611102_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกไม่ใช่กระฎุมพีแต่คือเศรษฐีผู้เจริญ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ur4GWjny6nVtaDbKHEOyF5ims9bvsY1N2ZrQGiLcliE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1GT_bkYnKVV1Wxo9AkQXVf-Am0uIoWI-F
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ข่าวแรกที่จะบอกก็คือที่บ้านราชฯอากาศหนาวควรเตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย
ข่าวที่ 2 คือที่คุณใบฟ้า ส่งข่าวว่า ท่านยุทธฯจะลงมาที่ผาธรรมนั้น ไม่เป็นความจริง
เราจะเข้าสู่งานมหาปวารณากัน เริ่มวันที่ 6 พ.ย. นี้ งานเริ่ม 6-10 พ.ย. 2561
งานนี้เราจะมีร้านพิสูจน์จิตอาสา ขายสินค้าราคาเท่าทุน (ไม่ได้คิดค่าแรง) มีร้านอื่นๆอีก เช่น ห้านนี่มี๊ซือนะ ร้านศิษย์เก่า ที่จะขายสินค้าเท่าทุน ส่วนร้านปันกัน เช็คสต๊อกไม่เสร็จก็ยังไม่ทันขาย
งานมหาปวารณาเราจะมาเสียสละ ขาดทุนคือกำไรตามที่ในหลวงร.9 ได้ตรัสไว้ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนจนนี่แหละจะเป็นผู้ให้ได้มากกว่าคนรวย
พ่อครูว่า…SMS
_4155 กราบอนุโมทนา..สาธุกับท่านยุทธวโร ที่ลงอารามภูฟ้าผาธรรมค่ะ / อุบาสิกาน้อมอภัย ค่ะ
_3867 พ่อครูใช้ขดลวดที่ขยายออกเป็นรูปกรวยประกอบธ.มัชฌิมาเห็นภาพชัดเจน!ปลายกรวยบานที่ปุถุชนหลงไปทางนามริยาสู่โลกียะกว้างออกไปหาเนกขัมมสิตโทมนัส!
_โพธิปัก ขิยธรรม · ขอนอบน้อมพ่อท่านโพธิรักษ์ที่มีความอาจหาญกล้าวิจารมหาเศรษฐี.
พ่อครูว่า…อาตมาก็แสดงธรรมะไปตามสัจธรรม เศรษฐีในความหมายของโลกใบนี้เขาหมายถึงความร่ำรวย ที่จริงคำว่าเศรษฐีหมายถึงผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐจะไม่ร่ำรวย ความร่ำรวยภาษาเรียกว่ากระฎุมพี
เศรษฐีคือผู้มีธรรมะผู้ที่มีธรรมะจะไม่สร้างตัวเองให้รวย พระพุทธเจ้าท่านจากเดิมเป็นเจ้าชายก็ทิ้งสมบัติออกมาเป็นประชาชนเลย นี่คือ คนเป็นเศรษฐีเป็นเศรษฐกิจที่เยี่ยม มาเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่ไม่ขาดแคลน เป็นคนจนที่ไม่เป็นหนี้ เป็นคนจนที่มีคุณค่าประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความลึกซึ้งเป็นคนมีคุณวิเศษ มีความรู้พฤติกรรมที่เจริญอย่างแท้จริง
ถ้าโลกไหนสังคมไหนประเทศไหน สามารถสร้างคนให้เป็นเศรษฐีแบบนี้ ไม่ใช่สร้างคนให้เป็นกระฎุมพี แบบนั้นไม่เข้าท่า ยิ่งเป็นประเทศที่แย่ คนที่สร้างกระฎุมพีให้มากมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมาก รวยกระจุกจนกระจาย จึงเป็นประเทศที่ยากลำบากเศรษฐกิจ ฉิบหาย เศรษฐกิจเสื่อม บ้านเมืองไหนก็แล้วแต่ที่ทำให้คนรวยมากจะเป็นอย่างนั้น ศาสนาพุทธพิสูจน์ได้ชัดเจนในเรื่องความรวยความจน เรื่องที่จะสร้างฐานะไม่สะสมเงินทอง อยู่ในวรรณะ 9 ยืนยันเลย เป็นคนไม่สะสมและยอดขยัน เป็นคนที่อยู่รอดได้
สังคมคนจนที่ไม่สะสมนั้นจะอยู่รอดได้ต้องเป็นคนที่เก่งมาก ยิ่งตัวคนเดียวแล้ว ก็ยิ่งเก่งมากถึงจะอยู่รอดได้ แต่อย่างเรานี่สบายมาก เป็นสาธารณโภคี พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ป่วยเจ็บก็มีส่วนกลางดูแลกัน แก่เฒ่าก็มีส่วนกลางดูแล เป็นคนที่ยืนยันสำหรับมนุษยชาติ อย่างที่ชาวอโศกทำได้ ถึงขั้นสาธารณโภคี ยุคนี้สามารถทำให้ฆราวาสเป็นสาธารณโภคีได้ สมัยพระพุทธเจ้าเป็นสังคมยุคทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน มนุษย์ไม่มีสิทธิในทรัพย์สมบัติในการแสดงออก เป็นต้น ยุคทาส ทาสทำด้วยมือเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของเลย ทุกอย่างเป็นของนายทาส แต่ยุคนี้ รู้จักสิทธิมนุษยชนแล้วและไม่เป็นยุคทาสด้วย เป็นยุคประชาธิปไตย ผู้บริหารประเทศที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ก็ไม่ใช่ผู้ที่ยึดในสิทธิเด็ดขาด อย่างเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่ในประเทศในโลกนี้ บรูไน ก็มีกษัตริย์ แต่เขาไม่เดือดร้อน เพราะว่าเขารวยเนื่องจากมีบ่อน้ำมันเยอะ มีบ่อน้ำมันเต็มประเทศ เพราะฉะนั้นทุกคนมีเงินหมด คนที่เกิดอุแว๊ออกมาก็มีเงินแล้ว
ที่อาตมาต้องขยายความ เพราะเป็นเรื่องความรู้ความจริงที่มนุษยชาติเป็นได้ ที่อาตมาอยากจะพูดมากๆ เพราะชาวอโศก เกิดในยุคประชาธิปไตย มีความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ยุคธาตุหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พวกเรามีอิสระเสรีภาพ ยอมเป็นคนจนเอง เต็มใจที่จะมาเป็นคนจนทั้งๆที่เราไม่สิ้นไร้ไม้ตอก แต่ละคนที่มานั่งอยู่นี่ใครไม่มีทางไปบ้าง ไปทำมาหากินไม่รอดก็เลยมาซุกอยู่ตรงนี้ ใครยกมือไม่ต้องอาย ไปไหนไม่รอดหากินไม่รอดมาอาศัยที่นี่กินมีไหม ไม่มีใครสักคน ช่วยตัวเองได้ ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก เราทำมาหากินเลี้ยงตัวเองรอด แต่เข้ามาอยู่ที่นี่มาเป็นคนจน จนถึงขนาดมาอยู่ที่นี่เมื่อมาเป็นสมาชิกชุมชนที่นี่ ทำงานอยู่ในนี้จะกี่ชั่วโมงกี่เดือนกี่ปี ก็ไม่ได้รายได้อะไรเลย รายได้ต้องเข้ากองกลางหมด ตามกฎระเบียบตามแบบแผนของเรา คุณเข้ามาอยู่ที่นี่มาทำงานที่นี่ อาศัยพื้นที่ที่นี่เขาให้คุณอยู่รอด ที่นี่มีวัฒนธรรมเช่นนี้ ชาวอโศกมีวัฒนธรรมทำงานแล้วเอาเข้ากองกลางหมด
เราทำอยู่อย่างนี้มีอิสระเสรีภาพในตัวเองก็ยังมาทำได้แบบนี้ สละแรงงาน ความรู้ความสามารถของเราแต่ละวัน ก็เหมือนกับสังคมครอบครัว เป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มันเป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ ภาษาจีนเขาเรียกว่ากงสี เป็นกงสีใหญ่ ทุกคนอยู่กงสีเดียว ใครจะเป็นตระกูลไหน แซ่อะไร ตระกูลอาจจะดีไม่ดี สัญชาติเชื้อชาติอื่นที่ไม่ใช่คนไทยก็มาอยู่ได้ และนี่มีเชื้อชาติไทยสัญชาติไทยก็ยิ่งอยู่ได้
อยู่ที่นี่มีหลักเกณฑ์ขั้นต่ำมีศีล 5 ไม่มีอบายมุข รับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นต้น ทำไมอาตมาเข้ม อยู่ที่นี่ทำไมไม่ให้กินเนื้อสัตว์ เพราะว่าศีลข้อที่ 1 นั้นไม่ใช่ให้แค่ไม่ฆ่าสัตว์ แต่ท่านให้มีรายละเอียดถึงมีจิตใจที่เมตตา วางอาวุธ มีจิตใจที่เมตตา หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อความมันมีรายละเอียดยาวถึงขนาดนั้น แต่เขาเอาแค่ศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ก็ทำให้ได้ก่อนเถอะ
ศีลข้อ 1 พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
แต่ว่าพระ เจ้าต่างๆบอกว่ามีศีล 227 ซึ่งมันเป็นวินัยเป็นข้อบังคับเป็นอาชญา แต่ศีลคือนุสาสรีย์
นัยยะต่างๆในยุคนี้อามาต้องแยกแยะขยายความซึ่งมากจริงๆ แต่ก็ต้องทำเพราะเป็นยุคปัญญา
ปัญญาก็ไม่ใช่ความฉลาดแบบ โลกีย์เขาเป็นนะ ปัญญามาจากรากเหง้าของอัญญา เป็นความฉลาดที่ตรงกันข้ามกับโลกียะ ที่เขาฉลาดอยากได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่ว่าฉลาดอย่างโลกุตระ มีปัญญาคือฉลาดที่เราลดกิเลสไม่ติดในลาภ ไม่ติดในยศ คืนลาภยศสรรเสริญได้แล้วก็มีความสุข มันทวนกระแสกัน
ทางโลกีย์ได้ลาภก็สุข ได้ยศก็สุข ได้สรรเสริญก็สุข ตรงสเปค แต่โลกุตระ เราสัมผัสกับสิ่งนี้แล้ว ความสุขที่เราเคยได้มาอย่างแต่ก่อนลดลง หรือไม่เกิดความรู้สึกเป็นสุขเลยนั่นต่างหากที่เป็นความหมายของปัญญา และก็มีจิตที่เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย คุณรู้สึกหรือไม่ว่าคุณเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า …หากรู้สึกได้แสดงว่ามีโลกุตรธรรม ซึ่งมันตรงกันข้ามกับแต่ก่อนที่เรามีความรู้สึกแบบโลกีย แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เขาพาปฏิบัติ ชาวอโศกพาปฏิบัติโลกุตรธรรม ไม่ใช่ศาสนาพุทธที่เป็นโมฆะเป็นหมันแล้วไม่มีโลกุตระเลยไม่ใช่
อาตมาทำงานเอาโลกุตระคืนมาได้ คือให้พวกคุณมีความฉลาดที่มีวิมุตติธรรม เป็นอย่างนี้ กิเลสลดละจางคลายมีวิมุตติรส เป็นรสธรรมะเป็นรสของสัจธรรมโลกุตระเป็นอย่างนี้ พวกคุณจะเข้าใจ เพราะว่ามีสภาวะรองรับ ภาษาที่พูดไปด้วยก็ยืนยันเป็นธรรม2
เทวะ แปลว่า 2
เทวดา คำนี้ไม่ลึกเลย แต่มันลึกมาก ทุกคนฟังเข้าใจตั้งแต่เกิด จริงๆแล้วเทวะนี่ทำให้คนแยกพวกเป็นสองพวก มีชาวพุทธแยกเป็นอเทวะ ส่วนใหญ่ของโลก เป็นศาสนาเลย เป็นสิ่งที่เขานับถือยึดถือเป็นชีวิต เป็นตระกูลเรียกว่าเทวนิยม ก็มีอเทวนิยมก็คือพุทธะ
ที่เป็นเทวนิยม เพราะเขาไม่รู้จักเทวะก็เลยเป็น ศาสนาพุทธไม่เป็นอะไรเลย เป็นเทวะก็ไม่เป็นเป็นซาตานก็ไม่เป็น เพียงแค่อาศัย อาศัยจิตนิยาม มีอัตภาพแล้ว ศึกษาให้รู้ว่าเทวะเป็นเช่นนี้ เทวะแปลว่า 2 สองอะไร
สภาวะ 2 ทุกอย่างเลย ธรรมะ 2 สามารถแยกได้ แล้วที่มันเป็นสองเพราะต้องเทียบกัน 2 นี่มันจะไม่มีอะไรเท่ากัน แม้ดีก็ไม่ดีเท่ากัน ยิ่งชัดๆคือมีดีกับชั่ว ดี ดีแล้ว ดีกว่านี้ ดีกว่านี้มีอีก จนรู้จักอเทวะ ดีทีสุด สุดยอดของศาสนาพุทธดีที่สุดเป็นหนึ่งแล้ว สามารถทำให้ศูนย์ได้หมดดีหมดชั่วไม่มีอะไรเลยได้
ศาสนาเทวนิยมไม่เคยรู้จักศูนย์ ไม่เป็นศาสนาสุญญตา ไม่เป็นศาสนาที่มีนิพพาน ศาสนาเทวนิยมหมดสิทธิ์ ไม่มีโอกาสที่จะนิพพานได้เด็ดขาดเพราะตีไม่แตกแยกไม่ออกความเป็นเทวะ คือความเป็นสอง
ยึดมั่นถือมั่นความเป็นสองว่าเป็นหนึ่ง เป็นพระเจ้าองค์เดียวเป็นเทวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดลงเดียว หนึ่งเดียวไม่มีอะไรเทียบไม่มีอะไรเทียม แต่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีใครเคยสัมผัสแต่ว่ายิ่งใหญ่ สมัยโบราณเรียกพระเจ้าว่าพระพรหม มีตำราบอกว่าคนไปหาพระพรหม เป็นบุคลาธิษฐาน แล้วถามว่าทางที่จะไปสู่ความ สิ้นสุดของดินน้ำไฟลมอยู่ที่ไหน ไปถามพระพรหมคือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ท่านก็ตอบว่า ข้านี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด เขาก็บอกว่าไม่ได้ถามอย่างนั้น ถามว่าดินน้ำไฟลมสิ้นสุดตรงไหน พระพรหมก็ตอบว่า ข้านี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด เขาก็บอกว่าไม่ได้ถามเรื่องนั้น ก็ถามว่าดินน้ำไฟลมสิ้นสุดตรงไหน ท่านก็บอกว่าข้านี่แหละใหญ่ เป็นเรื่องน่าขำ เพราะว่าไม่รู้จะไปตอบอย่างไร มาถามต่อหน้าธารกำนัล ก็เลยถูกดึงไปสู่ที่ลับแล้วก็บอกว่าให้ไปหาพระพุทธเจ้า เราตอบไม่ได้ แต่จะบอกต่อหน้าธารกำนัลว่าไม่รู้ก็ไม่ดี
เป็นบุคลาธิษฐานว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เท่าไหร่พระพรหมยิ่งใหญ่เท่าไหร่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้นิยามชีวิต 5 เขาก็ไม่รู้หรอก เพราะตีไม่แตกเทวะของตน ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักธรรมะ2
ธรรมะ 2 ที่ง่ายๆที่สุดคือนรกกับสวรรค์ แล้วใครเป็นผู้รู้ ของเทวนิยม นรกสวรรค์ พระเจ้ารู้ จะไปนรกหรือสวรรค์ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เป็นผู้ตัดสินเป็นผู้พิพากษา คนอื่นไม่มีสิทธิ์ไปพิพากษาว่าใครไปนรกหรือไปสวรรค์ พระเจ้าเท่านั้นที่พิพากษา ถ้าไม่มีพระเจ้าไม่มีใครรู้จักสวรรค์นรก ศาสนาเทวนิยมจึงไม่รู้จักนรกหรือสวรรค์ แต่ว่าอยากได้สวรรค์
อธิบายว่าสวรรค์คือความดี สวรรค์ของพระพุทธเจ้ากับเทวนิยมต่างกัน
สวรรค์ของพระพุทธเจ้าคือสูงสุด ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกไม่มีธรรมะ 2 นี่คือสวรรค์สูงสุด คือจิตอุเบกขา ไม่ผลักไม่ดูดไม่มีธรรมะ 2
ทำจาก 2 เป็นหนึ่งได้ก็ไม่มีคู่ที่จะให้เกิดเหตุเกิดเรื่องได้ ยิ่ง 0 เลยคือสุดยอดของศาสนาพุทธ เรียกปรมังสุขัง สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง
ศาสนาพุทธรู้จักโลก รู้จักอัตตา รู้จักสวรรค์ รู้จักนรก
พระพุทธเจ้ารู้ความเป็นพรหม อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็รู้แล้ว รู้เทวดามารพรหม สัตตาวาส 9 คือกายะ ต้องรู้สัญญา รู้จิตที่เป็นตัวกำหนดรู้ กาย กำหนดรู้จิต ผู้ใดรู้จักกาย กายต่างกันต่างๆ เราก็รู้ความเป็นสัตว์ในโลก หากทำ 9 อย่างนี้ได้เรียบร้อยก็สิ้นหมดเลย ไม่เป็นสัตว์โลก เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดาเพราะอยู่เหนือเทวะ ทำหนึ่งก็ได้ทำศูนย์ก็ได้
อรหันต์คือคนไม่เป็น 2 ไม่มีความลับ
เรื่องของเทวะนี้อาตมาชัดเจนมาไม่นาน โลกนี้ขัดข้องที่เทวะ อยู่ที่ความแบ่งแยกเป็น 2 แต่เขาไม่รู้จักความเป็น 2 ก็เลยงงอยู่กับ 2 ก็ได้พยายามรวมกัน เพราะเขาไม่รู้ เขาไม่รู้แม้แต่ตัวเอง เพราะฉะนั้นอันอื่นเขาจะรู้ได้อย่างไร ตัวเองเขายังไม่รู้เลย นี่คือใครนี่คือคน และนี่คืออะไร ก็คือคน แล้วเอ็งรู้จักคนหรือเปล่า ถ้าไม่รู้จักคนก็คือไม่รู้คนนี้ไม่รู้คนนี้ไม่รู้จักคน
คน คือการวนการกวนที่อาตมาเขียนในหนังสือคนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก เพราะมันปนเปกันเละ คนกันผสมกันเละไปหมด อาตมาพยายามอธิบายด้วยภาษาลูกทุ่งนะ
ให้แยกออกเป็นชั้นๆว่ามีอะไรบ้างในการสังขารที่ปรุงปนกันอยู่ มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายเป็นลำดับ ศาสนาพุทธรู้จักสิ่งเหล่านี้ตีแตกแยกออก จนกระทั่งสามารถทำให้เป็นจิต วสวัตติโก เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นอมตบุคคล จะให้เกิดก็ได้จะให้ตายก็ได้ จะให้เป็นเทวดาก็ได้ เป็นสัตว์นรกก็ได้ แต่ก็รู้แล้วว่าสัตว์นรกเป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็น รู้แล้ว แต่ก่อนเคยโง่ ทำให้ตัวเองเป็นสัตว์นรก ตอนนี้รู้แล้วใครทำก็เราเอง แต่ก่อนเราโง่เราก็เลยทำ ตอนนี้เราหายโง่แล้วไม่ทำ-เลิกทำเด็ดขาด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ไม่ทำให้จิตใจตัวเองเป็นสัตว์นรกอีกแล้ว สัญญาไปกำหนดรู้กาย ไม่ให้เป็นธรรมะ 2
ตราบที่คนยังมีชีวิตจิตใจเลี้ยงชีพอยู่ ยังไม่ทำกาละ ยังไม่ตาย
กาละ เวลาโลกหมุนก็เกิดกาลหรือวนรอบพระอาทิตย์ก็คือทำกาล แต่ถ้าตายไปไม่มีธาตุรู้จะทำอะไรได้อีก ก็คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีอะไรเหลือ กายัสสเภทา ปรัมมรณา
ทำกาละให้หมดกาละจากความเป็นชีวะของตน
ตนก็ยังมีธาตุรู้ ยังไม่หมดอัตภาพยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เช่น อาตมาเป็นโพธิสัตว์ตายแล้วก็จะยังไม่สูญ มีธาตุรู้ที่จะวนเวียนเกิดอีกอยู่ คือไม่หมดกาละ ถ้าไม่เวียนวนแล้ว แตกสลายไปจาก กาละ ไม่มีโลกไหนจะไปอยู่ได้อีก คือแตกสลายกาละได้ที่สุด
แต่กาละ เขาแปลว่า ร่างตาย แต่ว่าหลังตายแล้วก็ยังมีอัตภาพอยู่
ผู้เข้าใจพยัญชนะกับสภาวะที่อาตมาอธิบาย หลังอาตมาตายไปแล้ว จะสูญหรือไม่ก็ได้ แต่รู้แล้วว่าตายสูญเป็นอย่างไร ก็จะรู้ได้อย่างไร
โพธิสัตว์ก็เริ่มรู้อรหันต์ก็เริ่มรู้อาริยะก็เริ่มรู้ โสดาบันตายจากโลกอบายมุข อบายภพ ที่จะต้องไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ไปสุขไปทุกข์กับโลกนั้น โลกเล่นไพ่ โลกเล่นการพนัน ยังติดในรูปรสกลิ่นเสียงจัดจ้าน การละครละเม็งเป็นอบาย คุณก็อยู่กับโลกนั้น แต่เมื่อเราปฏิบัติแล้วเราก็เลิก
จนจิตเรา เวทนา ความรู้สึกของเราเมื่อไปสัมผัสกับสิ่งนั้นเราก็เกิดเฉยๆ มันยืนยันว่าคุณหมดสุขหมดทุกข์ แม้จะคลุกคลีเกี่ยวข้องกับมัน ถ้าหากเป็นประโยชน์ต่อกันก็เอา แต่อบายไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราหรอก ของเราดาราแม้สักเศษคนไม่มาหรอก เพราะอาตมาปากจัด ทั้งที่วงการมายาดาราอาตมามีเพื่อนนะ แต่อาตมาไปว่าเขา เขาก็เหม็นขี้หน้าอาตมา
คืออาตมาไม่ได้ไปด่าไปว่าแต่ตำหนิบอกให้รู้ด้วยความปรารถนาดี ชาตินี้อาตมาไม่ได้เป็นดารากับเขาหรอก ไปอยู่ในวงการมายาเท่านั้นเองอาตมาอยากเป็นดารานะ ในตึกโทรทัศน์ รูปดาราเขาจะอัดมาเป็นแผ่น ติดเรียงกันไปในตึกสถานีโทรทัศน์ อาตมาไม่มีสิทธิ์ที่จะให้เขาอัดขึ้นไปได้หรอก เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเราไม่ใช่พวกสัตว์อบาย แม้อยากเป็นสัตว์อบายกับเขา ฟังให้ดีไม่ได้ด่านะ แต่พูดสัจธรรม พวกดาราเด่นดังเท่าไหร่ก็อบายมากเท่านั้น
สัจธรรมที่ย้อนแย้ง หากคุณจมอยู่ก็ไม่ดี เป็นสิริมหามายา เป็นนักเล่นกลชั้น 1 เป็นนักมายากลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ฮูดินี่ ที่เขาเป็นนักเล่นกลชั้น 1 เล่นกลเช่น คนเอาโซ่มามัดอยู่ในน้ำเอาถังน้ำมันมาราดแล้วจุดไฟเขาก็รอดออกมาได้
อาตมาไปหัดกินเหล้าสูบบุหรี่ เล่นบิลเลียด ไปหัดกับเขา ไปเล่นไพ่ก็จะเป็นหมูสนามให้เขา เขาก็เลยชอบชวน
เป็นลิงลมอมข้าวพอง ทางโลกที่นิยมยกย่องกีฬา ดารา ค่านิยมอย่างนี้เราก็ไปเป็นตามเขา อยากเป็นพระเอก เขาก็ให้เป็นตำรวจไปจับผู้ร้ายตอนจบ ไม่ได้เป็นพระเอก มันเป็นสิ่งที่คุณจะไปเป็นพวกนี้เป็นไม่ได้ ชั่วไม่สำเร็จ เกิดมาชาตินี้ทำชั่วไม่สำเร็จ
สม.รินฟ้า
พ่อครูว่า…ขอสรุปตรงนี้แหละว่า นี่แหละคือยอดหัวใจของศาสนาพุทธ หมดสวรรค์หมดนรกนี่แหละคือนิพพาน นี่คือยอดหัวใจของศาสนาพุทธ ซึ่งไม่ได้ยากอะไรเลย แต่มันยากตรงที่เราเองมีกิเลสอุปาทาน ตัณหาที่เราล้างไม่ได้ แต่ความเข้าใจนี่ฟังให้ดีไม่ยาก เพราะฉะนั้นเราเองเกิดความสุขความทุกข์ เกิดความชอบความชังเป็นเทวะ เป็น 2 เป็นธรรมะ 2
แต่โลกียะหรือเทวนิยมไม่เรียนธรรมะ 2 ไม่เลิกสุขทุกข์ เขาถือว่าต้องไปอยู่กับพระเจ้าเป็นสุขด้วยซ้ำไป ไม่มีสวรรค์ไม่ได้ เขาไม่รู้จักสวรรค์ไม่รู้จักนรก สวรรค์คือนรก นรกคือสวรรค์เขาไม่รู้ เขาตีแตกเทว เขาตีแตกธรรมะ2 เขาตีแตกพระเจ้าเทวดาเทวะที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้ God เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาบาลีคือ มหาเทวะหรือพระพรหม เขาไม่รู้จักหรอก แนวเรียกอย่างโก้ว่า วิสุทธิเทพ แต่คนไม่รู้จัก รู้จักแต่พรหม
ในรูปพรหม 16 ส่วน อรูปพรหมอีก 4 ก็มีอีก
รวมเป็นพรหม 20 ชั้น
ความเป็นพรหมเป็นเทวดาเป็นเรื่องเก๊ สวรรค์ 16 ชั้นก็ไม่มี เพิ่มอีก 4 ชั้นก็ไม่มี แต่มันมีเพราะคนโง่ โง่อยู่ก็เลยมี ไม่รู้จักก็เลยมีอันนั้น คือผู้หลุดออกมาไม่ได้ ผู้ที่หลุดออกมาได้แล้วไม่มีเทวดา 6 ชั้น ก็ไม่มีของหลอกของเก๊ จิตไม่มีอาการที่จะเป็นสุข
อธิบายอารมณ์ความรู้สึกของเทวดา 6 บ้าง
ท่านอธิบายถึงความรู้อาการของสภาวะที่เราเสพติด แล้วแบ่งแยกออกเป็นภาษาให้รู้ ให้รู้ว่าตัวเองยังมีอาการอะไร ก็ให้ล้างเสียอย่าให้มีในจิต เพราะมันไม่มีแล้ว คุณก็เป็นนิพพานเป็นวิมุติ
ชั้นที่ 1 ของ เทวดา 6 ชั้น
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี คือยักษ์คือมาร วาดรูปมาก็เป็นยักษ์เขี้ยวแหลม ถืออาวุธ เป็นพวกล่า ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขโลกธรรม ล่าอย่างดุเดือดมากมายเอาเป็นเอาตายจึงเรียกว่าจตุมหาราช ล่าเลย กูจะต้องได้มาหมดทุกทิศ 4 ทิศเอามาให้หมดทุกทิศ เป็นของข้า ข้าจะเป็นเจ้าโลก นี่คือจตุมหาราชแรงร้ายดุเดือด แต่ก็ยังถือว่าเป็นเทวดา เมื่อได้มาแล้วก็หลงสุขใจเรียกว่าดาวดึงส์
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี ดาวดึงส์ภาษาบาลีว่า ตาวติงสะ คือ อาการที่ 33 จริงๆแล้วคนมีแค่ทวัตติงสาการ อาการ 32 ตาหูจมูกลิ้นกาย ตับไตไส้พุงทั้งหมดคืออาการ 32 แต่คนไปมีอาการบ้าๆโง่ๆอีกอันหนึ่ง เกิดมาได้นั่นก็คืออาการที่ 33 เป็นอาการที่ไม่มีจริงเป็นอุปาทาน เพราะฉะนั้นดาวดึงส์ที่เป็นความสุขจึงเป็นอาการที่ 33 ได้อารมณ์นี้ขึ้นมา ก็จะอยากให้ได้อยู่นานๆ ยามา
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี อยากให้รสสุขอย่างนี้อยู่นานๆอย่าหมดไปอย่าหายไป
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ ชั้นนี้เขาให้พัก ดุสิตะให้หยุดบ้างแต่ไม่หยุด เพราะฉะนั้นผู้รู้จักหยุดพักบ้าง จึงถือว่าเจริญขึ้นได้ (สิตะ หรือสีดา แปลว่าเย็น) ถือว่าเป็นที่พัก โง่มาตั้งแต่ จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ก็มาหยุดบ้าง เลิกบ้างแต่ก็หยุดเพราะเมื่อย จำเป็นต้องหยุด แต่เดี๋ยวเถอะออกพรรษาก่อน หนักกว่าเก่า ก็เลยกลายเป็น นิมมานนรดี
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ คือ ยิ่งมีอุปาทานจัด สร้างขึ้น นิมาน คือเนรมิตทำเอาเอง สร้างอุปาทาน สร้างนรกสวรรค์สร้างสิ่งหลงงมงายว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น ต้องเลิกสร้าง ยังสร้างอยู่ก็โง่
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) สูงสุดจนมีบริวารมาสร้างให้เลย เป็นใหญ่ หลอกคนให้มาสร้างให้ตัวเองเสวย พวกมีอำนาจใหญ่
ใครทำนรกให้หมดก็คือทำสวรรค์ให้หมดไปด้วย
ความรู้มันมี 2 อย่างนรกกับสวรรค์ โง่หรือฉลาด มี 2 อย่าง คนที่จมลงไปนี้จะเป็นเรื่องที่น่าสงสาร คนที่หลุดพ้นได้แล้วก็สงสาร คนที่หลุดพ้นแล้วไม่ใจดำก็น่าจะมาอธิบายมาสอนมาบอกให้เลิกเสีย ที่ไปโง่ ไปรวย อาตมาก็เคยรวยมาชาติก่อนๆ
อาตมาเคยรวยเคยมีอำนาจโลกีย์ เคยผ่านมาเป็นล้านๆชาติ เคยผ่านอะไรมามากจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ผ่านมาหนักหนาแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดนี้ไม่ใช่เดาเอา ไม่ได้ไปว่าเขา แล้วเคยเป็นหรือเปล่า พวกเราเคยรู้ไหมว่าอาตมาเคยรวย พูดไปเขาก็ไม่เชื่อน้ำหน้า
คือ เป็นสัจจะเราเองชัดเจนแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก คนที่อยากได้อยู่ รวยเท่านี้ไม่พอต้องรวยกว่านี้อีกด้วย คนนี้ไม่พอก็ต้องไปต่ออีก มันไม่มีสันโดษไม่มีใจพอไม่มีหยุด คนๆนี้ยังโง่เดินหน้า โง่ติดจรวด คือจรวดวิ่งเร็วกว่า รถไฟหัวกระสุนด้วยนะ
คือ ไม่รู้จะไปทำทำไม คนที่มาดูแล้วทวนกระแสไม่เอาอย่างนั้นก็มาเป็นคนอีกอย่าง แล้วจะมีความดีงามความเป็นสุขความเป็นประโยชน์คุณค่าไหม เป็นคนประเสริฐไหม เป็นคนจนที่มีประโยชน์คุณค่า
ชาวอโศกเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าต่อประเทศชาติ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสังคมอันสงบ รัฐบาลไม่ต้องใช้ตำรวจมาดูแลเลย เพราะไม่มีเรื่องที่จะให้ตำรวจมาช่วย มากินข้าวกินน้ำก็ได้ นายตำรวจมานั่งฟังธรรมนี้ก็มาเอาธรรมะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร นานๆจะไหว้วานให้ช่วย ช่วยติดต่ออันโน้นอันนี้ให้ทีบ้าง ตำรวจมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข ทุกข์โลกๆ อย่างนั้นอย่างนี้
เป็นสังคมที่ไม่เดือดร้อน ถนนเขาไม่เทให้สักทีเราก็เทเองก็ได้ ไม่มีปัญหาเราลงทุนเองอยู่แล้ว อาตมามีจิตใจอยากจะช่วยจริงๆเขาไม่ทำเราก็ทำอยู่แล้ว ที่เราเป็นคนจนเพราะหนึ่งเราเป็นคนที่มาจน 2 ไม่เอาเปรียบ 3 ไม่สะสม เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเงินอะไรเลยที่เป็นคงคลัง ดอกเบี้ยก็ไม่เอา
เพราะไม่มีเงินของทางเศรษฐกิจโลกโลกีย์ที่มีวิธีได้เงินให้เงินออกดอกปันผลอะไรอีกเยอะแยะ เราไม่เอาสักวิธีแบบนั้น แต่ว่าอยู่รอด เพราะว่าเราเองฝึกให้กินน้อยใช้น้อยสร้างสรรไม่งอมืองอเท้า เราเองไม่ได้ฟุ่มเฟือยให้เสียศูนย์จนเขาหลอก มีสาระเป็นปัจจัยชีวิต สิ่งที่เกินปัจจัยชีวิตเราก็ไม่จำเป็นต้องไปจ่าย นอกจากพอกินพอใช้แล้วเหลือด้วย สะพัดแก่สังคม ตลาดอาริยะ ตอนนี้จะเปิดอาคารบวร จะขายเท่าทุนไปตลอดด้วย มาซื้อเมื่อไหร่ก็เท่าทุน แต่ตลาดอาริยะขายขาดทุน ตอนนี้คนรู้ข่าวกันทั่วแล้ว เปิดตลาดอาริยะคนก็แน่นเลย อาคาร 11 ไร่ของเรา วันแรกวันที่ 2 คนก็เต็มแน่นเลย แต่วันที่สามคนซาลง
พ่อครูว่า…เราไม่ได้ทำเพราะอวดอ้างทำเท่ทำเก๋ทำโก้ อาตมาว่าการช่วยมนุษยชาติ จะค้าจะขายก็ตาม เราขายขาดทุนได้ไหม ได้ ขาดทุนคืออะไร
หนึ่งของที่เรามีเราเป็นนี้ เป็นสิทธิของเรา ทุนมีเท่านี้เราก็ขายให้ต่ำกว่าราคาทุน สอง ขาดทุนคือ สิ่งที่เรามีเราสร้างเราผลิต คิดทุนแล้ว มีการคิดค่าแรงงานบวกไปด้วย สมมุติว่าสิ่งประดิษฐ์อันนี้ มันหัวนี้ นี่เราปลูกเราไม่คิดค่าแรงงาน ก็ถือว่าเราขาดทุนแล้วแต่ทางโลกีย์คุณยิ่งสร้างมันหัวนี้เก่ง ค่าแรงงานคุณยิ่งสูงนะ คุณยิ่งมีความรู้ฝีมือต้องคิดค่าแรงงานสูงขึ้นตามวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์ของโลก แต่ของโลกุตระนั้นยิ่งเก่ง ผู้คนยิ่งเก่งค่าฝีมือยิ่งสูง ค่าแรงงานก็สูงค่าฝีมือก็สูง มีค่าอื่นๆที่เขาตั้งชื่ออีกเยอะ
ที่เราทำไม่ได้ทำโก้ แต่ทำเพื่อช่วยสังคม อยากให้สังคมมีการเสียสละช่วยกัน ไม่ใช่ดำเนินเศรษฐกิจยิ่งเอาเปรียบยิ่งได้มาก ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่าไหร่นั่นเรียกว่าการเจริญทางเศรษฐกิจ แล้วเรียกว่าเป็น Gross D
omestic Product GDP เขาว่าย่ิงสูงยิ่งดี ซึ่งผิด
Domestic แปลว่าของภายในที่ผลิต คุณก็คิดแค่ของภายในที่ผลิตอย่าไปเอาของคนอื่นเขามา แต่นี่คุณผลิตได้ก็เอาไปขายแล้วขายยังบอกราคาคิดกำไรไปด้วย ได้มากเท่าไหร่ก็ถือว่ามี GDP มากกว่านั้น แต่คุณบอกว่าของคุณเองภายใน คุณก็เอามาบวกของคุณอีก
รายได้องค์รวมของคุณถ้าไม่ไปได้บวกจากภายนอกเลยเรียกว่า GDP ที่แท้จริง แต่นี่เอาของภายนอกมาบวกและบอกว่าเป็น GDP ที่เจริญมากขึ้น อย่างนั้นมันผิด คุณไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสีย เป็น inter หรือ export external
อาตมาแย้งไปเขาไม่ฟังหรอก เพราะอาตมาไม่ได้เป็นที่นับถือของเขาแต่อาตมาว่า อาตมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่พาให้คนมาเปลี่ยนแปลง เป็นเศรษฐกิจแบบพุทธ เป็นเศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคี
อธิบายอย่างง่ายก็คือ เขาจะต้องรวบรวมรายได้ สำหรับที่จะเอามายืนยัน รายได้องค์รวมส่วนตัว แต่ละคนเท่าไหร่ เขาเอามาหาร ก็ถือว่า เป็นความเจริญทางเศรษฐกิจ
แล้ว รายได้องค์กรส่วนตัวคือรายได้ที่เอาเปรียบเขามามากๆถือว่าเป็นเศรษฐกิจดี เราได้เปรียบเขามาก ปีนี้ได้เท่านี้ล้าน ปีหน้าต้องได้มากกว่านี้อีก มากขึ้นเรื่อย ถือว่าเศรษฐกิจเจริญใครฉิบหายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่กูได้มากขึ้นมากขึ้น นี่คือความคิดเศรษฐกิจของโลก
ซึ่ง เศรษฐกิจของศาสนาพุทธเราจะเสียสละให้โลกได้มากเท่าไหร่ นั่นคือความเจริญของผู้ที่เป็น เสฏโฐ เศรษฐีผู้เจริญผู้ประเสริฐที่แท้จริงไม่ใช้กฏุมพี กระฎุมพีคือคนแค่ร่ำรวยเท่านั้น แต่เอาใช้ศัพท์คำว่าเศรษฐีนั้นน่าอาย ควรเรียกตัวเองว่ากระฎุมพีอย่ามาเรียกตัวเองว่าเศรษฐี เพราะตัวเองไม่ใช่เศรษฐี ตัวเองเป็นแค่คนร่ำรวยเป็นคนใจดำ เป็นคนใจร้ายไม่ได้เสียสละเป็นคนขี้โลภเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ขออภัยไม่ได้ด่านะ แต่อธิบายสัจธรรม
คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้วจะไม่ไปเป็นกระฎุมพี ที่จริงแล้วเศรษฐีเป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่จะทำงานให้แก่สังคมแก่โลกอย่างเสียสละ ไม่เอามาให้แก่ตัวเองเลย สุดยอดเศรษฐี ชีวิตสูญ สูงสุดถึง ไม่เอาลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานแล้วไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนเลย หากยังทำงานเอารายได้ไม่พ้นมิจฉาชีพ พระก็ไปเทศน์เอาเงินเอาค่าเทศน์เป็นต้น
คำว่า เสฏฐะ เสฏโฐ เศรษฐี ไม่เป็นกระฎุมพี เป็นทลิทโธ มาเป็นคนจน
ถ้าเป็นคนจนก็เข้าหลักวรรณะ 9
ตั้งแต่เลี้ยงง่าย กินข้าวกินน้ำเหมือนหมูเอาอาหารมาวางเรียงกันไป วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) มักคือชอบ มีมากแต่เอาไว้น้อยๆ ยังมีอยู่นะ อัปปิจฉะคือยังมีอยู่ แต่ถ้าไปถึงอปจยะ คือไม่สะสม ตัวสุดท้ายยอดขยัน ปรารภความเพียร แต่ของตัวเองไม่สะสมอะไรเลย
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)กายกรรมวจีกรรมน่าเลื่อมใสไม่สะสมยิ่งน่าเลื่อมใส คนที่ทำตัวเองให้รวย คบค้าสมาคมกับคนต่างประเทศคนนั้นคนนี้ ไปทำกิจการค้าและตัวเองจะได้รวย
อย่างคุณเจริญนี้รวย มอมเมาคนไทย สร้างน้ำเหล้าน้ำเบียร์ ขายให้คนไทยเมาเละ ตายฉิบหายพิการ อะไรก็แล้วแต่เต็มบ้านเต็มเมืองฉิบหายช่างมัน กูรวยอย่างเดียว อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจ น่าสงสารคนอะไร หาเงินแล้วไปทำร้ายคน ทำลายมนุษยชาติทำลายสังคม ให้สังคมมนุษย์ตกต่ำ ก็คนมันเสพติด มีกิเลส รู้อยู่แต่ก็ให้คนเขาเสพเขากินเข้าไป กูได้เงินอย่างเดียว คนพวกนี้อาตมาขอตำหนิไม่ได้ชมเชยหรอก ไม่ได้ส่งเสริม เพราะว่าเขาเป็นบาปไม่อยากให้ทำ เลิกได้ก็เป็นกุศลของเขา แต่เขาไม่เลิกง่ายๆหรอกเพราะว่าเขาได้ คนอื่นไม่รู้เรื่อง เขาหลงสิ่งเหล่านี้
สัจจะพระพุทธเจ้าจึงเป็นสัจจะที่ต้องย้อนแย้งต้องพูดตรง ตำหนิที่เขาเป็นบาปเขาเป็นอกุศลเป็นหนี้ เขาไม่ได้เป็นคนที่ได้ดีนะเขาจะยิ่งแย่ เอาอย่างนี้
เขาล่าเอาเปรียบมนุษย์ทำลายมนุษย์ให้เมาๆให้ติดยึดในน้ำเหล้า พอได้เงินมามากๆเขาก็ทำทีเอาเงินไปจ่าย ที่เป็นรูปธรรมบริจาคทำกุศล ช่วยอันนั้นอันนี้เหมือนเศรษฐีวิชัยที่ตายไปก็ตาม เศรษฐีเจริญเศรษฐีอะไรก็แล้วแต่ ไปบริจาคไปทำอะไร ก็ทำทาน
ถ้าคุณมีรายได้พันหนึ่ง คุณจะไปทำทานเท่าไหร่ คุณจะทำทานถึง 500 ไหม ทุนคุณก็เอาไว้แล้ว เงินหมุนคุณก็พอแล้วแต่เอาเปรียบมาได้เกิน 500 คุณจะบริจาคถึง 500 ไหม ก็ไม่หรอก คุณก็ไปทำทาน 100 รับรองว่า คุณมีรายได้ 100% จะไม่ทำทานถึง 20 เปอร์เซ็นต์หรอก ยิ่งจะเป็นเศรษฐีที่รวยมากเท่าไหร่ก็ไม่ทำทานถึง 20% หรอก คนดูเหมือนว่าคุณทำทานมากบริจาคนะ แต่ก็ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์หรอก
นอกจากคนที่ฟิตจัด อย่างเจ้ามาร์คซัคเคอร์เบิร์ก หรือว่าบิลเกตส์จะทำทานสักเท่าไหร่ก็ทำทานเข้ามูลนิธิ อย่ามาหลอกกันเลย ทานก็เข้ามูลนิธิของเอ็งนั่นแหละ ดีไม่ดีได้ลดดอกเบี้ยด้วย ได้ลดภาษีอีกต่างหาก อย่างนี้เป็นต้นเป็นความซับซ้อนมาก ในโลกนี้ไม่มีอะไรโง่มากกว่าความฉลาดแกมโกงของมนุษย์หรอก มีวิธีคิดที่ซับซ้อนได้เปรียบทั้งนั้นแหละ
พวกนายทุนทุนนิยมมีวิธีคิดซับซ้อน ไม่มีความขาดทุนให้แก่สังคมหรอกไม่มีความสุจริตไม่มีความจริงใจที่จะคิดขาดทุนให้กับสังคมหลอก ไม่มี
มีแต่ชาวบุญนิยมคิดที่จะเสียสละให้ได้มากขึ้น ไม่เอาเปรียบเลยแล้วเสียสละส่วนตัวออกไปด้วย มากที่สุดที่จะเสียสละได้ก็ทำ คนอย่างนี้คือคนประเสริฐ อธิบายสัจธรรมไม่ได้ชมตัวเองนะ พูดสัจธรรมความจริง จะเป็นศาสนาในสังคมกลุ่มไหนก็ตรงกัน ไม่ได้เป็นเรื่อง ที่มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น แต่มันเป็นสัจธรรม
ผู้ใดที่รู้จักสัจธรรมอย่างนี้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ช่วยแต่ประเทศไทยแต่ช่วยโลกด้วย
อาตมาถึงบอกว่าประเทศไทยถ้ามี GDP อย่าเอาเปรียบประเทศนอกเขามา domestic ของคุณเอาของประเทศไทยเลี้ยงตัวเองให้ได้ จะได้องค์รวมเลี้ยงตัวเองรอด แล้วคุณยังสามารถไปเลี้ยงประเทศอื่นได้นี่ถือว่า GDP คุณเจริญ แต่นี่ของคุณเลี้ยงตัวเองยังไม่รอด เอาของต่างชาติมาบวกเอาเปรียบเขาได้เท่าไหร่ แล้วเอามาคิดว่านี่แหละคือ GDP ประเทศไทยเจริญ คุณไปเอาเปรียบประเทศอื่นเข้ามา คุณอย่ามาใช้คำว่า domestic ความเข้าใจตรงนี้อาตมาเห็นขัดแย้งกันอยู่กับเขา พวกนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้คิดอย่างอาตมาหรอก อาตมาคิดอย่างนี้แล้วก็ทำอย่างนี้ด้วย
GDP ของชาวอโศก ถ้ามีพอกินพอใช้เหลือแล้วสะพัดออกไปนั่นคือ GDP เจริญของภายในอโศก เพราะว่าเราเลี้ยงตัวเองรอด เรามีส่วนเหลือส่วนเกินช่วยเหลือส่วนเนื้อส่วนเกิน แต่หากว่า GDP ของคนภายในยังไม่พอแล้วไปดูดของคนอื่นมาแล้วบอกว่าตัวเองได้มากนี่คือบอกว่าตัวเองเจริญก็คือบ้า
ทั่วโลกเขาคิดอย่างนี้ นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นดอกเตอร์แบบไหนก็คิดแบบนี้ อาตมารับผิดชอบที่พูดไป อาตมาว่า วิธีคิดของคนที่เป็นโลกุตระ โลกียะนั้นคิดไม่ออกแบบนี้ แม้จะคิดออกเขาก็ไม่เอาหรอก แต่อาตมาพาพวกเราทำ
พวกนี้ดูถูกตัวเองว่า ตัวเองช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ เอาเปรียบคนอื่นได้มากแล้วยังหลงว่าตัวเองดีอีกด้วย โง่ตายชัก ไม่ใช่ คุณเสียสละได้มากเท่าไหร่นี่แหละคือยิ่งดี
นักเศรษฐศาสตร์ที่ไปจ้างเขามา พูด Speech ทีหนึ่ง เป็น 10 -20 ล้าน แต่เขาไม่พูดโลกุตระหรอก มีแต่ปลุกเร้าให้เอาเปรียบคนอื่นให้ได้มากขึ้น
ประเทศไทย จ้างนักเศรษฐศาสตร์มาพูดเพื่อให้ได้วิธีคิดที่เอาเปรียบมากขึ้น มันเป็นการซวยซับซ้อนไหม อย่างนี้เป็นต้น อาตมาเห็นแล้วว่าสังคมนั้นน่าสงสาร มีแต่ทับถม ทำตัวเองให้ตกต่ำไปเรื่อย ไม่เจริญทางโลกุตระเลย ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองศาสนาพุทธแต่ไม่ได้เข้าใจเศรษฐศาสตร์โลกุตระ อาตมาถึงบอกว่า การไปกอบกู้เศรษฐกิจนั้นไม่ต้องไปสอนให้คนไปรวย ถ้าสอนให้คนไปรวย ทุกคนจะต้องแย่งกันหมด
คนที่แย่งในประเทศได้นอกประเทศก็ทำได้อีก คนที่เขารวยนั้นเขาแย่งชิงคนในประเทศไทย ก็แย่งชิง แล้วก็ก้าวออกไปสู้กันแย่งชิงจากต่างประเทศเพิ่มเติมอีก คนที่รวยๆ ซึ่งไม่ใช่ อย่างนั้น ไม่ใช่เศรษฐีแท้แต่เป็นกระฎุมพี
เราให้เริ่มจากไม่เป็นหนี้เลี้ยงตัวเองให้รอด เราสามารถเลี้ยงตัวเองให้คุ้มแล้วสามารถมีส่วนหรือส่วนเกินสะพัด เช่นเราสร้างวัตถุดิบผลผลิตของเราได้ภายในประเทศ ของเรามีเหลือภายในประเทศก็ขายออกไปให้ต่างประเทศโดยขายให้ขาดทุน นี่คือความเจริญของประเทศ ทั่วประเทศนี้ไม่ได้ไปเอาเปรียบเอารัดประเทศไหน มีแต่ไปเสียสละช่วยประเทศอื่น นี่คือเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์เจริญที่แท้จริง เหมือนชาวอโศกเราทำได้
เพราะฉะนั้นในเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแล้ว ในคนในโลก มีชาวอโศกนี่แหละปฏิบัติเศรษฐศาสตร์ได้ดีที่สุดตรงตามพระพุทธเจ้า แต่คุณเมา บอกว่าเศรษฐศาสตร์ของคุณยังไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ของโลกของสากล เศรษฐศาสตร์ทุกวันนี้แต่ละประเทศคือเศรษฐศาสตร์ที่จะกอบโกยจากประเทศไหนได้ มาให้แก่ตัวเองให้ได้มากที่สุด ถือว่าประเทศนั้นเจริญ เพราะฉะนั้นพวกนักสร้างอาวุธไว้ฆ่าคน เก่ง วิเศษ คนอื่นต้องซื้อ ก็จะได้โก่งราคาแพงเอาไว้ขู่ประเทศอื่น ประเทศใดที่สร้างอาวุธเก่งๆให้แก่ตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้ไปรบกับใคร ดีไม่ดีก็เลยเอาไปฆ่ากันเอง พวกตะวันออกนี่แหละมีเงินซื้อรถไว้ มีอาวุธไว้ไม่ยิงกันมันก็ไม่สนุก มันฉลาดหรือมันโง่นะ พวกเราไม่ได้ซื้ออะไรมากมายเพราะไม่ได้ฆ่าแกงอะไร ก็ดีแล้ว ไม่น่าไปทำโง่เหมือนทางโน้นเขา อธิบายสัจธรรมไม่ได้ไปว่าเขานะ เอาพฤติกรรมจริงของเขานั่นแหละมาขยายความอธิบายเป็นสัจธรรมให้ฟังมันเป็นอย่างนั้น
อาตมารู้สัจธรรมก็อธิบายตามภูมิตามความจริงใจว่าคนรู้ว่า ไม่ควรทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ชาวอโศกพาทำในสิ่งที่ควรทำ มาเป็นเศรษฐีเป็นคนประเสริฐ เราเป็นเศรษฐีเงินถังแต่สตางค์ไม่มี
อธิบายอย่างอาศัยพฤติกรรมจริงของคนในสังคม ว่าสิ่งที่ควรทำสิ่งที่ควรเอาอย่างก็ทำ สิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรเอาอย่าง ไม่ควรให้มีในโลกเลยก็ได้แต่เราไปห้ามไม่ได้เราก็ทำของเรา
ชีวิตมาเสนอสิ่งนี้ให้แก่คนแก่สังคม อาตมาถือว่าเป็นงานที่ประเสริฐที่สุด อาตมาจึงเลือกมาทำงานนี้ ชีวิตของอาตมา จะไปหาเงินทองลาภยศสรรเสริญสุขแข่งกับเขา อาตมาว่าไม่ได้แพ้เขานะ ได้ลองดูแล้ว ใช้เวลา 12 ปี ก็ไม่ได้จัดจ้านตะกละอะไร แต่ถ้าไปกับโลกเขาก็คงจะตะกละมาก ก็ดี เราไม่ได้ทำให้เป็นวิบาก ทำมาแล้ว 12 ปีก็เป็นวิบากแล้ว ก็อย่าให้สร้างวิบากเป็นหนี้ ยิ่งรวยเท่าไหร่ก็สร้างหนี้วิบากมากขึ้น
พระพุทธเจ้าสอนคนให้ไม่เป็นพิษภัยแต่โลก แต่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อยู่ในสังคมมีพฤติกรรมสังคมอยากเป็นคนประเสริฐ อาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด อาตมาได้มาช่วยมนุษย์ให้แก่ประเทศ ช่วยมนุษย์ให้แก่ประเทศตรงไหน ช่วยตรงที่ว่าเขาไม่ได้เป็นตัวอย่างไม่เป็นตัวโกงไม่เป็นตัวเอาเปรียบในสังคม มาเป็นตัวที่สร้างสรรเสียสละ แล้วก็มีความสุข สร้างสรรก็เป็นความสุขเสียสละก็เป็นความสุข มาเป็นคนจนไม่สะสมก็เป็นสุข
ไม่ใช่พูดเล่นนะ มาเป็นคนแบบนี้คือคนเจริญเป็นคนประเสริฐเป็นเศรษฐีเสฏโฐ แล้วอาตมาก็ว่าอาตมาทำได้ด้วย
อาตมาทำงานภูมิใจที่ไม่ได้และเล็มเลียบเคียงคนมาให้เป็นบริวาร มาเป็นมวลเป็นสมาชิก ให้ทุกคนมีอิสระเสรีภาพมาเองเข้าใจเอง อาตมาพอใจตนเองในชีวิตนี้ ไม่ได้โฆษณาหลอกลวง โป้งรวยหรือจะมีสวรรค์กี่ชั้น เฟสนั้นเฟสนี้ อาตมาว่า โอ้โห มันหลอกกันฉิบหาย อาตมาว่า อาตมาเข้าใจ แม้แต่และเล็มเลียบเคียงอาตมาก็ไม่ ไม่ได้หลอกว่ามาที่นี่จะได้บุญมาก แต่บุญของที่นี่คือการฆ่ากิเลสนะเขาก็ไม่เข้าใจ นี่แหละคือความเสื่อมของศาสนา
คำว่าสมาธิเข้าใจผิด คำว่ากายเข้าใจผิดก็เสื่อม คำว่าบุญเก่าเข้าใจผิดก็เสื่อม เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมันเสื่อมถึงขีด โดยเฉพาะคำว่าบุญนี้ยิ่งใหญ่เพราะว่าบุญเป็นคำโลกุตระ หมายถึงพลังงานที่ไปกำจัดกิเลส กำจัดกิเลสเสร็จก็หยุดจบหายไปเลยไม่มีแล้ว ปริขีโณ สูญสิ้น
มีหน้าที่ฆ่ากิเลสตัวไหนก็แล้วแต่ ฆ่ากิเลสได้ บุญก็หมดพลังงาน เหมือนลูกระเบิดปรมาณู คนเอาไปทิ้ง ตูม แล้วทำลายสิ่งนั้นสำเร็จ ก็จะไม่เหลือลูกระเบิดปรมาณูนั้นอีก ลูกนั้นก็หายไป นี่แหละคือบุญ บุญคือลูกระเบิดปรมาณู บุญไม่ใช่สมบัติ คุณจะเก็บอะไรจากลูกระเบิดปรมาณูที่เป็นสมบัติ คุณอยากได้ไหมเอาไว้ในครอบครอง มันจะระเบิดใส่เราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราไม่อยากได้ไม่อยากมีหรอก แล้วจะไปทิ้งใส่อะไรไหม ก็ไปทิ้งใส่กิเลสตัวเอง บุญคืออาวุธร้ายฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าเสร็จแล้วลูกระเบิดนั้นก็สลายหายไป ชัดเจนไหม
เพราะฉะนั้นใครจะไปสะสมบุญนั้นผิดหมด บุญสะสมไม่ได้ บุญเป็น One way Traffic เดินมาถ่ายเดียว เป็น Nuclear Fission ตรงไปเลยไม่มีโค้งงอกับมาไม่มี Boomerang ชัดเจนไหม
คุณจะประกอบบุญเมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัยเกิดกิเลส บุญเกิดมามีพลังงานทำลาย กิเลสเอ็งถูกพลังงานระเบิดปรมาณูบุญของฆ่าทำลายแน่นอน
-
รู้จักตัวกิเลสตัวศัตรูตัวเป้าหมาย ที่คุณจะต้องทิ้งระเบิดปรมาณูนี้ใส่ ระเบิดบุญ แม่นๆนะ จะไปโดนสิ่งที่ไม่ใช่กิเลส เพราะฉะนั้นไม่ระคายเคืองแม้แต่สิ่งที่ประกอบอยู่ใกล้ๆ บุญนั้นมีความละเอียดละออมาก จะฆ่าโจร โจรอยู่ในประเทศไทย คุณจะมาหาเลย คุณจะทำลายไม่ใช่แค่ทางประเทศไทยให้พังลงไป ไม่ใช่ แต่มันอยู่ไหน กิเลส