611107_ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1D6C3D70Czg7epW1llrWwtqcm-rZFYbxa9gwKL-HNXiw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1KssHCUjQoOO18lzyeX1tgHiXG1bqMEpR
พ่อครูว่า…วันนี้วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก ก่อนอื่นก็มีเรื่องแจ้ง ตอนนี้ เขากำลังทำแบบทดสอบประเมินผล เกณฑ์ความเป็นพระโสดาบัน จะเอาหลักการต่างๆของพระพุทธเจ้ามาประมวล ทำตารางตรวจสอบ สำหรับญาติธรรมที่ต้องการทบทวนตรวจสอบความเป็นพระโสดาบันในตน มีเอกสารชุดนี้ สามารถฟังไฟล์เสียงอาตมาเทศน์เรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2544
48 ปี โพธิกิจ 84 ปีโพธิรักษ์
จำเนียรการก่อตั้ง อโศกมา
สี่สิบแปดพรรษา ล่วงแล้ว
แปดสิบสี่ชีวา-ยุยิ่ง ยืนยาว
เกิดแผ่นดินพุทธแผ้ว ผ่องเนื้อ เจียระไน
เส้นทางพิสูจน์ม้า จรดล
การเล่าพิสูจน์คน ทุกข์ผู้
ปทุมมาศพิสูจน์ชล ตื้นลึก แห่งนที
นานาสังวาสเว้น กิจวัตร
ธรรมวินัยวิบัติ หมดแล้ว
เป็นเมืองพุทธสารพัด เพี้ยนผิด ไกลเฮย
ฤ – ราชสีห์ติดแร้ว ห่อนรู้ ฤ – ไฉน
ใกล้กันมากแล้ว อุบัติ
บุรุษโพธิสัตว์ นักสู้
กระแสหลักเห็นชัด พาพุทธ หลงเฮย
พลีชีพเพื่อกอบกู้ พุทธฟื้นคืนมา
โอ้แม่มูนแม่ให้ วารี
เพื่อชุบเลี้ยงทีวี รอดพ้น
สองฝั่งแม่เขียวขจี พร้อมพฤกษ์ พงไพร
มวลมนุษย์มีสุขล้น ต่างล้วนสดุดี
แม่โพสพแม่ให้ อาหาร
ตั้งแต่ยุคโบราณ ล่วงแล้ว
เราพึ่งแม่มานาน สำนึกพระคุณ
คุณค่าแม่กว่าแก้ว ก่องเนื้อกาญจนา
แม่ธรณีนี่นี้ แดนพุทธ
โพธิสัตว์บริสุทธิ์ ท่านสร้าง
รื้อขนสัตว์บ่หยุด แม้เหนื่อย หนักเฮย
ใช่ออกโอษฐ์อวดอ้าง เก่งกล้าเกินใคร
บวรพ่อฝากไว้ ลูกหลาน
ให้สืบต่อกันมานาน ห่อนร้าง
อนาคตโลกกล่าวขาน เป็นหลัก แล้วเฮย
ปัจจุบันเห็นบ้าง ห่อนสิ้น ความหวัง
ประนมกรเกศก้ม อัญชุลี
เทพธูปเทียนบายศรี กราบไหว้
พระคุณพ่อที่มี ต่อลูก – เสมอมา
เสียงท่อเรียกรวมไซร้ ลูกพร้อมสนองคุณ
อ .เป็นต้น นาประโคน
48 84 3 4 7 เลขดีๆทั้งนั้นเลข อย่าไปโถมแทงหมดนะ จะหมดเนื้อหมดตัวนะ หมุนไปหมุนมาหมดเนื้อหมดตัวอย่าไปทำ
พูดถึงเรื่องอบาย โสดาบันนี่จะจบอบายพ้นอบาย จะเลิกเรื่องอบายภูมิ นี่เป็นหลักใหญ่ คือมันหยุดขาดมันวางมันดับได้ คนที่รู้จักอบายภูมิ
อบายภูมิ คือพฤติกรรมชีวิตที่เป็นคลุกคลีเสพติดวุ่นวายกับเรื่องของโลกที่มันเป็นเรื่องต่ำๆ เรื่องทุจริต โสดาบันไม่ทุจริตใดๆแล้วทางกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม โสดาบันไม่ผิดกฎหมาย
กฎหมายนี้ต่ำกว่าศีล 5 กฎหมายไม่ได้ห้ามฆ่าสัตว์ กฎหมายห้ามแต่ลักทรัพย์ กฎหมาย จริงๆแล้วก็ผิด แต่เป็นเรื่องผิดผัวเขาเมียใครกฎหมายก็ไม่จับ กฎหมายไม่ได้ห้ามพูดปด แม้ที่สุดกฎหมายไม่ได้รู้เรื่องของอบายภูมิด้วยซ้ำ คนทำอบายมุขเต็ม ไม่ว่าจะในประเทศไหนแม้แต่ในประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธ อบายภูมิ เป็นเรื่องจัดจ้านที่ไม่ควรเป็นกิเลสหนัก
จริงๆแล้ว ในความคิดของอาตมา ทำอาหารให้รสอร่อยจัด ปรุงแต่งจัด แต่งตัวจัด แน่นอนเป็นอบายภูมิอยู่แล้ว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่จัดจ้าน ปรุงแต่งจัดจ้าน อบายภูมิทั้งนั้น ถ้าเข้าใจความเป็นอบายภูมิแล้ว ประเทศหรือสังคม ชาวอโศกเราไม่มีอบาย ไม่ว่าจะเป็นรสจัด ในเรื่องความอร่อย ความสวย อะไรปรุงแต่งจัดจ้านอโศกเราไม่มีให้เห็น ชัดเจนที่สุด
เพราะสังคมอโศก ชุมชนอโศก เป็นอนาคามีขึ้นไปถึงอรหันต์ อนาคามีนี่ถึงขั้น ศีล 10 เราทำได้ถึงขั้นดีมาก ขณะที่ทั้งโลกนี้เสื่อมไปจากศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธเจ้า นี่เอาแต่ขั้นศีล มาเปรียบเทียบตรวจสอบ เห็นชัดเจนว่าไปไม่รอด เป็นเรื่องไสยศาสตร์จารีตประเพณีต่างๆนอกรีตมาก พูดไปแล้วจะหาว่า อาตมาเพ่งโทสมาก ซึ่งมันไม่ใช่มันจริง จึงยากจริงๆ คนที่จะช่วยฟื้นฟูให้เกิดความสงบเรียบร้อยอบอุ่นจึงยาก
จริงๆประเทศไทยสงบอบอุ่นขนาดนี้ก็ถือว่าดีหนักหนา แต่ถ้าทำอย่างที่ชาวอโศกเป็นนี้ จะเป็นตัวอย่างของโลก อันยิ่งยอดสูงสุดเลย น่าเสียดายที่ว่า ศาสนานี้ ในยุคกาล คนก็เสื่อมไปตามธรรมชาติเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปค่อน 2561 ก็เสื่อมขนาดนี้
เมื่อถึงพ.ศ.3561 ไปอีก 1,000 ปี มันจะเสื่อมขนาดไหน ยิ่ง พ.ศ.4561 คงไม่เหลือซากอะไรของศาสนาพุทธ คงเป็นศาสนาอุจจาระแพะ
คนถ้าไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมาเป็นเครื่องสำนึกฝึกฝน ให้เจริญขึ้น คนก็จะเสื่อมว่ากิเลส คนเกิดมามีอวิชชามีกิเลส ถ้าไม่มีเครื่องมือ ไม่มีอะไรจะมาช่วยพยุงประคอง ขัดเกลา ฝึกฝนอบรมให้เจริญขึ้น มันก็ต้องเสื่อมแน่นอน เพราะฉะนั้นคนที่ปล่อยตัวไปตามยถากรรมนี้น่าสงสารทุกคน ไม่คำนึงถึงธรรมะไม่คำนึงถึงศีลธรรมอะไร ตื่นเช้ามาก็จะได้ลาภอะไร ลาบเป็ดลาบไก่หมูวัว แย่งชิง รับยศสรรเสริญสุข ที่เยิ้มไปด้วยกาม เยิ้มไปด้วยอัตตา แย่ง ได้มาสมใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็เป็นสุข ได้สมใจในอัตตาก็เป็นสุข หากไม่มาเข้าใจธรรมะพุทธเจ้าแล้วก็จะไม่สังวรสิ่งเหล่านี้ มีแต่จะเพิ่ม ต้องการอยากได้โลกธรรมทั้งหลายและตามใจกิเลส กิเลสมันอยากได้ก็ส่งเสริมมัน เพิ่มพลังสัมประสิทธิ์ให้กิเลส เอ็งอยากได้ก็เอาตามอยากได้นี่แหละ ไปแสวงหา ลาภยศสรรเสริญถึงขั้นจะฆ่าแกงกัน ก็ทำกันให้เห็นๆ
ไม่เคยมีสำนึกสังวรไม่รู้เรื่องรู้ตัวอะไรเลย ไปแย่งชิงเอา ทั้งๆที่ตัวเองโกงไปได้เอาไปได้เยอะแยะแล้ว ไปสวาปามในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็ไม่พอ มันควรจะหยุดยั้งได้แล้วเขาได้ขับออกจากประเทศแล้ว ถูกพิพากษาให้ติดคุกก็ไม่ยอม หน้าด้านอย่างเห็นๆ แล้วหลอกคนโง่ๆให้หลงใหลยกย่องสรรเสริญ คนเดียวไม่พอยังให้น้องมาลอกเลียนรูปแบบทำให้หนักกว่าอีก จะถูกพิพากษาติดคุกหนักกว่าอีก ก็ยังไม่เห็นไม่ชัดไม่รู้อีก คนน่ะ มันไม่รู้จะโง่ซ้ำซ้อนกว่านี้อีก
เป็นตัวอย่างของคนที่แสดงพฤติกรรมต่ำทรามชั่วให้คนได้รู้ได้เห็น ขออภัยที่ยกตัวอย่างจริงเอามาเป็นแบบเป็นตัวอย่างเอามาประกอบการอธิบายสัทธรรมก็ขอบคุณไม่ให้ก็จะเอาเขาไม่อนุญาตหรอก
ต้องขอบคุณพวกเราที่เห็นคุณค่าคำสอนของพระพุทธเจ้า พยายามแสวงหาเอาตัวเองมาศึกษาฝึกฝนปฏิบัติตน เห็นคุณค่าของธรรมะพระพุทธเจ้าที่เอามาประกาศไว้ ขออนุโมทนาสาธุกับพวกเรา ส่วนคนที่ไม่เอาอ่าวอะไร พูดไปก็ได้แต่น่าสงสารทำไมน้อเกิดมาเป็นชีวิตพวกนี้ ไม่ได้สิ่งที่อะไรที่ควรรู้ สิ่งที่ควรจะยึดเป็นหลักแก่ชีวิตได้เจริญขึ้นบ้าง ก็มีแต่เสื่อมกับเสื่อม แม้จะตั้งชื่อว่าเจริญ ควรจะใช้คำว่ามหาเจริญ อภิเจริญแต่เสื่อมหนักมอมเมา เรียกว่า ซ้ำเติมส่งเสริมให้มนุษย์มนาต้องตาย ฉิบหายวายป่วง ตายไปเยอะเรื่องเหล้า คนที่ทำเหล้าขึ้นมาขายรวยๆๆไม่ได้สำนึกเลยรวยเอาๆ แล้วคนก็โง่ๆๆ ตกเป็นเหยื่อไม่รู้ขนาดไหนก็กินเหล้า คนที่สำนึกแค่เลิกเหล้าได้ก็ดีมาก ระดับสูงของประเทศยังติดเหล้ากัน เมืองไทยไม่จำเป็นต้องกินเหล้าเลย นอกจากจะใช้เหล้าเป็นยาบ้าง เมืองหนาวเขาจะจิบเหล้าบ้าง เราก็เข้าใจเขาได้ แต่เมืองเรามันไม่ใช่เรื่องที่จะจิบเหล้าจิบเบียร์อะไร ก็ไม่น่าส่งเสริมแต่ที่จริงน่าจะออกกฎหมายเหมือนประเทศอิสลามเขา แข็งแรงน่าจะได้น่าจะทำ
สิ่งที่เกิดในสังคมตอนนี้เป็น status quo สภาพจริงก็ได้วิจัยวิจารณ์ประเทศชาติสังคมไทยไป ใครจะถือสาหาว่าปากจัดก็แล้วแต่ อาตมาก็ต้องว่า เพราะอาตมาเกิดมาก็ต้องว่า เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องทำงานนี้ 12 ปีตั้งแต่พ.ศ. 2513 วันที่ 7 พฤศจิกายน บวช วันนี้วันที่ 7 พฤศจิกายน
7 พฤศจิกายน 2513 มาถึง 7 พฤศจิกายน 2525 ก็เป็นหนึ่งนักษัตร 13 ถึง 25 พระจำได้ประมาณพ.ศ 24-25 มีคนๆหนึ่ง ชื่อพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ตีชาวอโศก เอาเรื่องของศาสนาตีหนัก ตีออกหนังสือว่า ศาสดามหาภัย ด่าแหลกเลย ทำตัวเป็นผู้รู้ทางศาสนาดี เข้าใจศาสนาดี นั่งหลับตา แล้วก็ปฏิบัติแบบที่ส่วนใหญ่ที่ความรู้องค์ความรู้ของศาสนาพุทธในประเทศไทยเข้าใจกัน อาตมาขอยืนยันว่าองค์ความรู้ของประเทศไทยในเรื่องศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่ขณะนี้ ผิดเพี้ยนตกกระป๋องไปแล้วจากศาสนาพุทธ พูดตรงๆอย่างนี้
ศีล การปฏิบัติศีลเกิดเป็นสมาธิจึงจะเจริญได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สมาธิจะเกิดได้ต้องมีศีลเป็นพันธกิจ ถ้าหากไม่มีศีลเป็นพันธกิจก็ไม่เรียกเป็นสมาธิของศาสนาพุทธ
“สมาธิจะเกิดได้ต้องมีศีลเป็นพันธกิจ”…พ่อครู 7 พ.ย. 2561
เพราะสมาธิของพุทธมีหลักเกณฑ์ ศีลข้อ1 หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าว่าอย่าฆ่าสัตว์ มีใจกรุณามีเมตตา วางอาวุธวางศาสตรา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1
ผู้ใดมีสำนึก มีการสังวรมีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจร่วมในทวารทั้ง 5 นี้ สัมผัสกับความเป็นสัตว์ เมื่อใดก็แล้วแต่สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ต่างๆ คุณก็ไม่ฆ่าสัตว์ วางศาสตรา วางอาวุธ มีใจเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ คุณได้สังวรดังนี้ก็เท่ากับทำอธิจิต ให้จิตเจริญขึ้น ด้วยศีลเป็นหลักเป็นเหตุ มีพันธกิจ ทำให้จิตเป็นแบบนี้มีปัญญามีความรอบรู้มีความเข้าใจประกอบ เป็นยาดำร่วมอยู่ว่า เราถือศีลสังวรศีลแล้วเราสำรวมอินทรีย์ทั้ง 5 ทั้ง 6 กายวาจาใจ ให้จิตมันเจริญ ปัญญาก็เจริญ จึงเกิดอธิมุติ อธิวิมุติ มันจึงเกิดการเจริญของความหลุดพ้น ของความเสื่อม ที่คนไม่รู้ไปทำวิมุติไม่ได้
คนทำให้วิมุติหลุดพ้นจากโลก ด้วยความไม่รู้เรื่องเขาไม่อยู่ในหลักเกณฑ์อะไรที่จะทำได้ ทำเป็นอำนาจกิเลส แย่งชิงทำ
ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของของเราของที่เขาไม่ได้ให้ เราจะเอาแต่ของที่เขาให้ นอกนั้นเราก็จะสร้างทำเอา ของที่เขาให้ นอกนั้นเราก็สร้างสรรเอาเองแม้แต่ของส่วนรวม หากจะถือวิสาสะ ก็จะรู้ว่าใครหนอดูแลอยู่ คือไม่ได้ถือวิสาสะเกินไป อยากจะได้ข่าสวยๆอันนี้อยากได้กล้วย อยากได้แตง ได้ไหม ผู้ดูแลอยู่บอกว่าให้ก็เอา ผู้ดูแลบอกว่ายังไม่ได้ไม่ให้ก็ไม่เอา ก็ไม่เกิดคดีเกิดกรณีเกิดเรื่องราวไม่ดีอะไรก็เกิดความสงบดี อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละคือการมีชีวิตอยู่อย่างมีหลักเกณฑ์ ศีล สมาธิ ปัญญา มีการสำนึกตื่นรู้
อาตมาอธิบายธรรมะไปเรื่อยๆง่ายๆตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตินะ มีพฤติกรรมกาย วาจา ใจ อย่างมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต ในชีวิตสามัญ ไม่ใช่เรื่องลึกลับว่ากว่าจะได้สมาธิต้องไปนั่งหลับตา เข้าไปในภพ มืด นี่เป็นสมาธิแล้ว ว่าง จิตว่างจากอะไรก็ไม่รู้
ที่จริงแล้วต้องว่างจากการสัมผัสแล้วไม่ผิดศีล โสดาบันก็ไม่ทำผิดศีล 5 บริสุทธิ์ในศีล 5 มีการตื่นรู้สัมผัสอะไรก็รู้ อย่างนี้ก็มีสมาธิ ไม่ใช่สมาธิคือหลับตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในภพ นี่มันมืดไปหมดเลยศาสนาพุทธ แบบนั้นมันเป็นเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเขาก็นิยมกันแบบนั้นแหละแบบสมัยนี้แหละนิยมกันออกป่า แต่นี่ขนาด 2561 ก็เสื่อมไปมาก ทิฏฐิความเห็นเหมือนกับสมัยพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมา ศาสนาเข้าใจกันว่าต้องออกป่า ตอนนี้ก็เอาสมัยเดียรถีย์มาเป็นแบบอย่างแค่นี้ก็เข้าใจกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเอามาฟื้นคืนกลับของศาสนาพุทธ
“จิตว่างของศาสนาพุทธ คือจิตว่างจากการสัมผัสแล้วไม่ผิดศีล”...พ่อครู 7 พ.ย. 2561
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาของคนเจริญเป็นคนอาริยะ หรือจะใช้คำว่า อารยะ เป็นคนเจริญ ไม่ได้เป็นคนป่าเถื่อนอยู่กับป่าเขาถ้ำ ออกป่าก็ผิดแล้วอยู่ในอัมพัฎฐสูตร พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ ขณะนั้นศาสนาพุทธยังเจริญอยู่นะ คือแสวงหาอาจารย์ในป่า
-
อาจารย์ที่อยู่แต่ในป่าเป็นพระธุดงค์อะไรอย่างนั้น ก็จบเลยเป็นผู้ไม่เงยเลย
2 .สร้างเรือนไฟอยู่ในป่า สร้างโบสถ์วิหารอยู่ในป่าแล้วจุดธูปจุดเทียนบูชาไฟ นี่คือความเสื่อมสนิทใน 4 ข้อ
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ
-
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
-
ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
-
สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
-
สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว พำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม ๙ ข้อ ๑๖๓)
พูดไปแล้วพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ก็ลุกขึ้นมาเถียงอาตมาไม่ได้ เพราะตายแล้ว
อาตมาออกมาปี 2514 ออกมาเทศน์ที่วัดมหาธาตุ วัดนรนาถรังสฤษดิ์ เป็นต้น เขาให้อาตมาไปเทศน์ในวัดในวาได้สบาย ทุกคนก็ไม่มีปัญหา ท่านเจ้าคุณท่านสมเด็จก็ชอบด้วย จัดกุฏิให้อาตมาอยู่ต่างหากเลย มีกุฏิสำรองให้อาตมาไปพักไปค้างไปเทศน์ได้ เปิดเฉพาะวันเสาร์วันอาทิตย์ก็เทศน์ วัดนรนาถและวัดธาตุทองนี่แหละ วัดอาวุธฯก็จรไปบ้าง
ปี 2513-14 อาตมาจรไปจากวัดอโศการามไป ขับรถพาอาตมาออกมากัน ไม่ค่อยได้เทศน์ในวัดอโศการามเท่าไหร่ แต่ก็เทศน์ วัดอโศการาม ให้อาตมาขึ้นธรรมาสน์เทศน์ทั้งที่เป็นพระบวชใหม่ ธรรมดาพระที่วัดอโศการามจะขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ต้องอายุพรรษา 10 ปีขึ้นไป ต้องเป็นพระเถระจึงขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ พระนวกะเขาไม่ขึ้นเทศน์หรอก แต่อาตมานี้เขาให้ขึ้นเทศน์ได้ จะเทศน์เท่าไหร่ เป็นแต่เพียงสมเด็จวัดพระศรีมหาธาตุ สมเด็จพิมพ์ เป็นเจ้าอาวาส เป็นคนอุบลฯนี่แหละ เป็นเจ้าอาวาส ก็ปรามมาบอกว่า อย่าไปด่าเขาแรงนัก เบาๆ หน่อย ปรามมาเท่านั้นแหละ ไม่ได้บอกว่าพูดผิด ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ด่า เท่านั้นแหละ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า อาตมาบวชแล้ว อุปัชฌาย์สอนอะไรบ้าง
ขออภัย อุปัชฌาย์ไม่เคยสอนอะไรอาตมา มีแต่อุปัชฌาย์ปล่อยให้อาตมาไปสอน ให้ไปบรรยายไปเทศน์ในวัด
ตอนนี้ยังไม่เกิดเรื่องอะไรพ.ศ 2513 – 2514 อาตมาแสดงธรรมก็ยอมรับกันอยู่ แต่มันแรง กระทบสัมผัสที่เขาก็ผิดกันเยอะ แล้วอาตมาก็พูดแรง พูดไม่ไว้หน้าเลย ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้เปลี่ยนCharacter อะไร พูดเปรี้ยงๆอย่างนี้แหละ จนได้ตั้งฉายาว่าขวานจักตอก จักตอกเล็กๆ แต่ใช้ขวาน
ก็มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) แต่อันนี้ชื่อพิมพ์ ตำแหน่งเดียวกันคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มหาพิมพ์) ทั้งสองรูป ไม่ได้เป็นสังฆราชแต่เป็นระดับสมเด็จ ท่านก็ปรามมา บอกฝากมาที่อุปัชฌาย์สอนอาตมามีเท่านี้ บอกว่าเทศน์อย่าหนักอะไรนักสมเด็จท่านฝากบอกมา
จริงๆนะขออภัยอาตมาพูดตรงชัดๆ ผู้ที่ยังเหลืออยู่ก็ยืนยันได้ นอกนั้นอาตมาบรรยายออกไป โดยที่เรียกว่าท่านก็สอนไม่เหมือนอาตมา อาตมาสอนอย่างเป็นอภิธรรมเป็นสัจธรรม ศีลสมาธิปัญญาขนาดไหน แจกแจงต่างๆนานา ศีลก็แจกแจงอย่างละเอียดลออ ว่าศีล มันจะต้อง
เกี่ยวเนื่องกันนะเป็น relative ไม่ใช่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ศีลก็ไปปฏิบัติอย่างนี้ สมาธิก็ไปนั่งหลับตา ปัญญาก็เอาเหตุผลความรู้ความคิดมันไม่ใช่ มันเกิดในกระบวนการเดียวกัน คุณได้ปฏิบัติศีล
1 คุณมีศีลข้อที่ 1
2 คุณสำรวมอินทรีย์ ระมัดระวังตาหูจมูกลิ้นกาย
3 โภชเนมัตตัญญุตา คุณจะต้องระมัดระวังในสิ่งกินใช้ อุปโภคบริโภคของกินของใช้ที่เกี่ยวข้อง เป็นอปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
เกี่ยวข้องกันมาหมดเลยคุณจะต้องมีสติตื่นรู้ สัมผัสเกี่ยวข้องกับศีลข้อที่ 1 สัมผัสกับสัตว์ คุณก็จะต้องสำรวมสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ชีวิตของเราจะต้องมีอุปโภคบริโภค คุณอย่าได้เอาสัตว์มาบริโภค คุณอย่าเอาสัตว์มาเป็นเครื่องอุปโภค
คุณรู้ว่า สัมผัสกับสัตว์ก็ดี ข้าวของที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปละเมิดมันผิด ส่วนสัตว์ของเราหรือไม่ใช่ของเราก็ต้องอย่าไปยุ่ง ของจริงไม่ใช่ชีวะ ของเหล่านี้ไม่ใช่ของเราก็อย่าไปผิด มันมีขั้นตอน ของสัตว์ก็คือสัตว์ ไม่ต้องเกี่ยวข้องเลยก็ได้สัตว์ ส่วนของนั้นเกี่ยวข้องกันได้อยู่ แต่อย่าไปทุจริตจะไปผิดศีลธรรม
3 ระวังตาหูจมูกลิ้นกายในศีลข้อที่ 3 สัมผัสแล้วอย่าไปติด ข้าวของก็อย่าไปมีกิเลสละโมบโลภมาก คุณทำได้คุณก็วิมุติ ไม่ใช่ไปมุดหลับตาไม่รู้เรื่องไม่ใช่มุดไปในถ้ำของภพชาติ ภวังค์ไม่ใช่ แต่ลืมตาตื่นอย่างมีวิมุติ
หลุดพ้นแล้ว จากสัตว์ สัตว์มันก็เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายก็เป็นสุขเป็นสุขเถิด กัมมุนาวัตตติโลโก ต่างคนต่างอยู่กรรมใครกรรมมัน ส่วนข้าวของต่างๆ ไม่ได้ทุจริตอะไรนะ จะใช้อุปโภคบริโภคก็ว่ากันไป อย่างนี้เป็นต้น รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสคุณก็สังวร มันจัดจ้าน เอาอะไรนักหนา ต้องสวยขนาดนี้ตกแต่งขนาดนี้ไพเราะขนาดนี้ ปรุงแต่งขนาดนี้ รสชาติขนาดนี้สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็งขนาดนี้จึงจะชอบใจ มันจะอะไรกันนักกันหนา อย่างนี้เป็นต้น ผู้ที่มีสติตื่นรู้ ก็จะเห็นความหลุดพ้นอยู่ ดูว่าเราเป็นคนไม่ได้ลำบากไม่ได้ต้องทุกข์ยากอะไรกับสิ่งเหล่านี้แล้ว อยู่ประมาณนี้สบายแล้ว นี่คือสมาธินี่คือวิมุตของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเรื่องหลับตาที่พูดกันไม่รู้เรื่องมันมุดอะไรอยู่นะ ปิดหูปิดตาพูดก็ไม่ฟัง แล้วมันจะไปรู้เรื่องกันได้อย่างไร ตัวเองจะไม่ตื่นดูอะไร มันไปกันใหญ่เลยไม่เข้าใจว่าศีลคืออะไรสมาธิคืออะไรปัญญาคืออะไรวิมุตคืออะไร ไม่รู้เรื่อง มันได้เพี้ยนไปอย่างนี้ อาตมาก็ได้พยายามเทศน์อย่างนี้ตอนนั้น แต่นี่ได้ขยายความเพิ่ม
หากฟังแล้วเพ่งโทษก็จะรับไม่เข้า แต่ถ้าตั้งใจฟังด้วยดียังไม่มีอคติไม่เป็นชาล้นถ้วยเขาจะเข้าใจว่าอาตมาพูดนี้เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า เอา ศีลสมาธิปัญญาวิมุตมาพูดอย่างชัดเจนไม่ได้นอกรีด
เมื่อ จรณะ 15 ข้อที่ 1 2 3 4 โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าจะต้องลืมตาสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่เป็นหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน การไปนั่งหลับตานี้มันปิดแล้วมันไกลไปจาก อปัณกปฏิปทา มันเป็นการปฏิบัติผิดธรรมะพระพุทธเจ้า การเปิดปิดหูปิดตาไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ในข้อแรก
ศีลข้อที่ 2 เรียนรู้สัมผัสกับของกินของใช้ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส มันจะมีกิเลสในสิ่งนี้ ก็จะต้องเป็นผู้มีสติ ชาคริยานุโยคะ ปฏิบัติอย่างนี้แหละจะเกิดปัญญาเกิดวิมุติ
สมาธิปัญญาวิมุติจะเกิดได้อย่างไร
จากข้อที่ 4 5 6 7 8 9 10 ก็คือสัทธรรม 7 ก็เมื่อปฏิบัติ 4 ข้อนี้ก็จะเกิดสัทธรรม
ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต วิริยะสติปัญญา ก็จะเกิดอธิจิต 7 เป็นเทวธรรม จะเกิดผิดรู้เป็นศรัทธาเป็นความเข้าใจเชื่อถือ ปฏิบัติ 4 ข้อนั้นก็จะมีการสำรวมสังวร เกิดความละอายการเกี่ยวข้องกับสัตว์วุ่นวายกับสัตว์มันน่าอายไม่เอา จะต้องไปฆ่า เมื่อก่อนไม่สังวรเลย สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ฆ่าหมดแต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว ต่างคนต่างอยู่เนาะ ไม่สร้างวิบากร่วมกันอีกแล้ว มีวิบากร่วมกันมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้แหละ สัตว์ที่เป็นเซลล์แล้วมันเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยจนถึงสัตว์ใหญ่ ต่างคนต่างพอ อย่ามาเพิ่มวิบากต่อกันอีก อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นอุตุหรือพีชะ จะกินจะอยู่จะใช้ในชีวิตประจำวันไม่เห็นต้องเกี่ยวกับสัตว์เลย เอามาใช้งาน แม้เอามาเลี้ยงท่านก็ไม่ให้เลี้ยง ไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ศาสนาพุทธไม่ส่งเสริมการเลี้ยง แล้วจะปล่อยสัตว์อย่างไรก็ให้มันอยู่ตามยถากรรม ไม่ต้องไปมีชีวิตร่วมอยู่กับมัน แม้จะทำอย่างโทสะหรือราคะก็ตามคุณก็ต้องมีวิบากกับมัน ตามสายโทสะหรือราคะ โมหะมูลเลอะเทอะเลยเกี่ยวกับสัตว์ก็เข้าใจให้ได้ว่าต่างคนต่างอยู่ ช่วยกันได้ก็ช่วยกันตามควร เราก็ปล่อยมันไปตามยถากรรม เห็นว่างูกินเขียดก็เห็นว่ามันกิน มันเป็นอาหารของมัน มันเป็นคู่วิบากกันระหว่างเขียดกับงู คุณไปร่วมกันอีกคนนึงหรือ อยู่ดีๆไปร่วมอยู่ในสังคมสงครามกับเขา เขาเรียกว่าเอามือไปซุกหีบ หมูจะหามเอาคานเข้าสอด มันไม่ใช่เรื่อง
เกิดหิริโอตตัปปะ มีผลจากการปฏิบัติศีลเป็นอธิจิตในสัทธรรม 7 สัมผัสกับสัตว์เราก็ละอาย สัมผัสกับพืชพรรณธัญญาหารกับข้าวของ เพชรนิลจินดาก็ตาม ถ้าเกิดทุจริตขึ้นมามันไม่ใช่ของของเราแล้วไปเอา แม้จะไปเอาเปรียบเขา เราก็อย่าเลย แตงกวานี้เป็นอย่างไร ขายอย่างไร ลูกละ 10 บาท อันนี้แพงไปลูกละ 2 บาทเถอะ มันมากไปไหม ต่อเกินไปไหม ขี้โลภจัดไหม ละอายบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้น จะมีหิริโอตตัปปะ จะไปเอาของที่ไม่ใช่ของของเรา และจะเกิดการแลกเปลี่ยนกันสัมพันธ์ให้แก่กันและกันอย่างนี้แหละ จะเกิดการขายหรือแลกเปลี่ยนกัน จะต้องมีความสังวร จิตใจจะเกิดความละอาย หากว่าอยากได้เกิดความโลภมากจะเอาเปรียบเอารัด
โอตตัปปะ จิตยิ่งกลัวในสิ่งที่เราจะเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว โอตตัปปะจะยิ่งกลัวเกรง ไม่ได้ไปนั่งหลับตาอะไรเลย จิตใจเราก็จะมี ความฉลาดเพิ่มเติมขึ้น มีวิริยะสติปัญญา เป็นอินทรีย์ ของความเจริญของปัญญา ปัญญาก็มีอินทรีย์
วิริยินทรีย์ สัทธินทรีย์ สมาธินทรีย์ นี่คือความเจริญของสัทธรรม 7 คุณทำอย่างนี้แหละจนถึงกระทั่งครอบศรัทธาหิริโอตัปปะพหูสูตวิริยะสติปัญญา สั่งสมเกิดฌาน 1 2 3 4 เกิดเป็นจรณะ 15 นี่คือการปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าไม่ได้พาไปนั่งหลับหูหลับตาอะไรเลย แต่มันได้เพี้ยนไปหมดแล้ว อาตมาพูดให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เพราะว่า อาตมาไม่มีเครดิต เขาเชื่ออาจารย์ที่พาหลงทางพาเข้ารกเข้าพง พาทำบาปทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม อาจารย์ก็จะลงนรก ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์นั่นแหละเขาไม่ฟังอาตมาหรอก ฟังไม่เป็น น่าสงสาร
อธิบายอย่างเปิดตำราพระไตรปิฎกเลยนะเป็นเสขปฏิปทา ไม่ได้เบี้ยวไม่ได้เบี่ยงอะไรเลย
ความเป็นฌานไม่ได้ไปนั่งหลับตา จะเกิดฌานที่ 1 2 3 4 ก็มีภูมิปัญญาเข้าใจเหตุปัจจัยเรียกว่าวิตกวิจาร คุณจะเห็นสิ่งที่จิตกำลังเกิด แล้วก็อ่านพฤติกรรมของมันเรียกว่า จาระ แล้วคุณก็ต้องวินิจฉัย วิจัยและวินิจฉัย ตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตักกะ วิตักกะสังกัปปะ มันมีเหตุปัจจัยมีกิเลสประกอบแล้วก็รู้กิเลส แล้วก็ต้องทำให้กิเลสมันจางคลาย นั่นแหละคือสรุป คุณทำจิตของคุณในสังกัปปะ 7 คุณจะทำแบบนี้ แจก รายละเอียดลงไปจะต้องรู้จัก
รู้จักกายรู้จักเวทนารู้จักจิต แล้วทำให้เกิดธรรมะ กายเวทนาจิตธรรม
เวทนา เป็นตัวหลักให้ปฏิบัติ กายคือ คุณต้องมีรูปมีนาม
เข้าใจเหตุปัจจัยเรียกว่าวิตกวิจาร คุณจะเห็นสิ่งที่จิตกำลังเกิด แล้วก็อ่านพฤติกรรมของมันเรียกว่า จาระ แล้วคุณก็ต้องวินิจฉัย วิจัยและวินิจฉัย ตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตักกะ วิตักกะสังกัปปะ มันมีเหตุปัจจัยมีกิเลสประกอบแล้วก็รู้กิเลส แล้วก็ต้องทำให้กิเลสมันจางคลาย นั่นแหละคือสรุป คุณทำจิตของคุณในสังกัปปะ 7 คุณจะทำแบบนี้ แจก รายละเอียดลงไปจะต้องรู้จัก
รู้จักกายรู้จักเวทนารู้จักจิต แล้วทำให้เกิดธรรมะ กายเวทนาจิตธรรม
เวทนา เป็นตัวหลักให้ปฏิบัติ กายคือ คุณต้องมีรูปมีนาม
อาตมาทำงาน พ.ศ.15 13 -15 ก็คุยอย่างนี้ พ.ศ.13 14 ไปอยู่ที่แดนอโศก พ.ศ.15 ไปวัดมหาธาตุ ควงดาบ จัด
16 อยู่แดนอโศก เริ่มไปที่แดนอโศกแล้วไปจัดนิทรรการที่ธรรมศาสตร์พ.ศ. 2517 นิทรรศการผ่าตัดพระพุทธศาสนา เอาภาพไปติดประจาน สนุกสนานตอนนั้นเขาไม่ได้เพ่งโทษอาตมา ก็ขึ้นมาก เขาชื่นชอบมากเลย แต่ที่นี้พระผู้ใหญ่ผู้บริหารเขาเสียหน้าแล้ว ก็ค่อยๆตั้งหลักๆ พ.ศ.2517
พ.ศ.2518 อาตมาพาพวกเราประกาศแยก เพราะว่าเขาต่อต้านมาเรื่อย เดี๋ยวจะเกิดสงครามใหญ่อาตมาก็เลย วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ก็ได้โอกาสประกาศต่อหน้าในที่ประชุมสงฆ์กัน ก็ประกาศ ที่ศาลาวัดหนองกระทุ่ม อาตมาประกาศลาออกเป็นนานาสังวาสตามพระธรรมวินัย เถรสมาคมของไม่รู้เรื่องนานาสังวาสอะไรหรอก เราก็ทำนานาสังวาส เขาก็ไม่รู้เรื่อง ยังไปรวมตัวกัน ซึ่งผิดคณปูรกะ เอามหานิกายกับธรรมยุติ รวมกันเพื่อทำปกาสนียกรรม เป็นอาบัติ ไปเอาพระต่างนิกายมาร่วมทำสังฆกรรมกันแม้แต่องค์เดียวก็ผิดแล้ว แต่เขาก็ทำผิดวินัยคือมันน่าสงสาร เป็นผู้ดูแลศาสนาแต่ทำผิดพระธรรมวินัย ประกาศอัปเปหิออกจากเถรสมาคม ที่จริงแล้วอาตมาลาออกประกาศลาออกต่อประชาชนแล้ว ตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 เขาทำทีมาประกาศอัปเปหิอาตมา พ.ศ.2531-32 คือนี่พูดทวนนะ เอาประวัติศาสตร์ที่ได้ทำงานมาทบทวน น่าสงสารที่เขามะงุมมะงาหรา
ประกาศนานาสังวาสตอนแรกเขาก็รับรู้นะ มีหลักฐานหนังสือที่ยืนยันได้ คืออาตมาจะไปขึ้นรถไฟ อาตมาก็บอกว่าขอลดราคา อาตมาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินทอง คนเขาก็ไปซื้อให้ เขาก็ถามว่าเป็นพระเถระสมาคมหรือเปล่า ทางกรมรถไฟ มีหนังสือไปถามเถรสมาคมว่าเป็นพระในเถรสมาคมหรือไม่ ทางผู้อำนวยการรถไฟ มาบอกว่ามีหลักฐานด้วยนะ ว่าพระอโศกไม่ได้อยู่ในการปกครองบริหารของเถรสมาคม ยืนยันเลย ก็แสดงว่ารับรู้ว่าเราประกาศแล้ว เราไม่ขออยู่ในปกครองของเขา เป็นนานาสังวาสเขาก็รู้ มีหลักฐานยืนยันแสดง องค์กรของศาสนา อธิบดีกรมการศาสนา ชื่อ ชำเลือง วุฒิจันทร์ ไม่ใช่ธนูหรือ? มายืนยันว่า อโศกไม่ได้อยู่ในเถรสมาคมเพราะฉะนั้นไม่ควรจะลดราคาเพราะไม่ได้เป็นพระ อย่างนั้น คือใจดำ แม้แต่ถ้าต่างประเทศก็ลดราคา แต่พระอโศกไม่ลดราคาให้ ใจดำไหมเถรสมาคม ใจดำยิ่งกว่าย้อมมะเกลือ
พ.ศ. 2518 อาตมาก็ประกาศลาออกมา เขาก็รับรองด้วย อาตมาก็เป็นพระอโศกยังดีมีอิสระเป็นนานาสังวาส แต่เขาไม่เข้าใจ ก็เลยกลับไปกลับมา เดี๋ยวก็รับเดี๋ยวก็ไม่รับดึงอาตมาเข้าไปอีก ให้ยังอยู่ในการปกครองเอาไปชำระบาป เอาไปทำอธิกรณ์ ที่จริงแล้วอธิกรณ์ไม่ได้เป็นอาณาสังวาสกันแล้วตามธรรมวินัย แต่ว่าเขามีอำนาจ อาตมาก็ต้องยอมแต่ไม่เคยเรียกอาตมาเข้าไปรับฟังเลย คณะอธิกรพิจารณาลับหลัง ผิดวินัย สัมมุขาวินัย ไม่มีจำเลยอยู่ในนั้น (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ยอมรับวิบากแล้วจะเอากันให้ตายหรืออย่างไร
อาตมารู้นะวิบากที่อาตมาไม่หาย ก็ต้องมาพูดต้องใช้แรงเป็นเรื่องสถานที่ต้องแสดงออก เป็นเรื่องอจินไตย วิบากกรรมอาตมาที่ต้องไปตำหนิ แม้จะตำหนิถูก เขาก็ถือสา เขาก็กระทบสัมผัส เกิดความไม่สบายใจเกิดความไม่ชอบใจถึงขั้นโกรธเคืองพยาบาทก็ธรรมดา อาตมาก็ต้องยอมให้เขาโกรธเคืองพยาบาท ให้เขารู้ว่าผิดนะ ที่พูดนี้ด้วยเมตตาสงสารซื่อสัตย์จริงใจ พูดผิดนี่คือเขาผิด แต่อาตมาไม่ได้มีผิดอะไร อาตมาพูดสิ่งที่ถูกต้องก็ให้ฟังบ้าง อาตมาให้เขารู้ว่าผิดแล้วแก้ไขให้ถูก อาตมามาทำหน้าที่นี้
พ.ศ 2518 ประกาศแล้ว พ.ศ 2519 ก็ยังอยู่ที่แดนอโศก ตั้งแต่ พ.ศ.2516 ประกาศที่วัดหนองกระทุ่มพ.ศ 2518 จนกระทั่งอยู่ที่นั่นจนถึงพ.ศ 2522
พ.ศ.2519 เริ่มตั้งหลัก ศีรษะอโศก ศาลีอโศก สันติอโศก สามแห่ง จากนั้นเราก็ตั้งหลัก ดำเนินการก็มีพุทธสถานเพิ่มขึ้น จาก 3 แห่ง ตั้งพร้อมกัน 1 สิงหาคม 2519 ที่จริงก็มาเจอที่นั้นก่อน ไปตั้งหลักเมื่อเกิดเรื่อง ไปตั้งหลักที่สันติอโศก แต่ว่า บ้านเรือนไทยที่สันติอโศกนั้น คุณสันติยาเขาปวารณายกให้อาตมาตั้งแต่พ.ศ. 2515 อาตมาก็เฉยๆ ยังไม่มีความจำเป็นอะไร แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาก็ต้องทำ ต้องมีพุทธสถาน (พ่อครูว่า คุณธนู แสวงศักดิ์ เป็นอธิบดีกรมการรถไฟตอนนั้น)
จากนั้นอาตมาก็ทำงานมา จริงๆแล้วก็ขอพูดถึงตัวเอง อาตมาเกิดมาในชาตินี้อาตมาเป็นคนจริง เป็นอัตภาพของอาตมาที่ยังดำเนินอัตภาพ เกิดมาไม่รู้กี่ชาติแล้วจนกระทั่งมาถึงชาตินี้เป็นโพธิรักษ์ ก็ได้ท้าวความว่าอาตมาได้เป็นพระที่ในสมัยพระพุทธเจ้า มาถึงบัดนี้ก็ต้องมาทำงานศาสนานี้
เป็นพระยาธรรมิกราช 2 องค์ที่มากอบกู้ศาสนา ในหลวงท่านก็ทำงานแล้วจากไปแล้วเหลือแต่อาตมาทำงานต่อ เพราะทางด้านปริยัติภาษามีอีกเยอะ อาตมาทำหน้าที่ทางด้านสายปัญญา ก็ต้องทำอันนี้กันให้ชัดเจนทำให้เต็มที่ ในหลวงก็ทำเต็มที่จนสวรรคตไป ประชาชนคนไทยก็ชื่นชมและเสียดาย ที่ท่านสวรรคตไปแล้ว ถึงเวลาวาระ อาตมาสักวันหนึ่งก็คงต้องไป ท่านได้รับคำชื่นชมยกย่องเชิดชูพอดูได้ง่าย แต่อาตมานี้ทำนี้ซับซ้อนดูได้ยาก ในอนาคตคนก็จะรู้และเนื้อหาของอาตมาเหมือนกันแต่อาตมาก็คงจะตายแล้ว
อาตมาเป็นอัตภาพที่สืบทอดมา สายเชื่อมโยงมาตลอดเวลา อาตมาพูดยืนยันความจริงไม่ได้โกหกตลบแตลง ไม่ได้เอาเด่นดังดีอะไร คนเชื่อก็ได้ปฏิบัติดีไป คนไม่เชื่อก็ยิ่งจะหมั่นไส้ อาตมาก็รู้ แต่ก็ต้องพูดความจริง ทำไมอาตมาต้องพูดซ้ำซากย้ำนักหนา อาตมาก็บอกแต่ต้นแล้ว ที่อาตมาต้องยืนยันย้ำเพราะว่าคนมันมีแต่เดากับเดา มีแต่การคลุมเครือกันไปเรื่อย บรรยายสัจธรรมอย่างคลุมเครือ พระอาริยะเป็นอย่างไร พระอรหันต์เป็นยังไงก็พูดไม่ได้ต้องเดาเอา จึงมีแต่เดากับเดาเอาหมดเลย คลุมเครือไปหมดเลย มันจึงเกิดความไม่รู้จริงๆ แล้วมันจะใช้ได้หรือ อาตมาก็จึงบอกว่าเลิกเสียที ที่จะทำให้คนงมงายคลุมเครือเดาส่งไป ตกลงมีแต่เรื่องเดา การเรียนรู้ก็เป็นการเดา พระอาริยะก็เดา อรหันต์ก็เดา แล้วไปบูชาเคารพคนที่ไม่ใช่ อรหันต์เก๊อาริยะเก๊
นั่งหลับตานั้นผิดตั้งแต่ต้นแล้วศาสนาพุทธ ลืมตามีสัมผัสเป็นปัจจัย จะเอาพระสูตรไหนมายืนยันก็แล้วแต่ ปฏิบัติมีผัสสะเป็นปัจจัย มีเวทนาเป็นตัวกรรมฐานเป็นตัวปฏิบัติ ไม่ใช่ไปนั่งกรรมฐาน 40 ไปนั่งสะกดจิตจ้อง อันนั้นมันเป็นเดียรถีย์เข้าปฏิบัติธรรมหมด คุณไปเชื่อสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ที่เอาตำราพระวิสุทธิมรรคมาอ่านกันนี้นะมันผิด น่าสงสารประเทศไทย
พระพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนวิสุทธิมรรคนี้เขียนผิดเพี้ยน พูดไปเหมือนกับตียอดอกเขาเลย มันมีส่วนถูกบ้างในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ไม่ใช่ไม่มี แต่สิ่งที่ผิดจากนั้นที่เอามาพูดนี้ ให้ฟังบ้าง ไม่เช่นนั้นจะแก้กลับไม่ได้เพราะมันไม่ถูก
อาตมาไม่อยากพูดหรอกว่าอาตมารู้ดีกว่าพระพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนวิสุทธิมรรคนะ อาตมาไม่ได้กระทบพระพุทธโฆษาจารย์ในประเทศไทยนะ แต่พูดถึงพระพุทธโฆษาจารย์ของลังกา ชาวสิงหล
ในเรื่องของธรรมะพุทธเจ้านั้น อาตมามาสืบทอดจริงๆยืนหยัดยืนยัน อาตมานี่แหละคือแก่นแกนสาระของศาสนาพุทธ เป็นสายธัมมานุสารี ไม่ใช่สัทธานุสารี เป็นผู้สืบทอดเอาธรรมะพุทธเจ้า หากอธิบายอย่างเทวนิยมอาตมาก็เป็นประกาศกของพระพุทธเจ้า เป็น prophet ของพระพุทธเจ้า พูดอย่างหมดเปลือกเลยนะ เป็นดารานู้ดที่ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย อาตมาจริงใจต้องการความสะอาดบริสุทธิ์อย่างหมดเปลือก ไม่มีอะไรเปื้อนเปรอะ
ในเรื่องของสัทธรรมต่างๆที่อาตมาทำงานมาแล้ว วันนี้อธิบายถึง 2515 พันตำรวจตรีอนันต์ตีหนักอาตมาก็ไม่ได้ตกใจอะไร จนสุดท้าย พันตำรวจตรีอนันต์ก็ติดคุก อาตมาก็บอกพวกเราให้ช่วยส่งอาหารให้เขาหน่อย พวกเราก็เอาอาหารไป สุดท้ายอันนั้นก็เขียนกระดาษมาว่า “ข้าวแดงของท่านมียาง”
ผ่านยุค 13-25 มา ปลอดพ้นมาก็มีสงครามมาเรื่อยๆมีการต่อต้าน พรุ่งนี้จะเข้าสู่กองทัพมหาเถรสมาคม พ.ศ.25-37 สงครามหนักๆก็พ.ศ.’32 รบหนัก โอ้โหเอาหนัก ทั้งๆที่ช่วงที่อาตมาประกาศ 2518 ก็เป็นนานาสังวาสแล้ว ท่านก็ปล่อยให้อาตมาแสดงธรรม ฟังดี เพราะว่า ทางเถรสมาคมไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน แต่เมื่อพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ โวยวายขึ้นมา เขาโวยวายกับท่านพุทธทาสก่อน พันตำรวจตรีอนันต์ตีท่านพุทธทาสก่อนมาตีเรา เขาอวดรู้ ตีจนแหลกราญ ทำประกาศทำหนังสือเขียนค้านแย้งต่างๆนานาเดี๋ยวนี้ก็ยังมีหนังสือเป็นหลักฐานอยู่
จริงๆแล้วเขาก็ศรัทธาศาสนา ทั้งเถรสมาคมและพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ อาตมาแน่นอนก็ต้องศรัทธาศาสนา มันเป็นสงครามของคนศรัทธาศาสนาทั้งนั้น ต่างก็มีจุดมุ่งถือว่าจะต้องเอาให้ถูก แต่คนละถูก ถูกกันคนละแยก เลยมีมากแยกเลยวงเวียนกรกฎา มี 5 แยก
ต่างคนต่างแยกแล้วยึดถือของตนจึงเกิดเป็นสังคมสงครามศาสนาพุทธ เป็นธรรมดาไม่เห็นจะแปลกๆ ที่จริงมันก็มีย่อยแต่เขาไม่มีแรงแสดงตัวออกมา แต่ละสำนักเขาก็เป็น สรุปแล้วมันจะมีสำนักที่
-
สำนักนั่งหลับตา
-
นั่งเรียนพยัญชนะ
-
อโศก