วิถีบวร 1 ใน 1000 ตอน…สาธารณโภคีเป็นฉันนี้หนอ นั่นเอง.
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561
มีเรื่องเล่าเช้านี้สังคมบวร เล่าสู่กันอ่านเพลินๆค่ะ(อย่าเพิ่งเบื่ออ่านนะคะ)..
เช้านี้ก่อน 6 โมงเช้านิดหน่อย ตั้งใจว่าจะไปเดิน วิ่งออกกำลัง กำลังจะใส่รองเท้าผ้าใบ ฝนตกซู่ลงมาเกือบถอดใจเก็บเกือกแล้วนะคะ..55..พอดีทีมออกกำลังกายเดินลมปรานนำโดย ส .ฟ้าไทกำลังเดินลมปรายเฮ้ยๆๆ เลยไปผสมโรงเดินลมปรานแทนออกไปเดิน พอเดินลมปรานเสร็จฝนหยุดตกพอดี ได้ทีกระหยิ่มยิ้มย่องออกไปวิ่งต่อได้อีก(วันพฤหัสฯจะมีเวลามากกว่าทุกเช้าเพราะเป็นวันหยุดของเด็กนร.ที่ดูแล)
เดินออกมาหน้าน้ำโตนเดินลงไปตามแก้ง เห็นปลาอะไรไม่แน่ใจค่ะ นอนนิ่งใต้ซอกหิน นึกสงสารปลาที่ไหลมาตามน้ำแล้วมาติดตามซอกหินเวลาปิดน้ำเลยไปไหนไม่ได้ เลยเข้าไปจะหยิบปลามาทิ้งเพราะกลัวเน่าคาแก้ง พอแตะเข้าไปที่ตัวปลา ปลากระดุ๊กกระดิ๊ก อ้าว..ยังไม่ตายนี่ ความที่ว่าตัวเองไม่คุ้นจับปลาเท่าไหร่ เลยต้องอาศัยความเมตตา+ความกล้านิดนึง เด็ดใบไม้มาห่อจับปลา คราวนี้จับหางมันก็จับยาก คงต้องจับหัวมั้ง(ใจคิดเหมือนในคลิปที่เคยดู)เลยจับไปที่หัว ได้ผลแฮะ ปลานิ่งได้ คราวนี้จะไปปล่อยที่ไหนหละคราวนี้ มองไปมองมาเลยไปปล่อยที่น้ำตกผาแหงนเพราะมีปลาเยอะอยู่เหมือนกัน พอหย่อนปลาลงน้ำ เธอระริกระรี้ ว่ายแข็งแรงเลยค่ะ ตัวเองเลยปิตินิดหน่อยที่ได้ปล่อยปลาแต่เช้าเลยค่ะ
จากนั้นก็ออกวิ่งตามสูตร โกเซ่ง นักวิ่งมาราธอน ที่วิ่งเหยาะๆเบาๆ ได้ผลดีพอควรค่ะรู้สึกตัวเบาๆลอยๆค่ะ นี่เองมั๊งคะที่พ่อครูเคยบอกว่า วิ่งเหยาะๆจะรู้สึกเบากว่าเดินเร็วที่ใช้แรงมากกว่า ลองทำตามก็จริงนะคะ ไม่เชื่อลองทำดูได้ค่ะ..
ไปถึงริมมูนเห็นเรือเอี๊ยมจุ๊นริมมูนเอียงๆนึกว่าน้ำเข้าเรือ เลยเดินไปดูอ้าว..น้ำเริ่มลดนี่เอง จนเรือจะเกยตื้นแล้ว กสิกรรมริมมูนเริ่มไถกลบดินบ้างแล้วค่ะ เลยเก็บภาพริมมูนอีกมุมหนึ่งมาฝากค่ะ
วิ่งมาถึงจุดหมายเดินลมปราณและแกว่งแขน สูดโอโซนได้เต็มปอดจริงๆค่ะ ขณะกำลังฟอกปอดสูดโอโซนเต็มที่ ศิลปินชาวอโศกคุณแสงศิลป์ เดือนหงาย ก็กำลังเดินออกกำลังกายผ่านมาพอดี ได้ทักทายกันตามประสาคนรักสุขภาพเช่นกัน มองผ่านท้องฟ้าเห็นมีแสงรุ้งอ่อนๆบนท้องฟ้า
Good Morning กับพระอาทิตย์วันนี้มีเมฆมาก เพราะมีฝนตกลงมาแต่เช้าเสร็จแล้วจึงเดินต่อไปทางสวนสองโภชน์ เห็นถนนตรงข้าม เริ่มถางหญ้าออกบ้างแล้ว เลยลองลุยไปดู เห็นต้นจามจุรียืนท้าตะวันดูมีมนต์ขลังมาก สำหรับนักคิดนักเขียนอย่างเรา จึงไปยืนอยู่ใต้ต้นจามจุรีสูดหายใจเต็มปอดอีกครั้ง มองไปข้างหน้ายังมีหญ้ารกอยู่มาก ตัดสินใจสองจิตสองใจไม่ลุยไปดีกว่า ตามประสาคนกลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ กลัวเป็นอะไรไปไม่มีใครเขาเห็นด้วย จะเน่าคาริมมูนไปเสียก่อนฮ่าๆๆ
จึงออกมาทางเดิม เดินๆวิ่งๆไปถึงลานเบิ่งฟ้า ดูเรือซ่อมแล้วจนนำไปใช้ได้ทั้งบนบกและลงน้ำแล้ว มาดูเรือที่รอซ่อมแซมกันบ้างค่ะ อย่างลำแรกหน้าทางเข้าจะไม่เหลือซากเลย ซึ่งช่างที่มารับซ่อมหรือทีมงานของชาวบ้านราชเอง ก็สามารถซ่อมได้เช่นกัน เดินไปถึงป่าอนุรักษ์มองเห็นต้นยางสูงตระหง่านหลายต้น คิดว่าตัวเองช่างโชคดีที่มีบ้านกว้างขวาง จะเดินจะวิ่งไปทางไหนก็สดชื่น ซึ่งสัมผัสได้จากทวารทั้ง 6 ที่เมื่อเกิดผัสสะทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับวิวทิวทัศน์ ลมหายใจที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว รู้สึกสุขและโสมนัสซึ่งพ่อครูบอกว่าล้วนเป็นเคหสิตเวทนาต้องจัดการกับอารมณ์เวทนาเหล่านี้ให้เป็นอุเบกขา ไม่สุขสมใจกับอารมณ์นั้นๆให้ได้ซึ่งก็ต้องฝึกฝนอยู่เช่นกันค่ะ
ที่หน้าเฮือนสุดชีวิต เจอเจ๊กเอี๋ยวกำลังใช้มือเก็บเศษปูนเศษหินใส่กะละมัง อาภูหินยืนอยู่ใกล้ๆ เลยทักทายถามว่ามาพักที่บ้านเดิมอาไม้ร่มหรือ อาภูหินบอกว่าไม่ใช่ แต่ได้ยินคำตอบจากเจ๊กเอี๋ยวว่า เคยมาพักเมื่อ 2 ปีก่อน แล้วไม้ร่มมาอยู่ก็ออกไป ตอนนี้มีเด็กหนุ่มมาอยู่ สีซอด้วย เราก็เลยสงสัยว่าเป็นใครหนอเพราะไม่เคยได้ข่าวว่าใครมาอยู่บ้านหลังนี้ เจ๊กเอี๋ยวเลยบอกว่า”ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย สาธารณโภคี ใครมาอยู่ก็ได้ไม่ใช่หรือ”เราก็เลยจบข่าวค่ะ แต่นึกในใจวันนี้เจ๊เอี๋ยวคุยกับเรามากขึ้นนะเนี่ย เลยได้โอกาสคุยต่อเลยว่า กำลังเอาไปถมที่ไหน เจ๊กเอี๋ยว ตอบว่าถนนเส้นนี้ล่ะถมมา 2 3 วันแล้ว ยังไม่เสร็จเลย อาภูหินได้ยินอย่างนั้นเลยบอกว่าเดี๋ยวผมจะไปช่วย จึงเดินลากรถใส่หินตามไป เจ๊กเอี๋ยวเห็นดินกองสูงถามพวกเราว่าดินกองนี้เอาไปได้ไหมล่ะ เลยบอกว่าเอาไปได้เลยค่ะ เพราะเป็นปุ๋ยทั้งนั้น เจ๊กเอี๋ยวเลยไม่รอช้า นำจอบมาขุดดินใส่รถ แต่อาภูหินขอมาช่วยจึงจัดการแทนเจ๊กเอี๋ยว ด้านข้างเฮือนสุดชีวิตเห็นป่าอุดมสมบูรณ์ ก็ยังนึกว่าตัวเองโชคดีโชคดีจริงๆมีป่าเป็นของตัวเองด้วย พอดินเต็มรถเก๋ง เจ๊กเอี๋ยวกับอาภูหินก็ลากรถมาที่ถนนตรงเมรุ ออกไปทางหมู่บ้านคำกลาง ดิฉันจึงขอเดินตามไปดู ไม่นานนักเจ๊กเอี๋ยวบอกว่าตรงนี้แหละใช้เวลานานหน่อย เจ๊กเอี๋ยวเทเศษหินลงไปคลุกกับดินดิฉันยังเย้าว่าถมเสร็จปลูกต้นไม้ได้เลยเพราะเป็นดินปลูก
มองแล้วเห็นความเป็นมิตรเป็นญาติธรรมที่ยิ่งกว่าญาติ ของทั้ง เจ๊กเอี๋ยวและ อาภูหิน นี่เองคือสาธารณโภคีที่เกิดจากความมีเมตตาทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่อาภูหินเห็นความตั้งใจในการทำประโยชน์นำดินไปถมปรับพื้นที่ถนนคนเดียวของเจ๊กเอี๋ยว สุดท้ายก็ทำให้อาภูหินระลึกถึงกัน จนไปช่วยเหลือกันได้จนสำเร็จ
เดินวิ่งต่อไปผ่านบ่อน้ำนาของเราที่ยังมีน้ำขังอยู่ เห็นอุปกรณ์ดักจับปลาหลายชนิดอยู่ในนา ได้แต่มองว่าเขาคงไม่รู้ว่ากำลังทำบาปอยู่ โดยการเบียดเบียนสัตว์แม้อยู่ในน้ำก็ยังถูกคนจับมากินได้
ถนนเส้นนี้เห็นรถขนคนงานเข้าออกหลายคันแล้ว ซึ่งบ้านราชของเราก็เป็นหมู่บ้านหนึ่งซึ่งสร้างงานสร้างสัมมาอาชีพให้กับพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงกว่าร้อยชีวิตได้มาทำงานในส่วนงานก่อสร้างต่างๆ ผ่อนแรงชาวชุมชน ถึงปากทางถนนตรงเมรุเลยเดินตามถนนตรงกลาง ซึ่งถนนเส้นนี้สามารถตรงไปหมู่บ้านคำกลางได้
ผ่านทุ่งนา ที่ทีมงานชาวนาได้ทดลองปลูกข้าวพันธุ์ต่างๆที่กรมการข้าวได้แนะนำมาให้ปลูก มองลงไปในนาเห็นดอกไม้สีม่วงอมชมพูเป็นพวงเล็กๆ ดึงดูดใจให้ลงไปดู เป็นไม้เลื้อยอยู่กับต้นไมยราบยักษ์ ดอกเป็นพวงมีฝักติดทุกพวงดอก ยังสงสัยเป็นต้นอะไรหนอ สมมติฐานว่าอาจจะเป็นงาหรือถั่วอะไรแน่ๆ จึงเก็บฝักไปถามผู้รู้น่าจะดีกว่า พร้อมกับลองกัดชิมดู รสชาติดีกรอบออกหวานเสียด้วย น่าจะกินได้ เลยลองกินไป 1 ส่วน 4 นึกถึงหลวงพ่อดินดีที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านเคยบอกว่าต้นไม้กินได้หมด อยู่ที่จะกินปริมาณมากน้อยเพียงไหน เลยลองกินดูคงไม่เป็นไรหรอกน๊าา..55
เดินผ่านทุ่งข้าวพันธุ์ต่างๆ ทั้งข้าวขาวบ้านนา 432 พันธุ์อยุธยาหนึ่ง ซึ่งกำลังโตแต่ยังไม่ออกรวง เดินมาถึงกองเพอร์มาคัลเจอร์ตอนนี้มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ดูแล้วน่าจะได้ผลดี รวมถึงบ่อข้างกันซึ่งอีกไม่นานก็จะนำบัวมาปลูกเพื่อที่จะได้นำมารับประทานในชุมชนและใบบัวจะนำมาเป็นภาชนะบรรจุอาหาร
ตรงข้ามถนนอีกฝั่งหนึ่งคือหมู่บ้านเฟส 2 ซึ่งจะอยู่ติดลําธารถอยหลังเข้า ถือว่าได้วิวทิวทัศน์ติดลำธารกันเลยทีเดียว แต่ละหลังยังคงเอกลักษณ์เช่นกัน คือยกพื้นสูงเดินต่อเข้ามาภายในชุมชนเห็นรถของการไฟฟ้ากำลังมาทำอะไรนะ จึงเดินเข้าไปดูพบว่าช่างดั้นเมฆกับช่างไฟฟ้าของกฟภ.ถามแม่เทียนดินว่าเขามาทำอะไร แม่บอกว่าจะมาตั้งเสาไฟฟ้าใหม่
เลยได้โอกาสถามแม่เทียนดินว่า ฝักที่เราเก็บมาจากนาเป็นต้นอะไร แม่ตอบอย่างชำนาญว่าเป็นถั่วพร้าซึ่งนำมาต้มตำแล้วทำซุปได้ เราถามว่า แล้วกินสดจะได้ไหมเพราะลองกินแล้วอร่อยดี แม่บอกว่าไม่ควรกินเพราะมีไซยาไนด์ เลยขำตัวเองก็กินไปแล้วคงไม่เป็นไรบ้างนิดหน่อยเท่านั้นเองพอเป็นยา..ฮ่าๆๆ
แม่เทียนดินเห็นเราออกกําลังผ่านมาเลยชักชวนดื่มน้ำมะพร้าวสักลูก ตอนแรกก็ปฏิเสธเพราะกำลังจะเดินต่อ แต่พอมองไปที่ความตั้งใจของแม่ เลยรับไมตรีนั้นบอกว่าตกลง แม่เทียนดินจึงไปเลือกมะพร้าวซึ่งมีอยู่ 4 5 ต้นแต่ดกมากทุกต้นบริเวณบ้านแม่เทียนดินปลูกพืชผักสวนครัวมากมายหลายชนิดเต็มบ้าน แม่ไปถึงต้นมะพร้าวน้ำหอม เลือกแล้วเลือกอีก เด็ดมาจากต้นลงมาสับเปิดฝายื่นให้ทันที พอรับมาเราถึงกับตลึงมะพร้าวอะไร ลูกก็ใหญ่เนื้อกำลังดี น้ำก็เยอะ เนื้อก็เยอะ เอาล่ะสินึกในใจจุกแน่เลยเรา เลยดื่มน้ำมะพร้าวก่อนรับรู้ตั้งแต่กลืนลงไปทำไมน้ำมะพร้าวต้นนี้หวานมาก แม่บอกว่าเป็นมะพร้าวน้ำหอมที่ลูกชายนายเอกไม่กิน บอกว่ามันหวานเกินไป เราจึงหยุดพักดื่มน้ำมะพร้าวกับเนื้อจนหมดลูก เกิดอาการเย็นแถมร่างกายจากเหงื่อออก กำลังเครื่องร้อนเหมือนโดนดับเครื่องทันที เย็นสบายตัวขึ้นมาหลังจากเจอ Welcome drink มะพร้าวน้ำหอมสดจากต้นแม่เทียนดิน อนุโมทนาขอบคุณในไมตรีนี้จริงๆจากใจค่ะ
เดินออกมาแม่ก็บ่นเล็กน้อยว่าเอาเสาไฟฟ้ามาวางไว้ทำต้นไม้แม่หมดเลย มองไปช่างไฟฟ้ากำลังวัดขนาดเสาจุดอื่น เลยเดินผ่านไป ใกล้กันแวะเข้าไปชุมชนเรือฝ่ายหญิงเก็บภาพมาฝาก เดินไปตามถนนก่อนถึงอาชีวะ จะเห็นเรือที่เตรียมซ่อมเหลืออยู่ 3 ลำ มีฝูงควายหลายตัวมาก มีคนบอกว่าควายที่นี่ฉลาดมากินหญ้าไร้สารพิษทุกวัน คุณวิชาญกำลังเดินกลับบ้านหลังจากที่ไปช่วยงานโรงปุ๋ยเราเลยขอโอกาสถ่ายภาพกับเรือของคุณวิชาญเอง ที่พวกเราได้ไปขนย้ายมาจากบ้านคุณวิชาญที่จังหวัดชลบุรี
ผ่านมาถึงเรือที่ช่างอยุธยาซ่อมเสร็จเรียบร้อยก็นำขึ้นฐานเรียบร้อยแล้ว โดยโครงสร้างด้านล่างจะทำเป็นสโตนเฮ้าส์ต่อไป เดินเลาะมาตามลำธารถอยหลังเข้าไปที่แก้งสะโพ ดอกดาวเรืองน่าจะเป็นของลุงสุดขีดปลูก กำลังออกดอกงามมากมองไปเห็นเรือไฟฌานที่เป็นหอศิลป์ มีแกลอรี่ของลุงไม้ร่ม ธรรมชาติอโศกที่สามารถไปเยี่ยมชมได้ทุกวันเช่นกัน
บริเวณนี้เรียกว่าแก้งสะโพสามารถมาเล่นน้ำได้เช่นกัน เดินมาหน้าสวนหน้าบวรเห็นสวนถุงปุ๋ยมีต้นพริกที่มีผลผลิตดกมากทุกต้น เป็นนวัตกรรมที่ปู่เถาและทีมงานเตรียมสำหรับจัดนิทรรศการรวมถึงหนีน้ำท่วมด้วย เวลานี้พวกเราได้รับประทานพริกหนุ่มไร้สารพิษกันทุกวันเลยค่ะ
เช้านี้ได้เห็นพฤติภาพของเศรษฐกิจแบบคนจน ระบบสาธารณโภคีของชาวอโศก ที่แผ่นดินพุทธ ราชธานีอโศก ที่พ่อครูสร้างธรรมชาติขึ้นมา สร้างคนให้อยู่เหนือธรรมชาติ ขยัน สร้างสรร เสียสละ ทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งตายกันได้ สาธารณโภคีจะมีบุคคลที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อมาต่อจิ๊กซอว์เป็นสังคมสาธารณโภคีที่สมบูรณ์ดังคำกล่าวว่า ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ
ชาวอโศกจึงเป็นตัวอย่างของคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่ต้องกังวลในความเป็นอยู่เลยเป็นกลุ่มสังคมที่มีระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลก..