610923_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ รูป 28 นาม 5 อันน่าอัศจรรย์เป็นลำดับ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/14gUIggj_1lmzozMWxDKUxQX30BT9sVYtA_FUVkU3vsM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1aJIWj33Or-FaYaT9mY5_RQHYhiPgjbyM
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงช่วงเทศกาลถือศีลกินเจกันแล้วเรามีสถานที่ขายอาหารเจ 2 แห่งคืออุทยานบุญนิยมและสหกรณ์บุญนิยม ปีนี้เราจะใช้วัตถุดิบไร้สารพิษให้มากที่สุดในการทำอาหาร
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 21 กย. 2561 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_3867คนผู้เกิดมาเพื่อแสวงหาการกินดีอยู่ดี(เกินพอ)ผู้นั้นคือ ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยบาปด้วยความฉิบหาย..แต่คนผู้เกิดมาเพื่อแสวงหาการทำดี(กุศลกรรม)อันได้ แก่สร้างสรรฯเสียสละฯชำ ระจิตฯผู้นั้นคือผู้มีชีวิตอยู่ด้วยบุญด้วยความเจริญรุ่งเรือง!ธ.สมณะโพธิรักษ์
-1ในพันแผ่นดินพุทธโลกุตระแดนแห่งคนไร้อำนาจลาภยศสักการะสรรเสริญโลกียะสุขฯ เบื่อเกิดแก่เจ็บตายฯหน่ายวัฎฎสงสารใครๆก็อยากมาเป็น1ใน1000นั้น!
– กราบอนุโมทนากับธ.ปัจจุบันขณะ สอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับตบะที่เคยตั้งสัจจะไว้กับพ่อครูฯสณ.สม.ว่าจะทานมังสวิรัติตลอดชีวิต!สำรวมกายวาจาใจตลอดไป!ประหยัดพอเพียงตลอดกาลสาธุ!
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ขอยกย่องในความตรงของคุณ พิมเพชรรุ้งครับ
พ่อครูว่า…ขอเพิ่มเติมให้ คนที่เป็นโสดาบัน ต้องฟังจากสัตบุตรที่ท่านรู้กว่าแล้วท่านจะชี้บอกไป ไม่ต้องไปท้อแท้ ที่จริงคนที่รู้ขนาดนี้แล้วไม่ถอยแล้วขนาดนี้แล้วนี่ ก็เข้าข่าย ไม่ท้อไม่ถอย แม้จะยากลำบากปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา จิตไม่บรรลุสักอย่าง โสดาปัตติมรรคก็ไม่เข้า พระพุทธเจ้าก็ยังยกย่องเทิดทูน ยิ่งเข้ากระแสแล้ว ไม่ถึงต้องลำบากลำบน แค่ศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ เราก็อยู่ได้โดยไม่ต้องหน้านองน้ำตาอะไร ไม่ได้ฝืนอะไรเกิน ดีไม่ดีเราก็ยังสบาย ดูที่จิตใจเราจริง เราได้ศีล 5 โดยไม่ยากไม่ลำบาก ในฌานทั้ง 4
หมายความว่าจิตเรามีพลังงานอุณหธาตุสลายกิเลส ถือศีล 5 ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากไม่กินเนื้อสัตว์ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ไม่มีอบายมุข ขนาดนี้สนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ จิตเราได้พอแล้ว จิตใจเราพอ ไม่ลำบากอะไรที่ จะต้องไปแสวงหา
คุณพิมพ์เพชรรุ้งนี่ ไม่มีปัญหาหรอก โสดาปัตติมรรคมาแล้วก็ตรวจสอบโสดาปัตติผลไปเอาเอง
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงสุดค่ะ
ขออนุญาตกราบเรียนผลการฟังธรรมดังนี้ ลูกได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่นเมื่อก่อนฟังธรรมพ่อท่านไม่รู้เรื่อง และไม่ชอบฟังพ่อท่าน ชอบฟังสมณะและสิกขมาตุมากกว่า(เพราะฟังเข้าใจ)แต่ปัจจุบันนี้ชอบฟังพ่อท่าน แต่ต้องฟังสมณะและสิกขมาตุด้วยจึงจะเข้าใจบ้าง ปัจจุบันนี้ไม่เบื่อในการฟังธรรม(ติดตามทุกครั้ง) แต่ก่อนเป็นคนใจร้อนทำอะไรก็ให้ได้ดังใจเดี๋ยวนั้น ตอนนี้เบาลงแล้วค่ะ รู้จักรอคอย ฟังคนอื่นและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เพ่งโทษผู้อื่นน้อยลง โทสะราคะโลภ ที่เป็นสักกายะลดลง(ทุกข์ลดลงพอทนได้) เรื่องของกายกรรมวจีกรรมก็เบาลง ไม่น่าเกลียดเหมือนแต่ก่อน รู้จักข่มใจตัวเองได้บ้าง รู้จักประมาณเขาประมาณเราได้บ้าง รู้เท่าทันกิเลสได้บ้างเล็กน้อย (แต่ก็ฆ่ายังไม่ได้สักตัวเลยค่ะ) กราบขอบพระคุณที่เมตตาอ่านให้
พ่อครูว่า…คนอื่นเขาติดกัน แต่ใจเราไม่ติด อ่านใจที่เราไม่ติดได้นี่แหละ เขาต้องต่อสู้แต่เราสบาย รู้อยู่เห็นอยู่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราประสาทไม่เสีย รับรู้ได้ปกติ ก็ค่อยตรวจสอบไป อาตมาฟังแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะจริงที่คุณไม่ได้ลดกิเลสสักตัว อาตมาว่าดูดีๆ ให้แม่นชัด
_ทำใจให้ว่าง จิตสงบ ภาวนาไปเรื่อยๆไม่วอกแวกก็ผ่านรูปสวย เสียงบ่นได้ คือจิตสงบค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่ อ่านให้มันชัดอาการจิตมันมีลีลาเคลื่อนไหว รู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำอธิบายขยายความ เราฟังแล้วก็ไปฝึกอ่านอาการจิต ไม่มีรูปร่างสีสันแบบใด แต่อ่านได้
มาสู่บทเรียนที่เราได้
สำทับไว้ เตวิชโช เป็นสูตรสุดท้ายที่ ท่านได้เรียบเรียงเอาไว้ พระไตรปิฎกฉบับนี้เป็นของพระมหากัสสปะเป็นผู้เป็นประธาน กับพระอรหันต์อีก 500 รูป หลังจากพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์แค่ 2 เดือน ก็ได้เรียบเรียงทำพระไตรปิฎกเล่มนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ใหม่สดเป็นเรื่องที่มันจะหลุดไปบ้างผิดเพี้ยนไปบ้างก็แล้วแต่ ผ่านมาสองพันกว่าปี อาตมาก็จริงใจตามที่มีภูมิว่า กำลังบอกประเด็นที่ว่านี้เป็นสูตรที่ 13 ไม่ใช่พรหมชาลสูตรที่เป็นสูตรเริ่มต้นที่ท่านตีทิ้งสมาธินั่งหลับตาที่จะได้แต่อดีตกับอนาคตในสัญญา
ปัญญามันจะมีในปัจจุบัน ลืมตาครบสัมผัสภายนอกภายในมีธรรมะ 2 ในพรหมชาลสูตรมีอันตคาหิกทิฏฐิ ก็ค่อยขยายความไป
จากพรหมชาลสูตรแล้ว ที่ตีทิ้งผู้ไปปฏิบัติกับอดีตกับอนาคตไม่มีทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นิพพานจะป็นธรรมะในปัจจุบันลืมตาอยู่กับอาโลก มีแสงสว่าง ตากระทบแสง ตาไม่บอดหูไม่หนวก รู้จักตาหนวกหูบอดไหม มันหนักกว่าตาบอดหูหนวกอีกนะ
อินทริยภาวนาสูตร พระพุทธเจ้าบอก อุตตรมาณพ ว่า หากอาจารย์เธอสอนแบบให้ปิดหูปิดตาอย่างนั้น คนที่ตาบอดหูหนวกก็ต้องบรรลุหมดสิ
พรหม เป็นพยัญชนะ พ นี่เป็นพฤติกรรม ร คือพลังงาน ห คือแท้จริง จริงๆ เป็นตัวเศษวรรคตัวสุดท้ายเลย ห คือตัวมีตัวเป็นตัวจริงครบ ม คือจิตวิญญาณ
พรหม ตัว พ.นี้เอาครึ่งเดียว จะเป็น ว ก็ได้ ว คือเศษวรรค พ กับ ว.จึงใช้แทนกันได้ เป็นพฤติกรรม พฤติบท กิริยาอาการที่ใช้งานแท้ๆ
9 คือภาวะปัจจุบันที่พลังงานเต็มสุด ปางของพระพุทธเจ้าคือ ปาง 9 ส่วน 0 นี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่มี หรือคนมัวเมาก็ 0 ได้ ซึ่งเราไม่เอา เอา 0 อย่างมีปัญญา
ในเตวิชโชสูตร พระพุทธเจ้าสอน วาเสฏฐะว่า ประเด็นสะอาดบริสุทธิ์ของเทวะ คือพรหมที่เป็นวิสุทธิเทพ พระพุทธเจ้าแยกเทวดาไว้สามอย่างคือ สมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ
๑. สมมติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .
๒. อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) .
๓. วิสุทธิเทพ (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)
(พตปฎ. เล่ม 30 ข้อ 654)
ผู้ที่ยืนยันได้มีสภาวะจริงเป็นปัจจัตตัง ก็จะชัดเจน
สมมุติเทพคือโลกียะ จะมีความสุขทุกข์ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ซึ่งมันไม่มีจริง คนเราหากล้างกิเลสที่ติดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในโลกธรรม ในตัวตนกิเลส ลดละจางคลายได้จริง ต้องศึกษาเอง สัมผัสเอง อ่านออกเองรู้เองด้วยตน เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร อาตมาก็สื่อตามสภาวะ ผู้ที่รู้ตรงชัดกับอาตมาก็ยิ่งตรงชัด ยิ่งมีมากคนตรงกันมากคนเข้าก็ยิ่งยืนยันพิสูจน์แท้จริง เป็นของจริงพิสูจน์ได้ มีธาตุรู้โลกุตระที่หลุดจากโลกีย์ แต่ก่อนต้องได้มีเป็นอย่างแรก เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว วาง จางคลาย ทีละเรื่องทีละส่วน ทีละจุดทีละรูปธรรม นามธรรม มันไม่ง่าย
คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
กิเลสมันตายสนิทอย่างไม่เกิดอีกเลย แต่ก่อนมันมีในจิตเรา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีในจิตเราเลย ตัวอื่นๆก็เช่นกัน เราก็ต้องทำต่อๆๆ จะยิ่งมีตัวอย่างของจริงที่เราปหานออกไป ยิ่งปหานออกไปเรายิ่งโล่งว่าง พลังงานดีเรายิ่งจะมีมากขึ้น เอาไปทำประโยชน์คุณค่าให้แก่ผู้อื่นได้อีก เราก็ยิ่งน้อยลงอาศัยน้อยลง มันย้อนแย้ง หมุนรอบเชิงซ้อนสลับไปมา เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ปณีตา คือประณีตละเอียดซับซ้อน
ไม่ได้ด้วยการขบคิดผกผัน เรียนรู้แต่เหตุผล ขบคิดกัน สัมพันธ์ด้วยพยัญชนะไม่ใช่แต่ต้องมีจิตที่เป็นตัวเป็น แม้ที่สุดเป็นแล้ว จะไม่เป็นก็ได้ เพราะสั่งสมเป็นแกนที่จิตแน่นแล้ว เหมือนไม่มี แต่มีเป็นฐานให้เรา
ตัวมีตัวนี้คือตัวปัญญาที่แท้มันเป็นตัว ฐ
ตัว ฐ. มีทั้งสระอี สระอุ สระอู
มันมีตัว จ. เป็นตัวรู้ แต่ สระอี อยู่เหนือ จะมีปัญญาอยู่เหนือ เรียกวาปัญญาเป็นอุตระแท้จริง สภาวะที่ปัญญาอยู่เหนืออย่างไร มันเป็น จ ที่ สละ เอาสระอี สระอุ สลัดทิ้งไปแล้ว จ.จานเป็นตัวแจ้งตัวจริง นี่ ถ้าเรามีสภาวะตามอักษรหรือพยัญชนะ เป็นเรื่องจริงที่สุด พวกที่เรียนตำราบาลีมา มาเจออาตมาที่เป็นนักสภาวะแท้ เขาตีทิ้งเลยไม่เข้าหลักไวยากรณ์เขา เขาเรียนกันแต่บัญญัติไม่มีสภาวะรองรับ แต่อาตมาเอาสภาวะเป็นหลักแล้วดึงเอาพยัญชนะมาเข้า ก็ยังสับสนอยู่ แต่ถ้าครบกว่านี้จะชัดกว่านี้ อาตมาจึงพยายามไม่ตายให้ไว
สู่แดนธรรมว่า…ที่เขาไม่เชื่อเพราะสภาวะของพ่อครูไม่ตรงกับบัญญัติเขา
พ่อครูว่า…ใช่สภาวะของอาตมาไม่ตรงบัญญัติเขา เขาก็มีสภาวะแต่ไม่ลึกละเอียดเท่ากับอาตมา อาตมาอยู่แกนสภาวะ อาตมาถือว่าสภาวะเหนือชั้นกว่าบัญญัติ คนที่จะเอาบัญญัติเหนือสภาวะก็เรื่องของคุณ อาตมาเอาสภาวะเป็นหลักเอาภาษาเป็นรอง อาตมาจึงเข้าใจอัตวาทุปาทาน อุปาทานตัวที่ 4 เขาได้แต่วาทะ วาทะแปลว่าคำพูดลัทธิเรื่องราวก็ได้
คุณก็ได้แต่ปลีกๆเปลือกๆ ไม่เข้าถึงแก่น ขออภัยพูดเป็นวิชาการไม่ได้ข่มเบ่ง แม้อัตตวาทุปาทานเขาก็ไม่ไปถึงไหน
มาเข้าสู่เตวิชโช มาเอาตรงที่ความสะอาด พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องเทพไว้ 3 อย่าง
๑. สมมติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .
๒. อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) .
๓. วิสุทธิเทพ (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)
(พตปฎ. เล่ม 30 ข้อ 654)
สมมุติเทพทำเอกธรรมไม่ได้ ทำให้เป็นหนึ่งไม่ได้ ต้องเป็นสองไปตลอดกาล เทวะ แปลว่า 2 สภาวะก็เป็น 2 เป็นเมถุน ภาวะคู่ที่ปรุงแต่งกันอยู่ มีอิตถีภาวะ ปุริสภาวะผสมปนกันอยู่ แยกออกจากกันไม่ได้ แยกธรรมะสองไม่ได้ อีกอันเป็นเอกอีกอันเป็นรองแยกไม่ได้ คุณทำให้เป็นเอกธรรม ทำสภาวะที่เป็นอิตถีภาะวออกไม่ได้ก็มีสองไปเรื่อยๆ ทำเป็นหนึ่งไม่ได้ เพราะคุณไม่เรียนสัมผัสจริงวิญญาณที่เกิดจริงในขณะสัมผัส แล้วจับกิเลสออกจากจิต ทีละภาวะๆ สองก็มี อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ แล้วทำให้เป็นปุริสะได้ จนจิตสะอาดไปเป็นลำดับ
รูป 28 กับ นาม 5
ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิภังคสูตร
ท่านแยกแยะว่า ในปฏิจจสมุปบาทพอถึงข้อที่14 ท่านก็บอกว่า รูป ก็อย่างหนึ่ง นามก็อย่างหนึ่ง รูปท่านแยกไว้ 28
ปสาทรูป วิสยรูป ตาหูจมูกลิ้นกายเริ่มสัมผัสก็เกิดสภาวะปรุงแต่ง คุณก็แยกเป็น 2 ให้ได้ แยกตัวที่สะอาดบริสุทธิ์ กับตัวที่มันไม่ใช่ ตัวเป็นเหตุที่ทำให้เราเกิด 2 ก็แยกตัวเหตุที่ทำให้เกิด 2 ก็ปหานออกก็เหลือ 1 สะอาดๆ ภาวะ 2 จึงต่อจากปสาทรูป โคจรรูป หรือวิสยรูป ที่ไปสัมผัสกับอะไรขึ้นมาเกิดสภาวะสังขารปรุงแต่ง คุณมีจิตตนเป็นประธาน ระหว่าง อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นหลักก็ต้องเปลี่ยนจาก อิตถีภาวะ มาเป็น ปุริสภาวะ
พลังงานอิตถีภาวะเป็นปุริสะหมดเลย ก็เลยเป็นพลังงานเพิ่มซ้อนมาอีก ไม่ใช่ไปตัดทิ้งไป จึงจะได้พลังงานเพิ่มทบทวี ทำที่หทยรูป
เป็นพลังงานที่เข้ามาร่วมกับความจริงอย่างเต็มรูป ห ท ย สามเส้าเต็มรูป ตัว ห กับ ท สลับกัน ในการเป็นรูปกับนามเป็นสิริมหามายา จะไม่สงสัยการสลับ โดยเกิด ย คือพลังงาน เศษวรรค ย ร ว ส ห ฬ อํ ตัว ท คือพลังงานแรงที่ทำได้ใช้งานในโลกในวัฏฏะตัวเรา ในกาย ในนิวเคลียส จะเป็นลักษณะเป็นหรือลักษณะตายเรียกว่า ชีวิตินทรีย์ อาการของชีวะ เรียกว่าอินทรีย์ ชีวิตินทรีย์อ่านอาการที่มันเคลื่อนได้แล้วไปเกี่ยวข้องกันสิ่งที่อาศัยคืออาหาร
อาหารรูป ที่พระพุทธเจ้าแยกไว้ 4 ตอนนี้จะเข้าสู่นาม 5
-
กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว ให้รู้กิเลสเบญจกาม) ทุกสิ่งมีชีวิตต้องอาศัยอาหารชนิดนี้ แม้แต่อุตุก็สลายไปหากไม่มีการสังเคราะห์กัน สลายไปได้ง่ายๆ
-
ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .
-
มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .
-
วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .
(ปุตตมังสสูตร พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 241-244) .
จากนั้นมีชีวิตรูป อาศัยรูปนาม คือธรรมะสอง เอามาทีละสองเป็นกายวิญญาณ เอาภายนอกก่อนมีลำดับ นอกหมด ไปใน ในหมด มานอก อย่างนี้เป็นต้น
ในชีวิตรูป มันเกิดที่ปรุงแต่งเป็นอะไรอยู่ เราก็ปฏิบัติกับอาหาร อาหารการกินนี่ แม้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่กับอาหาร แม้แต่พระโพธิสัตว์อาหารพวกนี้ก็ยังต้องกินอยู่ แม้จะเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องยืนยันคุณจะเป็นคนสามัญปุถุชนก็กินอาหาร เริ่มเป็นอาริบุคคลก็กินอาหาร ถ้าคุณยังมีชีวิต ชีวิตินทรีย์ ยังมีอยู่ไม่ได้สูญสลายแยกธาตุ คุณก็ต้องอ่านสิ่งเหล่านั้น
คำว่าชีวิตคือมันยังไม่จบ ยังมีชีวะ ยังเป็นชีพ ยังมีสามเส้าแล้วก็ปฏิบัติยืนยันกับอาหารต่างๆ ก็แบ่งมาทีละปริเฉท เอามาแต่ละหน่วย แต่ละกรอบแต่ละสามเส้า สองมาเป็นสาม สามมาเป็นสี่ จะรู้ว่า คืออะไร หกเป็นสองเส้า เจ็ดมีแง่งของเส้าที่สาม กว่าจะเป็น 9 ได้ เป็นสามเส้า สามอันเต็ม ถ้าคุณไม่ต่อก็รักษาพลังงานให้สมดุลไป แต่ถ้าก้าวหน้าเป็น 11 ก็ต้องให้ได้สมดุล ต้องให้รู้ว่าพลังงานนี้ไม่เป็นทศนิยมให้สมดุล
ถ้าเผื่อไว้หากมันจะหดหาย เหมือนคนรักษาคลัง รักษาสถานะการเงินมาพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นมูลนิธิ กองคลัง คงคลัง อยู่ในคลังคงที่เป็นตัวเสถียร status เวลาจะใช้ก็ต้องใช้ออกไปอย่าให้ run shot ถ้าทำให้คงคลังเพิ่มขึ้น คุณจะแข็งแรงมากขึ้นแต่ถ้าเพิ่มอย่างมากมายคนอื่นก็ทุกข์ร้อนลำบากเอามากองไว้กับตัวเอง ก็ต้องมีจิตใจที่ดีอย่าไปรักษาเงินคงคลังไว้มาก ชาวอโศกคงคลังน้อยแต่พยายามไม่ให้ขาด พอหมุนดีได้ มีวิธีการใช้สอยอย่างหมุนเวียนอย่างได้สมดุลครบครัน โดยที่เราประมาณในความรู้สมรรถนะภาพของเรา อยู่ที่ความบริสุทธิ์ใจ ไม่ตะกละเอาไว้เป็นของตัว เอาไว้เป็นกองกลาง แม้ดูจะเข้าใจยากแต่หากจิตเร็วรู้ ครน.หรม.ได้ มีครบสิ่งที่คูณร่วมน้อย หารร่วมมาก
ตอนนี้อธิบายรูป 28 ใช้อาหารเป็นเครื่องปฏิบัติ มีกวฬิงการาหาร ต้องมีผัสสะ เจตนา มีธรรมะสองทิ้งไม่ได้ ในอาหาร 4 ทิ้งอะไรไม่ได้เลย
ต่อมาก็รู้ หยาบ ละเอียด ในกายวิญญัติ วจีวิญญัติ
วิญญัติคือการเคลื่อนไหว เป็นกาย วจีเป็นภายนอก
ถ้าสองเรียกมโนกับวจี หรือมโนกับกาย ขาดมโนไม่ได้ หากขาดมโนก็เป็นอุตุนิยามไป ไม่ใช่กายเราแล้ว แม้พีชะเราก็ไม่อยู่แค่นั้น จะต้องให้ครบ 3 เป็นจิตนิยาม เราก็ต้องรู้ฐานะของเรา เป็นจิตวิญญาณสัตว์ไม่ใช่แค่พืชนะ เราอยู่ในฐานะใดแท้ ไม่ใช่แค่พืชที่ไม่มีดูดหรือผลัก ไม่มีเวทนา เราก็ค่อยรู้ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ มโนวิญญัติ
มโนวิญญัติไม่เคลื่อนออกมาภายนอกเลย
กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นพลังงานที่ต้องออกมาภายนอก ถ้าตัดไปอยู่แต่ภาวะใน แล้วคุณควบคุมได้ส่งออกมาภายนอกได้ ก็มาเรียนรู้อีก 3 ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา
คุณควบคุมกรรมได้ รู้จักกรรมนิยามดี คุณเป็นพระเจ้าของกรรม GOD พยายามบอกว่าเป็นพระเจ้าที่สั่งทุกอย่าง พระเจ้าเอาแต่สั่งมนุษย์ แต่พระเจ้าไม่รู้จักกรรม เพราะฉะนั้นในศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่รู้จักกรรม 4 ไม่รู้จักกรรม 5 เพราะไม่ได้ศึกษากรรม เพราะฉะนั้น
1 ไม่รู้จักกรรม 4 ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบาก ไม่รู้ว่ากรรมวิบากเป็นของตน ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พวกนี้เป็นเทวนิยมไม่เชื่อ
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีหลักที่ทำให้สองเป็นหนึ่งอยู่ร่วมกันได้ธรรมะ 1 กับธรรมะ 2 ไม่ได้แยกกันทำให้เป็น 0 ไปเลยไม่เหลือเชื้อเลยในเอกภพในวัฏสงสารอีกเลยเป็น 0 แล้ว ก็สามารถทำได้ แต่เทวะ 1ก็ยังทำไม่ได้ไม่ต้องพูดถึง 0 เทวนิยมไม่มีนิพพาน ถ้าหากไม่ได้เรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ได้อ่านแยกแยะอาการของวิญญาณ เชื่อพระเจ้าอย่างเดียวพระเจ้านั่นแหละสั่ง ไม่ได้อยากจะสัมผัสจริงกับชีวิตจริง พลังงานจริง แก้พลังงานอาการต่างๆ ไม่ได้ศึกษาละเอียดเราอย่างนี้จริง ทำให้ทรงไว้เป็นธรรมนิยาม แตกเป็นสองกุศลธรรมกับอกุศลธรรม โลกุตรธรรมโลกียธรรม หรือว่าทำกรรมให้เป็นโลกุตระ หรือทำได้แค่โลกียเป็นอย่างไร คุณไม่ได้เรียนเลยพยัญชนะเหล่านี้ คุณก็ไม่มีสภาวะด้วยก็แยกแยะไม่ได้ จบแล้วคุณทำกิจของคุณให้เกิดมุทุธาตุ
มุทุ นี่แหละ คือ ตัวยอดของพลังงานพระเจ้าแล้วก็จะรู้
1 ทำให้นิ่มนวลที่สุดเรียกว่า ลหุตา ล ห อุ เอา พลังงานสั้นๆ อา อี อูไม่เอาตัดออก เหลือ อะ อิ อุ สั้นๆ ย ล ว เอาตัว ลหุ เอาตัวแท้เต็มๆ สาม มาใช้กับวงจรเคลื่อน ลหุเป็นวงจรเคลื่อน หุ เป็น static ล เป็น dynamic เอา ล กับ หุ มาใช้ เอามาใช้เป็น
กัมมัญญตา บาลี กมม คือกรรม กัมมัญญะ อัญญะคือธาตุอื่นที่เป็นธาตุรู้โลกุตระ พอมาเป็นพหูพจน์คืออัญญา อัญญะเป็นธาตุเดียวที่แตกออกมาจากโลกีย์เป็นอัญญธาตุ
เมื่ออัญญธาตุมาใชังาน ประธานก็ใช้มัน มาเป็นปัญญา
ป ผ พ ภ ม กับตัว ญญ ก็เป็นปัญญา
สรุปแล้ว กัมมัญญา จึงเป็นตัว ก คือตัว static ตัว ม
สรุปแล้วมันมีตัวบทบาทกับกิริยา อย่างมีธาตุ อัญญา หรือปัญญาเป็นตัวจบ กัมมัญญา
การกระทำที่มีตัวนายคือปัญญาเป็นตัวควบคุมกำกับ ก็คือ พระเจ้ากับสัตว์โลกคือทุกอย่าง พระเจ้าเป็นตัวสั่ง กัมมัญญา คือตัว God แท้ๆ พระเจ้าแท้ๆ บัญชาเองหมด ไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่ใช่เรื่องที่อธิบายไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีสิ่งรองรับยืนยันอยู่ มีสิ่งยืนยันรองรับอยู่ คุณมีธาตุจิตที่อาตมาพูดนี้ไหมก็จึงยืนยันตรงกัน เช็คกันเลย ตั้งแต่บอกว่า ไม่กินเนื้อสัตว์นี่เป็นศูนย์ ไม่มีอบายมุขคือศีล 5 ไม่เดือดร้อน เป็นเองในตัว ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ติดในกามหยาบ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสระดับเบื้องต้นไม่มีแล้ว สบม.ทมด.ปกต.หห.
เราก็สามารถควบคุม ลหุตา ควบคุม กัมมัญญตาได้ โดยมุทุเป็นตัวพระเจ้าใหญ่เลย จะให้เกิดจะให้ตายก็ได้เป็นสิริมหามายา ถ้ายังไม่ได้เลิกเกิดเลิกตาย เลิกไปเป็นปรินิพพานเป็นประโยชน์สาน ยังทำงานอยู่ และงานที่ทำ เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นทั้งนั้น
วิการรูป 5 แยกย่อยลงไปจึงชัดเจน
สุดท้าย วิการรูป 5 ก็คล่องแคล่วเป็นมุทุ ไม่ใช่เฉื่อย เป็นฌานสมาธิแข็งทื่อ ไม่ใช่ แต่ใช้พลังงานรูปนามได้เต็มที่เท่าที่เราเจตนาปรารถนา
การทำใจในใจมนสิการจึงทำได้อย่างเป็นผู้ที่ควบคุมใจได้ จะให้เป็นอะไรก็ได้เป็นสิริมหามายา จะให้มีหรือไม่มีก็ได้จะให้แข็งแรงไม่แข็งแรงใจเอาเท่านี้เท่านี้ได้สัดส่วน แม้จะยังไม่ได้หมดก็ได้มากขึ้นตามบารมีของแต่ละคน ไปตามลำดับ สามารถทํามนสิการโดยมีผัสสะเสมอ ไม่ใช่ลอยลมเคว้งคว้างพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง คุยกับคนอื่นไม่ได้ ผกผันคิดอยู่คนเดียวเป็นสัญญายนิจจานิคนเดียวว่า ข้านี่แหละใหญ่คนอื่นไม่รู้เรื่องด้วย ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่
ที่ท่านใช้คำว่าไม่มีเพื่อน 2 นี่ก็เป็นภาษาที่ลึกซึ้งมาก ท่านมีเพื่อนแต่ท่านไม่ติดเพื่อนท่านเป็นเอกคตาหรือเอกธรรม แต่ท่านอยู่กับเพื่อนที่เป็นมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีแล้วตัวเองก็ไม่มีตัวเอง มีเหมือนไม่มี มีแต่ช่วยเหลือเขาเป็นประโยชน์ต่อเขา ตัวเองอาศัยเพียงมักน้อยก็สบาย เป็นผู้ขัดเกลา มีศีลสูงมาจับได้ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
ตามลำดับ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีขั้นตอนชัดเจนมีสภาวะรองรับพูดกันได้ เป็นปัจจัตตังจนถึงขั้นเป็นปัจเจกเป็นเองได้เลย ปัจจัตตังคือเริ่มต้นเป็นตัวเองมีในตัวเอง ปัจเจกนี้เริ่มจะมากขึ้นเป็นใหญ่ขึ้น มากขึ้นก็เป็นสยังอภิญญา
สยังอภิญญานี้แหละที่ยาวนานเป็นอนิยตะ กับ นิยตะ
จนเพิ่มใหญ่ขึ้นเป็นมหาโพธิสัตว์จนเป็นมหาโพธิสัตว์มาก จนสุดท้ายพ้นนิยตะเต็มตัวมหาโพธิสัตว์จะเพิ่มภูมิตนเองจนเป็นปัจเจกพุทธเจ้าหรือสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าเป็นพุทธะ ถ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ต้องมาประกาศกับโลก เป็นสัมมาสัมพุทธะเต็มเท่ากับปัจเจกพุทธเจ้า ท่านรู้ตนเองคนเดียวแต่ไม่ประกาศกับโลก จึงไม่ได้ขึ้นทำเนียบสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ท่านมีภูมิเต็มเท่ากัน
คนที่ไม่มีภูมิก็เดาไม่ได้ ไม่รู้ปัจเจกพุทธเจ้า ก็รู้แต่ปัจเจก
พวกสัทธานุสารีก็มีแต่ปัจเจกของตัวเอง ไม่รู้จักบัญญัติภาษาของโลก รู้แต่ตัวกูของกู จริงหรือไม่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ ไม่มีใครตัดสินด้วยได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าคุณต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมาร่วมให้มีธรรมะ 2 หากมีแต่คนเดียวนั้นไม่เอา ต้องมีสัมผัสมี 2 ต้องมีรูปมีนาม ตัวเรากับตัวเขาก็เป็นของคู่เป็นรูปนาม คุณรู้เขา เขารู้เรา เราไปรู้เขา เขาก็เป็นรูป เราก็เป็นนาม เขามารู้เรา เราก็เป็นรูป เขาก็เป็นนาม มันก็สลับกันไปมาแล้วก็ยืนยัน จะมีบัญญัติภาษาละเอียดอย่างไรก็เอามาพูดกัน เข้าใจกันตกลง แต่เมื่อพูดกันแล้วพูดกันไปพูดกันมามันไม่รู้เรื่องของเขาไม่ใช่ ของคุณก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดกันรู้เรื่องว่าตรงกันเหมือนกันหมด หนึ่งเดียวกันเป็นสัจจะที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก
วิการรูปนี้ กายวิญญัติ วจีวิญญัติก็เอามาใช้ได้ ส่วนแกน ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา
กำหนด ลหุนี่ แรงที่สุดก็ได้ ทำให้เบาก็ได้ ยากกว่า ทำแรงไม่ยาก แต่ทำเบาอย่างนิ่มนวลได้สัดส่วน มีผลสูงสุดทำได้ยาก แต่แรงที่มีผลสูงสุดนี่ทำง่าย แต่ถ้าทำนิ่มนวลเบาบางแต่มีผลสูงสุดนี่ยากกว่า เบาบางมาก เบาและบาง เก็บก็ง่ายไม่หนักไม่กินที่ หยาบและหนาแน่นเยอะ ไม่ใช่สิ่งที่ควรเอาไว้ หนักเมื่อยกินที่เทอะทะไม่ไหว จะจับไปทำงานไม่คล่องแคล่วยาก
แต่นี่มันต่างกันเลย
สมณะฟ้าไทว่า…ลมเบาแต่ดันน้ำตกไปได้
พ่อครูว่า..ยิ่งเล็กยิ่งแรง ยิ่งเบายิ่งเบ้อเร่อ ยิ่งเบายิ่งเบ้อเลย
ในตัววิการรูป 3 จึงเป็นแกนของ dymanic สามเส้า แต่ถ้าไป static เป็นลักษณะ 4
มีเกิด สองจุดธรรมดา ถ้ามีชีวะก็คุมสันตติ
สันตะ ติ นี่คือ 3 สันตะคือ ย ร ล ว ส กับอันตะคือที่สุด มีสูญกับไม่มีประมาณเลยได้ ก็ที่อันตะ ควบคุมได้หมด ควบคุม 0 ก็ได้ ควบคุม ไม่มีที่สุดก็ได้ Infinity ตัว 0 กับ Infinity ก็เท่ากัน จะตัดหรือจะต่อก็ได้เรามีอำนาจเต็ม
หากไม่ต่อ ตัด อย่างเก่งก็เหลือ momentumที่มันจะชรตา 0 ไป เพราะคุณตัดเด็ดขาดไม่ให้ทศนิยมต่อไปอีกเลย พลังงานไม่ต่อก็เสื่อมไปตามสภาพ แล้วแต่ความแน่นหนาของพลังงาน แต่ซ่อนอีกว่าถ้าจะฮึดอีกก็ได้ เป็นสิริมหามายา เป็นอนิจจตา เป็นยอดนักมายากลที่จะให้เกิดให้ตายเป็นอมตะบุคคล เป็นผู้ควบคุมสุดยอด
ตัว ต คือ static ตัว ม คือ dynamic ส่วน ต ฐ ท ธ น ตั้งแต่ตั้งต้นจนศูนย์
ม กับ น หรือ น กับ ม เป็นตัวนาม นมะหรือนโม หรือมนัส ก็คือจิตวิญญาณ พยัญชนะมันแทนสภาวะไม่สับสนนะ
(ด.ช.ธรรมโมกับ ด.ญ. บัวพ้นน้ำ จูงกันมาหน้าเวที ยืนดูพ่อครู)
พ่อครูว่าเป็นตัวแทนอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ พ่อครูว่า เขาฟังไม่รู้เรื่องแต่เก็บข้อมูลไว้ในฮาร์ดดิสก์ของเขาแล้วสักวันหนึ่งโตขึ้นก็อาจจะดึงมาใช้ได้ เรื่องพอดีบรรจบเป็นนิมิตนี้เป็นเรื่องจริงอาตมาพูดหลายทีแต่อย่าเอาไปใช้ว่าเรามีอย่างนั้นอย่างนี้
พระพุทธเจ้าจะต้องประสูติตรัสรู้ปรินิพพาน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญในวันเดียวกันนี้ มันต้องมีมันต้องลงตัวอย่างนั้น ถ้าไม่มีมันก็ไม่ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าเกิดก็ต้องมีสหชาติที่เกิดร่วมกัน มันเป็นอจินไตยที่รูปกับนามต้องลงตัว อาตมาบอกให้พวกเราดู แต่อย่าไปนึกว่าเรามีภูมินี้แล้วเดี๋ยวจะเละ บอกไว้ก่อนเละเลอะเลยตายอย่างเขียดเลยนะหลงผิด แต่ถึงเวลาจะรู้ว่าเราพอมี เรามีอันนี้พออาศัย จนอาศัยได้มาก อย่างอาตมาก็มีบ้าง จนเรารู้ว่าอาศัยได้ถาวร มันเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าสถิติพยากรณ์หมอดูสิ่งที่เป็นที่เกิด มันต้องลงตัวอย่างนี้ ถึงขีดแล้วมันจะใช้ได้ ถ้าไม่ถึงขีดก็จะไม่เข้าร่องรอย chaos อยู่ พอพ้นจาก chaos ก็ จะเข้าระบบระเบียบ แต่ระแบบนี้ยังห่าง แต่ก่อนพยากรณ์ยันตระก็ไม่แม่น แต่ว่าตอนหลังก็แม่นขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่อยากเป็นนักพยากรณ์ อาตมาไม่ไปพยากรณ์พวกคุณว่าเป็นขั้นไหนๆ แม้เจ้าตัวจะมั่นใจขนาดไหนก็เอาไว้ก่อน จนกว่าคนอื่นรับรองมากขึ้นร่วมกันก็เป็นอย่างนั้น
มาจบที่ ลักษณรูปที่เป็น static ส่วนวิการรูปเป็น dynamic
อนิจจตาเป็นเศษส่วนที่ ผู้ที่เป็นอมตะบุคคลจะเก็บเอามาใช้งานได้ แต่ถ้าไม่มีการต่อแล้วก็จะเสื่อม หากช่วยมันๆก็สลายเร็ว แม้จะสลายทันทีก็ได้ หากมีประสิทธิภาพนั้นแท้
คำว่าสลายไปเลย นี่เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน สลายเลยแยกธาตุทุกยอ่างไม่มาเป็นชีวะอีกเลย ไม่กลับกำเริบ อสังกุปปังแน่นอน ทิศเดียวเลย สูญทิศเดียว
สมณะฟ้าไท.ว่า…พ่อครูทำเกิดเร็วสลายได้เร็ว
พ่อครูว่า..ตั้งฐานไว้จะเป็นสัมมาสัมพุทธะ และถ้าเป็นคนจริงก็เป็นของจริงแต่ถ้าคนที่ตั้งจิตเป็นพุทธเจ้าแต่ไม่มีแกน ก็จะมีแต่ความฝันอยากจะเป็นคุณยังไม่มีแกน มันก็ไม่เป็นอย่างที่คุณตั้งใจได้ ต้องสร้างแกนถึงนิยตะถึงเที่ยง จะเห็นได้ว่ามั่นใจแล้วจึงจะเป็นอย่างนี้ได้ เป็นสังขยาเลข จนเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นเลข 9
เลข 7 จะเป็นพลังงานอย่างไรคุณจะเข้าใจ ความอันสูงกว่า 5 แน่นอนสูงกว่า 6 และแน่นอนต่ำกว่า 8
รูป 28 คุณต้องเข้าใจมีสภาวะและใช้เป็นได้ ถ้าทำรูปอย่างที่ว่านี้ไม่ได้ อย่าไปฝันถึงนิพพาน พยัญชนะที่เอามากำกับภาวะอธิบายให้ฟัง ขยายจากพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 14
หากไม่รู้ก็ศึกษาอย่างไม่รู้เรื่องไม่มีสภาวะรองรับ
อิตถีภาวะกับปุริสภาวะอย่างไรก็ต้องมีสภาวะ หทยรูปอยู่ไหน? อยู่ในคูหาสยังนี่แหละ และมันมีชีวิตินทรีย์ที่ต้องแยกระหว่างของกิเลสกับอัตภาพนี้นะ ก็ต้องล้างในสิ่งที่จะกำจัด ล้างได้จริงก็ต้องรู้ยืนยันพิสูจน์ทางทวารทั้ง 5 และ 6 พิสูจน์ตามเหตุปัจจัยอันใดไล่ไปทีละอัน ตั้งแต่สัตว์ตั้งแต่ของ หรือเอาของก่อนสัตว์ก็ได้ แต่สัตว์นี่มีวิบากเอาก่อน ของ พืชก็ไม่มีวิบาก จะละเมิดไปบ้าง ในของในพืชมันก็ไม่มีวิบาก แต่สัตว์มันมีวิบากก็ต้องเห็นความสำคัญก่อน สัตว์มันจึงสำคัญกว่าของและวัตถุ ยิ่งคนสำคัญกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมัน ดูด ผลัก ได้สูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานอาจจะแรงแต่ไม่ละเอียดเท่ากับคน คนซอกแซก พยาบาทหรือรัก ได้สูงและวิจิตรพิสดารกว่าสัตว์
เพราะฉะนั้นจึงทำกับคนนี้แหละไม่ต้องยาก สัตว์ก็ปล่อยเขาไปเลย แม้แต่คู่บารมีของคุณจะเป็นสัตว์ตัวใดมานัวเนียคุณ คุณก็ต้องปล่อยเขาไป ตัดๆๆ มันจะจางจะลดลง ไม่ต้องไปต่อ ยิ่งเป็นคู่บารมีคุณจะไปต่อทำไม ไม่ใช่มีแค่คู่เดียวนะ เราก็ตัดไป เป็นสัตว์อื่นสัตว์ใด มาเอาเรื่องสำคัญที่เราควรจะทำ เราควรจะเลิกละล้างไปตามลำดับ
เมื่อสามารถทำ status รู้จักอุปจยะ สันตติ แล้วเหลือ อนิจจตา ชรตา ก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คุณก็ว่ามันไม่เที่ยงเป็นอนิจจตา คนตัดสุดท้ายยังได้แน่นอนไม่มีอย่างกับกำเริบ อสังกุปปัง จบ คุณจริงไหม? ถ้าจริงก็จบจริง ถ้าไม่จริงก็ไม่จบอยู่นั่นแหละ เป็นเรื่องสัจจะ ถ้าคุณมีกรรมกิริยาแต่บอกว่าไม่ใช่ไม่เอา คุณไปพูดกับพระเจ้าเลยอาตมาไม่เอา พูดกันไม่รู้เรื่อง ไปพูดกับพระเจ้าเอง พระเจ้าจะหยวนให้คุณหรือไม่ก็แล้วแต่ อาตมาพูดกับคนที่รู้เรื่อง คนลึกลับพูดกันไม่รู้เรื่อง อาตมาพูดกับคนไม่ลึกลับรู้เรื่อง คนลึกลับไม่ใช่คนรู้เรื่อง คนรู้เรื่องก็ไม่ใช่คนลึกลับ
รูปทั้ง 28 หากไม่รู้ คุณก็ทำไม่เป็นลำดับ ทำไม่ครบ ไม่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ จะทำหยาบมาหาละเอียด เป็นสภาวะหมุนรอบเชิงซ้อนเป็นชั้นๆแล้วก็มีนาม 5 เสมอๆ
ถ้าไม่มีนามทั้ง 5 โดยเฉพาะเวทนาเป็นตัวตนของนาม 5 ไม่มีผัสสะก็ไปเถิดไป ไม่มีบรรลุหรอก ไปเลยออกไปสู่โลกเลย
เพราะว่า เวทนาเป็นหลักเป็นแกน แล้วต้องมีผัสสะเป็นคู่ ซึ่งจะมีการปรุงแต่งเป็นสามเส้า สองก็เป็นอุตุ สามเส้าเริ่มต้นเป็นพีชะ ก็มีแต่ตัวมันเองไม่เกี่ยวกับใคร มันไม่ไปทำอะไรกับอันอื่น อันอื่นมาทำอะไรมัน มันสู้ไม่ได้ก็สูญมันไม่สู้กับใครด้วย โดยเฉพาะพีชะนี้สู้สัตว์ไม่ได้ สัตว์เหนือชั้นกว่าพีชะ
คู่ระหว่างวิการรูป ลักษรูป ก็เป็นคู่สุดท้ายเป็นธรรมะ 2 ลักษณะเป็น static วิการะ เป็น dynamic พูดกันรู้เรื่องก็ยังไม่เป็นเรื่องลึกลับ สภาพลึกลับเราไม่เอามันเมื่อย เรามาเอาแบบรู้และเห็น จึงจะได้เรื่อง ถ้ามันลึกลับไม่ได้เรื่อง เอาอะไรมาพูดก็ไม่ได้เรื่องเพราะมันลึกลับรู้อะไรก็ไม่ได้ เอามาพูดด้วยกันก็เละเลย เละยิ่งกว่า โจ๊ก ขี้อหิวาตกโรค
นาม 5
เวทนา สัญญา เจตนา สามเส้าแรก
ผัสสะ มนสิการเป็นนอกเส้า สี่ ห้า แต่ทำงานร่วมกัน
คุณจะทำใจในใจมนสิการก็ทำ 3 อันแรก แล้ว 3 ต้องมีผัสสะจึงมีเวทนาให้จัดการ คุณต้องกำหนดรู้ให้ได้มันปรุงแต่งอย่างอวิชชา มันก็แยกแยะไม่ได้แก้ไขไม่ได้ต้องปรุงแต่งอย่างมีวิชชา มีกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารก็จัดการ วจีสังขาร
วจีสังขาร มีอธิวจนสัมผัสโสคือ มีรูปที่มีภาษาเรียกแล้ว แต่ถ้าไม่มีพยัญชนะภาษาเรียกก็เป็น ปฏิฆสัมผัสโส ฆ หากว่ามีประธานก็จัดการได้ แต่ถ้าไม่มีประธานมันก็ขี่หัวคุณ ฆ ตัวนี้เป็นอุตุนิยามหรือพีชนิยามก็มีได้
สรุปแล้ว เวทนา สัญญา เจตนา
เวลาคุณจะทำงาน ปรุงขึ้นมาคุณต้องมีตัวเจตนา เจตนาแต่อย่าอยาก ลึกกว่าลึกเลย
เจตนาให้เป็นเช่นนั้น มีเช่นนั้นหรือไม่มีเช่นนั้น มีเช่นนั้นก็ทำเหตุให้ครบ มันก็มีก็เป็นได้ คำว่าเจตนาแต่อย่าอยาก ควรรู้ให้ได้ว่าผลจะเป็นอย่างนี้ก็ทำที่เหตุ ทำที่เหตุนี้เท่านั้น
หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ก็ต้องทำที่ 1 บวกกับ1 มันก็เป็น 2 จริง เป็นสัจจะแห่งคณิตศาสตร์ มันชัดๆจริงๆ
ถ้าเราสามารถรู้จักเวทนา สัญญา เจตนาแล้ว คุณก็จัดการได้ตามเจตนา จะให้มีหรือไม่ให้มีจะให้ดับหรือให้เกิด จะให้เหลือ หรือจะให้ไม่เหลือเลย ให้เหลืออยู่เท่าไหร่ แล้วคุณควบคุมได้ คุณอยู่ในอาณัติที่คุณควบคุมได้ มันอยู่ในอาณัติของคุณ จึงเรียกว่าจิตมีอำนาจ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามถึง วาเสฏฐะ ว่า อาจารย์ของเธอมีจิตที่มีอำนาจ
หากคุณสามารถสร้างจิตที่มีอำนาจ
[380] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเคยได้ยินพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวว่ากระไรบ้าง พรหมมีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตจองเวรหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตจองเวรหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
[381] ดูกรวาเสฏฐะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นยังมีเครื่องเกาะคือสตรี แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะคือสตรี เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตจองเวร แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาซึ่งยังมีจิตจองเวรกับพรหมผู้ไม่มีจิตจองเวรได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเบียดเบียน แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่มีจิตเบียดเบียนได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเศร้าหมอง กับพรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมองได้แลหรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.
สมณะฟ้าไทว่า…สรุป