วิถีบวร 1 ใน 1000 ตอน…นักวิ่งมาราธอนเจอนักคิดมาราธอน
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561
วันนี้ดีรับข่าวแต่เช้าว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านมหาตมคานธี ผู้ที่พ่อครูบอกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านจะอายุ 149 ปี เป็นนักต่อสู้อหิงสา เพื่อความเป็นธรรมของสังคม ส่วนตัวดิฉันจะระลึกถึงเรื่อง
มหาตมะคานธี ทิ้งรองเท้า
ขณะที่ท่านมหาตมะคานธีกำลังขึ้นรถไฟไปต่างเมืองอยู่นั้น…
รองเท้าข้างหนึ่งของท่านได้ตกลงจากรถไฟ
ท่านไม่สามารถลงมาเก็บรองเท้าท่านได้ทัน
เพราะ รถไฟกำลังจะเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟพอดี
ท่านมหาตมะคานธีจึงถอดรองเท้าของท่านอีก ข้างหนึ่ง
แล้วโยนลงไปใกล้ๆ ที่เดียวกันกับที่รองเท้าของท่านที่ตกลงไปนั้น
ผู้ติดตามจึงถามท่านว่า “ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น”
ท่านมหาตมะคานธีเลยตอบกลับไปว่า…
“เผื่อว่าถ้ามีคนเก็บรองเท้า ของท่านได้เขาจะได้มีรองเท้าใส่ครบทั้งสองข้าง”
(สิ่งที่ท่านมีอยู่กับคนซึ่ง ท่านไม่รู้จัก และอาจไม่มีวันรู้จักเขา)
เช้านี้ก็ไม่รีรอที่จะสลัดความขี้เกียจไปออกกำลังกายริมมูนดีกว่า เดินผ่านเห็นป้ายหน้าทางเข้าน้ำตกผาแหงน บวรราชธานีอโศก นึกถึงว่าบ้านเราป้ายหน้าบ้านใหญ่จังเลย..55..
เดินเร็วผ่านหน้าบ้านป้าเต็มสิริ นึกชื่นชมป้าเต็มที่มีความเพียรปลูกต้นไม้ ทั้งไม้กินได้ ไม้ดอกไม้ประดับเต็มบ้านจนล้นออกมาถึงถนน มองแทบไม่เห็นตัวบ้านเลย อีกหน่อยไม้ดอกอย่างดอกดาวกระจาย ถ้าเริ่มทำถนนไปริมมูนก็ต้องถูกรื้อถางออก แต่ป้าเต็มก็บอกกับเราอย่างเต็มใจว่า ถางออกก็ปลูกที่ใหม่ได้อีก บ้านราชมีที่ปลูกมากมายถ้าอนุญาตให้ปลูก ป้าเต็มจะมีความสุขที่ได้อยู่กับต้นไม้โดยเฉพาะไม้ดอกตระกูลสีเหลือง ทั้งทองอโศก ดาวกระจาย ดาวเรือง พวกเราเคยคิดเล่นๆกันว่าจะมอบโล่ห์ดีเด่นให้เลยในเรื่องจัดภูมิทัศน์รอบบ้านให้น่าอยู่ น่ามอง เลยไปอีกหน่อยบ้านของกลุ่มสีมาอโศก เริ่มเป็นบ้านที่ร่มรื่นไม่แพ้บ้านป้าเต็มอีกหลังหนึ่งแล้วนะคะ ต้นทองอโศกออกดอกบานเหลืองสะพรั่งข้างถนนเลยค่ะ เนืองจากหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านที่จดทะเบียนชุมชนถูกต้องตามสำมะโนประชากรของกระทรวงมหาดไทย เป็น ชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก หมู่ 10 ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลฯ จึงมีงบประมาณจากทางราชการมาพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในชุมชน ตามกำลังที่ทางการจะพอจัดสรรมาได้ อย่างในซอยของหมู่บ้านเฟส ½ ก็เพิ่งได้รับงบประมาณในการทำท่อระบายน้ำและบ่อพัก
เลยไปหน่อยแวะผ่านเข้ามาในซอยของชาวชุมชนเฟส ½ ซอยเกือบสุดท้ายก่อนลงไปที่ริมมูน หลังแรกเป้นบ้านของศิลปินโน๊ต เพชรพันศิลปืที่ตอนนี้แยกแทบไม่ออกว่าคนไหนเป็นช่างก่อสร้าง คนไหนเป็นเจ้าของบ้านเพราะพี่โน๊ต กลมกลืนกับช่างเพราะได้ช่วยช่างลงมือสร้างบ้านด้วยตนเอง เลยถัดมาเป็นบ้านของพ่อใหญ่ชาวชุมชนที่ดิฉันภูมิใจนำเสนอว่าเป็นบ้านพอเพียง พึ่งตน เพราะพ่อใหญ่นำวัสดุก่อสร้างที่เหลือใช้งานจากฐานงานหรือเป็นเศษวัสดุแล้วขอจากผู้ดูแลมาสร้างบ้าน เลยได้แบบบ้านตามวัสดุที่มีอยู่ แม้แต่ฝาบ้านก็ยังใช้ใบไม้มาขัดแตะสานเป็นฝาบ้านเลยค่ะ เรียกได้ว่า บ้านอินเทรนด์ แบบคนจน จริงๆค่ะ ถัดไปอีก 1 หลังติดกัน มองตอนแรกนึกถึง รร.อนุบาลเลยค่ะ สีสันสดใส คัลเลอร์ฟูลมาก สร้างต่อกันแบบบ้านแฝดยกพื้นสูงหนีน้ำท่วมได้สบายเลยค่ะ สังเกตุหมู่บ้านเฟสใหม่นี้ แต่ละบ้านมีความหลากหลายของรูปแบบลักษณะของบ้าน ส่วนมากจะยกพื้นสูงเพราะเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมเกือบทุกปี แต่พวกเราก็ทราบดี จึงสร้างบ้านเผื่อน้ำท่วมกันอยู่แล้ว ชุมชนซอยนี้เป็นเฟสที่ค่อนข้างโชคดีที่มีอากาศสด อากาศหวานยามเช้า ยามเย็นทุกวัน มองเห็นวิวทิวทัศน์แม่น้ำมูนได้ชัดเจน
เดินผ่านแปลงฟักทองปู่เถา เจอป้าแป๊วน้องสาวปู่เถา ทักทายกันป้าแป๊วบอกว่าฟักทองแปลงนี้จะตัดลูกช่วงงานมหาปวารณา แต่ช่วงงานเจ ทางทีมงานแม่ครัวขอใบฟักทองไปห่อปลาเจ ทำเป็นปลาเค็มห่อสาหร่าย(ใบฟักทอง)เจ
มองไปตรงข้ามแปลงฟักทอง เห็นบริเวณใต้ต้นดวงใจรัก กลางบุ่งกะโป๋ เริ่มมีการจัดภูมิทัศน์ปลูกดอกไม้แซมบ้างแล้ว ดูแล้วน่าไปพักจังเลยค่ะ เดินต่อไปเจอปู่เถาปราชญ์ริมมูนผู้คักแน๊เรื่องปลูกผักริมมูน กำลังขับรถพ่วงบรรทุกน้ำหมักจุลินทรีย์เต็มคันรถ ทักทายถามไถ่ทราบว่าปู่กำลังจะไปพ่นน้ำหมักจุลินทรีย์ที่สวนพริกที่หน้าอาคารบวร
มาถึงริมมูน วิวสวยระดับท๊อป Good morning แม่น้ำมูน รับอรุณ 6 โมงเช้าด้วยการเก็บภาพเรือกระแชงที่เพิ่งมาจอดใหม่ริมแม่น้ำมูน สมชื่อบ้านราช เมืองเรือค่ะ
เอาละตั้งแต่ออกมาจากที่ทำงานก็ทำงานอีกแล้ว ยังไม่ได้วิ่งเลยค่ะ..55.. ขอวิ่งซักหน่อยที่ถนนสันเขื่อนริมมูน จนมาถึงจุดนัดหมายของหัวใจ..55..ไม่ได้นัดใครไว้นะคะ จุดนัดหมายของหัวใจคือจุดที่จะหยุดเพื่อเดินลมปรานให้ดีต่อใจ ต่อสุขภาพปอด หัวใจและส่วนต่างๆค่ะ วันนี้สังเกตุน้ำริมมูนเริ่มลดลงแล้วค่ะ มีเศษวัชพืชเริ่มติดตลิ่งจำนวนมาก เห็นแล้วชาวกสิกรรมไร้สารพิษต้องชื่นชอบแน่ๆเลยค่ะ หลังจากน้ำลด ซากวัชพืชเหล่านี้ก็จะเป็นปุ๋ยชั้นยอด ไถกลบแล้วปลูกผักต่อได้เลยค่ะ
ก่อนกลับยังได้เก็บขวดเบียร์ เครื่องดื่มเกลือแร่ที่ถูกน้ำซัดขึ้นฝั่ง ถือว่ามีขยะไม่มาก แต่ก็ยังนึกถึงเมื่อไหร่น๊อ เหล้า เบียร์จะหมดไปจากโลกนี้นะ คนดื่มจะรู้มั้ยนะว่าทุกดริ๊ง ทุกอึกที่กระเดือกเข้าไป นั่นคือเราซดยาพิษ ทำลายตัวเองไปทุกวัน ที่ละเล็กทีละน้อย ส่วนบริษัทที่ผลิตก็กระเป๋าตุง เงินเต็มบัญชีบนความหายนะของเพื่อนร่วมโลก ช่างโหดร้ายเป็นฆาตกรฆ่าคนอย่างถูกกฎหมาย (ได้ไงนะ..)
บ่นไปก็เท่านั้น เอามาทิ้งขยะดีกว่าค่ะ ถ้าใครเห็นขวดเบียร์ในถังขยะชุมชนก็ไม่ต้องไปเพ่งโทษใครนะคะ ฝากบอกด้วยว่าดิฉันเอาขวดเบียร์ที่ถูกน้ำซัดขึ้นฝั่งบ้านเรามาทิ้งเองค่ะ
วิ่งไปได้อีกหน่อยเจออามุ่งบุญ เพิ่งออกจากนา มองไปทุ่งนา ทิวยอดข้าวผ่านแสงอาทิตย์ อยากเข้าไปกอดต้นข้าวจริงๆค่ะ เลยขอถ่ายรูปกับคุณข้าวพันธุ์อยุธยา 1 ซักหน่อยค่ะ เดินมาอีกหน่อยก็ถึงบางอ้อว่าอามุ่งบุญมาทำไม เพราะเห็นท่อระบายน้ำที่สูบน้ำจากแม่น้ำมูนผันน้ำมาในนาข้าว เห็นแล้วสดชื่อแทนต้นข้าวเลยค่ะ
ถึงถนนตรงแก่งแล้ว ได้เวลาวิ่งอีกรอบแล้ว แต่ก็ต้องหยุดทักทายอีกครั้งกับ ผู้คักแน๊เรื่องวิ่ง นั่นคือ โกเซ่ง ที่มาจากชุมชนทะเลธรรม จ.ตรังมาอยู่ที่บ้านราชได้ไม่กี่เดือน โกเซ่ง อดีตเคยเป็นนักวิ่งมาราธอน โกเซ่งยังบอกถึงความห่วงใยดิฉัน เกรงว่าดิฉันจะตายไปก่อนวัยอันควร ถามถึงวิธีการวิ่งของดิฉัน ก็ตอบคำถามตามจริงว่า เดินเร็วสลับกับวิ่ง และเดินลมปราน แกว่งแขน โกบอกว่าดีแล้ว โกถามต่ออีกว่า สัปดาห์หนึ่งออกกำลังกี่วัน ดิฉันตอบว่า 2 วันเพราะไม่มีเวลา คราวนี้โกเซ่งบอก ใช้ไม่ได้ ไม่ครบต้องหาเพิ่มอีก 1วันจะใช้เวลาน้อยลงก็ได้ แต่ต้อง 3 วันต่อสัปดาห์ ฉันยังไม่อยากให้เธอตายไว..55..ได้ยินแล้วอดยิ้มไม่ได้ ช่างได้รับความห่วงใยจากใจจริงๆ แล้วนักวิ่งมาราธอนก็วิ่งนำร่องดิฉันไปก่อน ด้วยวัย 77 ปีของโกเซ่ง วิ่งแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 8 กม. โอ้..โกเซ่งเป็นพระเจ้ากำหนดตัวเองให้แข็งแรงได้ขนาดนี้ ดิฉันยังนึกว่าถ้าตัวเองอายุ 77 ปียังจะวิ่งไหวอีกมั้ยนะ คิดแล้วก็วิ่งต่อไปถึงลานเบิ่งฟ้า มองโกเซ่งนักวิ่งที่มีลักษณะการวิ่งยังไงน๊อ ถึงวิ่งได้ครั้งละ 8 กม.เห็นการวิ่งเหยาะๆนุ่มๆมีจังหวะต่อเนื่อง พอจบยกการวิ่งก็จะได้ยินเสียงโกเซ่ง ตะโกนลั่นป่าเสียงดัง(มาก)เพื่อเป็นการผ่อนคลายการหายใจ ตัวเองก็คิดอยากจะตะโกนบ้างนะคะ แต่ยังไม่กล้าเกรงใจพวกเรา ได้แต่ผ่อนลมหายใจเข้า-ออกแรงๆแทน
วิ่งมาถึงปลายทางสำหรับวันนี้ สุดทางที่ท่าเรือริมมูน เจออาศีลสมนึกที่พักอยู่เรือปลายบุ่งทางออกสู่แม่น้ำมูน ก็ออกมาทักทายกันค่ะ
เลยเก็บภาพท่าเรือริมมูนปลายบุ่งมาฝากค่ะ สะดุดตากับเรือชราชล ที่เป็นเรือเล็กลากจูงเรือใหญ่ทั้งหมด ชื่อก็ชรา ได้ยินก็จะนึกถึงความเสื่อม ความชรา ขออภัยนะคะ ที่ดิฉันนึกถึงพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่เหมือนเรือเครื่องชราชลลำนี้ ที่ต้องลากเรือใหญ่(ลูกๆ)อยู่ตลอดเวลาที่ต้องล่องเรือเป็นนาวาบุญนิยม เรือชราชลนี้จะนำหน้าติดเครื่องยนต์เดินหน้าเสมอ โดยมีลูกๆที่เป็นเรือเอี๊ยมจุ๊นใหญ่หลายลำ ที่พ่อครูลากลอยลำเป็นนาวาบุญนิยมให้ถึงฝั่งนิพพาน บางครั้งเครื่องชำรุด เรือใหญ่เหล่านั้นก็ไม่สามรถล่องไปเองได้ จะหาเรืออื่นทดแทนเพิ่มเติมก็ไม่เหมือนชราชลลำนี้ ซึ่งเป็นเรือทางจิตวิญญานของชาวบ้านราชไปแล้วค่ะ
บนฝั่งยังมีเรือรุ่นเดียวกันแต่จบชีวิตในลำน้ำ กลายเป็นเฮือนเรือไปแล้วชื่อ ชลนชาต พ่อครูบอกว่า 2 ลำนี้มาไล่เรี่ยกันชื่อจะคล้องจองกันคือ ชราชล ชลนชาต
เดินเร็วผ่านเข้ามาที่คานเรือ เห็นสติ๊กเกอร์ที่ติดกระจกรถเครนน้อยของกองทัพธรรม สะดุดตาที่เป็นโครงสร้างรูปพ่อครู ดิฉันมองถึง ลูกๆทุกคนจะเชื่อฟัง เชื่อถือ เชื่อมั่น ในพ่อครู ซึ่งเป็นสยังอภิญญา สอนธรรมะโลกุตระให้กับพวกเราได้เห็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลสในตัวเอง รู้จักพิจารณาทุกข์นั้น ทำฌานเผาผลาญกิเลสตัวนั้นๆได้ตามลำดับ แบบที่พวกเรา ไม่ต้องไปนั่งสมาธิหลับตาเห็นกิเลส แต่พวกเราปฏิบัติธรรมแบบลืมตา เมื่อมีผัสสะจากทวารทั้ง 6 เกิดเวทนา อารมณ์ เรียนรู้อารมณ์นั้น แล้วกำจัดให้จนถึงอุเบกขา สะสมอุเบกขาจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำบ่อยๆเก็บสะสมแต้มโลกุตระล้างเวทนาเทียมออกบ่อยๆ จนเกิดอัญญะธาตุ ธาตุจิตใหม่ที่เป็นปัญญา เขียนไปแล้วตัวเองก็ยังแพ้กิเลสอีกมากมาย คงต้องสู้ต่อไปในชาตินี้ที่เจอพ่อครูแล้ว เป็นพ่อที่ทั้งสอน ทั้งเตือนทุกวัน ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้มีโอกาสอย่างนี้มั้ยนะคะ
แล้วก็ถึงเวลาวิ่งอีกรอบสุดท้ายแล้วค่ะ คราวนี้เจอหัวหน้ากรมโยธาบ้านราช(เจ๊กเอี๋ยว)ที่เพิ่งกลับจากที่ไหนไม่ทาบ ดิฉันก็ทักทายเจ๊กเอี๋ยวตามปกติ ก่อนจะเก็บภาพเรือเขตหญิงมาฝาก วิ่งไปก็มีปิติที่ได้ชนะใจตัวเอง ชนะความขี้เกียจ ออกมาเดิน มาวิ่ง เดินลมปราน แกว่งแขนรักษากายขันธุ์ วิหารธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นการสะสมแต้มชนะกิเลสขี้เกียจตัวเองได้แล้วค่ะ ของแถมที่ทำให้สดชื่นคือได้ทักทายกับพี่น้องยามเช้าที่ร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายในบวรราชธานีอโศกนี้ เราจะคุ้นเคยกันได้ ต้องออกจากภพมาพบกัน แบบสัมผัสด้วยทวารทั้ง 6 ด้วยความเป็นมิตร เป็นญาติที่เหนือกว่าญาติ อย่างที่พ่อครูสอนไว้ว่า วิสาสปรมา ญาติ ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง