610920_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 16
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1JEA9wk5HZyh3Itv9Z-RUMtNOyoWu4V8W72cX2CFvCWQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1jSZ9UgsX0cAO2d4hvldo-A3aAA4x0OW-
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เขาให้ประกาศค่ายสัมมาอาริยมรรค
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“ศีลกับปัญญาชำระใจ”
ครั้งที่ 32 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 21 – อาทิตย์ที่ 23 กันยายน ๒๕๖๑
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
พ่อครูว่า…SMS 19 กันยายน 2561 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_3867 ความไม่ถูกกิเลสรบกวนแต่ประการใดเลยนั่นแหละคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์!ซึ่งสมมุติเรียกกันอีกอย่าง1 ว่าความดับเป็นสุขที่สุด!ธ.พุทธทาสฯ
พ่อครูว่า…ความดับของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ก็ได้ ความไม่มีสุขไม่มีทุกข์นี้ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไหนๆจะเข้าถึงกันได้ ส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัน ศาสนาพุทธไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเป็นฐานอุเบกขาเป็นนิพพาน ผู้สามารถปฏิบัติธรรมธรรมะ 2 ให้เป็นหนึ่งได้เป็น 0 ได้เป็นอุเบกขา เป็นนิพพานได้ หากทำเนกขัมสิตอุเบกขาไม่ได้ ก็ไม่มีทางไปนิพพาน ศาสนาทุกวันนี้ไม่ว่าสำนักไหนก็แล้วแต่ออกนอกทางไปหมดแล้ว
_พันธุ์ พอเพียง · วิโมกข์8 เป็นความงามลาดลุ่ม รูปี รูปานิ นั้น เริ่มเดินเครื่องได้แล้ว ทำไมพอข้อ2 อรูปสัญญี เครื่องกลับดับ พอข้อ3 เหมือนจะพอใจความติดๆดับๆของเครื่อง พ่อครูอธิบายแล้วเข้าใจครับ เป็นแบบเครื่องติด เครื่องเดิน และถึงเป้าหมาย กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…คุณคนนี้เอาอันอื่นมาสรุปให้อาตมานะ อาตมาไม่ได้เข้าใจแบบนั้น
_บุญเลียบ · พ่อคูรค่ะวันไหนที่ลูกอยู่ที่บ้านจะเห็นทุกข์เนกขัมม วันไหนได้ไปช่วยงานที่อุทยานจะเห็นสุขโลกุตระเห็นอาการของจิตขึ้นนรกตกสวรรค์เสมอๆค่ะ ก็พยายามทำให้เป็นเวทนาหนึ่งไปหาสูญค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า..ใช้ภาษาพวกนี้พูดกับอาตมา อาตมาเข้าใจ ก็ดีแล้ว คุณพูดมาสำนวนคุณที่เขียนมาถูกต้องดี
_วันชัย สหมโนธรรม · กราบนมัสการครับ..ท่าน สิกขมาตุข้ามฝัน อโศกตระกูล ท่านแสดงธรรม ได้ดีมากครับฟังง่ายๆสบายๆ เข้าใจดีครับ กราบสาธุ
_ลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ
การย้อมผมเป็นอบายมุขหรือไม่ เพราะการเป็นผู้หญิงมันยากมากๆที่จะยอมรับความแก่ของตัวเอง เมื่อตอนสาวดูกระจกก็หลงตัวเอง ชื่นใจตัวเองว่ายังสาวอยู่ แต่ตอนนี้ความชราเข้ามา ไม่อยากมองตัวเองในกระจก ใจอยากจะย้อมผมให้ดูสวย แต่ก็ไม่อยากหลอกตัวเองและคนอื่น ใจมันไรๆรอนๆคิดอยากจะย้อมทุกครั้ง แต่ก็เอาชนะทุกครั้งที่มีอาการอยากย้อมผม จะทำอย่างไรดีกับอาการ ผีอยากสวย ขอความเมตตาด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..เป็นอบายมุขแน่นอน มันเป็นนรก ทำไมผู้ชายรับได้ผู้หญิงรับไม่ได้ ผู้หญิงไม่แก่หรือไง เขาว่าผู้หญิงแก่ง่ายตายช้า ผู้ชายแก่ช้าตายง่าย เผลอๆไม่นานตายก่อนผู้หญิงแล้ว
พูดกับถามกันก็สนุกดีนะ
สู่แดนธรรมว่า…ขนาดอาจารย์สอนอภิธรรมก็ยังย้อมผม
พ่อครูว่า…เขาก็ไม่รู้หรอกเขายังรักสวยรักงามยังติดอยู่อายุ 90 กว่าแล้ว ต่อให้เป็นอาจารย์อภิธรรมเป็นนักธรรมะขนาดไหนก็ยังมีอีก
ทำอย่างไรกับผีอยากสวย…ก็ย้อมให้มันเข็ดก็แล้วกัน เมื่อยก็เข็ดเอง ย้อมให้สมน้ำหน้าไป ก็รู้อยู่ พิจารณาสิ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไปเป็นธรรมดาสามัญ จะไปฝืนมันทำไม สิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าคุณยังอยากสวยอยู่ก็ทำไป เงินของคุณ คุณจ่ายเอง อาตมาไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคุณ คุณกลัวว่าคนที่ย้อมผมจะจนก็ช่วยเขาไป หรือว่าทำเอง ก็ทำยาย้อมผมขายเลยสิ ทำเองเป็น
_เกร็ดดินว่า..กินงาเยอะก็ผมดำเอง คนอโศกที่ผมขาวเพราะขาดงา
พ่อครูว่า…มีคนมีความรู้ว่ากินงาแล้วผมจะดำเองไม่ต้องไปย้อมผม
_เจโตสมถะ มีวิกขัมภนปหาน เป็นขั้นแรกของเจโตวิมุติถูกต้องไหม
พ่อครูว่า…จะต้องพยายามตกลงกันว่า เจโตวิมุติหมายถึงอะไร ถ้าเจโตวิมุติ หมายถึงโลกุตระนั้นยังไม่ใช่ แต่ถ้าหมายถึงโลกีย์ ก็มันก็ไม่ถึงวิมุติ สมถะก็ไม่ถึงวิมุติ
ถ้าคำว่าวิมุติคือ ความหลุดพ้นจริง หากคุณไปโมเมเอาว่าหลุดพ้นก็ได้ทั้งนั้น ก็พยายามอย่าไปเอามันสิแบบนั้น พยัญชนะก็มี ทำความเข้าใจให้ได้ อาตมาพยายามอธิบายให้ละเอียดและสรุปเข้ามาหาหลักที่จะปฏิบัติคือธรรมะ 2
ธรรมะ 2 เป็นหลักเกณฑ์เป็นขั้นตอน เรียกว่าปฏิบัติธรรมะสอง เรื่องไหนที่เราจะปฏิบัติเรียนรู้ เอาเรื่องจริงที่ตัวเราเองเป็นตั้งแต่คุณเกี่ยวข้องกับสัตว์ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกับผู้คนเกี่ยวข้องกับสัตว์ การเอาสัตว์มาเลี้ยงหรือเกี่ยวข้องกับสัตว์นั้นมันเป็นวิบากเพิ่มอีกจะทำไปทำไม คนที่พูดกันรู้เรื่องยังมีวิบากทุกข์ร้อนกัน แล้วสัตว์มันเริ่มต้นมาจะมาเป็นคู่วิบากเพิ่มขึ้นๆ มันเรื่องอะไรมันไม่รู้เรื่องต่างหากพวกที่ทำ ขอยืนยันว่าที่พระพุทธเจ้าสอนมาอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ จะเป็นสัตว์เลี้ยง ยิ่งเลี้ยงเพื่อฆ่ายิ่งไม่ได้เรื่องใหญ่ พยายาม ศึกษาแล้วอย่าไปอยู่ในวงจรแห่งบาปเลย คุณก็ได้ชีวิตนี้กับวงจรนี้ที่จะเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบาปเกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 1 สรุปได้อย่างนี้ เอาเนื้อหานะ
_ขอรบกวนทบทวนเรื่องฌานวิสัย รูปฌาน อรูปฌาน เชื่อมต่อกันอย่างไร
พ่อครูว่า…เรื่องฌานนี้ไม่มีสำนักไหนเขาสอนกันเรื่องนี้
ฌานคือ ลักษณะสร้างพลังงานจิตให้มี อุณหธาตุ ให้เป็นธาตุไฟ การไปนั่งสมาธินั้นไม่ใช่ธาตุไฟเป็นธาตุเย็น แต่จริงๆแล้ว ฌานนี่คือไฟ ฌาน
ฌาน แปลว่า ไฟ แต่เขาไปแปลว่าเพ่ง ฌานคือการเพ่งจิต จะพูดว่าไม่ผิดก็ได้แต่ไม่ถูก เพ่งคือ จะต้องตั้งใจทำจิต ก็ต้องเพ่ง พินิจ ก็ต้องรู้ รูปธาตุ นามธาตุ แล้วเกี่ยวข้องกับการสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หกทวาร แล้วคุณก็อ่านความรู้สึก เรียกว่าเวทนา
ความรู้สึกของคุณเกิดคุณก็วิจัย ถ้าความรู้สึกของคุณเริ่ม ตักกะ คุณก็แยกตักกะนี้ออกได้ว่า อาการของจิต เป็นธรรมะสอง อันหนึ่งเป็นอาการของจิต อีกอันเป็นอาการของตัวหลอก เป็นอกุศลจิต เป็นกาม พยาบาท ที่เป็น มิจฉาสังกัปปะ 3
อ่านให้เห็นว่า อันนี้เป็นเจ้าราคะ อันนี้เป็นพยาบาทปนมา ร่วมมา ก็ให้กำจัดอันนี้ ด้วยการสร้างพลังงานจิตให้เป็นพลังงานปัญญา ปัญญาที่สูง จะมีพลังงานไฟ อุณหธาตุ สามารถล้างไฟราคะโทสะโมหะได้ มันจะสลายกันได้ นี่คือการสร้างฌานใส่จิต
การไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้จิตมันเย็นมันสบาย มันไม่ใช่ฌานเลย ฌานกับสมาธิต่างกันอย่างไร สมาธิคือจิตที่ได้ปฏิบัติฌาน ชำระกิเลสได้ ฌานก็ตกผลึก จิตที่ล้างกิเลสได้จะตกผลึกลงไปสั่งสมลงไปเป็นสมาธิ คือจิตที่ตั้งมั่น
สมาธิ นี่มันเป็นเรื่องที่ ไม่ต้องเอามาพูดก็ได้ เป็นผลของการปฏิบัติจิต ที่ถูกต้องก็จะเกิดสัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าสัมมาสมาธิจะเกิดได้อย่างไรให้ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์
ไม่ต้องไปห่วงหรอกสัมมาสมาธิ ปฏิบัติมรรคเป็นสอุปนิโส สปริขาโร เป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบที่มันจะปฏิบัติแล้วจะได้ผลให้จิตสะอาดปราศจากกิเลสแล้ว ตกผลึกเป็นสมาธิตั้งมั่น แล้ว จะเป็นกำลังแข็งแรงปราดเปรียวคล่องแคล่ว ไม่ใช่ยิ่งช้ายิ่งเฉื่อยเดินช้าๆ ไม่ใช่ ปฏิบัติ สมาธิที่ถูกต้องจะกลายเป็นคนคล่องแคล่วปราดเปรียว คนที่บรรลุ ฌาน สมาธิ ยิ่งเป็นคนคล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่ใช่คนเฉยชาเป็นคนนิ่ง แล้วปฏิบัติให้มันเร็วจะให้มันช้าอีกอย่างนั้นมันเป็นสมถะ สมถะมันถ่วง ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าเลยอย่างนั้นมันของฤาษีเดียรถีย์เขาปฏิบัติกัน เขาปฏิบัติกันอยู่ทุกสำนัก พูดได้เลย ไม่ว่าสำนักไหน จะเป็นสำนักเชิงท่านพุทธทาสก็เป็นสมถะลืมตา ไม่ใช่วิปัสสนา ขอวิจัยวิจารณ์แค่นี้ก็แล้วกัน
รูปฌาน อรูปฌาน เชื่อมต่อกันอย่างไร
ผู้สามารถปฏิบัติ รูปฌานได้คือต้องลืมตาปฏิบัติ แล้วล้างกิเลสกามได้ แต่ก็ต้องสัมผัสทางทวารทั้ง 6 แต่ใจเป็นฌาน ฌานที่ได้ไม่ต้องไปนั่งหลับตาหรือหาสถานที่ปฏิบัติ มันได้เสร็จแล้วก็จะแข็งแรงขึ้นเป็นอนาคามี หมดกาม เหลือรูปฌานอรูปฌาน อนาคามีก็เหลือรูปฌาน ก่อนถึงอรูปฌานที่เป็นอากาสาฯ วิญญานัญจา อากิจจัญยา
รูปฌานก็มีรูปราคะ เป็นกิเลสกาม ขั้นกลางเรียกว่ารูป ขั้นปลายคืออรูป
เราต้องกำหนดอาการกามเราหมดแล้ว อาการกามราคะของเราไม่มี สัมผัสรูป รส กลิ่นเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญต่างๆพวกนี้ก็ไม่มี นั่นคือจิตของคุณเป็น ฌาน จิตมีฌานแล้ว ตั้งแต่กามาวจร ก็เหลือรูปาจวร แล้วไปหาอรูปาจวร
อวจรหมายถึงพฤติการณ์ มันก็จะมีอาการจิตพวกนี้ ปรุงแต่งกันอยู่ มันหยุดปรุงแต่งคุณก็มีฌานสำเร็จ ฌานสำเร็จ จะตกผลึกเป็นสมาธิก็หมดหน้าที่ของฌาน
อนาคามีไม่ต้องเสียพลังงานไปล้างกิเลสกาม เหลือเป็นแต่กิเลสที่เป็นรูปราคะ อรูปราคะ แล้วหากล้างรูปราคะอรูปราคะได้อีก เป็นอนาคามีมรรค อนาคามีผล ตามลำดับ ก็เข้าสู่อรหัตตมรรค จนหมดรูปราคะ อรูปราคะมานะอย่างหยาบก็เข้าสู่สภาพของอรหัตตมรรค
รูปฌานหากปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิก็จะอ่านได้ออก
_คนทำงานทำเพื่อลดกิเลส ไม่ใช่ทำเพื่อเอาโลกธรรมข่มผู้อื่น ได้รับตำแหน่งแล้วยังลดกิเลสไม่ทันระวังบาดเจ็บ (อุบัติเหตุทางธรรม)
พ่อครูว่า…ใครฟังก็จะได้รู้ เขาก็ปรามมาไม่ได้ถามอะไร ปรามเพื่อน
_แก้วบุญ…ผีอยากสวยแปลว่าอะไรคะ
พ่อครูว่า…เออ ให้อายุสัก 12-13 แล้วจะรู้ แล้วจะรู้ว่าผีอยากสวยเป็นยังไง ตัวเองนี่แหละจะเป็นผีอยากสวยผู้หญิงนี่ อ้าวฟังหลวงปู่จะอธิบาย
ผีอยากสวยคือจิตใจของเรา จะเป็นผู้ชายก็มีผี แต่ผู้หญิงนี่ตัวเก่งอยากสวยมีเยอะในผู้หญิง รักความสวยความงามผู้หญิง ผู้ชายเขาก็รักเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เขาแข่งกับผู้หญิง จิตใจของเรานี่มันอยากจะได้ความงามอยากจะได้มันหลงติดความงาม ก็จะพยายามไปแต่งตัวให้สวย ข้าวของอะไรก็ต้องเอาอย่างสวยๆ เรียกว่าผีอยากสวย
ผีนี่ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนนี่แหละ จิตใจของคนนี่แหละเป็นผี คนที่ตายไปแล้วไปเป็นผีไม่มี ผีก็คือจิตวิญญาณคือจิตใจ คนตายแล้วในร่างกายคุณมีจิตใจไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นคนตายแล้วไม่ใช่ผี ไม่มีผีแล้วเพราะผีออกไปแล้วจากร่างกาย คนตายทุกคนไม่เป็นผี มีแต่ซากศพ ผีไม่มี ผีก็คือจิตใจของคนเป็นๆนี่แหละสำคัญ คนตายบอกแล้วว่าไม่มีผี ที่อยู่ที่จิตใจคนที่ยังเป็นๆอยู่นี่แหละอ่านให้ได้ ถ้ามันยังจะอยากสวยจะแต่งตัวสวย อยากจะไปหาแต่ความสวย อันนั้นก็จะเอาอยากจะสวยมาประดับประดาชื่นใจ แล้วก็ได้สวยชื่นใจ ไม่ได้สวยก็เศร้าใจนั่นแหละผี
เข้าใจไหม แล้วโตขึ้นฟังคำของหลวงปู่ไว้ อย่าไปอยากสวย จะเป็นผี
_หนึ่งฟ้า…ดิฉันมีสองคำถามสั้นๆ
คำถามแรก จากรายการครั้งที่แล้วที่พูดถึงอายตนะ 2 สุดท้าย ในยุคแรก พ่อครูจะใช้สองคำนี้คือสัญญาเวทยิตนิโรธไม่ได้ลงท้ายด้วยอายตนะ ต่อมาพ่อท่านอธิบายว่ามันคือ อสัญญีสัตตายตนะ คือ ไม่ต้องกำหนดสัญญาอีกแล้ว ช่วงหลังพ่อท่านอธิบายอายตนะ 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ
พ่อครูว่า…ใช่ เป็นธรรมะ 2 ของเราเอง ถ้าใครไปปฏิบัติผิด อสัญญีสัตว์ กับอสัญญีสัตว์อายตนะ ก็จะเป็นการดับสัญญา เป็นการทำแบบผิดจะไม่มีอายตนะเป็นอสัญญีสัตว์ ก็จะดับจิตตัวเอง จนไม่มีสัญญาเป็นผู้ไม่มีสัญญาไม่กำหนดจิตตัวเอง สัญญาก็ไม่มีเวทนาก็ไม่มีไม่มีความรู้สึก ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิอย่างนี้ก็ไม่ได้เรียนรู้
แต่ถ้าผู้ปฏิบัติสมาธิที่จะเกิดเป็นธรรมะ 2 อสัญญีสัตว์อายตนะคือผู้กำหนดรู้อายตนะ อสัญญีที่เป็นอสัญญีแล้ว หมายความว่าผู้นั้น จบการสัญญา ไม่ต้องกำหนดรู้แล้วมีอายตนะอ่านจิตของตัวเองได้แล้วเหลือแต่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อเหลือแต่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็กำหนดสัญญาตัวนี้แหละ กำหนดตัวเนวสัญญา ที่แปลว่าการกำหนดรู้ตัวที่มัน เนวะ กับ นานัตตสัญญา สัญญาต่างๆที่คุณเคยเรียนรู้มาแล้ว มันจะเป็นสัญญาที่คุณทำได้ นาสัญญาคือสัญญาต่างๆ คุณเคยทำได้จิตธรรมดาหนึ่งที่เคยทำได้ จิตอีกตัวที่คุณยังไม่หมดกิเลส คุณก็จะเทียบเคียงธรรมะ 2 ตัวที่เป็นธรรมะที่ยังมีกิเลสมันก็ต่างกันกับตัวที่ไม่มีกิเลสแน่นอน เพราะฉะนั้นก็ทำตัวนี้แหละ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ให้มันตายก่อนแล้วล้างกิเลสตัวนี้จิตของคุณก็จะเป็นจิตสะอาด เป็นธรรมะ 1 ใน 2
ในขณะที่คุณเองคุณทำให้กิเลส ดับไปได้จริงก็เป็น 0 กับธรรมะ 1 ก็เป็นธรรมะ 2 สองอัน คือทำให้กิเลสดับมันเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิต เมื่อทำให้เป็นธรรมะที่ไม่มีอกุศลจิตแล้ว เป็นธรรมะสะอาดจากกิเลสทั้งหมดได้แล้วคุณก็เหลือธรรมะ 1
เรียนรู้ย่อมาคือ กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา
เวทนา จะเกิดให้เรียนรู้ได้ต้องมีสัมผัสเป็นของจริง การไม่ปฏิบัติกับสัมผัสของจริงจะเป็นคนเพ้อเจ้องมงายอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง เป็นแค่เพียงสัญญากับความจำ เป็นอดีตกับอนาคต แล้วอดีตกับอนาคต มันจะเป็นสัจจะที่ไหน มันเกิดในปัจจุบัน คุณเองรู้ตัวกิเลสก็ฆ่ากิเลสได้ แต่ถ้าในอนาคตมันไม่มีกิเลสเกิดจริงเลย ถ้าคุณไปฆ่าก็ลมๆแล้งๆนั่งสะกดจิตลงไปจิตของคุณก็นิ่งเฉยๆ มันไม่เกิดอาการของเวทนา ไม่เกิดอาการของตัณหา ไม่เกิดอาการของอุปาทาน ไม่เกิดภพชาติ ไม่เคุณมีแต่ลมๆแล้งๆ การหลับตาปฏิบัติธรรมนี้เลิกเลยได้ไหมท่านทั้งหลาย ขอยืนยันว่ามันผิด มันไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรมเลยของศาสนาพุทธ มันไม่อยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท 12 ข้อเลย
เมื่อไม่ใช่ปฏิจจสมุปบาทคุณจะไปปฏิบัติธรรมได้อย่างไรเพราะไม่มีสังขารไม่มีวิญญาณไม่มีนามรูปไม่มีเวทนา สรุปแล้วกรรมฐานคือเวทนา ไม่มีเวทนาก็สุญโญ
อสัญญีสัตว์ คือผู้ที่สำเร็จแล้ว กำหนดรู้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ทำอันนี้ให้เป็นสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ ได้นิโรธแล้ว เพราะคุณทำเวทนาทั้งหลาย 108 ได้สำเร็จ โดยมีตัวสัญญากำหนดรู้ตลอดเวลา แล้วสัญญานี้ มันจะเป็นตัวปัญญา สัญญากำหนดรู้ทั้งภายนอกและภายใน
ถ้าเป็นอย่างหลับตานั้นไม่มีภายนอกจะไม่มีผลเกิดเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่นั่งหลับตาสมาธิไม่มีทางที่ปัญญาจะเกิด เขาแยกแยะปัญญากับสัญญาก็ไม่ออก จะมีแต่สัญญาภายในเท่านั้นไม่มีแต่ภายนอก ภายนอกนั้น ของพระเจ้าถ้าเข้าใจองค์ธรรม 6 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 จะมีปัญญา ปัญญนิทรีย์ ปัญญาพละเกิดได้ต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์และก็มีสมาธิดี ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มัคคังคะ
คุณปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์วิจัยธรรมต่างๆ โดยคุณมีความรู้เป็นสัมมาที่เป็นประธาน เมื่อสัมมาทิฏฐิเป็นประธานปฏิบัติในขณะทำงานอาชีพในขณะทำกระทำการงานต่างๆในขณะที่พูด ก็มีสังกัปปะ
สังกัปปะ เป็นตัวแท้ที่คุณจะเอาไปปฏิบัติธรรม แล้วอ่าน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วจัดการสังกัปปะ 7 โดยรู้ กามพยาบาท ก็ทำได้
_หนึ่งฟ้า อายตนะ 2 ตัวสุดท้าย เป็นเรื่องใหญ่มาก นำไปสู่ความสับสนในการฟังคำอธิบายเกี่ยวกับสัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วิญญาณฐิติ 7
ประเด็นที่ 2 สืบเนื่องจากคำถามของ พี่เกร็ดดิน เรื่อง 3 2 1 0 ดิฉันไม่รู้เรื่อง แต่ทำใจไม่ไหวก็เลยขออธิบาย…คำว่า 3 คือ ISH ตัว I คือประธาน S คือ ตัวแทนอิตถีภาวะ H คือ ตัวแทนปุริสภาวะ ก็คือรูปกับนาม ต่อมาพ่อครูอธิบายธรรมะสองค่อยๆจับตัวมาทำทีละคู่ แล้วนำมาอธิบายธรรมะสอง ต้องมาผ่าน เวทนา2 ทำเวทนาเทียมให้เป็นเวทนาแท้
แล้วถ้าจัดการดับได้ก็เป็น 0 ในมูลสูตร 10 คือ อมตบุคคล จะเกิดจะดับก็ได้ ก็จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ เป็นสิริมหามายา
พ่อครูว่าถือว่า ถูกต้อง
_ซึ้งดิน …อยู่ที่อุทยาน มีสำมะปี๋มาก มีคนบอกว่า… คนอโศกอัตตาหลาย เขาไม่กล้าเข้ามาในอโศก เมื่อดิฉันเข้ามาปฏิบัติธรรมตอนแรกๆอ่านเวทนาไม่เป็น ก็ตนเองกินมังสวิรัติได้ พ่อเลยบอกว่า จะตั้งชื่อให้แม่ ว่าฟ้าร่ำไร ก็เลยทะเลาะกัน พ่อเลยตั้งชื่อให้เองว่า พวกกะละมังแตก ไม่ใช่พวกมังสิวิรัติ ดิฉันไม่รู้ว่าการลดกิเลสคืออะไรรู้แต่ว่าการเข้าอโศกคือการไม่ติดวัตถุ นี่นั่น เองกิเลสผสมกับงาน จริงจังกับงานก็เลย ทะเลาะกับหมู่ เพราะแยกไม่ออกว่าบุญกับกุศลเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้แยกออก บุญคือชำระกิเลส กุศลคืองานดี แม้งานดีแต่กิเลสหนาขึ้นก็ผิดทาง เดี๋ยวนี้งานจะบกพร่องบ้างไม่ครบบ้างแต่ก็อย่า โมโห (หวื่อ)
เขาว่ารายการสำมะปิ เป็นรายการของอีสานต้องพูดภาษาอีสาน รู้สึกว่าการที่เราลดอัตตามานะ ทำให้สิ่งแวดล้อมฐานงานสงบ แต่ว่าก็ได้เรียนรู้แต่ละอย่าง จนมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นอันไหนเป็นภาระก็ตัดออกไป พยายามปฏิบัติ ไม่ให้พ่อท่านและสมณศักดิ์อาม่าปวดหัว
พ่อครูว่า…คนอยู่ภาคไหนฟังภาษานั้นของภาคนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เป็นธรรมดาธรรมชาติ
_เกร็ดดิน..ชื่อเก่าดิฉัน คือทิพย์เทวี ฟังเรื่อง เทวเป็นธรรมะ 2 ก็รู้สึกสะดุ้งทุกที ดิฉันมีพ่อแม่ 2 คู่ก็ไม่ผูกพัน มีพี่น้อง 6 คนก็ไม่ยอมผูกพันกับใคร กลัว แต่พอธรรมะสองต้องมาจาก 3 ก่อน พอมานักษัตรที่ 4 พอปี 60
พ่อครูว่า…คุณก็เอาภาษาพวกนี้เอาเรื่องเก่าสิ่งที่ผ่านมามาร้อยเรียงเป็นนิทาน จะได้ไม่กลัวเรื่องคู่
นั่นคือตรรกะต่างๆที่เราเห็นควรรู้ภาษาจับคู่เอามาทีละสองเรานั้นไม่ต้องพูดมากหรอกเพราะเรารู้แล้วก็ดีแล้ว เอาล่ะ พูดให้ฟังก็ร้อยเรียงใช้ได้ แต่เวลาปฏิบัติคนอื่นฟังของคุณก็จะยาก อย่าเอาเรื่องยากมาให้คนอื่นเขาฟังมากนัก คุณอยากจะอยู่กับเรื่องยากก็อยู่คนเดียวก็ได้ ปฏิบัติธรรมะที่เป็นธรรมะ 2 ตามลำดับและจะได้ประโยชน์ อย่าไปติดใจในพยัญชนะหรือว่าเรื่องของตรรกะภาษาพวกนั้นมาก
_พ่อครูบอกว่า มูลนิธิ คือคลังเก็บขี้ แต่แม่น้ำมูลคงไม่ได้หมายถึงสิ่งสกปรกนะคะ
พ่อครูว่า..อาตมาไม่ได้หยาบคายนะ แต่พูดตามภาษา
แม่น้ำมูลนั้นแต่เดิมเขียนว่า แม่น้ำมูนแต่ภาษามันก็ผิดเพี้ยนไปกลายเป็นแม่น้ำมูล
มูล แปลว่า ต้นเค้า รากเหง้า มูลนิธิ แต่ไปอย่างไรมา ทุกวันนี้แปลว่าขี้ได้
สู่แดนธรรมว่า มูล แปลว่าสมบัติก็ได้รากเหง้าก็ได้ ต้นตอของสิ่งที่เป็นแกนของชีวิตแกนของจิตวิญญาณก็ได้
พ่อครูว่า…อย่างมูลสูตร มีครบเลย ตั้งแต่ ฉันทะเป็นมูล มนสิการเป็นแดนเกิด ผัสสะเป็นสมุทย เวทนาเป็นที่ประชุมลง สติเป็นใหญ่อธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระ วิมุติเป็นแก่น อมตะเป็นที่หยั่งลง(โอคทา) สุดท้ายนิพพานเป็นปริโยสาน ครบบริบูรณ์แล้ว
อาตมาเก็บเอาคำสอนพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะพระสูตรต่างๆ ไม่มีที่ไหนเขาเดินและใช้เป็นกันหรอก จนกระทั่งพวกเราทุกวันนี้ชักจะเก่งภาษา แต่สภาวะก็ได้บ้างมาเรื่อยๆ
ก็อยากสำทับพวกเรา พยายาม เข้าไปหาสภาวะให้มาก ภาษานั้นรู้เยอะ มันก็จะเยอะเกินไป แล้วมันก็จะเฟื่อง กลายเป็นพวกปัญญาเฟื่อง ความรู้เฟื่อง ความจริงไม่ใช่ปัญญาหรอกแต่มันเป็น เฉโกเฟื่อง ความรู้ทางโลกเฟื่อง ทุกวันนี้คำว่าปัญญาเป็นคำเสียไปแล้ว
ปัญญาเป็นภาษาของศาสนาพุทธเท่านั้นเป็นความฉลาดทางโลกุตรธรรม แต่คนทั่วไปไม่มีหรอก แต่เอาคำว่าปัญญาไปใช้ในทางเสียความเป็นปัญญาไปหมด
ทุกวันนี้เอาคำว่าปัญญาไปใช้จากมุงกุฏกลายเป็นเกือกเลย เป็นรองเท้าไปเลย เอาหัวมาเป็นปลายเอาปลายมาเป็นหัววุ่นไปหมดเลย ถึงได้ยากมากเลย ในการอธิบายธรรมะทุกวันนี้ ภาษาที่เอามาจากบาลีมาใช้เป็นภาษาไทย ซึ่งเกิดการผิดเพี้ยนไปเยอะเลยยกตัวอย่างคำว่า
บุญ กาย ปัญญา ยากมากที่จะดึงทั้งภาษาและสภาวะเข้าไปสู่จุดที่ดีจุดที่ถูกต้อง ยุคนี้อาตมาเกิดมาทำงานจึงเหนื่อย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเราทำงานในปางนี้
_น้อมยอดธรรม..ดิฉันอยู่ที่อุทยานนานมาก มีคนมาสมัครเข้าค่าย เขาก็ถามรายละเอียด เขาอายุประมาณ 40 ปี เขาก็ว่าจะชวนคนที่บ้านไปด้วย ดิฉันก็พูดธรรมะกับเขา ดิฉัน อยู่เจอผัสสะ จนมันซื่อบื้อ เฉยไปเลยไม่เพ่งโทสถือสา แต่บางครั้งมันก็มีอยู่
พ่อครูว่า…แต่อ่านตัวเองไหม สัมผัสมันเกิดก็รู้สึกเป็นธรรมดา
_น้อมยอดธรรมว่า.. จิตเราก็ไม่ได้นิ่งแบบปัญญาอ่อน ฟังธรรมะทุกวันก็เข้าใจแต่พูดไม่เป็น พูดแบบบ้านนอกได้
พ่อครูว่า…อาตมา อธิบายแก่พวกเราพวกเราปฏิบัติได้ ที่พูดมานั้นพอเข้าใจได้
_บุญยิ่งแก้ว…ต้องขอบคุณพี่น้องชาวอุทยาน ทำโบรชัวร์ค่ายไปวางแล้วแจก พี่น้องก็ได้อธิบายให้คนอื่นฟังได้เข้าใจ ตัวเองมีจุดอ่อนคือ ทำหลายอย่าง ก็ไม่ได้ทำหน้าที่อธิบาย อยากถามพ่อครูว่า ตัวเองเหมือนคนฟุ้งซ่าน พอเห็นงานที่สันติฯ คนน้อยงานมากก็อยากช่วย แต่พอมาที่นี่สหกรณ์บุญนิยมก็ต้องการคนก็อยากช่วย ตอนบ่ายก็ไปทำงานกับฐานแชมพู ตนเองเหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอยไปโน่นไปนี่ มีคำแนะนำไหมคะ
พ่อครูว่า…ก็ไม่ต้องกังวลอยู่ในแวดวงนี้มีงานจะไปช่วยที่นั่นที่นี่ก็ไปได้ เราก็สังเกตดูว่าตรงไหนมัน เราเหมาะสมที่จะช่วยได้เป็นประโยชน์มากหน่อย เราอาจจะถนัดอย่างนี้ทำอย่างนี้ได้ดี ทำแล้วก็ได้ปฏิบัติธรรมเราด้วย อยู่ตรงนี้เราได้ปฏิบัติธรรมจะรู้กิเลสได้เยอะ มีผัสสะเป็นปัจจัยได้ดีรู้กิเลส ได้ประโยชน์จากมิตรสหายดีตรงนั้นตรงนี้ งานของเราก็ดูว่างานแต่ละแห่งเราก็ไปได้ แต่ที่นี้คุณก็เลือกว่าตรงไหนที่ได้ประโยชน์ที่เราจะเหมาะสมในการปฏิบัติธรรม เราไปช่วยได้ทั้งนั้นแหละ ไปช่วยงานหนึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอีกงานหนึ่งก็เอางานใดงานหนึ่งที่คิดว่ามันได้ประโยชน์ แล้วก็ไม่ต้องไปวิ่งมากหรือจะไปบ้างก็น้อยลง อะไรที่คิดว่าเราไม่ถนัดเท่าไหร่ไม่ค่อยอยากจะทำเลยได้ประโยชน์น้อย ก็เอาที่ประโยชน์มากเลือกไว้สักที่ 2 ที่ 3 ที่ก็พอแล้ว 3 ที่หมุนเวียนกันก็เหลือแล้ว
_คนที่ติดใจในการย้อมผมเป็นพระโสดาบันได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ไม่ได้ มันเกินปกติไป จะไปกำหนดไม่ได้ทีเดียวหรอก เอาพาซื่อจริงๆไม่ได้ พยายามให้เข้าหลักของพระพุทธเจ้า สมัยพุทธเจ้าไม่มีการย้อมผม ทุกวันนี้มันเกิน อาตมาก็ว่ามันมากอยู่แล้วธรรมดาคนที่จะย้อมผม มันก็อยู่ในเกณฑ์ที่ว่า มันรักสวยรักงามพอสมควรอยู่นะ เอาล่ะ ไม่ต้องขยายความมากเท่านี้พอ
_กล้าตรง…เมื่อก่อนตอนที่รู้จักชาวอโศกใหม่ๆ ผมไปโปรดให้พ่อแม่ที่วัดป่าที่บ้าน แต่แสดงต้องการมาอยู่กับชาวอโศกก็เลยให้น้องชายซื้อหนังสือมาให้ พอเห็นหนังสือรู้สึกดีใจมากขณะหยิบหนังสือมาอ่าน เราก็รู้สึกวูบลงไป หงายท้องหมดสติไป พอหลังแตะพื้นก็รู้สึกตัว เลยรีบลุกมาให้ทัน เพราะเกรงว่าน้องชายจะจับอาการผิดปกติได้ อาการแบบนี้เป็น อุพเพงคาปีติใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า..เป็นได้ เป็นความตื่นเต้นดีใจ พลังงานหมุนเวียนในร่างกายไม่ทัน
_เวลาที่เราเปิดใจหรือว่าพยายามที่จะดึง ความรู้สึกเราออกมามันจะมีอาการเสียงสั่นเครือ เหมือนกับจะร้องไห้ แล้วก็อีกมุมหนึ่ง เห็นคนอื่นที่รู้สึกว่าเขามีมานะ มีอาการน้อยใจ ก็เกิดอาการสั่นเครือเหมือนกัน เป็นอุพเพงคาปีติไหม
พ่อครูว่า..ที่คุณถามมามันละเอียด คือมันเป็นปกติก็แล้วกัน ก็พยายามให้มัน ให้เห็นว่า เป็นเหตุผลเรื่องราวตามเรื่องที่เป็นอาการของจิตอย่าให้วูบวาบอะไรมาก
_กิ่งธรรม…การที่เราเป็นคนที่รับประทานอาหารง่ายๆอะไรก็อร่อยแต่เราไม่ได้ตั้งจิตไว้ว่าจะกินอะไร มาถึงโรงครัวก็ตักไปกิน กินทุกครั้งก็อร่อยทุกครั้ง เราก็เลยสงสัยว่าอาการของเรานี้มันเป็นอาการของคนเลี้ยงง่ายหรือว่าเป็นคนอาการของคนที่ตะกละ หรือว่าเป็นคนที่มีกามในอาหารมากอะไรก็กินได้อร่อยไปหมด จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนเราเห็นเรากินอร่อย เขาก็บอกว่าทำไมเธอกินอร่อย เมื่อเขาไปกินแล้วบอกว่าไม่เห็นอร่อยเลย ก็เลยรู้สึกว่าเราเป็นคนติดอาหารหรือว่าเป็นคนมีกามในอาหารมากหรือเป็นคนเลี้ยงง่ายบางทีก็แยกไม่ออก
พ่อครูว่า…เป็นคนเลี้ยงง่ายไม่ได้จำเพราะว่าติดรสอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นรสชาติอย่างไรก็ได้ขอให้เป็นอาหาร ที่เราต้องกินเพื่อเลี้ยงขันธ์
_กิ่งธรรมว่า…แต่ถ้าเป็นอาหารที่รสจัดเราก็จะกินไม่ได้ก็จะทิ้งไปเลย
พ่อครูว่า..นั่นเป็นคนเลี้ยงง่ายยิ่งชัดเลย
_กิ่งธรรมว่า…บางคนทิ้งของให้มดไว้ตอม เราก็ไปกวาด ก็อยากถามว่า..ไม่คิดว่าเขาเจตนาแต่การเราไปทำความสะอาดก็เบียดเบียนมด อยากจะถามว่าคนที่เขาทิ้งของแล้วเขาจะมีวิบากกับเราร่วมกันบ้างไหม หากเขาไม่ทิ้งของลงไป มดมันก็ไม่มา เราก็ไม่ต้องไปมีวิบาก
พ่อครูว่า…มันมากมายเกินไป กรรมวิบาก เอาเจตนาเป็นตัวตั้งเขาไม่ได้เจตนาให้มดมัน แต่มันก็เกิดภาระจนมดมาก็ควรจะต้องแก้ไขอย่าให้มีอย่างนี้ ก็ไม่เป็นวิบากต่อกันหรอก คุณก็ได้ทำกุศล เขาก็ไม่เป็นคนระมัดระวัง ก่อภาระ ก่อเรื่องราวเป็นวิบากของเขาบ้าง
_ดุลเพชร…พ่อท่านอธิบาย บารมีกับวาสนาต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า..วาสนาแปลว่าที่มันอยู่กว้างๆ รวมทั้งกุศลอกุศล ส่วนบารมีนั้น โคตรจะไปกำหนดว่าบารมีคู่กับสันดาน คนสั่งสมอกุศล กิเลสก็เป็นสันดานต้องชำระ
ส่วนคนสั่งสมบารมี ก็คือผู้ที่สร้างฐานจิตตัวเองให้ก้าวหน้าในโลกุตรธรรม ก็สั่งสมบารมีสั่งสมจิตตัวเอง
ส่วนคำว่าวาสนาคือสิ่งที่ทำเป็นประจำ อยู่ในจิตกลายเป็นวิสัยนิสัยอยู่ประจำ ยิ่งเรียกว่าสันดานเลยก็ได้ แต่ว่าบางที วาสนาไปทางดีก็มีอยู่ แต่เขาก็หมายถึงความติดยึดมาก ผู้ที่สั่งสมจนตกเป็นวาสนานี่ แม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้ว วาสนาคนนี้ ก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี
เช่น มีคนหนึ่งติดเป็นวาสนา ชอบเรียกคนเป็นคำหยาบ ไอ้ถ่อยๆๆ เหมือนอย่างอาตมานี่ ยังสะดุดใจอยู่ว่าพวกเรา คนไทยก็แล้วแต่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่แต่ชอบเรียกว่า แกๆๆ แต่เขาไม่รู้ว่า คำว่าแก นี้เป็นคำข่ม หยาบ ไม่น่าใช้คำว่าแก ไปเรียกคนไม่สนิทสนมกัน แม้คนสนิทก็ไม่น่าใช้คำว่าแก อาตมาเห็นว่าคำว่าแก นี้ไม่น่าจะใช้เรียกกัน มันเหมือนนายกับบ่าว นายกับทาส เป็นคำข่ม อาตมาไม่ชอบใช้ ไม่เคยใช้
คนที่มีวาสนาก็คือบางทีเรียกแก เสียติดปาก ก็เลยเรียก คนอื่นที่เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 บุรุษที่ 3 ว่าแก ไปหมด นั่นแหละเรียกว่าวาสนาติดตัว แม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้วยังบอกว่าคนอื่นเป็นคนถ่อยได้ ไอ้ถ่อยได้
_อำนาจหมายถึงอะไร?
พ่อครูว่า…บารมีไปเชิงดี สันดานไปทางชั่ว วาสนานี้เป็นสิ่งที่ฝังประจำตัวแก้ยาก พระพุทธเจ้าใช้คำนี้สำหรับคนมีนิสัยติดมาทางกาย วาจา เป็นสิ่งหยาบของเขา เช่นพระสารีบุตร เคยติดเป็นลิงมาห้าร้อยชาติก็ไม่ค่อยสุภาพ เป็นวาสนา
อำนาจ พระพุทธเจ้าใช้ภาษาวิชาการว่ามันเกิดจากสติ ซึ่งเป็นธรรมะเป็นวิชาการ เดี๋ยวนี้มันผิดเพี้ยนไปจากบาลีมาเรื่อย ผู้ที่มีสติเต็ม ก็จะมีพลังงานชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอำนาจหรือพลัง พลังที่ตัวเองจะได้อาศัย ดี คนมีสติดี จะมีอำนาจกว่าคนอื่น จะสามารถมีสติ สัมปชัญญะปัญญาอะไรง่ายก็จะเป็นคนมีปฏิภาณมีคุณธรรม ก็จะเข้าใจคนได้เร็ว จะรู้ทันคนได้ง่าย ถ้ามีสติสัมปชัญญะปัญญาได้ดีธัมมวิจัยก็จะดี เข้าใจคนอื่นได้ง่าย ยิ่งมีคุณธรรมมากมีสติมีอำนาจในตัวมาก
ส่วนคนมิจฉาทิฏฐิ อำนาจนี้ไม่ใช่จากคุณธรรมแต่เป็นอำนาจบาตรใหญ่เป็นพลังงานอัตตาไม่ใช่พลังงานสติ ข้ามคำว่าสติไปไกล มีอัตตาถือดีถือตัวเป็นใหญ่ เอาอำนาจไปเบ่งข่มคนอื่นก็ดีกว่าอำนาจ แต่คนที่มีอำนาจจริงคือคนที่มีคุณธรรมสูง เช่น อธิบายกว้างถึงคำว่าอธิปไตย
อธิปไตยหมายถึงอำนาจ ประชาธิปไตยคืออำนาจเป็นของประชาชน คนที่มีอำนาจ นี่คือ คนที่ประชาชนเขายกความนับถือยกความยอมรับ ยกให้ เพราะเขาเป็นคนดี เขาเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าเป็นคนมีคุณธรรมสูงก็ยกให้เลย คนนั้นแหละเป็นผู้เจริญด้วยสติสัมปชัญญะปัญญา เป็นคนที่เจริญด้วยองค์ประกอบต่างๆ เพราะถ้าเขามีสติ มันจะเดินผลต่อเนื่องเป็น เมื่อมีสติก็จะมีธรรมะวิจัย มีอิทธิบาท มีวิริยะ แล้วจะปฏิบัติธรรม เป็นปีติ เป็นปัสสัทธิ สั่งสมเป็น สมาธิเป็นอุเบกขา
สติเป็นตัวหลักของโพชฌงค์ 7 ถ้าขยายเป็นสติปัฏฐาน 4 ยิ่ง มีความวิจิตรพิสดารในการปฏิบัติธรรมพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ยิ่งเป็นคนเจริญเป็นคนมีสติดีสติแข็งแรงสติบริบูรณ์จึงเป็นคนที่มีอำนาจ
จะเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงไม่ เบ่ง ไม่ข่มผู้อื่น ผู้อื่นจะยกอำนาจให้ ขออภัยยกตัวอย่างตนเอง พยายามรู้ตัว ที่จะไม่ไปข่มใคร และคิดว่าไม่ไปเบ่งข่มใคร แม้จะใช้คน ก็ไม่ใช้ มีแต่คนมาช่วยมาบริการ ทุกวันนี้อาตมาได้รับการบริการจากคนช่วยมาก จนมากไป แต่เขาก็เต็มใจ ที่จะทำ อย่างนี้ เราเป็นคนที่ได้รับอำนาจ เป็นคนมีสติสัมโพชฌงค์ มีโพชฌงค์ 7 ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37
คนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะเป็นคนที่มีอำนาจ เพราะเป็นคนที่เก่งในการปฏิบัติธรรมเพราะมีสติเป็นตัวตั้ง แล้วก็ทำให้เกิดโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นคนได้มรรคผลเจริญสูงสุดมีคุณธรรม อาตมาถึงได้อำนาจจากพวกเราให้มา ยกให้ จนกลายเป็นอาตมาจะเผด็จการ ปกาศิตอะไรก็ทำได้จริงๆ แต่พวกเราได้รับการสอนไม่ยอมให้เผด็จการ เพราะฉะนั้นก็จะมีภาวะอีกอย่าง ถ้าอาตมาไปใช้เผด็จการก็จะมีการต้าน เพราะพวกเรามีภูมิรู้ที่จะไม่อยากให้เกิดสิ่งที่ไม่ดี หากอาตมาใช้เผด็จการมากกว่าก็จะเจอเลย เพราะอยู่ในวงของผู้ที่มีปัญญา แต่ที่อื่นซับซ้อน
ยกตัวอย่าง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่เลย ท่านสามารถทำได้ทุกอย่าง ท่านเป็นในหลวง แต่อาตมาอาภัพ พวกเราก็ให้เหมือนกัน นี่เป็นสัจจะ
ผู้ที่จะเป็นนักประชาธิปไตย อธิปไตยที่เป็นประชาชนก็ต้องทำตนให้ประชาชนเขายกอำนาจให้ นั่นแหละผู้นั้นคือนักประชาธิปไตยคืออย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นนักประชาธิปไตย เพราะไม่เบ่งอำนาจ อย่างทักษิณ ไม่มีวันได้เป็นประชาธิปไตยไม่มีวันได้อำนาจ ที่บริสุทธิ์ อำนาจที่ประชาชนเขาให้เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นจะได้อำนาจ โดยวิธี เฉโก อำนาจปัจจัยที่จะใช้หมู่นักเลงเป็นหัวหน้านักเลง เป็นหัวหน้าคนพาล จะไม่ได้อำนาจที่สูงส่ง
อย่างทุกวันนี้ อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ทำได้จะได้อำนาจเหล่านี้ อาตมาว่า ถ้าเผื่อว่า ผู้ต้านลดลงๆ แล้วนายกฯตู่ ขยันพากเพียรทำงานต่อไป แล้วนายกฯตู่ จะได้อำนาจโดยธรรมสูงขึ้น เพราะว่าทำงานอย่างมีตำแหน่งมีหน้าที่ ทำงานอย่างขยัน ทำงานอย่างเอาใจใส่ อย่างนี้ จะได้มากเลย ซึ่งอาตมาว่า เป็นยุคที่ดีของประชาชนคนไทยประเทศไทยที่มีบุคคลที่ดีๆมาแสดงสิ่งที่ดี
ทุกวันนี้ทางด้านกระแสต้าน อาศัยสื่อฯ สร้างพลังงานมาดิสเครดิตนายกฯตู่ จนเกิดเป็นอะไรมากมายในสังคม ความจริงแล้วมันมีภาวะซับซ้อน พวกนี้ยิ่งทำก็ยิ่งเข้าตัวเองมากขึ้นมากขึ้น จะเห็นได้ว่ากดดูในไลน์ต่างๆ มันจะมีคนด่ากันเองคนต่อต้านนายกตู่คนที่ชมนายกตู่ จะเป็นสงครามทางโซเชียลมีเดียเยอะ จะเห็นได้มันจะเกิดการสังเคราะห์ของมันเอง ยังหวังอยู่ว่านายกตู่จะไม่ท้อถอยง่ายๆจะทำงานต่อไป
ก็วิธีการพิสูจน์ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งมันไม่เป็นแบบโลกเขาหลอก แต่ประชาธิปไตยแบบไทยๆคือประชาธิปไตยแท้ ประชาธิปไตยในรูปแบบอย่างอเมริกา อังกฤษก็ตามเป็นประชาธิปไตยแต่เพียงรูปแบบเป็นประเพณีเป็นจารีต แต่ว่าประชาธิปไตยของไทยนี้เป็นจารีตประเพณีที่มีฝ่ายค้านและฝ่ายสนับสนุน หรือฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านอยู่ตลอดเวลาและมีบทบาทอย่างนี้ตลอดเวลา เป็นพฤติบทที่มีประจำอยู่ในประเทศไทย แล้วดีมากที่ค้านแล้วสงบ อย่างทุกวันนี้สงบ ค้านก็ค้านไป ผู้บริหารก็ปล่อยให้คัดค้านพอสมควรแต่ไม่มาก แม้แต่มาตรา 44
สรุปแล้วทุกวันนี้อาตมาพอใจประเทศไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐศาสตร์การเมืองไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐศาสตร์ด้านสังคม ดีขึ้น แม้แต่ทางด้านศาสนาทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าพยายามกันช่วยกันขึ้นมามาก ก็ดีขึ้น ก็สรุปแล้วประเทศไทยกำลังดำเนินไปดีพยายามประคองให้เป็นอย่างนี้ไปได้สงบได้อย่างนี้ทุกหน่วยทุกองค์กรทุกมิติของสังคม เจริญไปตามลำดับ
_สุวิดา..เราเป็นลูกอีสาน เกิดมาก็เรากินมาแต่เกิด เมื่อมาปฏิบัติธรรมก็เลยสรุปว่าเราไม่ได้ติดข้าวเหนียว แต่ความสุขที่เราได้ปั้นข้าวเหนียว อาการนี้ ถือว่าเราติดข้าวเหนียวไหมคะ
พ่อครูว่า..มันเป็นองค์ประกอบของข้าวเหนียวที่ต้องปั้นอาตมากินข้าวเหนียวก็ไม่เห็นต้องปั้น หยิบออกมามันก็เป็นก้อนของมันพอสมควรไปปั้นให้มันเหนียวแน่นทำไมประเดี๋ยวก็เคี้ยวอีก มันเป็นนิสัย
_หนูทบทวนว่า เราไม่ได้กินก็ไม่ได้โหยหาแต่เราติดอย่างอื่น อย่างข้าวต้มมัดมาก็ยังผ่านไม่ได้ก็ยังเรายังติดอยู่ใช่ไหม
พ่อครูว่า..พยายามลดลง กินอย่างอื่นแทน ที่แทนกันได้ดีไม่ดี ดีกว่าด้วยซ้ำ กินข้าวจ้าวแทนก็ได้
_ผมอยากถามเป็นผญา..ไม้ลำเดียวล้อมฮั้วบ่ไขว่ ไพร่บ่พร้อมแปงบ้านบ่เฮือง
พ่อครูว่า…ผญาคือปรัชญา ปรัชญาคือผญา เขาเอามาเป็นคำคล้องจอง เอาไปใช้ในทางที่ผิดเป็นคําจีบสาว ที่จริงมันเป็นปรัชญา
_ปรีชา…ผมลงสนามบินได้แล้ว กำลังจะขึ้นสายการบินอโศก สายการบินอโศกบอกหมดเลยว่าจะต้องไปจุดใดที่จะไปเมืองที่ผมต้องการได้
ผมเคยไปทำกรรมฐานจากที่อื่นหลายแห่งจนมาถึงอโศก
พ่อครูว่า…รู้กรรมฐานของอโศกคืออะไรหรือยัง
_ปรีชาว่า กินอยู่หลับนอนและเวทนาเป็นกรรมฐาน แต่ที่ผมได้มาจากที่อื่น…
พ่อครูว่า…ทิ้งอันอื่นไปหมดเลยเอาที่คุณพูดเมื่อกี้ทำให้เต็ม
_ปรีชาว่า…ติดที่ว่า สิ่งที่ผมได้มาจากที่อื่นเป็นเหตุให้มาที่นี่ได้
พ่อครูว่า…ผิดหมด ฌานของพุทธ ไม่ใช่อย่างที่เขาทำกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ฌานคือปกติ ในชีวิตประจำวันแล้วทำพลังงานที่ทำให้เกิดการลดไฟราคะโทสะโมหะได้ ฌานไม่ได้เป็นตัวตนรูปร่างสถานที่อะไร
ปรีชาว่า…ปีติเราต้องสร้างไว้ไหม
พ่อครูว่า…ปีติเป็นผลจากที่เราทำการลดกิเลส ไม่ต้องสร้างไป
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..พูดถึงสัปปายะ 4 ตั้งแต่อยู่บ้านราชฯมา ปีนี้ดูจะสัปปายะที่สุด ปีนี้ฝนตกมากฟ้าไม่แรงน้ำไม่ท่วม ฝนตกบ่อยเหมือนอยู่ภาคใต้ มันเหมือนอากาศใสๆเหมือนภาคเหนือ ฝนตนเหมือนภาคใต้ พืชพรรณธัญญาหารก็งดงามมาก ตั้งแต่อยู่มาไม่เคยมีอะไรอุดมสมบูรณ์ทั้งปีนี้เลย จนกระทั่งมองไปตรงไหน แม่แต่ลูกหม่อนก็ออกดอกดกมากกว่าทุกปี บักหุ่งดกทุกสวน
แม้แต่คน ปีนี้ งานก็เยอะแต่ราบรื่น ดำริ อะไรมาร่วมกันทำไมง่าย วันจันทร์ ปีก่อนไม่กล้าคิดไปเลยเพราะฝนตกมากแต่เวลาไปแล้วสนุก แต่รู้สึกสัปปายะจริง ไม่รู้ว่า ร้านใหม่ที่จะเกิด ชื่อ พิสูจน์จิตอาสา ก็ดูว่าจะลงตัวไหม
พ่อครูว่า…เก็บกินเยอะไปหมด โดยเฉพาะกล้วยกับบักหุ่ง ร้านพิสูจน์จิตอาสา จะดูว่ามีคนเป็นจิตอาสามาช่วยกี่คน มีเจ็ดล็อค มันใหญ่นะ แค่กวาดก็เหนื่อยแล้ว
_ธงไท…ผมเป็นคนอีสาน ผญา..
ถ้าไม่เคยผ่านก็ไปให้ถึงที่สุดอย่าถอย
พ่อครูว่า…ท่านฉันนี่ พูดผญาได้คล่องมาก จำได้มากกว่าชาวอีสานอีก พูดเหมือนด้วย แปลความได้ทุกบทเลยด้วย
_พี่สาวผมเพิ่งเสียชียิต เป็นพยาบาลอายุแค่ 42 ปี เขานอนหลับแล้วก็เสียชีวิตไปเลย ศพเขาเหมือนไม่ได้ดิ้นรนอะไรหลับแล้วตายไปเฉย ผมอยากรู้ว่าจิตเขา แบบนี้มันจะไปเกิดหรือเขาจะเป็นสภาวะอย่างไร
พ่อครูว่า…ถามอจินไตย จิตไปเกิดนี่อาตมาไม่บังอาจไปหยั่งรู้ได้หรอก จิตคนนี่นะ จากตายแล้ว เขาก็เรียกภาษาวิชาการ คือออกจากร่างก็ต้องไปเกิดไปเกิดที่ไหนก็แล้วแต่ จะไปเข้าในร่าง ปฏิสนธิอะไรก็ได้ แต่ถ้าไม่ปฏิสนธิทันทีก็ไปตกกับวิบากของเรา วิบากของเราเป็นนรกหรือสวรรค์ก็จะเป็นแบบนั้นส่วนมากเป็นนรก ส่วนมากตกนรกเป็นส่วนใหญ่นี่ไม่ได้พูดไปเท่านั้นนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนตายไปแล้วส่วนมากตกนรก ยิ่งผ่านมา 2,000 กว่าปีนรกยิ่งเยอะ ไม่ว่านรกขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ
มโนปโทสิกะ คือนรกของพวกปฏิบัติธรรมไม่มีความรู้เรื่องจิตหรือมโนแล้วก็เลยเป็นโทษให้เกิดทุกข์
ส่วนขิฑฑาปโทสิกะคือ เอาแต่ความรื่นเริงจะเสพสุขหาแต่โลกีย์ คือนรกสองพวกใหญ่
เรื่องของนรกสวรรค์ ศาสนาพุทธนั้นสอนเรื่องนรกสวรรค์ที่ไม่มีนรกสวรรค์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้เลย คำสอนพระพุทธเจ้านั้นคือนิพพาน นิพพานคือการปิดนรกปิดสวรรค์เข้าใจสิ่งที่ไม่ดีกับสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่เป็นคุณกับเป็นโทษ ท่านสรุปลงไปสิ่งที่ดีกับไม่ดี กุศลกับอกุศล คุณกับโทษ อัสสาทะกับอาทีนวะ ก็มีเท่านี้ ในสังคมมนุษยชาติเป็นธรรมะ 2
ผู้ปฏิบัติธรรมชาวอโศกย่นย่อเข้าแก่นแกนก็ได้ประโยชน์กับธรรมะ จนทุกวันนี้ง่าย ลงตัว อย่างสม.กล้าข้ามฝันว่ามันสัปปายะ คนเข้ามาใหม่ในยุคนี้จะสบายเพราะทุกอย่างลงตัว แต่คนเข้ามานั่นแหละจะอยู่ยาก
สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า…คนถามว่าปลูกโสนอย่างไรได้เยอะขนาดนี้
พ่อครูว่า…มันขึ้นเองเลย เก็บไปขายก็ยังได้ ทำไมมันดกมันมากอย่างนี้นะ ถ้าเก็บไปขายได้ก็ขายได้เยอะนะ(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
กล้วยมะละกอมีทั่วไป
_นันท์มนัส…สงสัยว่าอัพยากฤติ มี ผัสโสเจตนา เป็นต้น
พ่อครูว่า..คำว่าอัพยากฤติ มีแบบที่อวิชชา แบบ คนที่ไม่มีปัญญารู้ก็เมื่อมีผัสสะแล้ว
มันผัสสะ แต่ไม่มีเจตนา ผัสสะแล้วเป็นกลางๆ ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุข อัพยากฤติ มี
แต่คนจะสามารถรู้เป็นสัมมาทิฏฐิว่าเราสัมผัสและเป็นกลาง เป็นกลางนั้นมีทั้ง 2 แบบ
กลางคืออุเบกขา แบบโลกีย์ก็มี หากเราเจตนาและทำรู้จักเอากิเลสออก จนจิตเราเป็นกลางแม้โสมนัสหรือโทมนัส ก็ไม่มีอาการนั้นแล้วเป็นอาการของอุเบกขาได้ อันนี้จึงเป็น อัพยากฤติ เป็นกลางที่มีปัญญารู้ แต่ส่วนมากคนไม่ได้เข้าใจถึงขั้น มโนปวิจาร หรือสามารถทำให้เกิดเนกขัมมสิตอุเบกขาได้ จึงไม่เป็นอัพยากฤติได้เลย ไม่เช่นนั้นก็อย่างเก่งก็แค่สมถะเป็นกลางอย่างไม่เจตนา การทำจิตให้ว่างสมถะ คือ อัพยากฤติ
_พระไตรปิฎกกับพระอภิธรรมมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
พ่อ ครูว่า…พระไตรปิฎกก็คือสามตะกร้า ตะกร้า 1 ใส่พระวินัยตะกร้า อีกอันนึงใส่พระสูตร อีกตระกร้าหนึ่งใส่พระอภิธรรม
ถามว่าพระไตรปิฎกกับพระอภิธรรม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ก็ตอบครบแล้วไง พระไตรปิฎกคือ 3 ตะกร้า พระอภิธรรมก็คือตะกร้าหนึ่งของพระไตรปิฎกก็จบแล้วไง นี่ก็พูดเป็นรูปธรรม ธรรมดา เนื้อหาสาระคือ คําสอนพระพุทธเจ้าที่รวบรวมเรียบเรียงไว้แล้วใช้เป็นคัมภีร์หลักฐานก็มีสามตะกร้านี้เท่านั้นเรียกว่าพระไตรปิฎก นอกนั้น ไม่ใช่ พระไตรปิฎกคือข้อเขียนคำร้อยเรียงของพวกอาจารย์ต่างๆ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าที่รวบรวมมาตั้งแต่เดิมที่เรียกว่าพระไตรปิฎก อาตมาไม่อ่านคำสอนของคนต่างๆแต่เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก
อภิธรรมคือ ธรรมะชั้นสูงที่เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานผู้ที่อธิบายธรรมะถึงขั้นอภิธรรมแล้วทำให้ผู้ที่ฟังแล้วปฏิบัติธรรมะถึงจิตเจตสิกได้ พวกเราปฏิบัติไปถึงเวทนาเจตสิกถึงขั้นธรรมะ 2 กำจัดอกุศลเวทนาให้เป็นกุศลเวทนาได้ ทำให้เป็นเนกขัมมสิตเวทนาได้ เป็นอภิธรรมล้วนๆ พวกเราก็ได้ประโยชน์ไปตามลำดับ จนสังคมพวกเราทุกวันนี้เป็นสัปปายะ 4
เพราะว่าพวกเราได้ฟังธรรมะแล้วปฏิบัติตามจนมีมรรคผลสมควรแก่ธรรมจริง แล้วก็เป็นผลให้เราได้อาศัยสบายเป็นสัปปายะ 4 อยู่อย่างนี้คือสถานที่ที่ดี สถานที่นี้คนพาลไม่เข้ามาคนชั่วไม่เข้ามาเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะมีธรรมะสัปปายะ มีนักปฏิบัติธรรมอยู่อาศัยมีเครื่องอาศัยเป็นอาหาร 4
กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร รู้เจตนาของตน
ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรมะ 2 คือรูปกับนาม แล้วก็นามนี่แหละ รูป 28 นาม 5 เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ
ต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ทํามนสิการปฏิบัติต้องทำใจในใจให้เป็นถ้าคนที่ทำใจในใจไม่เป็นหรือมิจฉาทิฏฐิก็จะไม่ได้ผลเลย
ยกตัวอย่าง พวกนั่งหลับตา เขาทำใจในใจ มนสิการ แต่เขาทำแบบมิจฉาทิฏฐิทำไม่เข้าร่องรอยของพุทธเจ้า เพราะว่าปฏิบัติธรรมแบบไม่มีเวทนา นาม 5 ขาดเวทนา ขาดผัสสะ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เลยไม่มีทั้งเวทนาไม่มีผัสสะ จะเอาสัญญาไปกำหนดก็เป็นการกำหนดที่วิปลาสกำหนดผิด สัญญาไปกำหนดอดีตหรืออนาคต ไม่มีตัวจริงที่เป็นเวทนาเกิดในปัจจุบันนี้
เวทนา ในปัจจุบันมันเกิดทุกข์หรือสุขหรือเป็นเวทนาที่มีกิเลสประกอบ แล้วคุณก็ต้องวิจัยแยกแยะกิเลสให้ได้ แล้วกำจัดกิเลสตัวนี้ มันจึงเป็นปัจจุบันธรรม เป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ไปหานิพพานปัจจุบัน
ผัสสะไม่มีเวทนาไม่มี นี่คือนาม 5 เขาตกไปหมด
สัญญา กับเจตนา เจตนาคือ คุณจะต้องรู้มโนสัญเจตนาที่เป็นเจตนา 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
คุณต้องรู้กามก่อน ปฏิบัติกิเลสกามก่อน จนหมดกามก็เหลือภวตัณหา ทำที่ภวตัณหาอีก รูปภพ เป็นภวตัณหาขั้นกลาง มาดับอรูปภพก็เป็นภวตัณหาข้นปลายหมดก็เป็นวิภวภพ
ดับกามภพ รูปภพ อรูปภพ หมด ตัณหา คุณก็เป็นเจตนาที่สมบูรณ์แบบบริบูรณ์ มีผัสสะต้องทำใจเป็นมนสิการเป็น แต่ว่ามนสิการทุกวันนี้แปลว่าเป็นพิจารณาเฉยๆ มันไม่ใช่ แต่แปลว่าทำ
การ ไม่ได้แปลว่าพิจารณาแต่แปลว่าทำ ทำที่ใจ ก็ไปแปลว่า พิจารณา เพราะว่ากำหนดไม่ถึงสภาวะธรรม นักบาลีเปรียญ 9 ก็แปลว่า ให้ถ่องแท้แยบคายเท่านั้นไม่ได้ไปถึงที่เกิด เขาก็ว่าพิจารณาแยบคายอะไรไม่รู้ แต่ที่จริงให้มนสิการ แยกแยะกิเลสในจิต แล้วทำเวทนา ระหว่าง เคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา หากทำธรรมะสองนี้ได้ จับให้เข้าเป้า ทั้งมโนปวิจาร 18 แล้วทำให้เป็นเนกขัมมะให้ได้ นี่คือหัวใจศาสนาพุทธ
ไปนั่งหลับตาจะเกิดมโนปวิจาร 18 ได้อย่างไร?
มโนปวิจาร ต้องเกิดทางทวาร 6 แล้วมีสุข ทุกข์ อุเบกขา แล้วแยก เนกขัมมะกับเคหสิตะให้ได้
พวกเราหากไปนั่งฟังอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์เข้าไปซักถามน่าจะสนุกนะ
_สู่แดนธรรมว่าไม่สนุก…เขามีอีกแบบแล้วยึดมั่นถือมั่นแบบเขา
_ดุลเพชรว่า…หากเราพูดนอกกรอบเขาแย้งเขาไม่ได้ก็จะถูกกันออก
_สู่แดนธรรมว่า..มันเป็นธรรมะไหม?
พ่อครูว่า..เขาว่าคำนี้เลย