611028_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอน ทำ 2 ใน 1 ทำ 1 ใน 2 ได้ต้องทำลายเทวะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1pjfR6ezekv6eMK6zwA69RdXevEsiiS4W4krys_gXuBE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=11BPNc77PNm61A_PoxSKx0a5lAHG8rZhQ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก มาโลกียะก็พาไปหาสวรรค์หาความสุข แสวงหานรก แต่มาโลกุตระ ตีนรกตีสวรรค์แตก มีแต่ความว่างเบาสบาย โลกุตระทำสวรรค์ให้หมดไปนรกก็หมดไปด้วย
พ่อครูว่า…ทำปัญญาให้แจ้งว่าสวรรค์ก็เก๊ ก็ลวง ทำปัญญาให้เข้าใจจริงๆว่าสวรรค์ก็อย่างนี้นรกก็อย่างนี้
สมณะฟ้าไทว่า…คนมาอยู่ในแดนโลกุตระก็อยู่อย่างเบาว่างสบาย
พ่อครูว่า…ไม่มีความเป็นเทวไม่มีความเป็นสองมีแต่ความเป็นศูนย์
สมณะฟ้าไทว่า..คนโลกียะมีพุงเหมือนคนใกล้คลอด ดูหน้าพวกเราก็เหมือนไม่มีภาระอะไร เสื้อผ้าก็ไม่เป็นภาระ ดูที่เท้าก็สบาย ไม่ใส่รองเท้านอกจากจำเป็น เราไม่เป็นภาระไม่ยึดมั่นถือมั่นก็สบาย แต่ก่อนไม่มีนกร้องแต่มาตอนนี้มีนกร้อง อยู่กันอย่างผาสุกสบาย อาหารการกินอุดมสมบูรณ์สะพัดไปสู่ผู้อื่นได้ ปกติหน้าเจต้องซื้อมะละกอจากตลาด แต่ปีนี้ของเรามีเหลือเลย แสดงว่า การแสดงธรรมของพ่อครูประสบผลสำเร็จทำให้คนลดกิเลสได้ไม่ว่าจะไปเทศน์งานไหนก็แสดงธรรมให้คนลดละกิเลสอย่างเดียว
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องหลักไงลดละกิเลส ทำตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วกิเลสก็ลด ปัญญาก็เกิดขึ้นเยอะด้วย มันจะเกิดคู่กันเลย กิเลสลดปัญญาเกิด ไม่ใช่ว่ากิเลสลด ถูกกดข่ม แต่ไม่ได้เกิดปัญญาไม่ได้เกิดความกว้างขวางไม่ได้เกิดการรอบรู้ไม่ได้เกิดการรู้โลกรู้อัตตา ของพุทธ รู้ทั้งโลกที่ปรุงแต่งกัน รู้ทั้งตัวเอง แล้วก็ทำความไม่ดีทำความบกพร่องให้หายไป แล้วเป็นประโยชน์ต่อโลกทำให้เทวที่เป็นสองเหลือเป็นหนึ่งได้ เป็นความสำเร็จที่ถูกสัดส่วน ไม่มีอะไรถ่วง ได้สมดุล ได้สัจจะ
สมณะฟ้าไทว่า…เราก็ต้องศึกษาจากพ่อครูต่อในรายละเอียด
พ่อครูว่า…ละเอียดมาก อาตมาก็ยังรู้ไม่ครบ ก็ต้องพยายามไม่ให้ตกหล่น
สมณะฟ้าไทว่า…ภาษาตรงกับสิ่งที่เราทำได้และเคยสงสัย มันกับเราลดละกิเลสคำว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และมีอเนญชาภิสังขาร มันกิเลสหมดแล้วทำไมมีต่อ
พ่อครูว่า..เพื่อความมั่นคงแนบแน่นเป็นสัจจะสมบูรณ์แบบ
สมณะฟ้าไทว่า…แสดงว่าอย่าประมาทนะ ก็เลยต้องทำให้เราต้องศึกษาต่อตามเหตุปัจจัยต่างๆ
พ่อครว่า..ปิดประตูความเสื่อมตามเลย ปิดประตูความตกต่ำอย่างเต็มรูปเลย
สมณะฟ้าไทว่า..สุดท้าย เป็นอิสระเสรีภาพ พวกเราก็ค่อยๆลด ลากไปจนถึงจุดสูงสุดให้ได้
พ่อครูว่า…ขอแวะแทรก ตัวเองในฐานะโพธิสัตว์ระดับ 7 ระดับ 7 เป็นระดับที่เที่ยงแท้เรียกว่านิยตะไม่ยึกยักลงมาข้างล่างอีกเลย อย่างไรอย่างไรก็เด็ดขาด ไปข้างบนถ่ายเดียว นิยตะแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาจึงรู้สภาวะธรรม รู้ความจริงทั้งจิตตัวเอง และมันรู้สิ่งที่มันยากก็คือว่า เราปฏิบัติกายกรรมวจีกรรม อนุโลมให้คนอื่น เป็นภาวะรูปธรรมที่มันดูไม่สวย แต่ว่า ตัวเองอาตมาเอง จิตอาตมาไม่ได้เป็นร่วมด้วย แต่อาตมาจำเป็นต้องมาทำความสัมพันธ์ มาทำความสะอาด มาทำการอยู่ร่วมกับระดับล่าง เหมือนกับเรายังร่าเริง เข้ากับเด็กได้โดยเด็กไม่รู้เรื่อง แต่ก็ทำเหมือนเด็กๆรู้เรื่องภาษาเขา รู้เรื่องความต้องการของเขาอย่างสอดคล้องไปด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นอันนี้แหละ ข้างนอกกายกรรมวจีกรรมเหมือนเราอนุโลมทำร่วมกับเขา แต่ใจเราไม่ได้ลดลงมาเลย เขาไม่รู้ใจเราได้ เขาไม่ได้หยั่งรู้ใจเรา เราไม่ได้มีหรอกสิ่งเหล่านี้ เหมือนเราต่ำแต่ใจเราไม่ได้ต่ำ เราพูดอย่างไรเขาก็ไม่รู้หรอกเพราะเขาเข้าใจไม่ได้ เขาจะมารู้จิตเราได้อย่างไร เขารู้ได้แต่การแสดงออกทางกายวาจาอย่างนี้เป็นต้น
มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นสิริมหามายาเป็นความซับซ้อน ไม่มีบอกว่าไม่มีคือใจไม่มีลักษณะนี้ แต่ไม่อย่างที่เห็นนี้ แล้วบอกว่าไม่มี มันก็เลยขัดแย้งเขาก็ไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร อาตมาเข้าใจอาตมารู้
คนไม่มีภาวะสิ่งนี้แต่ต้องประพฤติอาการกิริยากายวาจาสิ่งนี้อยู่ เราไม่มีกิเลสร่วมเลย เขาก็ไม่รู้ เขาก็ไม่สามารถที่จะเชื่อถือ เลยดูเหมือนกลายเป็นคนหลอกลวง ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยกตนข่มท่านเขาก็ยิ่งไม่ชอบ
ขอเข้าที่ sms ก่อน
Sms 611026
_1614 การตอบแทนบุญคุณไม่ได้อยู่ที่การปรนนิบัติ หรือการรับใช้อย่างเดียว การให้โอกาสให้ท่านทำบุญหรือกุศล และรู้จักอนุโมทนาในความดีที่ท่านได้ทำไว้แล้ว คือการช่วยสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่สำคัญมาก .. พระอาจารย์ชยสาโร
พ่อครูว่า..ความจริงแล้วของพุทธเจ้าไม่ต้องไปหาโอกาสไม่ต้องไปให้โอกาสเพราะโอกาสมีอยู่แล้วทุกคน จะทำบุญหรือทำกุศลด้วยทุกกรรม ศาสนาพุทธอยู่ในทุกกรรมไม่ต้องแบ่งเวลาไปทำกุศล หรือแม้แต่คำว่าทำบุญไม่ต้องแบ่งไม่ต้องแยกเวลา ทุกเวลา ถ้าฉลาดพอ เข้าใจกรรม การกระทำกายวจีอย่างนี้ จิตของเราก็ได้ทำกุศล จิตของเราก็ได้ทำทานจิตของเราก็ได้ทำบุญ อาการกุศลอาการบุญมันเป็นอาการอย่างไร คุณก็ทำอาการนั้นของคุณให้สอดคล้อง พร้อมกับคุณทำกุศลคุณงามความดีทางวัตถุ คุณจะตัดกิเลสในทางวัตถุ ที่คุณทำทานทางวัตถุคุณก็ได้ตัดกิเลส คุณรู้ว่ากิเลสมันมีร่วมอยู่ด้วย แต่คุณก็ได้มีการวิธีทำใจ กดข่มก็ตาม รู้ด้วยปัญญาว่ากิเลสมันสลาย ตามพลังของปัญญามันได้เลยคุณทำได้ไหม อันนั้นต่างหาก เป็นภาวะคำสอนตามความตรัสรู้ของพุทธเจ้าไม่ต้องไปแยกเวลาสถานที่เลย นี่คือของพุทธ เพราะฉะนั้นอาจารย์ชยสาโร ก็มีภูมิอย่างนี้ ยังมีความเป็นเทวนิยมอยู่ ยังไม่มีความรู้ในระดับ2 in 1
2ใน1 1ใน2พร้อมกันเลยอย่างนี้ไม่ต้องไปแยกเลย ทำได้แล้วได้มากด้วย ได้ตลอดเวลา ไม่ระบุเวลาสถานที่ไม่ระบุโอกาสให้มีสติรู้อ่านแล้วทำได้เลย นอกจากที่มีสติตกไม่พร้อม แต่ถ้าเผื่อว่าผู้ที่ทำได้แล้วเวลาทำตลอดเวลาก็มีสติ
อย่างอาตมาเวลามีความคิดนึกอยู่ เวลาจะนอนเป็นต้น บางทีก่อนนอนและตอนนอนก็ต่อเนื่องกันไป หลับไปก็คิดเรื่องเดียวกันไป บางทีตื่นขึ้นมา ก็จดไว้ เพราะเป็นเรื่องยาวต่อเนื่องเป็นเรื่องดีเดี๋ยวมันจะลืม
เป็นภาวะที่สติแข็งแรงแล้วเรื่องราวจะต่อเนื่อง แต่คนสติไม่แข็งแรง การหลับก็จะต้องตัดจากภาวะที่มีทวารทั้ง 5 ภายนอกมันคนละเรื่องกันกับภายใน เวลาหลับมันคนละเรื่องกับตอนที่คุณตื่น อาตมาจะต่อก็ได้จะตัดก็ได้ หยุดคิดหยุดตรงหลับตัดก็ได้
นี่ก็ให้เรียนไป คือ การเรียนของพุทธ อาตมานั้นยกตนข่มท่านเยอะ เพราะท่านไม่รู้จริงๆว่าศาสนาพุทธที่พูดอยู่นั้นเป็นโลกีย์ในทั่วไป มีการแยกเวลาแยกสถานที่ ศาสนาพุทธนั้นเดินมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติธรรมในขณะทำงานอาชีพสัมมาอาชีวะ แม้แต่การกระทำสัมมากัมมันตะแม้แต่การพูดอยู่ ในขณะคิดอยู่ไม่ได้แยกเวลาเลย อันนี้แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
สรุปลงเหลือที่ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ไปที่หัวใจของศาสนาพุทธ มันจะมี 2 มีเทวะคำว่าเทวะนี้ยิ่งใหญ่ คำว่าเทวะพยัญชนะแปลว่า 2 สภาวธรรมก็คือจิตวิญญาณสองให้เป็นหนึ่ง ถ้าศาสนาพุทธจิตวิญญาณ 2 ไม่รู้เลย ยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว และ จะทำให้เป็น 0 ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธนี้เทวดาจึงได้ตีแตกแยกได้จัดการได้ 2ทำให้เหลือ 1 แล้วก็ทำให้เป็นศูนย์ได้ นี่คือความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ รู้จักเทวะ ทำให้เทวะเป็นหนึ่งเป็นศูนย์ได้ จนกระทั่งสามารถอย่างเช่นพระอรหันต์ทำให้จิตเป็นหนึ่งได้ทำให้จิตเป็นศูนย์ได้ ในภาวะที่ยังไม่ตาย ตายแล้ว จะตายยังหนึ่งหรือตายอย่างสูญก็อีกเรื่อง
ขอถามความรู้ ; คุณว่าอาตมาตายอย่างสูญหรือตายอย่างหนึ่ง? …ตายอย่างหนึ่งคือยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อาตมายังตั้งจิตต่อพุทธภูมิ ยังตั้งจิตเป็นหนึ่งไม่เป็นศูนย์ ทำศูนย์ได้หรือยัง อรหันต์นั้นทำสูญไปแล้ว นี่พูดกับเถรวาทยาก เพราะไม่รู้จักจุดนี้ มหายานนั้นเรียนโพธิสัตว์ เถรวาทไม่รู้เรื่อง อาตมาพูดมา ย่าง 48 ปี ก็ต้องพูดไปอีก
คนที่หัวแข็งดึงดันไม่ยอมรับอาตมา เขาก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติม แต่ถ้าไม่หัวแข็งไม่ดื้อด้าน พยายามเปิดจิตรับฟังบ้างก็จะได้ ยิ่งคนที่เข้าใจแล้วอันนี้มันเป็น 2 ทำให้เป็นหนึ่งอย่างไร เขาก็จะรับประโยชน์มาก
_3867 สมณะพูดถึงงานศพฯวันนี้ผู้น้อยไปงานศพเพื่อน!เพื่อนที่ผูกพันกันมาม.1ถึงม.6จนไปจบเทคนิคฯมหาลัยฯ ทำมาค้าขายก็ยังไปมาหาสู่กัน!รวมมิตรภาพพบปะปีละหน!แปรใจทุกข์อาลัยรักเป็นจิตสงบปลงมรณัสสติ!สักวันเราก็ต้องเป็นเช่นนั้น! จำธ.พ่อครูสอนอภิณหปัจจเวกขณ์ฯเราต้องพลัดพรากจากคนที่รักของที่ชอบใจทั้งสิ้น!วันคืนผ่านไปเราทำอะไรอยู่?ยังตนอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญาให้บริบรูณ์ด้วย ความไม่ประมาทเถิดสาธุ!
พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆทวน คนฟังธรรมะแล้วจำได้ก็เอามาทบทวนมาทำรายงานทำรายงานส่งดีมาก ผู้ใดศึกษาแล้วก็มีการทบทวนทำรายงานมีการบ้านส่งครูอยู่ก็ดี ครูก็สอนไปจะได้รู้ว่าไม่ได้เปล่าได้มีคนรับรู้ได้เข้าใจได้ มันก็เป็นประโยชน์แก่กันและกัน
พ่อครูว่า..มาต่อ อาตมาอธิบายมาถึงวันนี้แล้ว เอาบุคคลต่างๆ เข้ามาไล่เรียงดู อธิบายกันดู มีรายละเอียดลึกซึ้งมากในความเป็นบุคคล (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูเทศน์ไปนี้ถ้าไม่ตั้งใจฟังจะไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเป็นเรื่องยาก พระไตรปิฎกใช้คำว่า เงี่ยโสตสดับฟัง
พ่อครูว่า…เอาใจใส่เต็มที่เลย
ในเอกกนิทเทส พระพุทธเจ้าท่านได้แยกคน แยกความแตกต่างของคนนี้เอาไว้ถึง 41 ขั้น
อาตมาจะอ่านหัวข้อให้ฟังก่อน
-
บุคคลที่ 1 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะบางอย่างสิ้นแล้ว
-
บุคคลที่ 2 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะทุกอย่างสิ้นแล้ว
-
บุคคลที่ 3 บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เพราะมีความประมาท
-
บุคคลที่ 4 อกุปปธัมโม คือ มีธรรมะอันไม่กำเริบ เพราะไม่มีความประมาท
-
บุคคลที่ 5 บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม เพราะมีความประมาท
-
บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม
-
บุคคลผู้ควรโดยเจตนา
-
บุคคลผู้ควรโดยการรักษา
-
บุคคลที่เป็นปุถุชน
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคล โคตรภูบุคคล
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้งดเว้นเพราะกลัว
-
บุคคลผู้ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผล
-
บุคคลผู้ควรแก่การบรรลุมรรคผล
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้เที่ยงแท้
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ
-
บุคคลผู้ชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล
-
บุคคลผู้ชื่อว่า ผู้ทำให้แจ้งซึ่งปรินิพพาน
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลเป็นอริยะ
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลเป็นเสขะ
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลมีวิชชา 3
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้มีปัญญา 6
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้มีสัมมาสัมพุทธะ
-
บุคคลผู้ชื่อว่า บุคคลผู้เป็นปัจเจกพุทธะ
-
บุคคลชื่อว่า อุภโตภาค
-
บุคคลผู้ชื่อว่า ปัญญาวิมุติ
-
บุคคลผู้ชื่อว่ากายสักขี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ
-
บุคคลผู้ชื่อว่าสัทธาวิมุต
-
บุคคลผู้ชื่อว่า ธัมมานุสารี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า สัทธานุสารี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า สัตตัก
-
บุคคลผู้ชื่อว่า โกลังโกละ
-
บุคคลผู้ชื่อว่า เอกพีชี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า สกทาคามี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า อนาคามี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า อันตราปรินิพพายี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า อุปปหัจจปรินิพพายี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า อสังขารปรินิพพายี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า สสังขารปรินิพพายี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า อุทธังโสตอกนิฏฐคามี
-
บุคคลผู้ชื่อว่า โสดาบัน ชื่อว่าปฏิบัติให้แจ้งเพื่อโสดาปัตติผล
ฟังแล้วเหมือนยาก เราจะเอาภูมิปัญญาที่ไหนไปทำ แต่ว่าทำได้ คนที่ไม่เชื่อว่าสามารถทำได้ก็จะตกต่ำ คนที่พยายามแสวงหาความจริงพิสูจน์ให้ได้ โดยไม่ต้องไปแย่งลาภกับเขา แม้แต่จะสุจริตชนก็ยังไปเอาเปรียบเขาแย่งกับเขาอยู่ กิเลสมันก็ยิ่งอ้วน เพราะว่า สมใจในกิเลส คุณไม่ยอมเสียสละไม่ยอมลดกิเลส คนที่มีปัญญารู้ว่ากิเลสมันหมดเราเสียกิเลสไปนี่แหละ กิเลสเราลดนี่แหละมันดี คนมีปัญญาก็เข้าใจ แต่คนไม่มีปัญญาก็เสียไม่ได้ขาดทุนได้อย่างไร โลกุตระบุคคลกับโลกียะบุคคลต่างกัน
เมื่อตั้งสติฟังก็จะเข้าใจ แต่คนเราเมื่อเป็นไปตามโลกก็จะไปเป็นบุคคลโลกียะ จะมาเป็นบุคคลโลกุตระไม่ใช่เรื่องง่าย
ผู้ที่ยังมีจิตตั้งมั่น มีสติแข็งแรงพอที่จะ พยายามปฏิบัติ สัมผัสอยู่ในสังคมนี้ ต้องพยายามให้เป็นโลกุตระบุคคลเป็นอาริยบุคคลให้ได้ ได้มากได้น้อยก็ต้องมีสติรู้ตัว ไม่ใช่ว่าเรากินๆไป ขอรู้ตัววันหนึ่ง กว่าจะรู้ตัวก็รู้แค่สองที 5 ที นอกนั้นเป็นโลกีย์หมด กระทบสัมผัสแล้วเราได้ตั้งจิตพัฒนาให้เป็นโลกุตระบุคคลเป็นอาริยบุคคลบ้างหรือไม่ หรือล่องลอยไปกับโลกียไป หาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างเต็มรูปอย่างนั้น ไม่ได้ตรวจสอบเลยว่าคนเราต้องปฏิบัติอย่างนี้ อย่างที่อาตมาพูดเขาไม่เข้าใจ
ปฏิบัติธรรมจะต้องไปสิ พาไปวัดวาไปนั่งสวดมนต์ ประเภทอาจารย์ที่บอกว่าเก่งพูดให้ฟังก็ไป คนนี้ฟังดี เหมือนกับฟังร้องเพลงเพราะ ได้ถูกรสนิยม มันก็ไม่ได้โลกุตระ
คนจะมาเอาโลกุตระ ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งสวดมนต์นั่งท่องบ่นอะไร ปฏิบัติอะไรอย่างนั้นไม่ได้ชัดเจนในสภาวะและเข้าใจอย่างมีลำดับ มันไม่เป็นอย่างนั้น มันจึงไม่ได้ผล ไม่ได้มรรคผลเท่าไหร่
อาตมาคงไม่ต่อแล้วไม่อธิบายรายละเอียด 41 อย่างนี้ บุคคลที่แตกต่างในฐานะ ถึง 41 สภาวะ และมาสรุปผลเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ + เข้าไปอีกเป็น 45 ครบ เอกกนิทเทส อาตมาคงไม่มีปัญญาพอ อธิบายพอได้แต่ไม่อยากฝืนดีกว่า มันละเอียดเกินไป มาเอาอย่างนี้
เอาแค่ โสดาบัน เพราะทุกวันนี้เขาไม่เริ่มต้นตรงนี้เลย เขาไม่เริ่มต้นโสดาบัน เขาไปเริ่มต้นอะไรก็ไม่รู้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิแล้วจะได้อรหันต์เลย มันไม่ใช่ มันไม่ได้เป็นหรอก ยิ่งไปนั่งหลับตาไม่มีในสารบบของศาสนาพุทธ จะพูดอีกเท่าไหร่เขาก็ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเขาหลงในสิ่งที่เขาเชื่อว่านั่งหลับตา เขาไปหลงผิดว่า อานาปานสติไง พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่ให้ทำอานาปานสติ ขอยืนยันว่าอานา อาปานะ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายความว่าให้คนไปนั่งหลับตาดูลมหายใจเข้าลมหายใจออก ไม่ใช่ แต่ในยุคพระพุทธเจ้านั้นท่านอุบัติขึ้นมาคนก็หลงผิดแบบนั้น นั่งดูลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น ก็ทำกันเต็มไปหมด พูดอะไรกันไม่รู้เรื่องหรอกว่าอย่าทำอย่างนั้น ท่านจึงจำนนท่านจำยอม เอ็งจะนั่งหลับตา ตั้งสตินั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นอยู่ในราวป่า วา นั่งในถ้ำ อยู่ในที่แจ้งลอมฟาง วา คืออย่างนี้ก็ตาม ก็เพราะจำนน คนเขาทำอย่างนี้เต็มบ้านเต็มเมือง
เมื่อท่านมาสอนให้ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้มาลืมตาปฏิบัติในขณะทำการงานอาชีพเลี้ยงตน ไม่ต้องไปแยกเวลาไม่ต้องไปแยกสถานที่ ไม่ต้องไปแยกกรรมการงาน ในขณะนี้แหละมีสติสัมปชัญญะ เกี่ยวข้อง อ่าน กาย อ่านวาจา อ่านจิต โดยเฉพาะอ่านเข้าไปถึงจิต ให้รู้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ว่ามีกิเลสร่วมมาในจิตไหมแยกให้ออกตีให้แตกในเทว 2
จิตที่มีอะไรร่วมปรุงแต่งเป็นภาวะธรรมะ 2 แยกกิเลสออกจากจิตให้ได้ แล้วก็กำจัดตัวนี้ ด้วยการทำปัญญาให้แจ้งเหนือกิเลส กิเลสเอ็งเป็นผีหลอกไม่ใช่ตัวจริงเอ็งอย่ามาหลอกข้าเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราหักเรือนยอดของเอ็งได้แล้วมาร อย่ามานั่งสร้างบ้านเรือนอะไรอยู่ในจิตของเราเลย.. ไป ทำลายทิ้งหมดแล้ว อย่ามานั่งสร้างอะไรอยู่ในนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้เป็นนิทานเป็นวัตถุเป็นตัวตนให้ฟัง เราทำลายทุกอย่างของมันแล้วมันไม่มีฐานที่ตั้งของกิเลสของมาร ไม่มีแล้วในจิต
ผู้อ่านตักกะ สังกัปปะออก แยกกิเลสออกจากจิตได้ แล้วมีวิธีทำให้เกิดพลังงานปัญญามีฤทธิ์เป็นไฟฌาน ทำให้กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ทำให้จางคลาย แล้วทำให้ดับ เป็นนิโรธานุปัสสีแล้วทำอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำให้กิเลสดับนิรันดร ไม่ใช่มีเทวนิรันดรเหมือนเทวนิยมแต่ทำให้เป็น 0 ได้อย่างนิรันดร
เทวนิยม จำนนต้องเป็นนิรันดร เพราะทำให้เป็น 0 ไม่ได้ จะมีอยู่ในโลกนิรันดรเขาตีเทวไม่ได้ตีเทวไม่แตก เขาจึงมีเทวนิรันดร ส่วนพระพุทธเจ้านั้นหมด เมื่อผู้หมดแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ก็มีแต่ 1 กับ 0 อยู่กับ 2 อนุโลมอยู่กับพวกคุณอยู่กับชาวโลกที่ต้องมี 2 3 4 5 มีร้อยมีพันมีล้าน เราก็อยู่กับเขาได้ จะเข้าใจเขาว่าเขาก็ต้องมี เราไม่ต้องมีกับเขาแล้ว แต่เราต้องทำอยู่กับเขาให้เขาดีขึ้นมา อย่างน้อยอย่าให้เขาไปทำร้ายทำชั่ว ให้เขาทำแต่ดี ช่วยเขา เราก็มีหน้าที่ช่วยเขา ตนเองเราหลุดพ้น ทำสำเร็จแล้วตนเองหมดทุกข์
ศาสนาพุทธถึงขั้นเป็น0ทำ0ให้เป็น แยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามได้ จิตทำลายเป็นอุตุนิยามแม้แต่พีชะก็ไม่ให้เหลือ คนที่ยังมิจฉาทิฐิอยู่ก็ไปนั่งสะกดจิต ทำให้จิตเป็น พีชะ ตายแล้วไม่เน่า พวกนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบมีมิจฉาทิฐิเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าตายคือตายเกิดคือเกิดไม่เหลือซากอะไรตายคือตายสูญได้ แยกธาตุน้ำ ไฮโดรเจนกับออกซิเจนแยกได้ขาดเลยไม่เป็นธาตุน้ำเหลืออีกเลย กลายเป็นแก๊สเป็นออกซิเจนเป็นไฮโดรเจนไปเลย อย่างนี้เป็นต้น ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้น จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดลออลึกซึ้งมาก
คนที่ยังตีไม่แตกเรื่องเทว ตีไม่แตกเรื่องธรรมะ 2 ที่อาตมาเห็นว่าในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 เทวธัมมา เป็นเรื่องยอดหัวใจของศาสนาทุกศาสนาในโลก แต่ในโลกนี้เขาไม่สามารถเรียนรู้ได้ เพราะว่าเป็น อเวไนยสัตว์ ศาสนาเทวนิยม ผู้ที่มีบารมีเข้ามาได้ยินคำสอนของพระพุทธเจ้าแม้แต่เป็นชาวเทวนิยม มีภูมิรู้ว่า มันแตกต่างจากเทวนิยม เทวนิยมจบที่เทวะนิรันดรตีไม่แตกตลอดกาล ก็อยู่ไปอย่างนี้นิจนิรันดร แล้วเขาก็แยกไม่ได้เข้าใจไม่ได้แยกเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 เขารู้เรื่องที่ไหนกัน ขนาดชาวพุทธยังไม่สอนกันเลย ชาวพุทธทุกวันนี้มีใครสอนบ้าง สํานักอโศกนี้สำนักเดียวมั้งที่สอนอธิบายกัน ยังมีรายละเอียด แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ยังอธิบายเวทนา 108 ยังไม่มากมายเท่าไหร่ อาตมาพยายามตามหาคำอธิบายในพระไตรปิฎก ก็ได้เอามาขยายความว่าต้องแยกเป็น 2 คำว่าสองนี้แม้แต่คำว่า 2 คือ 1 เทวะคือตัวมันเองก็มีสอง มีสภาวะเรียกว่า ธัมมา เทวะนี่แปลว่า 2 ธรรมะคือมีสิ่งทรงไว้สิ่งหนึ่ง ธรรมะ 2 นี้ มีกาย
กายคือรูปกับนาม อย่างคนมีรูป มีสิ่งหนึ่งปรุงแต่งกันมาจากอุตุนิยามเป็นพีชนิยามแล้วมีจิตนิยาม พีชะ กับอุตุยังไม่ใช่นาม ธาตุรู้พีชนิยามไม่เป็นธาตุรู้ที่มีบาปบุญ รักชัง ผลักดูด มี ISH ของมัน แต่ไม่ไปเบียดเบียนทำร้ายสิ่งอื่น มันมีแต่ตัวตนสร้างตัวตนมันอย่างเดียว ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่างที่นี่มันสร้างตัวเองได้เก่ง ดูสิมะเขือมันสวยจริงๆ มันงามสวย เห็นแล้วน่ากิน ไม่ใช่ลูกไม่สวย คนทำให้มันได้สัดส่วนดี เป็นเรื่องลึกซึ้งอจินไตย ไม่ใช่แค่วิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นหลักจิตศาสตร์ วิญญาณด้วย เป็นธรรม 2
ธรรมะสองจึงยิ่งใหญ่ที่สุดถ้าใครเข้าใจจบเรื่องเทว แล้วจัดการตีแตกแยกแยะ distinguish ตีแตกได้ชีวิตนี้ก็จะเป็นอรหันต์ได้
พูดไปแล้ว เหมือนยกตนข่มเทวนิยม แต่ที่จริงแล้วเป็นความรู้ที่เอาไปให้ ผู้ที่เป็นลัทธิยึดมั่นถือมั่นในคำสอนศาสดาแล้ว เราก็ไม่ไปละลาบละล้วง ใครจะมาเอาอันนี้ก็มาเอาเอง เป็นอิสระเสรีภาพให้มาศึกษาได้ หากสนใจ เห็นว่าเข้าท่าก็ไม่ว่าอะไร จะกลับไปเป็นเทวดาเดิมก็ไม่มีปัญหาอะไร มีอิสระสำหรับชีวิต
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่สูงสุดยอดเลย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจปัญหาทางด้านการเมือง แก้ตกหมด อย่างชาวอโศกนี้แก้ปัญหาตกหมด อย่างอาตมาเป็นผู้นำชาวอโศก อาตมาไม่เห็นว่าอะไรเป็นปัญหาเลยมีแต่ปัญญามีแต่ความเข้าใจทั้งนั้น พวกเราก็จะรู้สึกตัวเองว่ามันไม่เป็นปัญหาหรอก เป็นแต่เพียงว่าระวังตัวเองให้ดีอย่าไปยกตนข่มเขาอย่าไปทำดีข่มเขา เรารู้มากกว่าเขาว่างั้นเถอะ บางทีเราก็ไม่จำเป็นจะต้องแสดงตัว หรือแสดงว่ารู้พอกันหรือน้อยกว่าได้ แต่ไม่ใช่เสแสร้ง ทำทีให้เขาเข้าใจผิด ไม่ดี แต่ให้รู้ว่าเราพอจะรู้ให้ดีที่สุด แล้วก็คุยกัน โอภาปราศรัยสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ให้เขาดูเองว่าเรามีอะไรที่ดีเขาจะมีปฏิภาณรู้เอง
ศาสนาพุทธ ในความเป็นจิตวิญญาณของศาสนาพุทธจะไม่เป็นปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมืองเรื่องสังคม
สรุปแล้วความรู้เรื่องจิตวิญญาณ คือ
1.ผู้สามารถทำจิตวิญญาณให้มีอิสระเสรีภาพได้
2.ไม่มีอัตตา
-
รู้ความจริงตามความเป็นจริงสามารถจัดการกับจิตวิญญาณได้จนไม่มีอัตตาจริงได้จึงจบสรุป