ต.ค.242018ศาสนา611024_พ่อครูเทศน์เวียนธรรมออกพรรษา บวร ราชธานีอโศก อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1N2_11NyQnJJkeWEgyOad8xUohugt877Uu4-3W3979W0/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1pru9WhqYjxPkzn5o5u7mXqeDbsrEZ3Ih พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เลยเวลาให้อาตมาพูด 48 นาที จำพรรษา นักบวชของศาสนาพุทธต้องอยู่ประจำที่ จะไปจากสถานที่ต้องมีหลักเกณฑ์ สัตตาหะไป จะพูดไปถึงเนื้อหาของการเข้าถึงสาระ มีสิ่งที่พูดกันในความหมายว่า เข้าพรรษานั้น พระพุทธเจ้าท่านไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ซึ่งฟังแล้วเป็นเรื่องตลก พูดกันเชิงวิทยาศาสตร์ก็ตลก ไปโปรดอย่างไร อายุ 7 วันมารดาท่านก็สิ้นพระชนม์แล้ว แล้วไปโปรดพุทธมารดาที่ดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าก็เทศนาอภิธรรม ธรรมะยอดลึกซึ้ง เช่น อาตมาเทศน์ทุกวันนี้ก็คืออภิธรรม ธรรมะที่แยกแยะจิตเจตสิกรูปนิพพาน และมีพระสารีบุตร แอบฟังอยู่ที่ตีนภูเขา ดาวดึงส์อยู่เหนือภูเขาสิเนรุ พระสารีบุตรแอบฟังอยู่ตีนภูเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นภาษาของบุคลาธิษฐานทั้งนั้นเลย การเข้าพรรษาที่พูดกันเป็นเชิงปุคคลาธิษฐาน เป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่องเป็นราวเป็นวิมานสถานที่มีตัวตนบุคคลเราเขา มีทั้งแดนดาวดึงส์ต่างๆนานา จะมาพูดถึงเนื้อของสัจธรรมเนื้อของธรรมะ ภาษานั้นพูดขึ้นมาเพื่อกำหนดแผนเนื้อสภาวธรรม ผู้ที่ตีไม่แตกเข้าใจถึงสภาวะธรรมของภาษาต่างๆนี้ไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจศาสนาพุทธ ไม่สามารถที่จะทำให้ธรรมะ คือสิ่งที่ทรงอยู่ทั้งหลาย ตั้งแต่รูปธรรมและนามธรรม จัดการได้ ผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาชัดเจนได้แล้ว สามารถจัดการสิ่งที่เป็นรูปธรรมนามธรรมได้จนถึงสูงสุดทำให้ธรรมะที่แปลว่าสิ่งทรงไว้นี้เลิกไปเลยสูญหายไปเลย ไม่เหลืออะไรทรงไว้เลยในมหาจักรวาลนี้ ได้แล้ว นั่นคือแยกแยะความเป็นเทวความเป็นอัตตาหรืออัตภาพ แยกความเป็นจิตนิยามนี่แหละสำคัญ ศาสนาพุทธรู้จักจิตนิยามนี้ดี ซึ่งแบ่งเป็น 2 เรียกว่า เทวะหรือเป็นธรรมะ 2 และธรรมะ 2 นี้ มันก็มาเป็นสภาพที่เต็มรูปก็มีทั้งภายนอกกับภายใน มีทั้งดินน้ำไฟลมและตัวจิตวิญญาณ ปรุงแต่งกันอยู่ จะเป็นรูปร่างตัวคน มีพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ และก็มีสุขมีทุกข์ มีความวุ่นวายเดือดร้อน อะไรอยู่ในโลก มีพืชพรรณธัญญาหาร มันก็ไม่ทำให้ยุ่งยากอะไร แม้แต่สัตว์เดรัจฉานต่างๆมันก็ไม่วุ่นวายอะไรมาก แต่ไอ้คนนี่ สัตว์คนนี่ มันทำให้โลกวุ่นวายที่สุดเลย ดีไม่ดีมันทำลายโลกด้วย เช่นยกตัวอย่างง่ายๆว่า โลกนี้เกิดความร้อนเพิ่มขึ้นมา ภาวะในโลก ทางภาษาวิทยาศาสตร์ ถึงขั้นทำให้บรรยากาศ เป็น Green House effect หรือภาวะเรือนกระจก บรรยากาศที่มันแตกมันแยกมันทะลุ ทำให้เกิดความร้อนมากขึ้น ก็เกิดจากฝีมือคนทั้งนั้น คนนี่สารพัดจะทำให้แม้แต่บรรยากาศโลกก็ลดน้อยลง พระพุทธเจ้าให้สรุป พระพุทธเจ้านี่คือสุดยอดของผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดแห่งที่สุด ท่านใดจับประเด็นสำคัญของเทวะ หรือประเด็นสำคัญของสัจธรรมได้ และก็จัดการทำตรงนี้เท่านั้นเอง ทุกอย่าง คน จบดีหมด แก้ปัญหาคนที่บอกว่ามันวุ่นวายนี้ คนนี่แหละทำให้โลกเดือดร้อนวุ่นวายที่สุดนี่ จบเลย ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าบรรลุอรหันต์ถือว่าจบ จึงเป็นคนที่ไม่ได้ทำให้โลกเสียหาย เป็นสังคมกลุ่มที่แม้จะยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็จะอยู่กันอย่างช่วยกันให้เป็นสังคมกลุ่มที่ไม่ทำให้โลกร้อน ทำให้เราเสียศูนย์เดือดร้อนวุ่นวาย เกิดปฏิกิริยาสังคมมนุษย์วุ่นวายเดือดร้อน อย่างชาวอโศก ชาวอโศกเราไม่ได้เป็นหมู่คนที่ทำความเดือดร้อนให้แก่สังคม เพราะฉะนั้นแม้แต่กว้างไปสู่โลกภายนอก ก็ไม่ แม้แต่เมืองไทยก็ยังไปเดือดร้อน ประเทศอื่น เช่น GDP คำว่า GDP คือการทำรายได้ให้แก่ประเทศตน domestic มันหมายถึงภายในเรา ภายในประเทศเรา รายได้องค์รวมภายในประเทศเรา ก็ต้องหมายความว่าเป็นรายได้ของคนไทย แล้วคนไทยก็ต้องไม่ไปเดือดร้อนกับประเทศอื่น ไม่ไปดูดเอาจากประเทศอื่น ทำให้ประเทศอื่นเสียหายเดือดร้อนขาดทุน เพราะฉะนั้นในหลวงของเราจึงบอกว่าไม่เอาหรอกกำไร ต้องเอาขาดทุน ถ้าไปเอากำไรจากประเทศอื่นเราก็เบียดเบียนเขา ประเทศไทย GDP เจริญมันจะต้องขาดทุนให้กับประเทศอื่นได้ แต่ประเทศไทยก็ยังสร้างเศรษฐกิจ ทำเศรษฐศาสตร์เอาเปรียบประเทศอื่น จะต้องหารายได้ให้มาก เอาจากประเทศอื่นให้ได้มาก ของประเทศไทยก็จะให้ได้มากสร้างเองก็ได้มาก แต่ก็ยังไม่หยุดยั้งจะเอาจากประเทศอื่น มีเชิงเอาเปรียบ นอกจากสู้เขาไม่ได้ ในกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์สังคม สู้เขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นความจริงแล้วโดยสัจธรรมพระพุทธเจ้า ไม่เคยให้คนแต่ละคน สังคมแต่ละกลุ่ม ประเทศแต่ละประเทศ ไปทำความเดือดร้อนกับผู้อื่น แม้แต่ในพวกตัวเองก็อย่าไปทำความเดือดร้อนแก่กันและกัน อย่างชาวอโศกนี้ทำสำเร็จ แม้แต่ในหมู่ชนเดียวกันก็ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่กัน ยิ่งข้างนอกก็ไม่ต้องทำให้เขาเดือดร้อน เขาเดือดร้อนก็ไปช่วยเขาด้วยอย่างนี้เป็นต้น สร้างเศรษฐกิจ ก็ทำกินทำใช้เรียกว่างานอาชีพ ชาวอโศกมีสัมมาอาชีพที่สมบูรณ์แบบ และก็รู้ งานหลักคืออะไร งานหลักคือการทำอาหารอันเป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้นชาวอโศกจึงทำงานกสิกรรม หรืออาหารเป็นหลัก งานอื่น จะเป็นงานทำปุ๋ย ใกล้กับอาหาร ทำยา ทำเครื่องผสมส่วนอันนั้นอันนี้ แม้แต่ผสมส่วนเอามาบดขายกันก็ทำกัน ผสมยาก็ทำกัน ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมยิ่งใหญ่อย่างที่ชาวโลกเขาทำกันวุ่นวาย และก็ทำอย่างพออาศัย แต่ทำการกสิกรรมนี่เอาจริงเอาจัง จนกระทั่งอาตมาก็ภาคภูมิใจที่เราเป็นผู้พากเพียรทำให้เกิดอาหารที่ดี ให้เป็นอาหารที่มีทั้งคุณภาพดี ไม่มีพิษภัยไม่มีสารเคมี จนกระทั่งเป็นกสิกรรมไร้สารพิษ อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกเราตั้งอกตั้งใจทำขึ้นมา จนสำเร็จ เป็นรูปธรรมกิจลักษณะได้อย่างแท้จริง จนกระทั่งกลุ่มอื่นๆในสังคม สังคมทางการทางบริหารก็ยอมรับ เราก็ไม่ได้ยึดถือว่าชาวอโศกเป็นผู้ทำ มันกลายเป็นชื่อของประเทศ ว่าสามารถทำกสิกรรมไร้สารพิษ เป็นกสิกรรมอินทรีย์ เป็นของประเทศไทยดี เราก็ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าเราเป็นคนก่อหวอดคนบุกเบิกไม่ต้องหรอก ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ได้น้อยใจอะไร ที่พูดนี้ก็ไม่ได้ทวง พอเราพูดขึ้น เขาก็ตื่นตัวช่วยกันทำ เลยมีผู้ช่วยกันทำในประเทศไทยเยอะ เพราะชาวอโศกเรามีน้อย คนที่ทำกสิกรรมในประเทศมีเยอะ ชาวอโศกแน่นอนทำอยู่ แต่ก็เป็นกลุ่มน้อย ก็เลยไม่เป็นรูปร่าง จนกระทั่งคนที่เป็นส่วนมากทำ กลายเป็นสินค้าออกอะไรไป ของเราก็ทำแต่เป็นคนกลุ่มน้อย ทำมากที่สุดเท่าไหร่ก็ยังไม่มากสำหรับประเทศไทย 70 ล้านคน มีประชากรประมาณ 40 ล้านคน ของอโศกไม่ถึงล้าน มันจุ๋มจิ๋ม ถูกแล้วอย่างชาวอโศกเป็น แต่เราทำเราไม่ได้มุ่งกสิกรรมอย่างเดียว เรามุ่งที่พฤติกรรมมนุษย์ ความเป็นสังคม อันนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เรามีพฤติกรรมของชีวิต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นพฤติกรรมที่เป็นตัวอย่าง แต่เขาไม่เห็นว่าเป็นตัวอย่าง เขาหาว่าเป็นความสุดโต่ง ที่จริงเราทำได้ดี มาเป็นคนมีพฤติกรรมไม่ต้องมี ไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับอบายมุข กับสิ่งฟุ้งเฟ้อปรุงแต่งหรือแย่งเป็นผลผลิตที่จะต้องได้แลกเปลี่ยนกับคืนมาเป็นของตนเอง หรือจะต้องไปได้ยศศักดิ์ตำแหน่งฐานะทางสังคม อโศกไม่แย่งสักอย่าง ทำอยู่ตามประสา เลี้ยงตัวเป็นหมู่เล็กน้อยของสังคม แต่เราทำเข้าหาแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ และสังคม พวกเราแต่ละคนปฏิบัติธรรมถึงมีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มีวรรณะ 9 อย่างนี้เป็นต้น วรรณะ 9 คือ พวกเราอยู่อย่างเลี้ยงง่าย ไม่เดือดร้อนสังคม ไม่เดือดร้อนพวกเราเอง เลี้ยงง่าย พวกเรานี้ ที่จริง อยู่กันอย่างพวกเราน่าจะเลี้ยงยาก จะกินจะอยู่การแบ่งแจกก็น่าจะยากแต่มันไม่ยากเลยนะ มันง่าย นอกจากเลี้ยงง่ายแล้วรู้จักทิศทางของการเจริญ ทำให้เจริญง่าย ลึกซึ้งนะทำให้บำรุงง่ายด้วย เป็นคนอาริยะ เป็นคนที่ไม่มีพิษภัยต่อสังคมเลย ในความเป็นอยู่พฤติกรรม ในความประพฤติไม่เป็นภัยเป็นโทษต่อสังคม สังคมเราจึงเป็นสังคมที่ทำให้คนเป็นคนดีของประเทศของโลก ที่มีขีดขั้นในการทำได้อย่างของพระพุทธเจ้า เป็นอาริยะชนเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอาริยะกันจริง ชาวอโศกเป็นอาริยะกันเกือบทั้งชาวอโศก เป็นโสดาบัน แต่ว่ามันยากที่จะไปแจกแจง ยุคนี้พูดกันยาก แต่เราก็ยืนยันว่าเราเป็น ยิ่งในยุคนี้ถือว่าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าในยุคพระพุทธเจ้า คนเป็นอาริยะเขาเนียนและลึกซึ้งกว่าเรา เทียบยุคโน้นไม่ได้ แต่ในยุคนี้เขาหาคนเป็นอาริยะไม่ได้ แต่เราเป็นได้จึงเป็นเรื่องที่หายาก เราได้ขนาดนี้ อาตมารู้สึกว่า ตัวเองเอาธรรมะพุทธเจ้ามาให้คนในยุคนี้เป็นได้ แต่มันเป็นได้ขนาดนี้ โอ้โห อาตมาจริงๆลึกๆก็ดูเหมือนผยองในฝีมือตัวเอง แต่มันไม่ใช่ มันเป็นสันดานเป็นเชื้อลึกของคนไทย อาตมาเอาธรรมะที่ยากมาพูด พวกคุณก็ประพฤติได้บรรลุได้เป็นสังคมหมู่กลุ่มเลยนะ สัมมาอาชีพอย่างพ้นมิจฉาหมด สัมมากัมมันตะก็พ้นมิจฉา สัมมาวาจาก็พ้นสัมมาสังกัปปะก็พ้น คิดดูสิมันเป็นผลสำเร็จขนาดไหน เถรสมาคมสำนักไหนกล้าพูดเหมือนเราไหม ไม่มีสำนักไหนกล้าพูดอย่างนี้ เราพูดอย่างไม่ได้อวดอ้างไม่ได้อยากโชว์ แต่อยากยืนยันให้คนเขาเข้าใจได้ฟังได้รู้ นี่แหละคือธรรมะของพระพุทธเจ้า นี่คือคนที่เป็นอาริยบุคคลของพระพุทธเจ้า มายืนยันเท่านั้น ไม่ได้พูดอวดโอ่ไม่ข่มเบ่ง เรามีแต่เกื้อกูลช่วยเหลือคนอื่นเขา ไม่มีใจไปข่มเบ่งเขา ด้วยกิริยาทางกายวาจา ฟังวาจาดูเหมือนมี แต่ไม่ข่มเขา พระพุทธเจ้าบอกว่าอาริยบุคคลเป็นแบบนี้ เราไม่มีความหลงในอบายมุข ไม่ไปแย่งชิงในลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรมากมาย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่จัดจ้าน ปรุงแต่งประโลมโลกมอมเมาโลก ยศชั้นสรรเสริญ เราก็ไม่ได้ไปแย่งชิง ความสุขโลกียะเราก็ไม่ได้แย่งชิงสุข เพราะมีลาภมาก สุข เพราะมียศมาก สุขด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราไม่ได้ไปแย่งเขาเลย คุณก็ปรุงแต่งกันไป แต่เราไม่ได้ไปแข่งเด่นดัง ไม่ไปชิงของเขามา ไม่มี เป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างในการได้ผล เราไม่ได้เข้าพรรษาเฉพาะ 3 เดือน เราเข้าพรรษาตลอดชีวิต สรุปตรงนี้ สมณะนักบวชหรือสิกขมาตุก็ตาม เคยออกพรรษาเข้าพรรษาไปที่โน่นที่นี่ไหม ก็อยู่ที่นี่แหละบวชไป นอกจากผู้อยู่ไม่ได้ก็สึก ผู้อยู่ได้ไม่สึก ก็อยู่อย่างนี้ จะเข้าพรรษาหรือจะออกพรรษาจะไปไหน ก็อยู่สถานที่นี่แหละที่พวกเรามี แม้แต่ฆราวาส เราก็มาอยู่ปฏิบัติธรรม อยู่ในอารามอยู่ในอาวาส อยู่ในบวร อยู่ในบ้าน วัด โรงเรียน เราพาให้ปฏิบัติธรรมหมดแม้แต่เด็กเล็กก็ตาม ตัวเล็กตัวน้อยก็พอรู้เรื่องธรรมะกันทั้งนั้น อย่างน้อยคุณก็ซึมซับ เด็กอยู่ในนี้มันเหมือนสนามแม่เหล็กแห่งธรรมะ แล้วคนแต่ละคนก็เหมือนโมเลกุล ส่วนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในสนามแม่เหล็ก มันก็จะมีฤทธิ์แรงปราบพวกเราให้เข้าที่เข้าทาง โมเลกุลหนึ่งคนหนึ่งเข้ามาในนี้ พลังงานในสนามแม่เหล็กแห่งธรรมะที่นี่ มันจัดให้เข้าทิศทางหมด จะมาเกเรเกตุงขวางๆรีๆได้ที่ไหน ที่นี่มีธรรมฤทธิ์ของพลังงานแรงแห่งกรรม ช่วยให้พวกเราเข้าทิศทาง และไม่ได้ทำเฉพาะ 3 เดือน ไม่ได้ทำเฉพาะเล่นๆ แต่ทำตลอด ตลอดชีวิต แล้วก็มารวมกันอยู่อย่างเป็นหมู่กลุ่ม อาตมามาทำงานศาสนาชาตินี้ประสบผลสำเร็จ ที่ทำให้เกิดเอาธรรมะพุทธเจ้ามายืนยัน อย่างที่พูดไปแล้วว่ามีวรรณะ 9 สาราณียธรรมก็ดี จะมีสาราณียธรรมได้ต้องเกิดจากจิตของเรามีพุทธพจน์ 7 มีความระลึกถึงกัน มีความรักกัน เป็นความรักกันลึกซึ้งมิติที่สูงส่ง มีความเคารพกัน พวกเรามาอยู่นี้ถ้าไม่มีความเคารพกัน ไม่มี คุรุกรณะ มันอยู่ไม่ได้หรอกมันจะทะเลาะกัน ขนาดนั้นก็ยัง ง๊องแง๊งนิดๆหน่อยๆ แต่ธรรมดา ไม่ได้หรอกอยู่กันมากอย่างนี้ มันจะแย่งกัน ถ้าเผื่อว่าไม่ลดละได้มากพอ มันก็จะแย่งกัน จะตีกันตลอดเวลาแต่นี่ไม่ มีอยู่ก็อยู่ มีกินก็กิน มีใช้ก็ใช้ และช่วยกันทำสร้าง ไม่เป็นคนไม่ขยันไม่เป็นคนขี้เกียจ หรือหลบเลี่ยงอะไร อาตมาว่าอาตมาทำงานเอาศาสนาพระพุทธเจ้ามาทำจนสร้างหมู่บ้านได้ ไม่ใช่ว่าเราเป็นอย่างเล่น แต่เป็นอย่างเป็นจริงเป็นจังเลย เป็นพฤติกรรมสังคม เป็นวัฒนธรรมของหมู่บ้านนี้ หมู่บ้านเรานี่เป็นเพื่อนของหมู่บ้านข้างเคียง ไม่เหมือนกันเลย แต่คนละศาสนาเราก็ไม่อยากจะเทียบเคียง นอกนั้นก็ศาสนาพุทธหมู่บ้านอื่นๆก็มี พูดไปมากจะกลายเป็นยกตน แต่ก็น่าพูดให้เข้าใจพูดกันให้รู้ว่ามาช่วยกันทำอย่างนี้เถิด มันดีนะ มันดีต่อสังคม มันดีต่อประเทศชาติดีต่อโลก พูดไปอย่างนี้คนก็ไม่ค่อยกระดิกหูแม้จะเป็นเมืองพุทธ ผู้บริหารประเทศไทย หรือเถรสมาคมรู้เรื่องที่ไหน ถึงรู้เรื่องก็ไม่กล้าที่จะยกโชว์ ว่าเป็นตัวอย่างของประเทศนะ ว่า ไทยเรามีหมู่บ้านชุมชนแบบนี้ ที่เป็นสังคมสาธารณโภคี มีวรรณะ 9 วรรณะ 9 คือกลุ่มคนที่มาจน เลี้ยงง่ายๆกินอยู่ง่ายๆ พัฒนาให้เป็นคนเจริญง่าย สุโปสะ มักน้อยกล้าจน มาเป็นคนจน คำว่ามักน้อย โดยไวยพจน์คือกล้าจน มามีน้อยๆไม่เอามาก ตรงข้ามกับมากๆคือ มหัปปิจฉะ คนโลกีย์เขากอบโกยกัน แต่ที่นี่พอ นอกจากไม่มากๆเลยสันโดษ สันตุฏฐิ เราพอ พออยู่พอกินมีเหลือด้วย มีน้อยนะ แต่เหลือ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่จริงมันมีไม่น้อยนะ พูดอย่างไร เป็นสิริมหามายาแล้ว เดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ไม่มีเดี๋ยวก็น้อยเดี๋ยวก็มากมันมีเหลือเฟือ แต่ก็ไม่ได้มีมากจนกระทั่งไปแจกจ่ายหมดให้แก่โลกได้มากมาย เราก็ไม่ถึงขนาดนั้น มันก็สามารถสะพัดออกไปเท่าที่เราทำได้ ช่วยกันอยู่อย่างไม่ได้ออมมือ มีแรงงานมีความสามารถ ทำได้ เราก็ตั้งใจให้มันมีมากขึ้นกว่านี้นะแต่มันยังทำไม่ได้ วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) อโศกเราปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าได้เข้าหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้า มีผลสำเร็จได้จริงๆ ทั้งนั้นที่กล่าวถึง ที่ไม่ได้กล่าวถึงก็อีกเยอะ กล่าวถึงเฉพาะเท่าที่จำได้ อาติ้ว(ปีกรัก) เอาหนังสือธรรมพุทธสุดลึกไปให้พ่อครู … ไม่ว่าหมวด 6 7 8 9 10 11 12 15 16 จนกระทั่งถึง 37 จนถึง 108 เวทนา 108 เอามาให้ทำได้หมดทั้งนั้นเลย อาตมาลองนึกดู พยายามไม่เหนียมตัวเอง ลองนึกดูว่าเรานี่สอนธรรมะพุทธเจ้าเอาธรรมะพุทธเจ้ามาอธิบาย เราอธิบายอะไรบ้างหนอ เราอธิบายทั้งนั้นเลย อย่างเช่นเวทนา 108 จะมีใครมาอธิบายได้ แต่เราก็อธิบายได้ ไม่ใช่แค่ปากเปล่า แต่มีผลของการปฏิบัติได้ด้วย นอกนั้นก็จะมี สู่แดนธรรมว่า… มรรคกับภาวนา พ่อครูอธิบายครบ 37 เลยครับ พ่อครูว่า..โดยเฉพาะโลกุตรธรรม 46 46 คือ 37 บวก 9 โลกุตรธรรม 9 คือ โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรคสกิทาคามีผล อนาคามีมรรคอนาคามีผล อรหัตตมรรคอรหัตตผล นิพพานอีก 1 ส่วนโลกุตระ 31 ก็คือโพธิปักขิยธรรม 37 อาตมาปฏิบัติจนหมด อธิบายกายในกายเป็นต้น ซึ่งศาสนาพุทธเลือนไปหมดแล้ว มีแต่ความเป็นกาย กายไปเข้าใจเป็นเรื่องของดินน้ำไฟลมภายนอกไปหมด อุตุนิยามเท่านั้น กายไม่เกี่ยวถึงจิต อาตมาก็ว่า โชคดีที่มีพระไตรปิฎก ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230 ยังโชคดีที่มีคำตรัสของพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก อาตมาพูด คนก็ว่า กายนี่ต้องสำคัญที่จิต มโน วิญญาณ ไม่ได้ไปสำคัญที่ข้างนอกหรอก พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ในพระสูตรนี้ข้อ 230 ท่านตรัสว่าเรื่องกายภายนอกนี้ มันพิจารณาละหน่ายคลายไม่ยาก แต่ว่า กาย ที่เป็นจิต มโน วิญญาณนี้ ละหน่ายได้ยาก เพราะ กาย มีทั้งดิน น้ำ ไฟ ลมภายนอก ร่างกายเสื่อม มันพิจารณาไม่ยาก แต่ว่าจิตนี้มันเกิดแก่เจ็บนี้ยาก พิจารณาถึง ความไม่เที่ยงในความเป็นทุกข์ความไม่ใช่ตัวตน ร่างกายนี้ มันอายุ 100 ปีก็เหลือ ใครจะอายุเกิน 100 บ้าง ….มีหลายคน คนไม่ยกก็ไม่ถึงร้อย บางคนจะเอาเกิดใหม่ อาตมาพูดถึงคำว่ากาย พูดถึงคำว่าบุญ คำว่าสมาธิ ตอนนี้ก็คำว่า เทวะ คำนี้แหละ เป็นคำเดียวในโลกที่เกี่ยวกับศาสนา เทวะ ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้า เข้าใจเธอว่าคำเดียวนี้รู้จักศาสนาทุกศาสนา ศาสนาเทวนิยมตีไม่แตกคำว่าเทว เขาตีธรรมะ 2 เทวะ แปลว่า 2 สภาวะของเทวะคือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมีกายด้วยก็คือธรรมะสองคือเทวะ เขาตีไม่แตกเขาแยกไม่ออก เขาแบ่งแยก แยกแยะ เอามาอธิบายทำความเข้าใจไม่ได้ แต่พุทธนี้ทำได้ นอกจากแยกแยะแล้วนะ ยังทำให้ ธรรมะสองเป็นหนึ่ง สุดท้ายไม่เหลือธรรมะ ไม่มีอะไร ไม่ทรงไว้ ธรรมะคือความทรงไว้ พุทธสามารถทำได้แม้กระทั่งสุดท้ายธรรมะก็ไม่เหลือสูญหายไปเลย นี่สุดยอดเลย เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นธรรมดาธรรมชาติของพวกเทวนิยมเขาก็มีธรรมะ เทวะนิรันดร เพราะเขาตีไม่แตก สองนี่เขาตีไม่แตก แยกเป็นสามสี่ห้าก็ไม่รู้ ยิ่งจะให้ลด เหลือ 1 เหลือ 0 ก็เลิกเลย แต่ศาสนาพุทธนี้ทำได้ให้เหลือ 1 หรือ 0 หรือจะให้มีนิรันดรก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนคนให้เป็นคนหมดพิษภัยกับโลก กับสังคมมนุษย์ กับโลกเลย ถ้าคุณสูงสุดได้แล้ว คุณหมดพิษภัยต่อโลก ต่อ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามเลย คุณจบ ถ้าคนจะไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เหมือน พระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิม ก็เชิญ จบแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์แล้วไม่เป็นพิษภัยกับใครมีแต่คุณค่าประโยชน์ต่อมนุษย์พุทธเจ้าท่านสร้างคนแบบนี้ และ ศาสนาพุทธนอกจากจะสร้างคนแบบนี้ให้แก่โลกแล้ว ยังสามารถแยกตัวเองแตกตัวเอง ตีแตกตัวเอง ให้สลายสูญ ไม่เหลือความเป็นอัตภาพอยู่เลยในโลกในมหาจักรวาลนี้ ชีวะ ที่เป็นตัวตนของคนนี้เมื่อแยก จะไม่จับตัวอีกแล้ว กลายเป็นธาตุดินน้ำไฟลม เป็นพืชก็ยังไม่เป็นเลย เป็นแบบพวกหลงผิด ตายแล้วยังไม่ยอมตาย กลายเป็นมนุษย์พืชไม่เน่า เขาเสียอาหารให้อยู่ใน ICU มันก็จะอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าตายแล้วไม่เสียบอาหารก็ไม่เน่าได้ อาตมาอธิบายได้ แต่มันเมื่อย แยกแยะลำบาก กว่าจะเข้าใจ พวกเรานี้มาเข้าพรรษากัน ใครจะออกพรรษาบ้างยกมือ …ไม่มีใครยกเลย…พวกเราก็ไม่ได้เข้าใจว่าต้องออกต้องเข้าอะไร …จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin24 ตุลาคม 2018 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:611022_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 21NextNext post:611024 วิถีบวร 1 ใน 1000 ชาวอโศกไม่มีออกพรรษา เพราะเข้าพรรษาตลอดชีวิตRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024