610805 หยั่งรู้ใจกูเองคือผู้มีเจโตปริยญาณ
พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯยามเช้า 5 ส.ค. 2561 ที่บ้านราชฯ
พ่อครู : เรื่องกายกับจิตเนี่ย ที่เป็นรูปนาม มันเลือน ธรรมะมันเลือน มันได้พังหมดเลย พวกนี้มันละเอียดจนกระทั่งมันเสื่อมจากความรู้ มันก็เลยเพี้ยนความจริงไปเลย กายกลับมาเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ผิดเลย บุญเหมือนกัน บุญก็กลายเป็น ไม่เป็นเอกังสะ ไม่เป็น ทำหน้าที่เดียวแล้วไม่มีอื่น ต่างจากกุศลพวกนี้ แม้แต่สมาธิ แม้แต่อะไรทั้งนั้น ศีลก็เพี้ยน ศีล สมาธิ ปัญญา เพี้ยนหมด ปัญญาก็เพี้ยน เพราะปัญญาเป็นโลกุตระ ความฉลาดที่ไม่ใช่โลกุตระไม่ใช่ปัญญา เขาฟังผ่านหูนะ พวกนี้เขาฟัง เขาไม่เอา ไม่ get ไม่รู้สึกสะดุดหรอก
ส.เดินดิน : เหมือนบางที มันลึก
พ่อครู : ใช่.. เพราะงั้นเขาก็เลยไม่กระเตื้องไง เขาไม่มีวันเคลื่อนที่ขึ้นมาหาโลกุตระ พวกนี้มันเป็นภาษาที่จะต้องเข้าไปสู่โลกุตระ แต่เขาไม่แล้ว เขาไม่มีแล้วโลกุตระ โลกียะ เขามีธรรมะอย่างเดียว ธรรมะโลกีย์ อันที่เขาติดอยู่เนี่ย โลกีย์โง่มาก โง่น้อย มีโลกีย์โง่มากเลย ฉลาดน้อยที่สุดก็คือ โง่มากที่สุด หรือว่าโลกีย์ที่วิตถารที่สุด ฉลาดวิตถารที่สุด ฉลาดแกมโกงแหลกเลยขนาดหนัก ทักษิณเงี้ย เป็นพวกโง่มากที่สุด ที่ฉลาดแกมโกงเก่งที่สุดเลย ไปเรียนวิชา
ส. แสนดิน : อาชญาวิทยา
พ่อครู : อาชญาวิทยา มาก็เลยใช้ความรู้อาชญาวิทยาขั้น ดอกเตอร์ มาใช้ในการโกง เฉโก เต็มรูปแบบเลย
ส. แสนดิน : ก็เลยโง่ในทางธรรมะ
พ่อครู : เออ.. เลยโง่หนัก โง่ชนิดดอกเตอร์ จบวิชาอะไรมา.. วิชาโง่ จบอะไร ..จบ ดอกเตอร์ ดร.วิชาโง่ โอ้โห หนักหนาสาหัสจริงๆ ไอ้นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ นี่พูดสัจจะความจริง มันสุดยอด เดี๋ยวนี้แกก็ยังใช้ความโง่ของแก แกก็ภูมิใจ แกก็นึกว่าแกฉลาด คือ มันกลายไง มันได้ชนะ มันได้โอกาส มันได้ภูมิใจ ที่เราทำความคิดของเรานี่มันสำเร็จ แต่มันยิ่งเสีย มันยิ่งเสื่อม ตัวเองก็ยิ่งโง่หลง โง่หลง โง่ๆๆ
ส. แสนดิน : มันซ้อน
พ่อครู : โง่ unlimit เลย
ส. แสนดิน : แต่ฉลาด แต่โง่ unlimited
พ่อครู : ตกลงโง่ unlimited โง่เป็นบริษัทจำกัดเลย
ส.แสนดิน : infinity
พ่อครู : บริษัทไม่จำกัด unlimited ไง โง่เป็นบริษัทไม่จำกัดเลย
ส.แสนดิน : จะแก้ยังไง?
พ่อครู : เออ.. มันแก้ไม่ได้เลย ได้ศัพท์คำหนึ่ง โอ้โห พวกนี้โง่ unlimited เลย โง่เป็นบริษัทไม่จำกัดเลย forever เลย โง่ forever
ส.แสนดิน : บริษัทจำกัดนี่มัน limited นะฮะ อันนี้บริษัทไม่จำกัด
พ่อครู : unlimited
ส.เดินดิน : อยู่กับอะไร อยู่กับ ศีล สมาธิ ปัญญา กายๆ คนละ..
พ่อครู : ผิดหมดๆ ไม่เหลือหรอก บอกว่ามัน พูดไปแล้วก็น่าสงสารก็ แล้วก็มากลายเป็นว่า เราไปข่มเขา ไปโจมตี ไปว่าเขา ไม่ว่าก็ไม่รู้จะทำงานอะไร ก็มาแก้ไขธรรมะให้มันถูกต้อง เราก็ไม่มีหน้าที่ ไม่มีงานอื่น หรือกลายเป็น โอ้ย..
ส.เดินดิน : แต่ก่อนมีครูเปรียญเขาบอกว่า เขาแยกออกว่า ศาสนาทุกวันนี้ มันศาสนาโลกีย์ ในขณะที่พ่อครูมาทำศาสนาโลกุตระ
พ่อครู : อันนี้ก็ถูกต้อง
ส.เดินดิน : แต่โลกีย์ บุญ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องโลกีย์
พ่อครู : หมดเลย กลายเป็นเรื่องผิดเพี้ยน เป็นธรรมดา ไปหมดแล้ว
ส.เดินดิน : ครับ
พ่อครู : ไม่มีอะไรสูงกว่าแล้ว มันมีสามัญอยู่อย่างเดียว แต่ว่ามันมีสามัญสำนึกว่า ทำดีทำชั่ว ทำดีทำชั่วนั่นคือโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระเลย โลกุตระต้องรู้จักกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ นี่คือนิยามชัดเจน เงื่อนไขของความถูกต้องของโลกียะ โลกุตระ แน่นอน โลกุตระมันก็ต้องดี ทำดีแล้วก็ทำดีให้ถึงขั้นกิเลสลด แต่โลกียะนั้นทำดีไม่มีประเด็นกิเลสลด เพราะไม่รู้จักเจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีความรู้ในเรื่องพวกนี้เลย เพราะนั้นพูดถึงกายก็ไม่รู้จักจิต พูดถึงเวทนาก็ไม่รู้จักจิตเจตสิก พูดถึงเรื่องจิตเองก็ไม่รู้เลย ตกลงไม่รู้แม้กระทั่ง สราคะ สโทสะ สโมหะ มันเป็นยังไง ทำให้มันเป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ จะต้องทำอย่างนี้เหรอ ..ไม่รู้ แล้วทำได้หรือยัง ก็กลายเป็นเริ่มต้นว่าจะทำได้ยัง รู้จักวิธีทำยัง ..ไม่รู้ ถ้ารู้วิธีทำก็ทำให้สาย วีตราคะกับ.. ไม่ใช่วีตะ..
ส.แสนดิน : สังขิตตังจิตตัง
พ่อครู : สังขิตตังจิตตัง กับ วิกขิตตังจิตตัง เปลี่ยนแปลง สายเจโตก็ต้องเปลี่ยน สังขิตตัง เพราะมันจะดับมาทางนี้ สายปัญญาก็ต้องเปลี่ยนวิกขิตตังจิตตัง หรือความเป็นกลาง ฟุ้งก็ให้มันพอดี มันถีนมิทธะก็ให้มันพอดี สังขิตตังจิตตัง กับ วิกขิตตังจิตตัง ทำได้แล้วมากหรือน้อย มหัคคตะ หรือ อมหัคคตะ ทำได้แล้ว ได้ยัง ได้มากหรือได้น้อย มห มห มาก อมหัคคตะ มันเป็นไป เจริญไม่มาก เจริญน้อย อมหัคคตะ เจริญมากกว่า มหัคคตะ ก็ให้เจริญมากเท่าที่เราจะทำได้ พากเพียรไป มากขึ้น มหัคคตะ ก็จบหรือยัง อุตตระ อนุตตระ อุตตระ อนุตตระ มันก็จะเป็น อุตตระ อนุตตระ ที่จริงน่ะ อนุตตระ ยิ่งกว่าอุตตระ แต่มันเหมือนคำปฏิเสธอันหน้าไม่ ไม่ใช่เหนือ ไม่ใช่โลกุตระ อุตตระ หรือ อนุตตระ ตกลงมัน อุตตระนั่นแหละ จนกระทั่งมันไม่มีอุตตระจะทำแล้ว ถือว่าอรหันต์ เพราะงั้นก็จบด้วยการตัดสินด้วย สมาหิตัง อสมาหิตัง คือ สมาธิที่ตั้งมั่นแล้ว หรือยังไม่ตั้งมั่น กับวิมุติหรืออวิมุติ ก็จบ นี่คือเจโตปริยญาณ 16
ส.แสนดิน : ตรวจหลายชั้น
พ่อครู : คือ จิตในจิต รู้จักจิตในจิต 16 ชั้น นี่คือ ผู้รู้จักจิตในจิต แล้วทำสมบูรณ์แบบก็คือ สมาหิตัง วิมุติ เรียกว่า วิชชาและวิมุติ สมบูรณ์
ส.แสนดิน : ตรวจสอบทั้งปริมาณและคุณภาพ ความยาวหนา
พ่อครู : หมดเลย
ส.เดินดิน : อนุตตระนี่สูงกว่าอุตตระใช่ไหมครับ ?
พ่อครู : อ๋อ แน่นอน อนุตตริยะ
ส.เดินดิน : แต่ว่าพอ สมาหิตัง
ส.แสนดิน : อสมาหิตัง
ส.เดินดิน : อสมาหิตัง .. อสมาหิตังนี่ต่ำกว่า
พ่อครู : อสมาหิตังสูงกว่า
ส.เดินดิน : สูงกว่า ?
พ่อครู : ไม่ใช่ๆ สมาหิตัง สิ.. อสมาหิตัง นั่นหมายความว่ายังไม่ ยังไม่เป็นสมาธิตั้งมั่น
ส.เดินดิน : แต่ว่าๆ มันกลับไปเรียงลำดับ
พ่อครู : มันเอา อะ ไป เอา อะไป อุตตระก็มี อ อะ อุ แต่อนุตตระก็ อะ อนุตตระกลายเป็น อนุตตระนี่สูงกว่า แต่ อสมาหิตัง นี่ อะ ไม่สูง สมาหิตัง สูงกว่า ก็เท่านั้น เรียกว่าเอา อะ ไปเป็นตัวสลับกัน อย่างงี้ล่ะพยัญชนะหรือสภาวะมันจะสลับกัน เพราะงั้นใครสลับ พวกเรียงพยัญชนะจะบอกเฮ้ย อสมาหิตัง ทำไมมันไปต่ำกว่า สมาหิตัง
ส.แสนดิน : พวกไม่มีสภาวะ
พ่อครู : พวกที่ติดสภาวะ พวกที่ติดพยัญชนะ ไม่มีสภาวะ เขาก็จะสรุป แต่ถ้าเผื่อว่าเราเรียนรู้แล้วว่าทุกอย่างมันจำกัด ก็ใช้ธรรมะ 2 ธรรมะมันจะลึกซึ้งตรงที่มันสลับกันไปสลับกันมา จึงเรียกว่าปฏิ สลับกัน ปฏิโสตัง กลับไปกลับมา ปฏิโสตัง เพราะงั้นกลับไปกลับมานี่ ต้องหมุนสมองให้ทันสมัย ระหว่างสภาวะกับ มันก็จะกลายเป็น เช่น มายามันเป็นเรื่องเลว แต่สิริมหามายา นี่เป็นเรื่องสุดยอดเลย ให้การเกิดสุดยอด ทำการเกิดสุดยอด เหมือนนักเล่นกล เหมือนนักมายา แต่เขาเป็นคนที่สามารถทำให้เกิด ทำให้ดับได้อย่าง สุดยอด มุทุภูตธาตุ จิตเร็ว จิตไว จิตบังคับได้ดีมาก ปฏิภาณดีมาก เปลี่ยนไว เปลี่ยนช้า เปลี่ยนเร็ว ได้หมด เกิดเมื่อไหร่ ตายเมื่อไหร่ได้ เป็นอมตะบุคคล สุดยอด
ส.เดินดิน : เจโตปริยญาณ คนก็เข้าใจคนละแบบกับที่พ่อครูอธิบาย เจโตปริยญาณก็เป็นเดาใจรู้ใจอะไร
พ่อครู : ไอ้นั่นมัน อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่ใช่อนุสาสนีปาฎิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ต้องเข้าใจสภาวะธรรม สภาวะธรรมเป็นโลกุตระอย่างที่อธิบายคือไปรู้จักกิเลส รู้จักขั้นตอนเจโตปริยญาณ คือ ขั้นตอนของกิเลสทั้งสิ้น แล้วก็ทำได้ไหม ทำตามนั้น สราคะ นี่ราคะแท้ๆ นะ ทำให้เป็นวีตราคะ คุณทำได้ไหม ทำยังไง สามารถทำได้ สามารถที่ทำให้มันลดได้ เป็นวีตะได้ ลักษณะของมันก็มีสังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง ทำได้ไหมล่ะ ทำให้แตกตัว ทำให้สังขิตตังจิตตังก็ทำให้แตกตัว ไปฟุ้งซ่านอยู่เป็น fission เป็น nuclear fission อยู่ เฮ้ย.. รวมให้เป็น fusion ได้บ้าง ฟุ้งไป กระจายไป ก็ทำให้เป็นสภาพที่สมบูรณ์ตามที่เราต้องการ
ส.เดินดิน : แสดงว่าอุตริมนุสธรรม ที่พ่อครูประกาศ คนไม่ฮือฮาก็เพราะว่า เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ถ้าแสดงอาเทสนา เป็นรูปธรรม คนก็จะฮือฮา
พ่อครู : รู้แล้ว อนุสาสนีปาฏิหาริย์ มันขนาดรุ่นยุค พระพุทธเจ้า ๆ ก็ยังบอกเลย แล้วยุคนี้ล่ะ ใช่ไหม
ส.ดินไท : เขาไปเข้าใจ เจโตปริยญาณ ว่าไปรู้ใจคนอื่น
พ่อครู : เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์
ส.เดินดิน : เป็นความคิดของคน
พ่อครู : ไปเดาใจคน คือมันผิด มันเป็นเรื่องของจิตเหมือนกัน หยั่งรู้ใจคน
ส.ดินไท : มโนมยิทธิ
พ่อครู : แต่หยั่งรู้ใจคน หยั่งรู้ใจกู กูมีกิเลส หรือ กูไม่มีกิเลส นี่คือประเด็น แล้วก็ทำกิเลสให้ออก นี่ต่างหาก นี่คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ หยั่งรู้ใจคนอื่น เขาไม่มี บอกว่าหยั่งรู้ใจคนอื่นนี่ผิด หยั่งรู้ใจกู ถึงจะถูก
ส.แสนดิน : เจโตปริยญาณ
พ่อครู : แล้วก็บอกว่ามันมี เป็นปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง รู้ใจบุคคลอื่น รู้ใจสัตว์ บุคคลนี่ก็หมายถึงปรมัตถ์ จิตก็หมายถึงจิต สัตว์ก็หมายถึงปรมัตถ์ บุคคลก็คือบุคคลโลกียะ โลกียะบุคคลกับ ปุถุบุคคล หรือให้เป็นอาริยบุคคล ก็รู้จักการอย่างอื่นแล้ว แต่ก่อนนี้เราเป็นปุถุบุคคล เราทำให้จิตของเราเปลี่ยนเป็นอาริยบุคคลให้ได้ อย่างนี้ต่างหาก สัตว์ก็เหมือนกัน คุณเป็นสัตว์มาร มารสัตว์ ก็ทำให้มาเป็นพรหมสัตว์หรือเทวสัตว์ เทวสัตว์ก็แค่ทำให้เป็นอุบัติเทพ ให้เป็นวิสุทธิเทพให้ได้ หรือให้เป็นพรหมให้ได้ แต่ถ้ายังเป็นเทพที่ยังมัวเมา เทพเป็นเทวนิยมอยู่ เทพเป็นตัวเป็นตน เทพไม่รู้จักภพจักชาติ เทพไม่รู้จักอัตตา คุณก็มีเทพอัตตาอยู่ตลอดกาล เป็นสมมติเทพ คุณไม่สามารถรู้จักอุบัติเทพ ทำวิสุทธิเทพไม่ได้ เพราะงั้นเทพ 3อย่างคุณก็แยกไม่ออก
ส.แสนดิน : ก็ยังเป็นสมมติเทพไปอย่างนั้น ไปตลอด
พ่อครู : สมมติเทพไปตลอดนิรันกาล อย่างดีก็แค่ทำให้เป็นสมมติเทพที่ดี
ส.แสนดิน : ดีมากเป็นพระเจ้า
พ่อครู : สุจริต มีเมตตาอะไรก็กดข่มไว้ สมาธิก็กดข่มไว้ ก็เป็นเรื่องโลกีย์หมด ไม่เข้าหาโลกุตระ แก้ไขตัวจิตให้เปลี่ยนแปลงจริงๆ เปลี่ยนแปลงจากที่มันโง่ แปลงจากที่มันเป็นโลกียะให้มันเป็นโลกุตระ ให้มันสุดฉลาดได้จนสมบูรณ์แบบเป็นอนุตตริยะ
ส.แสนดิน : นี่คือ หยั่งรู้ใจกู เจโตปริยญาณ
ส.เดินดิน : เจโตปริยญาณคือหยั่งรู้ใจกู
พ่อครู : ใช่ ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง ก็มารู้ใจกูทั้งนั้นแหละ ใจกูเป็นสัตว์อยู่ ใจกูเป็นบุคคลอยู่ สัตว์แบบไหนล่ะ สัตว์แบบสัตตาวาส 9
ส.แสนดิน : ศีลแต่ละข้อ
พ่อครู : จนกระทั่งหมดความเป็นสัตว์ทุกอย่าง จะรู้จักความเป็นสัตว์ คุณก็ต้องรู้จักความเป็นกายคืออะไร สัญญาคืออะไร กายอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่ง กายต่างกัน สัญญาต่างกัน กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน กายต่างกัน คุณก็ต้องรู้หมดในเรื่องของสัตตาวาส 9 แล้วคุณก็จะทำมันลดกิเลสได้ เพราะนั้นกายก็คือธรรมะคู่ธรรมะสอง เพราะนั้นธรรมะสองแล้ว มันก็สรุปอยู่ที่พระไตรปิฏกเล่ม 10 ข้อ 60 นี่แหละ ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ คุณก็มาทำที่เวทนา เพราะเวทนาที่เป็นกรรมฐานสูงสุด คุณก็ต้องรู้ เวทนา 108 เป้าสำคัญก็คือ มโนปวิจาร 18 สอง 18 อ่านออกเลยว่าเคหสิตเวทนา กับ เนกขัมสิตะ เวทนา แล้วก็ทำเวทนานี่แยกเวทนานี่ออก จนเหลืออุเบกขา เป็นเนกขัมสิตะอุเบกขาสมบูรณ์แบบ จนถาวร นิจจัง ธฺวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง จบ จิตคุณก็ถาวรด้วย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำอันนี้เป็น อเนญชา ถาวรนิรันดร์ เป็น นิจจัง ธฺวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกฺปปัง จบ เทศน์เป็นอรหันต์ จนกระทั่งเกินอรหันต์แล้ว เกินโพธิสัตว์แล้ว
ส.ดินไท : เป็นอรหันต์จ้อย
พ่อครู : เทศน์จนเกินโพธิสัตว์แล้วนะเนี่ย แต่พวกเราก็ฟังได้แล้ว ทางโลกไปพูดรับรองเขาไม่รู้เรื่องหรอก จบเปรียญ 9 มา เอาไปให้เปิดให้ฟังเลย เปรียญ 9 จบเปรียญด้วยนะ จบ ดร.ทางพุทธศาสตร์ ฟังนี่ละ ทำวิจารณ์วิจัยมา
ในสวนดาว ถอดความ
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=jB-eJu78vtA[/embedyt]