วิถีบวร 1 ใน 1000 ตอน..ออกกำลังกายสลายภพ จบชาติ ได้ไงน๊อ..
วันพฤหัสบดีที่ 20กันยายน 2561
สัปดาห์ก่อนพ่อครูได้สอนเรื่องให้พวกเราปฏิบัติอยู่ 2 เรื่องคือ 1. ให้พากเพียรปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้น อัตตาลดลง ทิฏฐิตรงสมบูรณ์ขึ้น 2.ออกกำลังกายดูแลรักษากายขันธ์ให้แข็งแรง อยู่ช่วยงานพ่อครูไม่ใช่ปล่อยให้พ่อครูอยู่รูปเดียวทำงานศาสนาถึงอายุ 151 ปีแต่ลูกหลานตายหมด ได้ยินแล้วข้อแรกพอเป็นไปได้บ้างตามลำดับ ส่วนข้อที่ 2 ยังขี้เกียจอยู่เลยค่ะมีข้ออ้างสารพัด เช้านี้ก็เลยฝืนกิเลสตัวเองออกมาภพ มาออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วสลับวิ่งที่ริมแม่น้ำมูนสัก 1 ชั่วโมง ก่อนจะมาทำงานต่อ
เดินมาหน้าน้ำตกผาแหงนเห็นซุ้มขยะเลยแวะเข้าไปดูว่านักท่องเที่ยวยังแยกขยะให้อยู่หรือไม่ มองไปก็ยังมีการไม่แยกขยะ บ้างเอาขยะเปียกปนขยะแห้งอยู่ ก็เลยจัดการแยกให้ถูกต้อง ฝากถึงผู้ที่มาเยี่ยมชมน้ำตกผาแหงนและน้ำตกอื่นในบ้านราชช่วยกันรักษาความสะอาดกันด้วยนะคะ…ก่อนที่จะเดินไปริมแม่น้ำมูนใครที่ไม่รู้จักอากาศหวานเป็นอย่างไรขอเชิญได้ทุกเช้า Good Morningพระอาทิตย์กันได้ค่ะ เดินถึงสุดทางของริมมูนก่อนจะเลี้ยวเข้าภายในหมู่บ้านบริเวณป้ายถนนตรงกุ่ม น้ำยังคงท่วมพื้นที่ทำกสิกรรมด้านล่างที่พวกเราเคยปลูกแตงโมและพืชผักต่างๆ แต่อีกไม่นานเมื่อน้ำลด พื้นดินด้านล่างนี้ก็จะกลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มากกๆๆเพราะมีอินทรีย์วัตถุ ที่มากับน้ำมูลทับถมเป็นปุ๋ยธรรมชาติ พวกเราจึงได้กินพืชผักในช่วงหน้าหนาวได้อย่างสุขสำราญจริงๆ แวะเดินลมปราณสัก 3 ยกร้องเฮ้ยเฮ้ยเท่าไหร่ก็คงไม่รบกวนคนอื่น สูดอากาศหวาน โอโซนได้เต็มปอด
เดินแวะมาที่ซุ้มขยะหน้าชุมชนเรือ ฝ่ายชาย จัดการขยะเรียบร้อยดีมากค่ะ มีการแยกขยะทั้ง 4ชนิด ถึงตรงนี้ได้โอกาสวิ่งตามถนนสองฟากฝั่งเป็นทุ่งข้าวเขียวขจีมองไปที่เรือเหลืองในบุ่ง ท่านสมณะเด่นตะวันกำลังสอนวิชาพุทธศาสนานักเรียนม. 1 สำหรับเช้าวันหยุดของนักเรียน อีกฝั่งนึงก็ยังมีเรือหอพักของนักเรียนชายรวมถึงญาติธรรมฝ่ายชาย ควันฟืนที่คลุ้งจากโรงครัวเป็นสัญลักษณ์ของครัวเริ่มมีชีวิตชีวาในการผลิตอาหารให้ชาวชุมชนแล้ว
แวะดื่มน้ำนิดนึงหน้าเผิ่งกันมองดูเวลา 7 โมงเช้าแล้ว กะว่าจะมาทำงานต่อแต่พอมานึกว่าวันนี้เป็นวันหยุดของนักเรียน ฐานงานไม่มีเด็กมาเข้าฐาน จึงเดินและวิ่งต่อจะดีกว่า เพราะยังมีแรงเหลืออยู่ ผ่านมาที่เรือรามรักษ์เป็นสถาปัตยกรรมที่พวกเราชาวบ้านราชภาคภูมิใจอีกงานหนึ่ง ยังไม่แล้วเสร็จดีค่ะ แอบเดินเงียบๆไปถ่ายรูปอาไว้ใจกับจักรยานที่จอดรอซ่อมเต็มใต้ถุนบ้านเพราะอาไว้ใจเป็นช่างซ่อมจักรยานประจำหมู่บ้าน พวกเราจึงไม่ต้องเสียเงินไปซ่อมด้านนอกวัด สามารถมาขอให้อาไว้ใจช่วยซ่อมได้ แต่ก็ต้องรอคิวกันด้วยอย่าใจร้อนกันนะคะ เพราะมีอาไว้ใจคนเดียวซ่อมทั้งจักรยาน รถซุก รถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหลายอย่างค่ะ
เดินผ่านมาข้างเฮือนตลาดได้ยินเสียงป้าภัทรินทร์บอกว่าวันนี้มีข้าวเหนียวหน้ากุ้งเจนะ ป้าหมายถึงวันนี้ป้าทำอาหารขึ้นศาลา ซึ่งดิฉันก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รับประทานอาหารในศาลา จึงตอบว่า ข้าวเหนียวหน้ากุ้งหวานน้อยนะคะป้าแถมส่งยิ้มหวานให้หวังว่าป้าจะไม่ทำหวานมากเกินไป.. ป้าก็ยิ้มรับอย่างน่าเอ็นดู
ในชุมชนเรามีชุมชนเรือฝ่ายชายแล้ว ก็ยังมีชุมชนที่กำลังจัดสรรเป็นชุมชนเรือฝ่ายหญิงบ้าง รูปร่างหน้าตาก็ดูไม่เหมือนกันสักหลังนะคะ มองไปขอบฟ้าเห็นรุ้งกินน้ำนึกถึงหลานน้อยรุ้งคำฟ้าขึ้นมาเลยค่ะ ชุมชนเรือก็จะหมายถึงเรือที่นำมาเป็นบ้านโดยชั้นล่างจะเป็นฐานวางเรือ พ่อครูดำริให้ทำสโตนเฮ้าส์หรือทำเป็นถ้ำโดยมีโครงสร้างเหมือนบ้านชั้นล่าง ส่วนชั้นบนก็จะเป็นเรือที่ทำโครงสร้างมีหลังคาและนำมาใช้สอยได้ทั้งสองชั้น
วิ่งไปหน่อยเจอเจ้าปูกล้ามโตอีกแล้ว ตัวไหนตัวไหนก็ชอบเบ่งกล้ามจริงๆ นะเจ้าปู คนชื่อปูจะเบ่งกล้ามเหมือนปูไหมนะ..55..หน้าวิทยาลัยอาชีวะก็ยังมีเรือของทีมผู้รับใช้วิทยาลัยอาชีวะ2 ลำก็แปลกตาอีกเช่นกัน รวมถึงเรือไฟฌานที่จอดข้างกันก็จะเป็นหอศิลป์ของอาไม้ร่ม ธรรมชาติอโศกซึ่งสามารถแวะมาชมงานศิลปะได้ทุกวัน ก่อนถึงหน้าวิทยาลัยมองเห็นถนนคอนกรีตกับถนนดินเดิมซึ่งต้องเรียกว่าเป็นถนนประชาชนสร้างโดยเงินงบประมาณของชุมชนและพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ที่ช่วยกันเก็บหอมรอมริบจ มาทำถนนเพื่อให้ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงได้สัญจรไปมาสะดวก โดยเฉพาะหน้าฝนนี้
ผ่านถนนหน้าป้ายราชธานีอโศกเข้ามาในชุมชน ทำให้นึกถึงว่าถนนเส้นนี้มุ่งสู่นิพพาน ถ้าผู้พากเพียรปฏิบัติตั้งใจเอาจริง ไม่ท้อถอยในการปฏิบัติธรรม ใจตอนแรกคิดว่าจะเดินกลับแล้ว แต่ก็ขอแวะไปหน้าโรงปุ๋ยสักหน่อย ระหว่างทางเห็นเศษพลาสติกจำนวนมากจมอยู่ในดิน คงเป็นช่วงที่มีการเทปูนก่อสร้างถนน ทำให้เศษขยะถูกทับถม จึงเข้าไปดึงเศษพลาสติกซึ่งตอนแรกเห็นเป็นเศษเล็กๆแต่พอดึงมาเป็นถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ที่แรกเห็นเพียงปลายถุงโผล่ดินนิดเดียว นึกถึงปัญหาขยะพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในดิน ก็คงจมดินและก็เป็นปัญหาอย่างนี้ ยากที่จะแก้ไขถ้าไม่ช่วยกัน นึกถึงที่พ่อครูสอนเรื่องอาสวะ อนุสัยเมื่อวานนี้ถุงขยะที่จมดินเปรียบเสมือนอาสวะที่เราเห็น เหมือนจะเหลือน้อยนิด เพียงปลายถุงพลาสติก แต่พอได้ขัดเกลา ดึงแซะแงะออกมา ด้วยไฟฌานก็เห็น ยังมีอาสวะอนุสัยอีกจำนวนมาก เผลอๆกลับกลายเป็นกิเลสตัวใหญ่ที่นอนนิ่งรอการเขย่าให้ตะกอนของอาสะ อนุสัยโผล่ขึ้นมาเมื่อเกิดผัสสะ พ่อครูบอกว่าเป็นสิริมหามายาของกิเลสที่กลับไปกลับมาได้ ตัวเองนึกถึงคำสอนพ่อครูจึงมีความพากเพียรดึงและลากขยะที่จมดิน อยู่ในดิน ไม่น่าเชื่อได้ขยะพลาสติกถุงใหญ่มาก ถือไม่ไหวต้องเดินลากมาที่อาคารบวร พอขึ้นมาถึงอาคารบวรบริเวณใต้ต้นทองอโศกมีขยะพลาสติกและเศษอาหารอีก คงจะเป็นใครก็ไม่ทราบที่ทานอาหารแล้วเหลือเศษอาหารก็มาทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ มีทั้งส้มตำและแจ่ว พอเปิดถุงออกมาเทอาหารทิ้งกลิ่นนี้ไม่ต้องบอกเลยเจ้าค่ะ เหม็นบูดเน่าเลยทีเดียว ขอเรียนให้ทราบเลยนะคะว่า ถ้าจะให้เศษอาหารเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ ก็ควรเทออกจากถุงพลาสติกก่อน เพราะพลาสติกไม่ใช่อาหารของต้นไม้ อันที่จริงควรทิ้งที่บริเวณล้างจานเรามีถังขยะสำหรับใส่เศษอาหารอยู่แล้วค่ะ เชิญทิ้งได้ค่ะ
ช่วงนี้ก็ได้จับจิตของตัวเอง นึกถึงท่านสมณะหินจริงที่กำชับบอกพวกเราอยู่เสมอว่าใครทำเช่นนี้เป็นบาป เขาคงไม่รู้จริงๆถ้ารู้ก็คงไม่ทำจริงมั้ยคะ..เห็นขยะโฟมที่ใส่อาหารแล้วไม่ได้ทิ้งในถังขยะด้วยค่ะ ดูจิตตัวเองยังสนุกสนานกับการเก็บขยะซึ่งคิดว่าไม่ใช่ของนักปฏิบัติธรรมทิ้งอย่างแน่นอน ยังมีจิตยินดีที่จะเก็บขุมทรัพย์(ขยะ)นี้ไปกำจัดกำลังเพลิดเพลิน
นักศึกษาปวส.ม่อน โทร.มาถามว่าอาอยู่ที่ไหนมีคนให้ช่วยประกาศขึ้นปุ๋ยเวลานี้พอได้ยินอย่างนั้น ตอนแรกคิดว่าจะกลับไปทำงานต่อ ก็ได้สลายภพอีกครั้ง รีบวางถุงขยะขนาดใหญ่ฝากไว้ก่อน แล้วไปล้างมือที่เปื้อนมากเพราะต้องคุ้ยดินเอาเศษพลาสติกออกมา แต่ใจไม่เปื้อนนะคะฮ่าๆๆ เสร็จแล้ววิ่งกลับไปที่โรงปุ๋ยเพื่อไปช่วยขึ้นปุ๋ยตามที่ได้ให้ประกาศไว้ ไปถึงพบรถสิบล้อ 1 คันมีทีมงานศิษย์เก่าหลายคนกับป้าแมวโดยเฉพาะเห็นท่านสมณะคิดถูก ที่ต้องมาช่วยเข็นปุ๋ย ปกติท่านดูแลเรื่องการผลิตปุ๋ยก็หนักแล้ว เช้านี้ขาดคนขึ้นปุ๋ย(เป็นวันหยุดนักเรียน ไม่มีนักเรียนเข้าฐานงาน)ท่านต้องมาช่วยเข็นปุ๋ยด้วย เห็นดังนั้นก็ไม่รีรอก็ไปช่วยจนเสร็จ ซึ่งมีญาติธรรมเริ่มทยอยมาช่วยเช่นกันตามเสียงประกาศของป้าปะตรงเตือน เป็นสังคมสาธารณโภคี ที่ท.ท.ท.ทำทันทีที่มีโอกาสได้ทำบุญสร้างกุศล
ไม่นานนักก็แล้วเสร็จ จึงเดินออกมาเห็นฝูงควายที่กำลังเดินผ่าน มองไปแล้วเราช่างโชคดีจริงๆ ถ้ายังอยู่ในกรุงเทพก็คงไม่เห็นควายตัวอ้วนตัวเป็นเป็นอย่างนี้แน่นอน เจอแต่รถติดกับควันที่ทำให้เสียสุขภาพ ว่าแล้วก็เดินกลับไปเก็บถุงขยะลากไปที่ สขจ.
มองไปน้ำตกผาแหงนช่วงเช้า ดูมีมนต์ขลังกว่าช่วงเย็นสวยแปลกอีกแบบนึง จึงขอเน้นย้ำกับผู้ที่มาเยือนในเรื่องสถานที่แห่งนี้ ว่าเป็นบวรราชธานีอโศกเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม กรุณาอย่านำ บุหรี่ สุรา อาหารเนื้อสัตว์เข้ามากิน ดื่ม เสพในบริเวณนี้ และกรุณาแต่งกายให้สุภาพอย่างโป๊กันนะจ๊ะ
เสียงเพลงเคารพธงชาติดังขึ้นทำให้ได้หยุดยืนและหยุดจิตคิดทบทวนว่าวันนี้ตั้งแต่แรกก็ขี้เกียจพอเดินไปยังมีภพให้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงก็สลายภพอีกเดินต่อพอมีภพกำลังจะเดินกลับก็ได้ยินเสียงประกาศก็จะได้สลายภพอีก โดยการไปช่วยโรงปุ๋ย ทำให้เห็นการเกิดดับ เกิดดับของจิต ที่ได้สลายภพ สลายชาติที่เกิดได้ตลอดเวลาในปัจจุบันธรรม โดยที่ในปัจจุบันเรียนรู้เวทนาจากผัสสะที่เจอ ไม่ว่าจะเป็นเจอขยะแล้วต้องทำยังไง ได้ยินเสียงประกาศแล้วไงต่อ จมูกได้รับกลิ่นเน่าของขยะจิตเรายังไง ล้วนเกิดจากเวทนาที่พ่อครูให้เรียนรู้ในธรรมะ 2 กำจัดเวทนาเทียมในเรื่องของอารมณ์ที่เป็นอกุศลออก เหลือเพียงเวทนาแท้ที่เป็นกุศล ในทุกวินาที เราจึงได้ฝึกกรรมฐานของชาวพุทธคือเวทนาได้อยู่ตลอดเวลา วันนี้เช้านี้จึงเป็นเช้าของคนจนมหัศจรรย์ที่อยู่กันแบบสุขสำราญเบิกบานใจได้จริงๆนะจ๊ะ(จากภพ 1 ชั่วโมงเวลาก็ผ่านไปถึง 2 ชั่วโมงกว่าเลยค่ะ..55..จะไม่เรียกว่าสลายภพได้ยังไงคะ ที่ตั้งเอาไว้ไม่ได้ดั่งใจเลยค่ะ..55)…มาเป็น 1 ใน 1000 สนุกสนานกับธรรมะที่พ่อครูนำพาปฏิบัติได้จริงๆนะคะ