610921_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เตวิชโชสูตร
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Vc9XIewELxbvJXtWBl7SREBlVpcNVmCcaaJorDq1Mds/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1NQOkan3acC5CjaocWyltzWQSfV5L0aOp
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ประกาศค่ายสัมมาอาริยมรรค
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“ศีลกับปัญญาชำระใจ”
ครั้งที่ 32 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 21 – อาทิตย์ที่ 23 กันยายน ๒๕๖๑
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
ที่อื่นเขาพานั่งหลับตาเดินจงกรมปฏิบัติ แต่ที่นี่ทำแบบมรรคมีองค์ 8 พ่อครูพูดแตกหักกับพวกนั่งหลับตาหลายครั้งแล้ว ยกอินทริยภาวนาสูตรมา
-
อินทริยภาวนาสูตร (152)
[853] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล
อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[854] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกร อุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ
พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ เจริญอินทรีย์ แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์
ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวก
ไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
คนสมัยก่อนแพ้ก็คือแพ้ ยอมรับโดยดีแต่คนสมัยนี้หน้าด้าน
หากนั่งหลับตาแต่ไม่สัมมาทิฏฐิก็จะหลงใหลในฌานโลกีย์แต่หากสัมมาทิฏฐิการนั่งหลับตาปฏิบัติก็เป็นอุปการะมากเช่นกัน
พ่อครูว่า…วันนี้รับไลน์จากคุณใจฟ้า ก็วิบากใครก็ต้องใช้เอาศึกษาไป
_จาก ใจฟ้า กราบนมัสการพ่อครู ลูกคิดถึงพ่อครูเหลือเกิน
ฟ้งทำวัตรเช้า พ่อพูดถึงความอบอุ่น ในสังคมอโศก โลกจะเป็นเช่นไรก็ช่าง แต่เราจะเป็นคนบูรณาการ เป็นสังคมบูรณาการ
10 มกราคม 2520 ได้ฟังธรรมพ่อครูเป็นครั้งแรก2ชม. จำได้อย่างเดียว
ว่าชืวิตใคร-ใครก็รัก กลับบ้านก็กินมังสวิรัติ มาจนถึงทุกวันนี้ 42ปี
ลูกปักมั่นกับการลดพื้นที่ในกระเพาะคนให้กินเนื้อสัตว์น้อยลง
มาจนถึงวันนี้ก็พบทางสว่างว่า พ่อครูให้รวมกำลังเป็นหนึ่งที่บ้านราช เห็นจริงอย่างยิ่งว่า อาศัยหมู่กลุ่มจะทำให้ลด-ละ-เลิก กิเลสได้มากกว่า และได้พลังมากกว่า พอคิดได้ วิบากก็ทำให้ไปไม่ได้
-พบพ่อ พ่อประกาศว่า “อาตมาไม่เคยพาพวกคุณถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เคยลงใต้ดินแม้แต่ครึ่งเมล็ดงา”จริงที่สุดค่ะ !
-พบพ่อไม่ต้องทำบาปเพิ่มถ้ารู้ทัน
-พบพ่อได้ลดละสิ่งที่ต้องให้ร้ายตัวเอง-ผู้อื่น ถ้ารู้ทัน
-พบพ่อไม่ต้องหลงไปในวัฎฎะสงสารกับชืวิตคู่ ที่พัวพันไม่รู้ทุกข์
-พบพ่อได้ทำงานบุญทุกรูปแบบ
-พบพ่อ ใจได้รับปิติสุขของคนโลกใหม่
-พบพ่อ ได้สร้างกุศลมหาศาล วิบากมาก็มีคนช่วยมากมาย
-พบพ่อ รู้แล้วว่าจักรวาลนี้เราเป็นผู้สร้าง(กายยาววา หนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ)
-พบพ่อ ค่อยเข้าใจว่ากราบเหนือเศียรเกล้า แปลว่าอะไร
-พบพ่อ อะไรที่เรียกว่าบุญ อะไรเรียกว่ากุศล ซาบซึ้ง-ชัดเจนเหลือเกิน
-พบพ่อ มั่นใจได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีทางหันกลับไปทำชั่วอีก (วิบากชัด)
-พบพ่อ ชีวิตนี้ถวายกับศีลได้เลย
-พบพ่อ เขื่อว่าตัวเองมีที่ไปถาวร มั่นคง มีแต่เจริญถ่ายเดียว
-พบพ่อ รู้จักวางสุข (แม้จะโหยหา)ละทุกข์
-พบพ่อ พึ่งรู้ว่าติดการพนัน หวังในลาภ-ยศ-สรรเสริญ ก็คือการพนัน
ใจสงบทันทีที่คิดได้ ความสุขที่เรียกว่าอบอุ่นบรมสุข(!)
กราบพ่อครู สุดหัวใจ (สุดเกล้า สุดเศียร ไปให้ถึงที่สุด)
SMS 20 กันยายน 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)
6601 น้อมกราบนมัสการบูชาพ่อครูค่ะ มักหลายค่ะเพิ่นเหว้าอีสานม่วนคัก จังซีค่ะถึงซิเอิ้นสำมะปี๋
ฟังธรรมะมาหลายปีแต่พึ่งเข้าใจขึ้นบ้างและอยากทราบว่าทำยังไงเราจะมีสมาธิดูจิตต่อเนื่องตลอดเวลาค่ะ เมตตาพ่อครูช่วยแนะสอนลูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…เราจะสามารถมีจิตเป็นสมาธิดูจิตได้อย่างต่อเนื่อง มันต้องปฏิบัติตามลำดับศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ ปฏิบัติตามลำดับอย่าไปรีบร้อนอย่าตะกละ ให้ชัดเจนว่าเราควรเลื่อนฐาน อันนี้เลื่อนเร็วไปเราจะรู้ หรือช้าไปก็รู้
_0015″การคิด” กับ “การมีสติสัมปชัญญะ” เหมือนและแตกต่างกันอย่างไรครับ
_0015พ่อท่านฯใช้ธรรมะใดปกครองลูกๆชาวอโศกครับ เหมือนการปกครองสมัยพ่อขุนรามฯแบบ “พ่อปกครองลูก”บ้างหรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า…อาตมาใช้ธรรมะข้อปกครองโดยไม่ปกครอง คนมารวมอยู่ที่อาตมาเป็นคนที่มาตามลำดับ ระดับที่ดีแน่น ระดับที่หลวงห่างไปหน่อย ระดับที่ห่างไปมากนานทีมาเป็นต้น
ผู้มีภูมิธรรมมาใกล้ก็จะถูกขัดเกลามากหน่อย คนที่ห่างไปคือคนที่ถูกขัดเกลาไม่ได้มาก อาตมาเอาคุณภาพก่อน ไม่เอาปริมาณก่อน
_หินไท ชาวหินฟ้า · เห็นใจคนนั่งฟังสำมะปี๋ชีวิตตั้งสองชั่วโมงคงเมื่อยพอได้ พวกเราอายุมากๆกันแล้วจัดเวทีลักษณะพุทธตามภูมิดีไหมครับคนฟังสมณะ สิกขมาตุ ผู้สูงอายุจะได้นั่งเก้าอี้
พ่อครูว่า..เก้าอี้เขาก็มี เขาก็ไปนั่งได้ พวกเราเข้าใจ จัดสรรตัวเองได้ไม่มีปัญหา
_ນາງ ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ · ກາບນະມັດສະການພໍ່ທ່ານຢ່າງສູງຂ້ານອ້ຍຈະຂໍ້ໄປເຂົ້າຄ້າຍນໍ້າດວ້ຍຈະໄປວັນເສົາຖ້າຮອດອຸດທິຍານປະມານ-3ໂມງຈະມີລົດໄປທີ່ວັດບໍ?
( นางเกดมนี สุขสวรรค์ กราบนมัสการพ่อท่านอย่างสูง ข้าน้อยจะขอไปเข้าค่ายด้วย จะไปวันเสาร์ ถ้าฮอดอุทยานประมาณบ่าย 3 โมง จะมีรถไปที่วัดบ่?)
พ่อครูว่า..มี อย่าให้เลย 3 โมงนะ
_จากคุณ จุดจุดจุด…หนูอยากทราบว่า ทำไมพระอาริยะเจ้าบางรูปที่มีภูมิเดิมมาก่อน ทำไมถึงมีปัญญาอาริยะมาตั้งแต่เด็ก เช่น เอาในยุคนี้ก็ได้ ท่านอนุตตโร ท่านหน้าตาดี แต่ที่ไม่มีคู่ก็เพราะใครเข้ามาท่านก็ไม่เล่นด้วย ท่านหันหลังให้เลย ตั้งแต่ท่านเป็นเด็กหนุ่ม (เคยฟัง) ซึ่งหนูก็คล้ายๆกับท่านค่ะ (แต่ไม่ได้หมายความว่าหนูเป็นพระอาริยะเจ้าใดๆนะคะ) คือใครเข้ามาก็ไม่เล่นด้วย และไม่ทอดสะพาน ไม่ว่าจะเป็นใคร น่าชอบขนาดไหนก็ตาม ตัดไม่ให้ใครมาใกล้ชิดมาผูกพันได้ ….. และคิดว่าต่อให้มีคู่วิบากมันไม่น่าจะมีผลหากบุคคลนั้นมีปัญญาในเรื่องนั้นแล้ว (รู้ว่าการมีคนมารักจะก่อให้เกิดปัญหาและทุกข์ตามมานานัปการ) น่าจะมีผลเฉพาะตอนบุคคลดังกล่าวยังเป็นลิงลมฯมากกว่า เลยสงสัยค่ะว่าทำไมบางคนเกิดมาก็มีปัญญาในเรื่องนั้นๆเลย เป็นเพราะการตั้งจิต หรือเป็นเพราะฝึกฝนมาในเรื่องนั้นๆมาก
พ่อครูว่า…อย่างอาตมาก็มีลักษณะลิงลมอมข้าวพองมาก่อนด้วย ใช่ ผู้ที่มีปัญญาในเรื่องนั้นมาทันทีเลยเพราะว่ามีการพากเพียรฝึกฝนมามากจนเข้ากรอบหลุดพ้นแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ยาก
_พิมพ์เพชรรุ้ง อโศกตระกูล วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๑ กราบนมัสการพ่อท่าน
๑. ลูกชอบรายการ สัมมะปี๋ซี่วิต ทำให้ได้รู้จักพี่น้องสหธรรมิกมากขึ้น และได้ศึกษา ธรรมะจากที่พ่อท่านฯ ตอบปัญหาต่างๆ ด้วย อยากให้มีรายการนี้ต่อไปค่ะ
๒. ระหว่างชมรายการสัมมะปี๋ฯ ลูกได้แต่งโคลงสี่สุภาพ ขึ้นมาบทหนึ่ง จากสภาวะจิตตนเอง อาจไม่ตรงฉันทลักษณ์ที่ถูกต้อง และได้พยายามฝึกใช้ภาษาอีสาน จึงส่งมาถวายพ่อท่านฯ หากผิดพลาดประการใด ต้องกราบขออภัยทุกท่านด้วยค่ะ กราบขอพ่อท่านฯ กรุณาชี้แนะด้วยค่ะ
สัมมะปี๋มีม่วนค้ำ ซี่วิต
ซุมแซ่วเบิ่งภูมิจิต พี่น้อง
ทุนธรรมเพิ่นย้อนคิด เจ้าของ นำแน
สำมะแจ๋จักเทื่อต้อง ย่านแท้ กิเลสโต๋
๓. ครั้งหนึ่ง ในรายการแสดงธรรมะ พ่อท่านฯ เคยถามว่า ใครมั่นใจว่ามีภูมิโสดาบัน ให้ยกมือยืนยัน ลูกก็ได้ยกมือด้วย ….แต่เมื่อคืนวันพฤหัสฯที่ ๒๐ กันยายน ๖๑ ในรายการสัมมะปี๋ ฯ
พ่อท่านฯตอบคำถาม ที่ถามว่าคนย้อมผมเป็นโสดาบันได้หรือไม่ พ่อท่านฯตอบว่าไม่ได้
ลูกต้องขอ สารภาพว่า ลูกได้ใช้แชมพูที่สระผมแล้วผมหงอกกลายเป็นดำ…..
ลูกจึงขอเอามือลงจากการยืนยันเป็นโสดาบันก่อนนะคะ ต่อไปลูกจะไม่ใช้แชมพูเช่นนั้นอีก
ลูกยังไม่ได้เป็นโสดาบันจนกว่าจะทำให้ผีชอบสวยในตัวเองหายไปก่อน ใช่มั้ยคะ
กราบขอบพระคุณพ่อท่านฯ เป็นอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ดี ผีชอบสวย ก็ใช้ได้ผล ทำให้คนเลิกย้อมผมสีดำ จริงๆแล้วการย้อมผมสีดำนี้จะไปตีความว่าเป็นโสดาบันหรือไม่ก็ไม่ชัดนัก ถ้าไม่ย้อมเลยก็ชัดนัก แต่ถ้าย้อมบ้างไม่ย้อมบ้าง จะเอาอันนี้เป็นเครื่องตัดสินความเป็นโสดาบัน มันก็ไม่อย่างนั้นทีเดียว บางคนทำเพราะมีความจำเป็นในประโยชน์สูงก็ต้องรักษาสถานะรูปลักษณ์เอาไว้บ้าง เป็นรายละเอียดมันก็ยากนะ ศึกษาเถอะเรื่องพวกนี้ไม่ได้สูงส่งอะไรมากมาย
วันนี้อาตมาจะเอา เตวิชโชสูตร สูตรที่ 13 ของล.9
-
เตวิชชสูตร
___________________
[365] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงพราหมณคามของชาวโกศลชื่อว่ามนสากตะ ได้ยินว่า ในเวลานั้น
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ทิศเหนือแห่งมนสากตคาม เขตพราหมณคามชื่อว่ามนสากตะ.
พ่อครูว่า…เหมือนในยุคนี้ที่มีอาจารย์สำนักต่างๆเหมือนกัน มีภาษาอันเดียวกันกับของพระพุทธเจ้าแต่เดินกันคนละแบบคนละแม่น้ำคนละสาย ภาษาอันเดียวกันท่องจำมาบ่นมาเก่งกว่าอาตมาเยอะ พราหมณ์ต่างๆพวกนี้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าต่างคนต่างบอกว่านี่เป็นทางตรงทางเอก
วาเสฏฐะและภารทวาชมาณพเข้าเฝ้า
[366] สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอาศัยอยู่ในมนสากตคามมากด้วยกันคือ วังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุโสณีพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์และพราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอื่นๆ อีก.
ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารทวาชมาณพเดินเที่ยวเล่นตามกันไป ได้พูดกันขึ้นถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง วาเสฏฐมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.
ฝ่ายภารทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้วาเสฏฐมาณพไม่อาจให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้ ฝ่ายภารทวาชมาณพก็ไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้.
[367] ครั้งนั้น เวเสฏฐมาณพบอกภารทวาชมาณพว่า ดูกรภารทวาชะ ก็พระสมณโคดมนี้แล เป็นโอรสของเจ้าศากยะ ทรงผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดีเขตพราหมณคามชื่อมนสากตะทางทิศเหนือ และเกียรติศัพท์อันงามของท่านสมณโคดมนั้นขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้วเป็นผู้จำแนกพระธรรม มาไปกันเถิดภารทวาชะ เราจักเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับครั้นแล้วจักกราบทูลถามความข้อนี้กะพระสมณโคดม พระสมณโคดมจักทรงพยากรณ์แก่เราทั้งสองอย่างใด เราจักทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น ภารทวาชมาณพรับคำวาเสฏฐมาณพแล้วพากันไป.
[368] ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารทวาชมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นที่ให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. เวเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ขอประทานโอกาสเมื่อข้าพระองค์ทั้งสองเดินเล่นตามกันไป ได้พูดกันขึ้นถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง ข้าพระองค์พูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ภารทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่าหนทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออกนำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องทางและมิใช่ทางนี้ ยังมีการถือผิดกันอยู่หรือ ยังมีการกล่าวผิดกันอยู่หรือ ยังมีการพูดต่างกันอยู่หรือ. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่าท่านพูดว่า หนทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรงเป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ภารทวาชมาณพพูดว่าหนทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออกนำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ดูกรวาเสฏฐะ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านจะถือผิดกันในข้อไหน จะกล่าวผิดกันในข้อไหน จะพูดต่างกันในข้อไหน.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องทางและมิใช่ทาง พราหมณ์ทั้งหลาย คือ พราหมณ์พวกอัทธริยะ พราหมณ์พวกติตติริยะ พราหมณ์พวกฉันโทกะ พราหมณ์พวกพัวหริธ ย่อมบัญญัติหนทางต่างๆ กันก็จริง ถึงอย่างนั้น ทางเหล่านั้นทั้งมวล เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ เปรียบเหมือนในที่ใกล้บ้านหรือนิคม แม้หากจะมีทางต่างกันมากสาย ที่แท้ทางเหล่านั้นทั้งมวลล้วนมารวมลงในบ้าน ฉะนั้น.
พ. ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.
ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.
ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.
ทรงซักวาเสฏฐมานพ
[369] ดูกรวาเสฏฐะ บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา พราหมณ์แม้คนหนึ่งที่เห็นพรหมมีเป็นพะยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์แม้คนหนึ่งของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหม มีเป็นพะยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหม มีเป็นพะยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหมมีเป็นพะยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือ ฤาษีอัฏฐกะฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้ พวกเราเห็นพรหมนั้นว่า พรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด ดังนี้ มีอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
[370] ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา แม้พราหมณ์สักคนหนึ่งที่เห็นพรหมเป็นพะยาน ไม่มีเลยหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ แม้อาจารย์สักคนหนึ่งของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพะยานไม่มีเลยหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ แม้ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพะยาน ไม่มีเลยหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบมาแต่เจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพะยาน ไม่มีเลยหรือ?(พ่อครูว่า… ข้อสังเกตุว่า พระพุทธเจ้าใช้เลข 7 เลข 7 ก็เป็นเลขที่สำคัญอันหนึ่งยังจะไม่พูดในวันนี้ )
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ที่ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้พวกเราเห็นพรหมนั้นว่า พรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด ดังนี้ มีอยู่หรือ?
พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็น แต่พวกเราแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรงเป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.
[371] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์แน่นอน.
ดีละ วาเสฏฐะ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนแถวคนตาบอดเกาะหลังกันและกัน คนต้นก็ไม่เห็น คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนท้ายก็ไม่เห็น ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีอุปมาเหมือนแถวคนตาบอด ฉันนั้นหมือนกัน คนต้นก็ไม่เห็น คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนท้ายก็ไม่เห็น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ถึงความเป็นคำน่าหัวเราะทีเดียว ถึงความเป็นคำต่ำช้าอย่างเดียว ถึงความเป็นคำเปล่า ถึงความเป็นคำเหลวไหลแท้ๆ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือนอบน้อม เดินเวียนรอบ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นอย่างนั้น.
[372] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็น ก็พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือ นอบน้อมเวียนรอบ พราหมณ์ได้ไตรวิชชา สามารถแสดงทางเพื่อไปอยู่ร่วมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์แม้เหล่านั้นว่า ทางนี้แหละเป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ดังนี้ ได้หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็น พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือ นอบน้อม เดินเวียนรอบ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่สามารถแสดงทางเพื่อไปอยู่ร่วมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์แม้เหล่านั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็จะกล่าวกันทำไม พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชามิได้เห็นพรหมเป็นพะยาน แม้พวกอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็มิได้เห็น
แม้พวกปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็มิได้เห็น แม้พวกอาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ก็มิได้เห็น แม้พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า
พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็นว่าพรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นแหละพากันกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมที่พวกเราไม่รู้ ที่พวกเราไม่เห็นนั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรงเป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.
[373] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ แน่นอน.
ดีละ วาเสฏฐะ ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า ทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
อุปมาด้วยนางงามในชนบท
[374] ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนอย่างว่า บุรุษพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราปรารถนารักใคร่นางชนปทกัลยาณีในชนบทนี้ ชนทั้งหลายพึงถามเขาอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ นางชนปทกัลยาณีที่ท่านปรารถนารักใคร่นั้น ท่านรู้จักหรือว่าเป็นนางกษัตริย์ นางพราหมณี นางแพทย์ หรือนางศูทร์ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงถามเขาว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญนางชนปทกัลยาณีที่ท่านปรารถนารักใคร่นั้น ท่านรู้จักหรือว่านางมีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ สูงต่ำ หรือพอสันทัด ดำ คล้ำ หรือมีผิวสีทอง อยู่ในบ้าน นิคม หรือนครโน้น เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปรารถนารักใคร่หญิงที่ท่านไม่รู้จักไม่เคยเห็นนั้นหรือ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า ถูกแล้ว ดูกรวาเสฏฐะท่านจักสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้น ย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้น ย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็ดี อาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์พวกนั้นก็ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี เหล่าฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ต่างก็มิได้เห็นพรหมเป็นพยาน …
อุปมาด้วยพะองขึ้นปราสาท
[375] ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนอย่างว่า บุรุษพึงทำพะองขึ้นปราสาทในหนทางใหญ่สี่แพร่ง ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านทำพะองขึ้นปราสาทใดท่านรู้จักปราสาทนั้นหรือ ว่าอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือทิศเหนือ สูง ต่ำหรือพอปานกลาง เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่าท่านจะทำพะองขึ้นปราสาทที่ท่านไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหรือ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่าถูกแล้ว ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้นย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้นย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็ดี อาจารย์ของพวกพราหมณ์นั้นก็ดี ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพวกพราหมณ์นั้นก็ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี เหล่าฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ต่างก็มิได้เห็นพรหมเป็นพะยาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์แน่นอน.
ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า ทางนี้แหละเป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
อุปมาด้วยแม่น้ำอจิรวดี
[376] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีนี้ น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขายืนที่ฝั่งนี้ ร้องเรียกฝั่งโน้นว่า ฝั่งโน้นจงมาฝั่งนี้ ฝั่งโน้นจงมาฝั่งนี้ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนฝั่งโน้นของแม่น้ำอจิรวดีจะพึงมาสู่ฝั่งนี้ เพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุปรารถนา หรือเพราะเหตุยินดีของบุรุษนั้นหรือหนอ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่
กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราร้องเรียกพระอินทร์ พระจันทร์ พระวรุณ พระอีศวร พระประชาบดี พระพรหม พระมหินทร์ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาอย่างนั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม เพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุปรารถนา หรือเพราะยินดี ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
(พ่อครูว่า… อยากจะยกตัวอย่างพวกเทวนิยมไม่รู้ไม่เห็นพระเจ้าแต่ก็อ้อนวอนร้องขอจากพระเจ้า)
[377] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ครั้ง
นั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขามัดแขนไพร่หลังอย่างแน่น ด้วยเชือกอย่างเหนียวที่ริมฝั่งนี้ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนบุรุษนั้นพึงไปสู่ฝั่งโน้นจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำอจิรวดีได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ 5 (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…สูตรนี้ เหมือนพวกเทวนิยมหรือพวกนั่งหลับตาทำ
พ่อครูว่า…
ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ 5 เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง กามคุณ 5 เป็นไฉน? คือ
รูปที่พึงรู้ด้วยจักษุ เสียงที่พึงรู้ด้วยโสต กลิ่นที่พึงรู้ด้วยฆานะ รสที่พึงรู้ด้วยชิวหา โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก เกี่ยวด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
กามคุณ 5 เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา กำหนัดสยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคกามคุณ 5 เหล่านี้อยู่ ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ กำหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคกามคุณ 5 พัวพันในกามฉันท์อยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
(พ่อครูว่า…ขออภัยคิดประหวัดไปถึงมหาบัว สอนนิพพานจ้อยๆ เป็นมหาด้วย บางที่พูดบาลี แต่ปากนี้แดง เคี้ยวหมาก ไม่รู้ว่า เป็นสิ่งเสพติดขั้นที่หยาบ หมากพลูมันง่ายที่จะรู้ว่าเป็นเครื่องติด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองติด มันซ้อนบังน่าสงสาร ขออภัยที่กล่าวพาดพิง เพราะสงสารคนที่ยังหลงใหลใฝ่นับถือ ก็ไม่ใช่ว่าจะไปลบหลู่เพราะว่าท่านก็ปฏิบัติฝึกฝนอย่างสมถะวิธีเอาจริงเอาจังมุ่งมั่น แต่ยังมิจฉาทิฐิอยู่ แม้แต่แค่อบายมุขเครื่องเสพติด เรื่องนี้เรื่องง่ายๆไม่ใช่เรื่องลึกลับเลย ทุกวันนี้พวกชาวฆราวาสที่ไม่เป็นพระอาริยะก็ยังเลิกบุหรี่หมากพลูได้ แม้แต่ประเทศต่างๆเขาก็เลิกกัน จะมีพวกคนหลังเขายังเสพติดอยู่ ไม่ใช่คนหลังเขาออกจากเมืองมาแล้วก็เลิกเสพกันแล้ว)
[378] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้
ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขากลับนอนคลุมตลอดศีรษะเสียที่ฝั่ง ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นพึงไปสู่ฝั่งโน้นจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำอจิรวดีได้หรือหนอ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน นิวรณ์ 5 อย่างเหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้าเรียกว่า เครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง นิวรณ์ 5 เป็นไฉน? คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ นิวรณ์ 5 เหล่านี้แล ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าเครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง.
[379] ดูกรวาเสฏฐะ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ถูกนิวรณ์ 5 เหล่านี้ ปกคลุมหุ้มห่อ รัดรึง ตรึงตราแล้ว ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ ถูกนิวรณ์ 5 ปกคลุม หุ้มห่อรัดรึง ตรึงตราแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[380] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเคยได้ยินพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวว่ากระไรบ้าง พรหมมีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตจองเวรหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตจองเวรหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
[381] ดูกรวาเสฏฐะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นยังมีเครื่องเกาะคือสตรี แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะคือสตรี เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตจองเวร แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาซึ่งยังมีจิตจองเวรกับพรหมผู้ไม่มีจิตจองเวรได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเบียดเบียน แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่มีจิตเบียดเบียนได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเศร้าหมอง กับพรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมองได้แลหรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แต่พรหมยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ กับพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ได้แลหรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.
ถูกละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นในโลกนี้จมลงแล้ว ยังจมอยู่ ครั้นจมลงแล้วย่อมถึงความย่อยยับ สำคัญว่าข้ามได้ง่าย เพราะฉะนั้น ไตรวิชชานี้เราเรียกว่า ป่าใหญ่คือไตรวิชชาบ้าง ว่าดงกันดารคือไตรวิชชาบ้าง ว่าความพินาศคือไตรวิชชาบ้าง ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา.
[382] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหม.
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลจากนี้มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลจากนี้ พระเจ้าข้า.
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคามนี้ ออกไปจากมนสากตคามในทันใด พึงถูกถามหนทางแห่งมนสากตคาม ดูกรวาเสฏฐะ จะพึงมีหรือที่บุรุษนั้นผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม ถูกถามถึงหนทางแห่งมนสากตคามแล้ว จะชักช้าหรืออ้ำอึ้ง?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะบุรุษนั้นเกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม เขาต้องทราบหนทางแห่งมนสากตคามทั้งหมดได้เป็นอย่างดี.
ดูกรวาเสฏฐะ เมื่อบุรุษนั้นเกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม ถูกถามถึงทางแห่งมนสากตคาม จะพึงมีความชักช้าหรืออ้ำอึ้งบ้าง ตถาคตถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพรหมโลก ไม่มีความชักช้าหรืออ้ำอึ้งเลย เรารู้จักพรหม รู้จักพรหมโลก รู้ปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพรหมโลก และรู้ถึงว่าพรหมปฏิบัติอย่างไร จึงเข้าถึงพรหมโลกด้วย.
[383] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมย่อมแสดงทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระองค์จงแสดงทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหม ขอพระองค์จงอุ้มชูพราหมณประชา.
ดูกรวาเสฏฐะ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าววาเสฏฐมาณพทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
ทางไปพรหมโลก
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรวาเสฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้วอยู่ ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง
คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย (พ่อครูว่า…ยุคโน้น ในยุคพระพุทธเจ้า ประชาชนจะมาปฏิบัติตามท่านจะต้องมาเข้ารีต เข้าธรรมนูญตามข้อกำหนดกฏเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าได้จะต้องมาบวช ถ้าไม่บวช พระพุทธเจ้าก็ไปละลาบละล้วงกฎหมายหรืออำนาจพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ ต้องมาด้วยวิธีการ ด้วยธรรมนูญ มาด้วยกันแสดงตัวจริงๆ แล้วพระพุทธเจ้ามีพระบารมีมาก มากจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินในยุคโน้นทั้งหลาย ศรัทธาเลื่อมใส อันนี้เป็นเรื่องอจินไตยที่เป็นเรื่องจริง พระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ในทวีปอินเดีย แต่ก็ยิ่งใหญ่ แคว้นอย่างโกศลนี้ใหญ่มาก แต่พระเจ้าแผ่นดินของแต่ละประเทศก็ยอมให้พระพุทธเจ้า และเมื่อเข้ารีตแล้วก็ปลดแอกจากวรรณะจากความเป็นทาส ของพระเจ้าแผ่นดินทุกองค์มาเป็นคนของพระพุทธเจ้าเลย สมัยโน้นจะออกมาปฏิบัติต้องออกมาจาก แอกของทาสต้องปลดแอกนั้นมาอยู่กับ พระพุทธเจ้าท่านจึงจะมีสิทธิ์ทำได้เต็มที่ไม่อย่างนั้นไม่ได้เป็นข้อจำกัดในยุคโน้น แต่ในยุคนี้เป็นประชาธิปไตย ประเทศที่แต่จะงมงายอยู่กับความเป็นทาส สมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่บ้าง แต่ความเป็นทาสนั้นไม่มีแล้วความเข้าใจในสิทธิมนุษยชนมีเต็มที่แล้วจึงประกาศได้กว้าง
พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก แต่โพธิรักษ์มีบารมีแค่นี้ออกมาได้นะ ทุกวันนี้คนมีอิสระเสรีภาพมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้าเลย จะมาก็มาได้แต่ติดที่มีกิเลส กิเลสผูกไว้แน่นเลย ล่ามโซ่เลย ใส่กุญแจลูกเบ้อเร่อเลย มาไม่ได้ ถูกทางโลกดึงไว้หมด ส่วนใครที่ไม่มีอะไรผูกไว้เลยแต่ก็ไม่มาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ไม่มาเพราะติดอะไร รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ ติดหมูติดหมาติดปูปลา มาไม่ได้ ไม่มีผู้ดูแลเลี้ยงหมา
อาตมาว่ามีจริงนะ เขามาไม่ได้ หมาไม่มีคนเลี้ยง ชาตินี้ก็อยู่กับหมาไปเถอะพูดไปแล้วมันจะแรงก็ไม่อยากขยายความมาก
ในยุคพระพุทธเจ้าคนที่จะออกมาอยู่กับพระพุทธเจ้าจึงจะต้องบวช สมัยนี้ไม่ต้องบวชก็ได้มีความคล่องแคล่วคมนาคมดี มีอิสระเสรีภาพทุกอย่างได้ ถ้าเห็นควร ตัดสินใจจะมาอยู่ก็มา ขนาดนั้นจะเอาสักพันคนก็ยังโอ้โห แต่อาตมาคิดว่า มันต้องให้ได้สัก 1,000 ถึงจะตาย ยังไม่ได้ ไม่ถึงพันไม่ยอมตายง่ายๆ จะรอดหรือไม่รอดก็ไม่รู้ จะเอาให้ถึงพัน ถ้าถึงพันนี้จะดูปาฏิหาริย์ของสังคมกลุ่มที่มีคุณสมบัติเป็นโลกุตรธรรม คนถึง 1,000 จะมีราศี ราศีจะมีอำนาจของสนามแม่เหล็กแห่งโลกุตระ แรงแค่ไหน เดี๋ยวนี้มันมีแค่นี้ 200 300 500 เพราะฉะนั้นผู้ที่จะพอมาได้ จะติดกันไปถึงไหนจะรอให้พระโพธิรักษ์นี้ตายก่อนหรือไง ไม่ตายมาช่วยไม่ได้หรือยังไง มาช่วยตอนนี้ อายุ 85 แล้วนะ
สู่แดนธรรมว่า.. อายุ 95 ถึงจะมา
อาตมาเห็นหน้ากันหลัดๆ ก็ตายปุ๊บเลย พรุ่งนี้ โยมเกียวที่ปฐมอโศกก็จะเผาแล้ว ทำกาละแล้ว กายแตกตาย ทำกาละนี้ ต้องเป็นผู้ที่บรรลุนะหากไม่บรรลุก็ยังเป็นผู้อยู่ในกาละ
อาตมาก่อนจะออกมาบวชก็สั่งเสียน้องๆไว้หมดแล้ว ดูแลให้เขาช่วยตัวเองได้หมดทุกคนแล้วก็ตัวใครก็ตัวใคร น้องนุ่งหากเขามาได้ก็อนุโมทนา รู้ดีกันทั้งนั้น
ไม่ได้ลำเอียงว่าเป็นน้อง แต่ก็มีนัยสำคัญที่เป็นน้องเป็นญาติสนิทก็มีลำดับก่อน อาตมาก็ทำตามพระพุทธเจ้าว่าไป
สรุปคือผู้เห็นจริงก็มาออกบวช…ต้องสำคัญใน 4 อย่างนี้
ศีล สำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ สันโดษ
ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม ที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ
ศีลของพระพุทธเจ้านั้น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
มหาแปลว่าใหญ่กว้าง มัชฌิมศีลก็อย่างกลาง จุลนี่แปลว่าสูงสุดก็ได้ เล็กสุดก็ได้ มหานี้ใหญ่ แต่มหาศีลไม่ได้แข็งแต่กว้างในมหาศีล เดรัจฉานวิชาเป็นตัวตั้ง
ศาสนาพุทธที่ถูกต้องแล้วกรอบไหนวงไหนก็แล้วแต่ไม่มีเดรัจฉานวิชชา หากมีเดรัจฉานวิชาอยู่ก็ไม่เข้าข่ายศาสนาพุทธเลย
เดรัจฉานวิชาคือวิชาที่ไม่พาไปสู่นิพพาน เป็นคำสอนที่ยังวนเวียนอยู่ในเดรัจฉาน ยังเป็นสัตว์โลกสามัญ สัตว์โลกอย่างสัตตาวาส 9 เป็นต้น
มหาศีล เอาที่เดรัจฉานวิชชา เป็นต้นว่า
มหาศีล
-
ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก(พ่อครูว่า…เป็นพราหมณ์ผู้มีตำแหน่งยศศักดิ์ทรัพย์สินเงินทองมีบริวารเยอะเหมือนกับพระภิกษุสมัยที่เป็นพระมหาศาล มีบริวารมากมียศศักดิ์เยอะมีทรัพย์สินเยอะโพธิรักษ์เทียบไม่ได้เลย มีแม่ยกพ่อยกรวยๆก็ไม่มี เพราะฉะนั้นโพธิรักษ์ไม่ใช่สมณะผู้เจริญ พราหมณ์ผู้เจริญ ไม่ใช่พราหมณ์มหาศาล แต่พระมหาศาลในสมัยนี้ก็คือ พราหมณ์มหาศาลในสมัยพระพุทธเจ้า พระมหาศาโลในสมัยนี้ก็ได้ทั้งยศตำแหน่งอำนาจแต่มีเดรัจฉานวิชาอยู่)
ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสกเป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
พ่อครูว่า…เป็นการติดต่อกับเทวดา ต้องมีอะไรเป็นสิ่งนำพา ธูปเทียนเป็นต้น สร้างไฟ สร้างควันเป็นต้น ทำพิธีต่างก็ใช้ควันหรือไฟ(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…เหมือนสมัยนี้ทำอะไรสารพัด ที่ผิดไปจากพระธรรมวินัยมีข่าวว่าพระไปข่มขืนผู้หญิงด้วย
พ่อครูว่า…เติมเนยหรือน้ำมันก็ตาม ก็แบ่งเป็นไฟกับเปลวกับควันเท่านั้นเอง ใช้ไฟเป็นสื่อ ใช้น้ำเป็นสื่อ
-
ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา แล้วยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือนทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบนปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.