ววัตถุสัญญา พตปฎ. ล.23 ข.228) และ 11/353
ทำได้พ้นสัตตาวาส 9 ก็เป็นพรหม วิสุทธิเทพ แต่ทุกวันนี้พรหมเขาก็เข้าใจเป็นตัวตนเป็นพรหม 20 ชั้นเทวดาก็มี 7 ชั้น เป็นภพชาติหมดเลย เป็นวิมานสวรรค์เป็นตัวตนไปหมดแต่ที่จริงแล้วพรหมเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์สูงสุด
_หนึ่งฟ้าว่า…คนอยู่มานานหลายสิบปี มีมรรคผลตามลำดับ แต่ขั้นสุดท้ายไม่สามารถฝ่าด่าน ทิฏฐาสวะ ทิฏฐานุสัย ก็คิดว่าเส้นทางที่ตัวเองทำอยู่น่าจะพาหลุดพ้น แต่ที่พ่อท่านไม่ระบุชื่อ หรือระบุชื่อว่า คนเหล่านั้นเข้าข่ายสังฆาทิเสสหรือไม่
พ่อครูว่า…ก็ดูตัวเองได้ แต่พวกเราไม่ขนาดนั้นหรอก แต่อาตมาพูดถึงคนข้างนอก ประเด็นที่พูดคือพวกนั่งหลับตา หลับตานั้นศาสนาพุทธไม่มีการปฏิบัติหลับตาเลย ใครที่ปฏิบัติหลับตาเป็นโมฆะจากศาสนาพุทธไปเลยล้านเปอร์เซ็นต์ มันไม่ใช่เลย แต่เขาก็ไม่ฟัง เขาไม่เชื่อน้ำหน้าโพธิรักษ์ อะไรอาตมาก็พูดแรง เพื่อกระตุกเส้นบ้าง คนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็อาจจะได้สติบ้างแต่คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่กระเทือนหรอก
_กิ่งธรรม…เมื่อวานพ่อท่านเทศน์เมตตากับอุเบกขา เลยเกิดความสงสัยในใจ เราเป็นพยาบาลก็ต้องใช้ความเมตตา แต่ว่าบางครั้ง เราให้บริการคนไข้ ถ้าคนไข้เชื่อเรา เราก็รู้สึกเมตตาเต็มที่สุด เต็มใจเต็มร้อย แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความรู้สึกว่าเขาไม่เชื่อเรา เขาจะทำอย่างที่เขา เขาต้องการ ความคิดของเขา เราก็จะไม่ทำให้ค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น การทำแผล ก็บอกว่าที่เราเรียนมา เป็นร้อยเคสพันเคสทำอย่างนี้แล้วก็หาย แต่อยู่ๆเขาก็จะเอาใบนั่นใบนี่มาให้ เราก็บอกว่าถ้าจะทำอย่างนี้เราไม่ทำให้ เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ถ้าคุณจะทำก็ไปทำเอง แล้วเขาก็ไปทำเอง หรือหาคนอื่นมันทำแล้วก็เกิดผลเสียหาย แบบนี้เราจะถือว่าเรามีอัตตาไหม แล้วเราก็ฟังใจว่าให้เขาทำเองแล้วแต่เขา หากเราจะอธิบายมาก ดิฉันจะไม่อธิบายใครถึง 3 ครั้ง 2 ครั้งก็พอจบแค่นี้ เหลือจากนั้นอยากทำอะไรก็ทำแล้วแต่ ดิฉันจะวางใจว่าแล้วแต่เขา ถ้าพูดแล้วคุณไม่เข้าใจ จะทำอะไรก็ตามใจคุณ ก็ปล่อยให้เขาทำ การที่เราไม่ยอมทำตามที่เขาบอกเราเป็นอัตตาไหม การที่เราวางใจให้เขาทำเองเป็นอุเบกขาหรือเปล่า
พ่อครูว่า…คุณพูดมานี้ครบแล้วไม่เป็นอัตตาหรอก มันเป็นการยืนหยัดยืนยันเหมือนกับอาตมานี้ทำอยู่เขาก็หาว่าดื้อดึงดัน เราพูดแล้วเขาก็ยังไม่ฟัง จะถือว่า อัตตาไหม ที่คุณพูดมาทั้งหมดไม่ได้เป็นอัตตา เรายืนหยัดยืนยัน ศึกษามาเรามีความรู้ เรามีเมตตาเรามีความต้องการที่ดี แต่เขามารักษากับเราเขาก็น่าจะฟัง เออออห่อหมกกับเขาบ้าง แล้วเขาจะรักษาเองคุณก็กลับบ้านไปรักษาเอง จะบอกว่าไป อัตตาไหม ก็ไม่ ถ้าจะว่าจริงๆคนไข้นั่นแหละมีอัตตา เพราะว่าคุณมารักษากับที่นี่คุณก็ต้องเชื่อถือที่นี่ เชื่อถือหมอพยาบาลที่จะช่วย คุณจะรักษาของคุณเองและเสียเวลามาทำไม
_กิ่งธรรมว่า…ต่างคนก็แนะนำว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ดิฉันก็เลยบอกว่าให้คนนั้นเขาทำให้เถอะ ดิฉันทำแบบนี้ไม่ได้
พ่อครูว่า…ถูกแล้ว เราก็ยืนยันว่าเราทำนี้ถูกต้องจริงไม่ได้มีอัตตา เพื่อให้คนมาเอาสิ่งที่ถูกต้องก็เท่านั้นเอง
_กิ่งธรรมว่า…การที่เราเห็นว่าเขาทำผิด แต่เราก็เฉย เราไม่ว่าหรือบอกแล้ว ถ้าพูดมากก็จะทะเลาะกัน คุณจะทำอย่างไรก็แล้วแต่คุณ
พ่อครูว่า…เราได้ตัดสินใจแล้ว ถ้าเขาไม่อึดอัดขัดเคือง ก็วางใจแล้วเราพูดกับเขาแล้วจะมาทะเลาะกันทำไม คุณไม่ผิดหรอก
_พัท ธนภัทร : สงสัยครับ…ถ้าอยากไปอยู่เป็นคนของกองทัพธรรม คือว่าไปอยู่ด้วย ช่วยงาน มีที่พักแบบง่าย ต้องทำยังไงบ้างครับมีหลักเกณฑ์ยังไงบ้างครับ
พ่อครูว่า…ก็มาได้เลยมาทำงานได้ตอนนี้ เรามีกองใหม่ กองชุบชีพสมบัติ เขาจะพยายามทำให้เกิดความสะอาด มีอะไรทิ้งก็จะเอามาจัดระเบียบ
หลักเกณฑ์นั้นมาเถอะ พวกเราไม่ได้เป็นคนยุ่งยากมากมายอะไร เป็นคนเข้าใจอะไรควรอะไรไม่ควร แล้วก็ทำในสิ่งที่ควร ก็ช่วยกันเท่านั้นเองหากตั้งใจให้ดีไม่เป็นคนดื้อดึงดันอะไร มาที่นี่ก็จะได้ดี ใครที่ยินดีจะมาก็มาเถอะที่พักก็มีให้ ขอให้คุณเป็นคนดีเถอะ
_คนจนมหัศจรรย์ แบ่งปันตลอดกาล : ฝากคำถามไปในรายการ สำมะปี๋ ครับ
๑. ขอถามเรื่องการดูแลสุขภาพ อยากทราบว่า อ.เอาพิษออก หลวงปู่ใช้วิธีใด บ้างครับ ได้ทำ detox หรือ สวนล้างลำไส้บ้างไหมครับ? คิดเห็นอย่างไรกับวิธีการนี้ครับ?
พ่อครูว่า…เคยทำมาแล้ว มีทั้งใช้กาแฟใช่น้ำเปล่าใช้น้ำฉี่ ทำแล้วมันก็โล่งท้องดี แต่ของเราท้องไส้เราตัวเราไม่มีอะไรมากก็ไม่กระไร พวกเราได้ทำมาแล้ว พอรู้สึกว่าปวดมวนอะไรก็ทำก็ดีใช้ได้
๒. น้ำปัสสาวะที่หลวงปู่ฉันเป็นยาในทุกๆเช้า อยากทราบว่าเป็นส่วนที่เก็บในช่วงเวลาไหนของวัน ช่วงเช้าตื่นนอนหรือระหว่างวันครับ? เพราะเหตุผลใดครับ?
พ่อครูว่า…เขามีเหตุผลเยอะแต่อาตมาไม่จำ อาตมาฉี่ใส่ขวดไว้ตั้งแต่กลางคืน แล้วเขาก็เอาฉี่ใส่จอกมาให้ดื่ม ก็เลยไม่รู้ว่าฉี่นี้มาจากช่วงเวลาไหน
_บ้านเล็กเมืองน้อย **คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง แต่ถ้าพ่อท่านเห็นว่าไม่เหมาะสม กราบรบกวนไม่ต้องอ่านในรายการ และต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยครับ
กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
หลังจากได้รับการชี้แนะจากพ่อท่าน และทำความเข้าใจกับข้อจำกัดต่างๆแล้ว ทำให้ทราบว่า แท้ที่จริง ทั้งหมดทั้งปวงของร้านปาท่องโก๋ อยู่ที่การสืบทอดสูตรต้นตำรับเท่านั้น ถ้าทำให้คงอยู่ต่อไปได้อีกนานๆ ก็จะเกิดพลังแห่งความสมดุลที่จะสร้างสันติสุขแก่สังคมตามมาเอง ดังนั้นไม่ต้องไปคาดหวังในผล ให้ทำแต่เหตุก็พอ
ถ้าจะเปรียบสูตรต้นตำรับเป็นดวงจันทร์ ในสังคมที่ผู้คนเอาแต่ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์ คงจะเป็นการยากที่จะให้เงยหน้าขึ้นพิเคราะห์ดวงจันทร์ และรับรู้ได้ถึงพลังดูด-พลังผลักอันมหาศาล ที่ทำให้ ๓ ใน ๔ ของพื้นผิวบนโลกที่เป็นน้ำ เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง ส่งผลกระทบต่อทุกสรรพสิ่งบนโลก
จึงต้องสร้าง ปรากฏการณ์ จันทร์ในบ่อ ขึ้น เพื่อสะท้อนแสงจันทร์ เข้าสู่สายตาของผู้ที่กำลังก้มหน้าอยู่ แต่จะเกิดการสืบทอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับ แสงสะท้อน ที่ต้องเจิดจ้าแรงกล้า และมุมตกกระทบ ที่ต้องสะท้อนให้ตรงเป้าเข้าตา
พ่อท่านได้สรุปจุดเด่นของชาวอโศก ซึ่งเป็นแสงสะท้อนที่สังคมยอมรับ ไว้คร่าวๆดังนี้
๑) บ้านราชฯ-กสิกรรมไร้สารพิษ ๒) สันติ-ดินอุ้มดาว ๓) ปฐม-ปุ๋ย ๔) ศีรษะ-สุขภาพ
บุญญาวุธ เหล่านี้คือรูปธรรม เป็นของจริงที่จับต้องได้ จากปฏิบัติกรตัวจริง
สามารถถ่ายทอดวิธีการ-ขั้นตอน-ประวัติความเป็นมา ที่กว่าจะมาประสบผลสำเร็จเช่นทุกวันนี้ ว่าได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมฤทธิ์อันใดของพ่อท่าน โดยเชื่อมโยงคำสอนและหนังสือธรรมะของพ่อท่าน อันเป็นนามธรรมที่สร้างแรงบันดาลใจแก่ปฏิบัติกร ให้มีหลักการดำเนินชีวิต และหลักการประกอบสัมมาอาชีวะที่ถูกต้อง จนกลายเป็นอาริยะชนขึ้นมาได้
ส่วนมุมตกกระทบที่ตรงเป้าเข้าตา คือการเติมเต็มในสิ่งอันเป็นที่ต้องการ
หากจะทำให้ผู้ที่ยังต้องก้มหน้าหาเลี้ยงชีพในโลกทุน หันมาสนใจในสูตรต้นตำรับ
ก่อนอื่นต้องหาอาชีพอาริยะให้ทำก่อน (ผู้คนกลัวจะอยู่ไม่รอดถ้าไม่มีรายได้ จึงติดกับ)
โดยการสร้างเครือข่าย เครือแห เพื่อเป็นช่องทางทำมาหากินแบบอาริยะ สร้างสะพานเล็กๆ
เชื่อมโลกโลกียะกับโลกโลกุตระสำหรับผู้ที่จิตใจไม่หนักแน่นพอ ได้อาศัยเป็นฐานพักพิง แม้ยังต้องวนอยู่ในโลกทุนก็ยังสามารถเป็นคนมีวรรณะ ๙ ได้
Remarketing ทั้งศิษย์เก่า ญาติธรรม และกัลยาณมิตรที่ยังไม่เข้ากระแสพร้อมจะเข้าวัด ช่วยเขาเหล่านั้นให้ไม่ต้องไปทำอาชีพโลกีย์ ที่ทำให้แปดเปื้อนด้วยวงจรบาปของสังคมทุน จนต้องห่างหายจากสังคมอโศกไป ด้วยการนำเสนอ solution จากของจริงที่ทำสำเร็จแล้วเป็นตัวอย่าง เพื่อสร้างความมั่นใจในการหาเลี้ยงชีพอย่างอาริยะชน เพราะการดำรงชีวิตในโลกทุนย่อมมีรายจ่ายไม่ใช่น้อย
ช่องทางการจัดจำหน่าย ที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืนจึงคือสิ่งอันเป็นที่ต้องการ ถึงจะไม่มากแต่คงช่วยให้พ้นจากการติดกับในโลกทุนได้
โครงการเกษตรอินทรีย์ที่ท่านฟ้าไทยทำร่วมกับ Earth Save คือตัวอย่าง
ซึ่งในที่สุดจะช่วยสร้างผู้สืบสาน ให้มีการสืบทอดสูตรต้นตำรับนี้ต่อไป
ณ status quo นี้ ปรากฏการณ์จันทร์ในบ่อ น่าจะเป็น agenda ที่จำเป็น เพื่อจะสืบทอดสูตรต้นตำรับให้คงอยู่ต่อไปอีกนานๆ
พ่อครูว่า…อาตมาว่า รับรองได้ มาอยู่ที่นี่ นอกจากคุณจะเป็นคนติดหนัก ยึดติดโลกีย์หยาบคายมากติดหนักก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ติดหนักก็อยู่ได้
อาชีพเราก็มีให้ทำ ร่วมกันทำ แต่อาชีพที่เราทำ เป็นสัมมาอาชีพสูงสุด ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ก็ยากหน่อยสำหรับคนต้องการส่วนได้ คนต้องการส่วนได้ มาอยู่ที่นี่ก็มี เขาก็ออกไปหารายได้เอง เช่นบางคนออกไปญี่ปุ่นก็มี แต่ก็ไปแล้วก็มา อย่างกอล์ฟนี่ไปเกาหลีก็มา เดี๋ยวนี้ก็ดูแลร้านสหกรณ์ใหม่ก็ยังไม่ พื้นฐานขั้นต่ำก็คือไม่กินเนื้อสัตว์ไม่มีอบายมุขมีศีล 5 คุณอยู่ที่นี่ได้สบาย ถ้ามีพื้นฐานแค่นี้ คุณภาพไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ยินดีต้อนรับ บ้านราชฯมีสักพันได้ จะเกิดพลวัตรดีมาก แต่นี่มันน้อยไป มันไม่พอเพียง
วรรณะ 9 เป็นเครื่องตรวจสอบเครื่องวัดเลยหากคุณเป็นคนที่ วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) แม้จะไม่เต็มที่ก็อยู่ได้ ที่นี่ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ
ทุกวันนี้อาตมาทำสำเร็จแล้ว
อาตมาสร้างอาคารบวรเพื่อให้มาช่วยกันทำ มาขายของได้นะ แต่ทุกวันนี้มันแห้งเหี่ยว อาตมาก็ไม่มีทุนจะไปสร้างในตัวเมืองหรอก สร้างอยู่ข้างนอกคนก็เลยมาไม่มาก ทำได้ตามบารมี การจะอาศัยที่ในเมืองกลางเมือง อย่างอุทยานบุญนิยม เราก็เปิดช่องให้เขามาขายของได้นะ เรามีอาคาร ให้คนมาอาศัยขายของได้ เป็นแต่เพียงมีข้อกำหนดว่า สิ่งที่จะนำมาค้านี้จะต้องไร้สารพิษ ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เก็บเงินเก็บทองอะไร แต่มันน้อยคนที่จะมาทำดีๆ ปลูกพืชผักแล้วจะมาขาย ได้ราคาถูกเราก็ไม่ได้เก็บปันผลเสียค่าเช่านะ เราก็ช่วยเท่าที่เป็นไปก็ไม่เห็นแน่นหนานะ มีวัน พุธ ศุกร์ อาทิตย์ ที่มาขายกัน ที่จริงมาวันไหนก็มาได้ แต่เขาทำไม่ทัน เราก็พยายามเกื้อกูล
และแน่นอน อาตมาไม่ทิ้งหรอกก็ทำอยู่ agenda เท่ากับแทรกยาทิพย์เข้าขุมขน อาตมาก็ทำมาตลอด
_กล้าตรง…ฟังเทศน์พ่อครูมาเยอะ แต่รู้หมดแต่อดไม่ได้ ตัวใหญ่ก็จัดการได้ แต่ตัวเล็กละเอียดเรารู้ได้ยาก
พ่อครูว่า..อย่าไปกังวลทำหยาบก่อน มีต้น กลาง ปลาย
_กล้าตรง…คือเราจะรู้ตัวอีกทีก็คือเราแพ้มัน
พ่อครูว่า..มันหยาบแรงก็เอามันก่อน อย่าไปเสียเวลากับที่ละเอียดที่รู้ได้ยาก เอาโอฬาริกอัตตาก่อน
_กล้าตรง…เมื่อรู้ตัวว่าแพ้ก็เริ่มจะรู้เท่าทัน หลายครั้งที่มันรู้ จนมันทำให้เราทุกข์เราเจ็บ เมื่อเรารู้ว่าทุกข์ เราถึงว่ามันเป็นกิเลส ตัวเล็กนี่เราไม่รู้ว่าเป็นทุกข์
พ่อครูว่า…มันหลอกเรา สมกิเลสก็สุข บำเรอกิเลสก็สุข
_กล้าตรงว่า…จะรู้อีกทีก็คือผลมันออกแล้ว ถึงต้องมาทำอย่างที่ พ่อครูว่า มีศีลไปตามลำดับ รู้ให้ถึงจิต ตัวเกิดดำริตัวแรก แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้ตัวปลายมัน ก็เลยส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นแบบนี้
พ่อครูว่า…อย่าไปกังวลตัวที่ละเอียดให้เอาตัวหยาบก่อน
_คิด แบบนี้ถูกไหมคะ การที่เราต้องมาอยู่ในวัด ในเขตบุญนี้ เป็นทางกุศลเก่า
พ่อครูว่า..ตอบถูก คนไม่มีกุศลเก่าเข้ามาที่นี่ไม่ได้หรอกมันร้อน ชัดๆก็คือ คนที่บารมียังไม่ถึงเข้ามาในอโศก มันอยู่ไม่ได้หรอก ไม่มีภูมิเก่าพอสมควรมาอยู่ในนี้ไม่ได้ เพราะที่นี่มันเป็นสนามแม่เหล็กแห่งกุศล แห่งโลกุตระ มันจะมีฤทธิ์มีอำนาจ คุณเป็นสิ่งที่นอกกระบวนการ หย่อนเข้ามาในนี้ โยนเข้ามา ที่นี่จะจัดคุณเข้าระบบ หากคุณเองนอกระบบ สนามแม่เหล็กนี้ก็จะผลักคุณกระเด็น แต่ถ้าที่นี่ปรับคุณเข้าสนามแม่เหล็กนี้ได้ เช่นไม่มีทิศเลย เขาจับคุณเข้าทิศทาง แน่นอน ที่นี่เป็นสนามแม่เหล็ก คนมาอยู่ที่นี่ๆได้แล้วไม่กระเด็นออกคือผู้ที่มีบารมีเก่า
_วัดวานี้ มาเป็นผู้รับใช้จะได้ไม่เป็นหนี้วัด
พ่อครูว่า…ถูกต้อง เรื่องนี้ก็ไม่อยากพูดมาก พูดไปแล้วจะเหมือนกับใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเป็นการบังคับ จริงๆแล้วที่นี่เป็นแดนกุศลโลกุตระ สิ่งสูง คนที่มาทำสิ่งที่ต่ำเลอะเทอะต่ำในที่นี้มันเป็นบาปสูง ที่นี่สะอาดเอาขี้หมามาละเลงก็บาปหนัก เปื้อนน้อยก็บาปแล้ว ยิ่งเอาเปื้อนเยอะมาก็ยิ่งบาปหนัก ผู้รู้สึกก็ดีแล้วแต่ไม่อยากสำทับมากเกิน รู้ตัวก็ดีแล้วเดี๋ยวจะเกร็งเกินไปก็อยู่สบายๆมีสำนึกอย่างนี้ก็ใช้ได้
_คุณกนกนาฏ สยรักษ์ ดิฉัน จะพูดถึงสิ่งแวดล้อม เรื่องหน้าเฮือน 0 เมื่อไม่ได้ไปอุทยานก็จะมากวาดเอง วันไหนไปก็จะขอร้องให้คนอื่นทำแทนแต่ไม่มีใครทำ ดิฉันก็มากกว่า พอดีมีแม่อายุ 80 มาคุยด้วย บอกว่าหนูทำตรงนี้ดีแล้ว แกก็เลยเล่าว่า เคยมีคนไม่ทราบมาหาพ่อท่าน หรือใครบนตึก เขาลงมา เขาก็เดินดูรอบๆ เขาก็พูด ว่า นี่หรืออโศก เขาตินั่นแหละค่ะ พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไร
พ่อครูว่า…คนจะติก็ติ บางคนมาดูบอกว่าเละเทะ ก็มีก็ไม่เป็นไร เขาติก็ดีแล้ว เขาว่าอย่างนี้หรืออโศก เราก็ถามว่ามีอะไรจะชี้แนะก็กรุณาด้วย ก็เป็นอย่างนี้แหละ ขอคำชี้แนะจากเขาสิ
_จะรู้ความติดยึดได้อย่างไร จะล้างความติดยึดได้อย่างไร ความติดยึดของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
พ่อครูว่า…ไม่น่าจะยาก ก็ลองพรากดู(สู่แดนธรรมว่า) คุณห่างมัน เช่นคุณติดอาหารอันนี้ แล้วคุณก็บอกพราก ไม่ต้องพรากไปไหนหรอก ลองไม่กินมันดูมันผ่านหน้าคุณ คุณก็ไม่กินแล้วคุณก็จะเห็นจิตของคุณ อยากกิน มันมาอีกแล้ว มันติด บางทีก็หลับตาเลยไม่อยากมอง ตั้งตบะ เราจะพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ
ก็ต้องทำตามลำดับ อย่าเพิ่งพรากกระชากแรงจะเกิดภาวะบาดเจ็บ มีเพื่อนฝูงเยอะแยะคุยกันสิ มีกลวิธีแต่ละวิธีแต่ละอย่างมันมี ย่อยๆ แต่ละคนมีวิธีของตัวเอง อย่างนี้มันเข้ากับเราทำอย่างนี้เข้าท่า อย่างนี้มันจะยาก อย่างนี้มันจะไม่ดีคุณก็ปรึกษากัน
_ผู้มาอยู่ส่วนกลางอาศัยในสาธารณโภคีเช่นปัจจัย 4 แต่ยังหารายได้อยู่บ้าง ยังรับจ๊อบทำรายได้อยู่ ควรจะอนุโลมให้ไหม
พ่อครูว่า…มันก็มีอยู่เป็นธรรมดา เราค่อนข้างจะบอกว่าเคร่ง ทุกคนอยู่ที่นี่ก็ทำงานฟรี เราก็ไม่ได้ไปจู้จี้จุกจิกกับใครมากเกินไปหรอก เขาทำงานอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทำฟรี แต่บางคนเขาจะแวะไปทำที่ญี่ปุ่นก็ยังมีเลย ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ที่นี่เป็นอิสระเสรีภาพ เป็นแต่เพียงอย่ามาทำประเจิดประเจ้อเกินไป เข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ก็โอ้โห
จริงๆแล้วเราอย่างนี้ มีคนต่อว่าอาตมา สร้างโรงเรือนค้าขาย เราก็ให้เขามาค้าขายโดยไม่ได้เก็บเงินจากเขา แล้วพวกเราจะค้าขายบ้างมันเป็นอย่างไร เราก็จะเอาบ้าง ดีไม่ดี จะเก็บของในนี้ไปขายเอาเงินใส่กระเป๋าก็มี ดีไม่ดีถึงขั้นว่าไม่ร่วมปลูกด้วยนะ บางทีปลูกด้วยแล้วก็เอาไปเข้ากระเป๋าก็ไม่ได้เคร่งครัด ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเกินไป เราก็ไม่ได้ขาดแคลน เดือดร้อนอะไรมากมาย
อาตมาพาพวกเราปฏิบัติเป็นชุมชนจนถึงบัดนี้บรรลุผลสำเร็จสุดยอดแล้ว พวกเราอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลนอะไร ก็มีคนอย่างที่ว่า แทรกแทรง ก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่เขาก็มีสำนึก คนที่มีสำนึกก็ดีแล้ว ก็ทำให้ดีขึ้นสิอย่าให้เสื่อมลง ควรจะทำอย่างนี้ เป็นคนสาธารณโภคี ทำงานแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด อาศัย กินใช้ในนี้หมด ทำสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ เรียนรู้กิเลส ใน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร
_ใบฟ้า…ขอบคุณอย่างสูงสุดค่ะ การเทศน์กัณฑ์แตกหัก เมื่อวานนี้ กับสมาธิฤาษี ทำให้ดิฉันมีความกระจ่างขึ้นมาหลายประเด็น โดยเฉพาะเกี่ยวกับอานาปานสติ กราบขอพ่อครูอธิบายอานาปานสติ 16 ในธรรมพุทธสุดลึก คำว่า นั่งคู้บัลลังก์ ควรปรับปรุงให้ถูกอย่างไร
พ่อครูว่า…ก็มีประวัติว่า พระพุทธเจ้าออกบวชก็เอาเห็นแต่คนว่า นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ก็คือนั่งหลับตาสะกดจิตไปอย่างนี้ คนเหล่านั้นไม่ใช่พุทธ เขาปฏิบัติกันผิดหมด ศาสนาพุทธยังไม่มีพระพุทธเจ้าก่อนมาตรัสรู้ก็มาเจอ พระพุทธเจ้าออกมาในวงการปฏิบัติธรรม ก็มีพวกนักปฏิบัติธรรมปฏิบัติเช่นนี้ นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าให้นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง แล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า พวกที่ปฏิบัตินั่งหลับตา
คุณจะนั่งหลับตา คู่บัลลังก์นั่งหลับตา อยู่ในที่แจ้งก็ดี อยู่ในร่มไม้ก็ดี อยู่ไหนเรือนว่างก็ดี อยู่ในป่าช้าป่าชัฏก็ดี คำว่ากรณีนี้ภาษาบาลีบอกว่า วา
จะว่า ป่าคืออะไร ข้างกองฟาง ที่ว่าง ที่โคนไม้ ก็แล้วแต่ก็ วา หมายความว่า คุณปฏิบัตินั่งหลับตาจะอยู่ในอิริยาบถสถานที่อย่างไรก็ช่างเถอะก็ดี ก็แล้วแต่ทั้งนั้น แล้วท่านก็อธิบายอานาปานสติ
คุณจะทำอย่างนี้หรือคุณไม่ทำอย่างนี้ ตลอดเวลาที่คุณมีลมหายใจเข้าลมหายใจออก คุณทําอาชีพอยู่ก็ดี คุณทำกัมมันตะอยู่ก็ดี คุณจะพูดอยู่ก็ดี คุณจะคิดอยู่ก็ดี เหมือนกัน ภาษาบาลีว่า วา ทั้งนั้น คุณก็ต้องทำอย่างนี้ 16 ขั้น อานาปานสติ 16 ขั้น
คำว่า นั่งคู้บัลลังก์ คือเขาติดคิดว่าจะต้องมีสถานที่ จะต้องมานั่งคู้บัลลังก์แล้วจะต้องมาหลับตาปฏิบัติ ต้องเสียเวลาหาสถานที่ แต่ศาสนาพุทธไม่ต้องเสียเวลาสถานที่อย่างนั้น ทำสมาธิสร้างฌานได้ตลอดเวลา กำลังทำงานทำกรรมใดๆก็สร้างสัมมาสมาธิได้ ในมหาจัตตารีสกสูตร ท่านเรียกอาริโยสัมมาสมาธิด้วย แบบพุทธ ถ้าปฏิบัติแบบอย่างทางโน้นมันเป็นมิจฉาสมาธิ อันนี้เป็นสัมมาสมาธิขั้นอาริยะด้วย จะทำให้บรรลุอาริยธรรมบรรลุโลกุตรธรรม ท่านตรัสไว้ครบใน มหาจัตตารีสกสูตร
หากอ่านพระไตรปิฎกแตก ในสูตร อานาปานสติ ท่านก็ตรัสท้าวความ คนจะมาปฏิบัติธรรมในที่นี้บรรลุอรหันต์ก็มี
สรุปว่าจะนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติ หรือจะทำสัมมาอาชีพ จะพูดจะคิดจะทำอะไร สังกัปปะ ก็ทำ 16 ขั้นนี้ แต่เขาปฏิบัติมานั่งแล้วเป็นเดียรถีย์ ศาสนาพุทธนั้นปฏิบัติอยู่ตลอดได้ทุกเวลา แต่คนจะไปจำกัดที่เสียเวลาหาที่นั่งหลับตาสะกดจิต เป็นการออกนอกรีตด้วย อาตมาตีทิ้ง
แม้ว่าจะหายใจเข้าหายใจออกก็รู้ได้มีสติรู้ แล้วทำจิตให้สงบจากกิเลส กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร รู้จักกิเลสทำให้กิเลสดับไปจิตก็สงบเป็นปัสสัทธิ
เมื่อจิตสงบไป คุณก็ทำจิตให้ อภิปโมทยังจิตตัง อาศัยอยู่
ถ้าไม่เข้าใจธรรมะพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ชัดเจนท่านท้วงว่าอย่างนี้มันผิดแล้วก็มาบอกวิธีของท่าน
ไล่มาตั้งแต่ พระอรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน บรรลุได้ก็อยู่ในการทำการงานอาชีพการกระทำการพูดการคิดทั้งนั้น ในสติปัฏฐาน 4 เจริญพรหมวิหาร 4 เจริญอสุภสัญญา อนิจจสัญญา แล้วไล่อานาปานสติ
การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37
มีสติปัฏฐาน 4 ดำเนินโพธิปักขิยธรรม ทั้งในการยืนเดินนั่งนอนปฏิบัติสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ
ท่านก็ตรัสอย่างนี้ แล้วเขาก็ไปติดเปลือกยึดเอาเปลือกมาเป็นสิ่งถูก เพราะว่าในยุคนี้โลกุตรธรรมมันสูญไปแล้ว ไปยึดถือ กลองอานกะ ชื่อว่าพุทธแต่กลองนี้ไม่มีเนื้อเหลือเชื้อของกลองเก่าเลย พุทธแต่เดิมเลย เป็นเนื้อใหม่ไปทั้งหมดแต่ชื่อเก่า
_ธรรมทำ … ได้ติดตามฟังเทศน์ธรรมของพ่อครูท่าน มาถูกจิตถึงใจกับคำว่าอรหันต์จ้อย รู้สึกว่า ช่างตรงกับสภาวะที่ได้ฝึกปฏิบัติ โดยไม่คิดจดจำภาษาวิชาการ ซึ่งมักจะเป็นบาลี แต่คิดว่า แม้นักวิทยาศาสตร์ปราชญ์เอกทุกสาขาในโลก ก็ไม่สามารถเข้าใจ สาระสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท้าทายมนุษย์ทั้งโลก มาอย่างน้อย 5 พันปี ผมคิดว่าน่าจะทั้งจักรวาลล้านปีก็ไม่สามารถล้มล้างธรรมพุทธได้เลย
ประกอบกันแล้ว เหนือกิเลสกับอยู่ใต้กิเลส ให้คนรวยล้นเหลือ คนจนคนพอเพียงคนจนข้นแค้น ทุกระดับฐานะ ผมคิดว่า ด้วยเหตุผล เราอยู่เหนือความโลภโกรธหลง ผลลัพธ์จะออกมาเป็นความสุขสำราญเบิกบานใจ อบอุ่น สำราญสมัครสมานสามัคคีแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ แบ่งกันได้ ช่วยกันทำงาน ง่ายงามในความคิด ตรงกันข้ามกับอยู่ใต้อำนาจกิเลสความวุ่นวายเสียหายเดือดเนื้อร้อนใจ ความแตกแยกเหน็ดเหนื่อย ทะเลาะเบาะแว้งชิงดีชิงเด่น
พ่อครูว่า…คนบันทึกมาก็ดีแล้วแต่คุณอ่านไม่เก่งให้คนอื่นอ่านดีกว่า คุณสอบตกการอ่าน เขาลุ้นคุณไปจนใจจะขาดแล้ว
_ อาตมาตอบของคุณใบฟ้า เสนอแนะมาว่า ควรตัดคำว่า นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง เราจะไปตัดของใครได้อย่างไร พระพุทธเจ้าอธิบายเหตุการณ์ในยุคนั้น แล้วจะไปตัดทิ้งก็ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ให้ถูกเท่านั้นเอง
_น้ำใจเป็นอริยทรัพย์เป็นโลกุตระทรัพย์หรือไม่
พ่อครูว่า…น้ำใจ ภาษาอังกฤษของไม่มีนะ เราก็ตั้ง water heart น้ำใจไม่มีในภาษาอังกฤษ น้ำใจนี่นะ จะบอกว่าเป็นโลกุตระ มันก็โมเมไม่ได้ จะบอกว่าเป็นโลกียะ ก็คนไทยก็รู้จัก แหม น้ำใจ คือ จิตใจที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีจิตใจที่จะเอื้อเฟื้อเห็นคนทุกข์ก็อยากจะช่วย เห็นคนสุขก็อยากช่วย กรุณาก็ลงมือช่วย ช่วยสำเร็จแล้วก็ยินดีด้วยที่คุณได้ผล ดีแล้วก็วางใจเป็นอุเบกขา นี่คือการอธิบาย อัปปมัญญา 4 พรหมวิหาร 4 ของอาตมา แต่ทางโลกส่วนใหญ่เขาอธิบาย ว่าเห็นคนพ้นทุกข์ ก็คือเมตตา อยากให้เขาพ้นทุกข์ ก็เลยกรุณา อยากให้เขามีสุข ก็มีแต่อยากให้เขาพ้นทุกข์ แล้วกรุณาก็คืออยากให้เขามี แต่ไม่ได้ลงมือช่วยเหลือ แล้วก็ยินดีที่เขาพ้นทุกข์แล้วก็วางเฉยคืออุเบกขา อาตมายืนยันว่าไม่ใช่
กรุณา มาจากรากศัพท์ว่า กรณ คือการกระทำ เห็นเขามีความทุกข์เห็นเขาติดในความสุขโลกีย์ มันก็สุขขัลลิกะ สุข มันเป็นของหลอก มันไม่มีหรอกความสุข ความทุกข์ความสุขมันไม่มีหรอก คนพ้นแล้วก็ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเป็นสุดยอด นี่คือของศาสนาพุทธ
คุณเอาความสุขโลกียะมาทดแทนมันก็พ้นทุกข์โลกีย์ แต่มันก็ไปติดความสุขเข้าไปเพิ่มอีก ก็คือเพิ่มกิเลสหนาเข้าไปอีก โลกียะ ไม่เข้าใจจุดนี้ก็เลยแก้ไขปัญหาทุกข์อริยสัจไม่ได้ ไม่เข้าใจองค์รวม ไม่เข้าใจกระบวนการสูงสุดของศาสนาพระพุทธเจ้า
ถามว่า น้ำใจเป็นอริยทรัพย์เป็นโลกุตระไหม น้ำใจของผู้ที่อยากจะให้พบโลกุตระ ก็เป็นน้ำใจทางโลกุตระ ต้องมีภูมิรู้โลกุตระแล้วก็มีน้ำใจช่วยเขาให้ได้รับโลกุตระ อย่างอาตมานี้มีน้ำใจ พยายามช่วยให้เขามีโลกุตระ คนไม่มีโลกุตระจะวน ดีไม่ดี ซ้ำเติมให้เขาบำเรอกิเลสหนาขึ้น แล้วมันก็เป็นอวิชชา คนที่บำเรอกิเลสแล้วพ้นทุกข์ แล้วเข้าใจว่าตนเองพ้นทุกข์ ไม่ได้เงิน ก็สอนให้หาเงิน แล้วเขาก็พ้นทุกข์ อย่างนี้กิเลสเขาก็ยิ่งจะหนาขึ้น เหมือนอย่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เขาจนก็เอาเงินไป เขาก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ไม่ต้องทำอะไรก็แบมือนั่งขอเงิน มันก็จบอย่างนี้ซวยตาย
แก้ปัญหาทุกวันนี้แก้ปัญหาให้คนจนจึงจะสำเร็จ ไปแก้ปัญหาให้คนรวยไม่มีทางสำเร็จ เป็นวัวกินหาง เป็นวัวพันหลักตลอดเวลา จะหาเงินให้คนมีเงิน ไม่ใช่ ต้องให้คนจนและคนรวยรู้ว่าเป็นเรื่องขี้ผงในความจนหรือรวย ต้องมาเป็นคนจนนี่แหละดี เป็นคนรวยเป็นคนซวย
หากเป็นคนจนแล้วเป็นคนมีความสงบสุขสบาย อย่างพวกเราปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าสำเร็จ มาเป็นคนจนได้สำเร็จสุขสบายสำเร็จ
-
ไม่มีหนี้ 2. เลี้ยงตัวเองรอด 3. ทำให้เหลือกินเหลือใช้ 4. เอาไปแจกจ่าย
นี่คือคนจนผู้ยิ่งใหญ่ พวกเรามาทำอย่างนี้ได้จึงกลายเป็นคนจนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจของตัวเองแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชุมชน หมู่กลุ่มของชาวอโศก ได้สำเร็จ ถึงขั้นสุดยอด เป็นเศรษฐกิจในระดับสาธารณโภคีที่ยิ่งใหญ่กว่าคอมมิวนิสต์ ยิ่งใหญ่กว่าประชาธิปไตย
เพราะว่าเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์เสียภาษี เข้ากองกลาง แต่ว่าในระบบสาธารณโภคีนี้เขาเต็มใจเสียสละให้กองกลาง 100% เสียภาษีให้กองกลาง 100% อันนี้เป็นสุดยอดเลย แก้ปัญหาเศรษฐกิจคือสอนให้คนรู้จักความจนให้จนให้เป็น จะเริ่มมีความสุขมีคุณภาพ จนแต่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างชาวเรา จนอย่างนี้จึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ อาจจะไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยให้คนต้องรวยนั้นเป็นแก้ปัญหาที่ผิด มันเป็นสมบัติผลัดกันชมก็คือดึงกันไปดึงกันมา คนจนกับคนรวยดึงกันไปดึงกันมา คนรวยได้ไปคนจนก็ดึงไป คืนกันไปคืนกัน
โลกไม่มีปัญญารู้เรื่องนี้จบดอกเตอร์มาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แล้วไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยที่มาให้รวย เขาไม่กล้าพูด ว่าจะสอนให้คนจน และเป็นคนจนที่มีเศรษฐกิจสูงสุด สบาย อุดมสมบูรณ์ อย่างที่เรามีตัวอย่างแล้ว ชาวอโศก มีปรากฏการณ์เป็นตัวอย่าง มาเรียนรู้ศึกษา มีทุกอย่างให้ศึกษาเลย เป็นตัวอย่างอย่างดีเลย มาศึกษาได้
อาตมาถึงกล้าพูดได้ว่า ชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จจบ ท่านผู้บริหารประเทศ ขออภัยที่พูดใหญ่มาก เชิญมาศึกษาสิเอาวิธีพระพุทธเจ้าขอยืนยันว่าไม่ใช่วิธีของอาตมา เป็นวิธีของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติอย่างนี้ได้อย่างไรก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา (นักรบธรรมว่า โดยมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี )พ่อครูว่า…นั่นเป็นผลแล้ว
หากประเทศไทยเอาวิธีการนี้ไปปฏิบัติ แต่ผู้บริหารต้องทำให้ได้ก่อน อย่างน้อยผู้บริหารมีศีล 5 อย่างน้อยทุกคนเลยประเทศไทยรับรองว่าไปลิ่วเลย แต่นี่ ตำราพระพุทธเจ้าหลักสูตรทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เขาไม่เอาเลย เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแต่ไปเอาตำราจากไหนก็ไม่รู้ไปปฏิบัติเละเทะ สมบัติผลัดกันชม มันไม่เสร็จหรอก เอาของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจึงจะสำเร็จเหมือนอย่างที่อาตมา พาคนกลุ่มหนึ่งคือคนอโศกมาปฏิบัติสำเร็จแล้วไง เอหิปัสสิโกเชิญมาดูได้ หรือจะใช้คำว่าท้าทายให้มาพิสูจน์ได้
ตอบแล้วนะ น้ำใจ เป็นทั้งโลกียะหรือโลกุตระก็ได้
_เคยได้ยินพ่อครูว่า การบริหารด้วยการไม่บริหาร การปกครองด้วยการไม่ปกครอง
พ่อครูว่า…นี่แหละสมบูรณ์แบบ การบริหารโดยไม่ต้องบริหารเพราะทุกคนมีน้ำใจ แล้วก็รู้จักหน้าที่รู้จักสิทธิ รู้จักว่าอยู่ที่นี่มีน้ำใจ พวกเรามีน้ำใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสิทธิหน้าที่สิ่งที่ควรจะเป็นจะทำมันเห็นใจกันเข้าใจกัน คนนี้ป่วยเจ็บ คนนี้อายุมากแล้ว ให้เราทำแทนเถอะมันมีน้ำใจ มันมีครบเลย มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนหมดจึงเกิด เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มันได้หมดทุกอย่างแล้วอาตมาพิสูจน์ธรรมะพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบ
พ่อครูว่า..ทุกคนรู้หน้าที่มีน้ำใจมีพุทธพจน์ 7 อย่ามโนว่า สังคมชาวอโศกบริหารได้อย่างไรไม่ต้องมีอะไรมาก พวกเราก็บริหาร อาตมาก็เป็นหัวหน้าหมู่ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรอาตมาก็ทำ อาตมาอายุมากเข้า เราก็เห็นว่า ให้พ่อท่านพัก มาเอางานไปทำก็ดีแล้ว นี่แหละลงตัวไม่ต้องจำจี้จ้ำไชบังคับกันมากเลยทุกคนก็ทำอย่างพอดี แต่ละวันๆก็สบาย
_โลกุตระได้แล้วได้เลย ใช่ไหมครับ (การลดกิเลสได้) เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะไม่ตกต่ำใช่ไหม
พ่อครูว่า..ใช่แน่นอน ยิ่งโสดาบันแล้ว เป็นสกิทาคามีก็ยิ่งดี ยิ่งกว่าอธิปไตยใด ยิ่งกว่าการยกย่องสรรเสริญใดๆใช่ไหมคะ
จบ….