611109_ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 3
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1mLiGeZUmhP4Go8DTFuiRQqK8ytFDT5RrdiMld_1G0b0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1976YhoPRbmfI-2ejFPUpKQvXBelklmLJ
พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก พอเวลาจัดงานก็เห็นกันเยอะแยะดีอบอุ่นดี พอไม่มีงานก็หายกันไป พองานปีใหม่ ปลุกเสกฯ อโศกรำลึก เพื่อฟ้าดิน สี่ ห้าครั้ง ตลาดอาริยะอีก 6 ครั้ง มนุษย์เป็นสัตว์โขลงต้องรวมตัวกัน ยิ่งรวมตัวกันมากและยิ่งสงบอยู่กันอย่างเข้าใจ อยู่กันอย่างมีปัญญา อยู่กันอย่างรู้ อย่างพวกเราอยู่กัน เราไม่ได้บังคับอะไรกันว่าคนนั้นต้องทำอันนั้นดี ไม่มีใครสั่ง ไม่มีเจ้านาย เหมือนทางราชการเขา มีแต่สำนึกอยู่ที่นี่กันแต่ละคนจะมีอะไรให้ทำบ้าง บางคนก็รู้ตัวควรจะไปว่าตรงนั้นตรงนี้ บางคนก็เห็นว่าตรงนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อ อย่างเจ็กเอี๋ยว ก็ไปทำ หรือคนนั้นควรเก็บผัก คนนี้ควรถางตรงนั้นดูแลตรงนี้ต่างๆนานา หรือว่างานอะไรในสังคมเรา แต่ละคนก็จะรู้ว่าตัวเองทำอันนี้ได้อันนี้ดี หรือว่าเราจะฝึกหัดทำอะไรก็ทำ ไม่ได้มีอะไรไปบังคับ หรือจะแนะไปบ้าง บอกกล่าว นอกนั้นก็มีแต่สำนึกกัน
พวกเราในการบริหารปกครองที่อยู่ร่วมกัน ประเทศชาติเขาอยากได้แต่เราทำหมู่เล็ก จะเป็นหมู่เล็กหรือหมู่ใหญ่ก็อยู่ที่จิตสำนึก ถ้าเอาแต่จัดจ้านเที่ยวเล่นสำมะเลเทเมา แน่นอนมันก็ไร้สาระ ทำงานการเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ แต่พวกเรานี่ เป็นพวกที่มีปัญญาวุฒิ มีความเข้าใจ มีความเจริญทางปัญญารู้อะไรควรไม่ควร อะไรประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ แม้จะมาก
ถ้าอยู่กันครบอย่างนี้ตลอดปี อาตมาว่ารุ่งเรืองแน่ จะช่วยเหลืออะไรต่อกันดี จะเอาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงก็ไม่ต้องคำนึงถึง เราอยู่กันมากรวมตัวกันมากเท่าไหร่ก็จะดี สิ่งที่จะเอามากินก็เอามากิน สิ่งที่จะเอามาใช้ก็ใช้ เป็นคนมีปัญญาปฏิภาณรู้
อาตมาทำงานมา 48 ปีอาตมาว่าทำงานประสบผลสำเร็จ ทำสังคมอย่างพวกเราได้ มองไปกว้างขึ้นจากสังคมหมู่บ้านเรา หมู่บ้านอื่น เป็นถึงขนาดตำบล อำเภอ จังหวัด น่าจะทำให้มนุษย์มีความรู้สึกสำนึกเข้าใจและปรับตัว แทนที่จะเห็นแก่ตัวเกเร สำมะเลเทเมา ไม่ได้เรื่อง แต่พวกเรานี้ความไร้สาระจะมีน้อย เป็นคนเจริญ แต่ทางด้านเขาไม่เข้าใจ มีสิ่งไร้สาระเสียเยอะ เพื่อการสร้างคนให้เจริญ สร้างพฤติกรรมคนก็ช่วยกันรวม รวมทำให้เจริญขึ้นมา ทำให้สิ่งแวดล้อมเจริญ มีคนกับสิ่งแวดล้อมเจริญก็จบ
sms
SMS วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561
_1614 พื้นที่บางเวลา บางเงื่อนไข มีแต่ความแตกต่างหลากหลาย ขอให้ ขยายความทั้งประชาธิปไตยและคอมมูนิสต์ เป็นแค่ลัทธิความเชื่อ อาจใช้ได้ในบางลัทธิ ความเชื่อ ค่ะ
พ่อครูว่า…ประชาธิปไตยจะมีอิสระเสรีภาพเป็นหลัก คอมมิวนิสต์คือเป็นองค์รวมที่ เขารวบรวม มีอำนาจผู้ปกครองบริหาร ในการบังคับ ก็เป็นอิสระ แต่คอมมิวนิสต์ความเป็นอิสระจะลดลงไป อำนาจจะอยู่ที่ผู้บริหารปกครอง มากขึ้น กำหนดกฎเกณฑ์ อะไรต่ออะไรมากขึ้น แล้วเขาก็พยายามที่จะทำให้ในสังคม มีจุดสำคัญอยู่ที่จะทำอะไรให้มีทรัพย์ส่วนกลาง มากพอหรือมีเกินเพื่อเอามาจับจ่ายใช้สอยไม่ว่าจะเป็นสังคมกลุ่มไหน จะเป็นสังคมกลุ่มย่อยก็ตาม พยายามเอาทรัพย์ให้เข้าสู่กองกลางแล้วมีผู้บริหารกองกลาง
สังคมชาวอโศกทำอย่างนี้ได้อย่างดีถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นประชาธิปไตยเป็นอิสระเสรีภาพ ใครจะมาที่นี่ก็ทุกคนมาอยู่ช่วยกันทำ เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยที่ไม่ต้องบังคับ คอมมิวนิสต์เขาบังคับ แต่ว่าประชาธิปไตยเป็นอิสระ จริงๆแล้วเขาไม่ได้บังคับหรอก แต่ว่าเขาใช้อำนาจบังคับเพื่อส่วนกลางเพื่อทรัพย์สินส่วนกลาง จะได้มีพอเอาไปบริหารแบ่งกันกินใช้ทำสาธารณูปโภคก็ตาม
ของชาวอโศกเป็นอิสระ ประชาธิปไตย 100% สมบูรณ์แบบ นักรัฐศาสตร์ควรจะมาดู (มีคนว่าเรามีสังคมนิยมเสรี ที่อื่นๆเขาก็เป็นจริงของเขา จะเป็นอิสระหรือใช้การบังคับ ก็จะเป็นไปตามนิสัย คอมมิวนิสต์นั้นมีเงื่อนไขว่าจะบังคับเพิ่มขึ้น ประชาธิปไตยไม่พูดถึงการบังคับ เป็นอิสระเสรีภาพให้มาก ที่นี่เรามีครบทั้งสองด้านเลย สมบูรณ์ทั้ง 2 ด้าน
_6601น้อมกราบนมัสการบูชาพ่อครูค่ะ ลูกเริ่มดูจิตของตัวเองพอปฏิบัติตามรู้ความคิดลูกก็พบว่าบางสิ่งที่ลูกติดอยู่มันจางคลายได้เองเช่นความหงุดหงิด
พ่อครูว่า…ธรรมะพระพุทธเจ้าให้มีสติรู้ตัวเสมออันที่กระทบและมีอะไรเกิดในใจ กายกรรมมาจากจิตที่เป็นประธาน วจีกรรมมาจากจิตที่เป็นประธาน 3 รู้จิตที่ไปบงการกายวาจา ว่าใจนึกคิดอย่างไรก็ดูกันที่จิต เราทำใจตนเองเป็นโดยระมัดระวังถึงกายกรรมวจีกรรม ก็ทำใจเป็นตัวอำนาจ อาตมาเห็นว่าธรรมะพระพุทธเจ้าอันนี้ก็คือการทำใจเป็น มนสิการ
สำนวนนี้อาตมาว่าเป็นสำนวนของอาตมานะ คำว่า ทำใจในใจเป็น แล้วคุณก็พยายามทำใจให้มีอำนาจดูแลกายกรรมวจีกรรมเป็นไปในอำนาจใจเราเป็นผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นอยู่เมื่อเราสามารถมีสติปัญญารู้จักสังคม รู้จักบุคคลมีสัปปุริสธรรม 7 มีกายวาจาใจร่วมกัน สำเร็จแล้วและก็อยู่กันด้วย กาย วาจา ใจที่ดี อยู่กันอย่างสงบมาก
อาตมาแยกแยะ วิธีทำใจในใจออกไปตั้ง 5 อย่าง
1.อ่านใจตน ด้วยสติปัฏฐาน มีสติระลึกได้และมีสติสัมปชัญญะรู้ตัว สติสัมปชานะ
2.ทำใจเป็น โยนิโสมนสิการ สัมปัชติ ทำให้เกิดขึ้นมา กลายเป็น สัมปชลติ คือฌาน เป็นไฟลุกไหม้กิเลส สลายอกุศลพฤติกรรมที่ไม่ดี ละลายพฤติกรรมกายวาจา ที่มีใจเป็นประธาน จนสัมปติ คือบรรลุ
-
ใจแสนสงบด้วยสัมมาวิมุติ นี่คือการทำสมาธิ มันก็วิมุติสงบไปด้วยสัมปันนะ สัมปปัตตะเป็นมรรค สัมปันนะเป็นผล
4.ใจจบแสนรู้ ด้วยสัมมาญาณ เป็นโลกวิทู
5.ใจสุขแสนสบาย ที่เราบอกว่า พวกเราเป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ แต่ก็แสนสบายด้วยสัมมาสมาธิ อันมีคุณสมบัติสะอาด สว่าง สงบ สร้างสรร สมรรถนะ สามัคคี 6 ส.
ของท่านพุทธทาสว่า สว่าง สะอาด สงบ ของอาตมา สร้างสรร สมรรถนะ สามัคคี อีก เป็น 6 ส.ได้อานิสงส์ พ้นทุกข์ ชีวิตมีสุข มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นสุขแต่งอมืองอเท้า แต่ว่าทำการงานสร้างสรรร่วมกันจนเจริญสูงสุด อาตมาว่าเราทำได้สำเร็จ
_2978 มาร่วมงานมหาปวารณา ครั้งที่ ๓๖ บรรยากาศดีครับ ไม่หนาวเท่าไหร่ครับ
_5025 ลูกติดแป้นทำอย่างไรดีคะ , โสดาบันยังกลัวตายหรือปล่าวคะ
พ่อครูว่า…เราก็มีชีวิตมีกายกรรมวจีกรรมอยู่กับสังคมอยู่กับบ้าน มันมีอะไรที่เป็นงานการ มีกรรมกิริยาที่ดีกว่านี้ยังมีอีก เป็นคำสอนพระพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นกายกรรมวจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอีก เราก็ขวนขวายเราก็ดู เราก็ทำ ติดแป้นคือสบายๆ งานก็ทำหมดแล้วที่ควรขวนขวายก็ทำแล้วแต่ดูเหมือนเราไม่เจริญ คืออะไร เรามีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อยู่ในสังคมที่เราเป็นครอบครัว มีงานจะไปทำอื่นนอกจากอยู่ที่บ้านแล้ว หรืออย่างพวกเรา เป็นครอบครัวใหญ่ มีกว้างเยอะมาก อะไรต่างๆนานา งานการก็ช่วยกันดูแล บ้านราชฯไม่น้อยกว้างแต่พวกเราก็ช่วยกันดูแล ไม่เห็นมีที่ไหนเดือดร้อนมากหรือว่ารกสกปรกจนเกิดโทษภัย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น มันก็ดีแล้ว ก็ดู ถามว่าติดแป้นก็ว่ากายกรรมวจีกรรมหรืองานการส่วนรวมมีอะไรควรทำต่อ
ใครว่าเป็นโสดาบันแล้วบ้าง แล้วกลัวตายไหม? โสดาบันยังกลัวตายอยู่ แม้แต่อนาคามีนี่ก็ยังรู้สึกว่า ถ้าจะตายนี่ก็อย่าตายเลยนะ หรือแม้เป็นอรหันต์แล้ว ก็ตอนนี้เดินมาให้รถชน ตอนนี้รถชนก็น่าจะตายได้แล้วนะ ไม่มีใครหรอกจะเห็นว่าไม่กลัวตาย มันก็ต้องกลัวตาย คนคิดอยากฆ่าตัวตายนี้จิตไม่ดี วิปริต
_จากไลน์… คนที่อยู่กับปัญหา แต่ไม่คิดแก้ไข ด้วยเชื่อว่าตนเป็นพวกไม่มีปัญหา เพราะตนมีปัญญา ปล่อยปัญหาไปให้ธรรมะจัดสรรไปเองตามยถากรรม มองภายนอกก็ดูเป็นคนไม่มีปัญหาน่ายกย่อง ถ้าเทียบคนประเภทนี้กับอีกประเภทที่อยู่กับปัญหา เห็นปัญหา ยอมรับว่าตนยังไม่มีปัญญา แล้วพยายามหาทางแก้ไขปัญหา แม้จะยากลำบาก ต้องเจอผัสสะมากมาย ก็อ่านใจล้างกิเลสไป อาจกลายเป็นคนที่ถูกมองว่าเจ้าปัญหา ถามว่าเป็นคนอย่างแรกหรืออย่างหลังดีกว่า
พ่อครูว่า…อย่างหลังดีกว่าอย่างแรกหมกปัญหาซุกใต้พรหม ดูเหมือนไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าบอกว่าหมักหมมเน่าใน
_minty so…กราบนมัสการพ่อครูค่ะ
ได้ฟังความเห็นมาว่า ชาวอโศก”หลายคน” ที่พยายามทำความดี แต่ไม่มีมารยาททางสังคม
มักติเตียนผู้อื่น โดยไม่รู้จักประมาณตนว่ามีศิลปะในการติเตียนโดยไม่ใส่อารมณ์มั้ย และไม่รู้จักประเมิณคนฟังว่าเขาจะรับได้มั้ย
เสมือนว่าได้ถูกปลูกฝังมาให้เป็นคนกระด้าง เข้ากับคนอื่นยาก
ซึ่งหลังจากฟัง พิจารณาเองแล้วว่ามีความจริงอยู่บ้าง
พ่อครูมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ติเตียนนี้มันดี เป็นการท้วงให้เรารู้ตัว ระมัดระวัง หากเขาติเตียนมาแล้วเราเป็นจริงอย่างที่เขาว่ามันดีที่สุดแล้ว แม้ว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าเลย มันก็เป็นความโง่ของเขา เป็นความไม่รู้ของเขา เราไม่ได้เป็นอย่างที่คุณว่าเลย ก็เป็นความผิดของเขามันไม่ได้เสียหายเลยกับเรา คนถูกตำหนิไม่ได้เสียหายเลย คนที่ได้รับการตำหนิติเตียนนั้นอย่าไปกลัว ใครติเตียนมาก็ฟังดีๆ คนนี้ติเตียนหยาบคายดีเนาะ คนนี้ติเตียนฟังได้ดี แล้วก็ไม่ต้องไปชอบติเตียน ดีไม่ดีเหมือนฟังเพลงอย่าไปติดอย่างนั้นละกัน
คนเขาใส่อารมณ์มานี่ก็จริงใจนะจะได้รู้ว่าคนนี้อารมณ์ไม่ดีมากนะ เช่นแม่ดุลูกดุไม่ไว้หน้าเลยนะ แม้เป็นคนจริงใจคิดให้ดีพิจารณาให้ดี
หนึ่ง คนติเตียนนั้นดี ไม่ว่าจะแรงอย่างไรก็ตามฟังเนื้อหาสาระเอาก็แล้วกัน ถ้าเขาตำหนิถูกก็ว่าดีนะ แต่อย่าลำเอียงละกันว่าฉันไม่เป็น อย่างนี้ใครก็ช่วยไม่ได้อย่างนั้น
สรุปแล้ว ไม่อยากให้คนติไม่ได้ อาตมาส่งเสริมให้คนติ แต่อย่าเลอะเทอะมากไป
ติกันเถอะ แล้วเราจะรู้จักมารยาทการตำหนิทำให้เจริญอย่างเดียว ส่วนการชมนี้ เขาทำแล้วไม่เสียหาย แต่คนทำไม่ดี มันเสียหายคนเขาไม่รู้ เราก็ตำหนิ แต่เพียงว่าอย่าทำอย่างเกิน มาก เป็นลูกช่างติ ก็มากไป จะได้ฉายา ไอ้…
SMS พุธที่ 7 พ.ย.
_3867 แม่บอกว่าเวลาอกหักไม่ต้องเสียใจไป!เราไม่ได้เสียคนรัก
เราแค่เสียคนที่ไม่รักเราไปเท่านั้นเอง ธรรมะสมณะเสียงศีลให้กำลังใจคนรักพังเพราะอบาย
พ่อครูว่า…เราต่างหากไปรักเขา เราอกหัก ดามอกตัวเองสิ ไปเสียใจได้อย่างไรก็เขาไม่ได้รักเรา มันก็ดีแล้วเราเสียคนไม่ได้รักเราไป
_นายเทพไพร ถาม อาหารเป็นหนึ่งในโลก เคารพในการศึกษา พ่อท่านคิดว่ากระทรวงใดควรเป็นกระทรวงเกรดเอ ระหว่างกระทรวงศึกษากับกระทรวงเกษตร
พ่อครูว่า…อาตมาไม่เคยคิดว่า กระทรวงไหนสำคัญกับประเทศ เกรดเอ ก็สำคัญกันทั้งนั้น เขาตั้งกันมาดูแล อาจจะเป็นเรื่องน้อยเรื่องเล็กหรือเรื่องมาก ถ้าจะให้พูดตามความเห็นอาตมาแล้ว กระทรวงเกษตรนี่ เป็นกระทรวงที่เอาชีวิตคนได้รอด ถ้าไม่มีอยู่มีกินนั้นตายอย่างเดียว ส่วนกระทรวงการศึกษานั้น หากมีแต่ความรู้ไม่มีกระทรวงเกษตรรอดไหม ไม่รอด คุณมีแต่กระทรวงเกษตรนั้นรอด เอากระทรวงเกษตรกรก่อนกระทรวงศึกษา อาตมาเป็นสัตว์โลก อาตมาเห็นว่ากระทรวงเกษตรสำคัญกว่ากระทรวงศึกษา แต่งบประมาณที่ให้กระทรวงการศึกษาได้งบประมาณสูงมากกว่ากระทรวงเกษตร แสดงว่าเขาเอง
ที่จริงให้งบฯกระทรวงเกษตรน้อยเพราะประเทศเจริญจึงไม่ต้องให้มาก แต่ให้กระทรวงศึกษาธิการมาก เพราะว่าไปพัฒนาคนเพิ่มเติม คนยังไม่เจริญ แต่กระทรวงเกษตรนี้มีอยู่มีกินพอเพียงแล้ว คนยังไม่เจริญทางด้านความคิดก็เลยไปให้การศึกษา
หรือว่า 2 ไปหลงการศึกษา ให้งบประมาณการศึกษาสูงขึ้นเพื่อปรับปรุงการศึกษาให้สูงขึ้นจะไม่ทันต่างประเทศเขาก็อยากจะให้ทันเขา
ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนเรื่องการเกษตรมีการสร้างผลผลิตให้พออยู่พอกิน ไม่ได้ไปเก่งทางกสิกรรม แต่ไปทำเรื่องเครื่องกินไม่ใช่เรื่องเครื่องใช้ อุดมสมบูรณ์เพียงพอ
_SMS วันที่ 6-7 ตุลาคม 2561
_3867กราบเรียนท่านจันทร์มีโคมไฟโซล่าเซลล์แบบพกพา!มีวางขายที่ร้านบวรอโศกไหม?จะเอามาใช้ทำงานศิลป์ตอนดึก!โคมไฟร้านเสีย!สาธุ
_แก้วลา ไชยวงค์ · พ่อท่านสุขภาพแข็งแรงมาก ดูทีวีท่านอ้วนขึ้นตัวใหญ่ขึ้นผิวพรรนท่านเปล่งปั่ง เป็นบารมีพ่อท่าน กราบสาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาว่าอาตมาไม่ได้อ้วนเลยนะ
นพดล ทองโคตร : จ้งหวัดมหาสารคาม ที่วิทยาลัยครูมหาสารคาม อาคารโรงยิมส์อเนกประสงค์ ข้าฯน้อยได้รับฟังเทศน์พ่อครูและคณะ ประมาณปี 2525 หรือ 2526 ครับ
_ນາງ ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ · ນະມັດສະການພໍ່ທ່ານຢ່າງສູງສາມະນະທຸກຮູບສິກຂະມາດທຸກທ່ານກາບສາຖຸ
นางเก็ดมณี สุขสวรรค์ นมัสการพ่อท่านอย่างสูง สมณะทุกรูป สิกขมาตุทุกท่าน กราบสาธุ
_พันธุ์ พอเพียง · คำว่า ฉลาด หรือ สะหลาด ภาคเหนือ ใช้เรียก ไม้กวาดขยะ(กิเลส)ที่ทำจากใบมะพร้าวครับ เรียกขยะว่า ขี้เยี้ย(อาสวะ เยื่อใย) ด้ามไม้กวาดทำจากไผ่รวก กลม กำได้แน่น เรียกคนฉลาดว่า คนร๊วก ร เรือ ว แหวน ก ไก่ ผมแปลไม่ออกครับ แต่ผมทึ่งตรง สระอะไรที่อยู่ข้างบน ร เรือ มันคือ เลข ๗ ไทย ที่แปลว่า นิยตะ โพธิสัตว์ครับ กราบแทบเท้าครับ
พ่อครูว่า…ทางอีสานเรียกไม้กวาดว่า ไม้ฟ่อย
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบพ่อท่านด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างสูงยิ่ง พ่อท่าน และชาวอโศกเป็นแบบอย่างที่ดีเลิศสมควรปฏิบัติตามเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ถ้าผู้ทำใจให้ปราศจากนิวรณ์ 5 ตั้งแต่เช้าจนเข้านอน จะถือว่าผู้นั้นมีเบญจศีลเบญจธรรมสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา ในขณะลืมตาทำจิตต่างๆอยู่หรือไม่ ถือว่ามีการปฏิบัติสัมมาสังกัปปะถูกต้องหรือไม่ ภิกษุอยู่เป็นปกติมีปกติรู้รูปโดยจักษุ ก็ไม่มีความรักความชังกับรูปที่น่ารักน่าใครน่าปรารถนา
ถ้าภิกษุยินดีกล่าวสรรเสริญ ย่อมมีความเพลิดเพลินมีความกำหนัดกล้าก็จะมีความเกี่ยวข้องกิเลสก็เจริญ ถึงจะเสพเสนาสนะ อยู่ในที่สงัด อยู่ป่า ไม่มีอะไรกระทบสัมผัสมาก ควรเป็นที่กอบกิจของมนุษย์ผู้ต้องการความสงัด สมควรเป็นที่เว้นอยู่แต่ถึงยังงั้นก็ถือว่ายังมีเพื่อนสอง เพราะว่าเขายังมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง
พ่อครูว่า..ใช่ ดีแล้ว สัมมาสังกัปปะต้องอ่านถึงใจตัวเอง
ตักกะคือจิตเริ่มดำริก็ทัน ก็จัดการกาม พยาบาทที่ผสมในจิต วิเคราะห์วิจัยออกว่ามันมีในจิตมีบทบาทคุณก็ทำให้มันลด ถ้าคุณทำอย่างนั้นได้อยู่ตลอดเวลานั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้ามีตรงนี้เท่านี้แหละ ไม่ได้ไปนั่งหลับตาเลย นี่คือการสร้างสมาธิของพระพุทธเจ้า มีสัมผัสแล้วก็อ่านเวทนา ในเวทนานั้นมีตัณหาร่วมด้วยไหม กามหรือภวตัณหา เมื่อเห็นกิเลส ตัณหาก็พยายามจางคลายกิเลสตัณหาให้ได้ก็ดับด้วยพลังปัญญาหรือกิเลสมาแตะก็ทำอะไรจิตเราไม่ได้ จิตใจไม่หวั่นไหวรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าอะไรคืออะไร ไม่ได้มีจิตหวั่นไหวไปตามโลก ที่เขามีความรักความชัง คนทำอันนี้แหละเป็นการทำสังกัปปะถูกต้อง
การปฏิบัติใครไม่มีผัสสะไม่ได้ปฏิบัติธรรม ทางเถรสมาคมฟังกันไหม ไปนั่งหลับตาประเทศนั้นชิบหายวายป่วงทั้งดำทั้งเหลืองไปแล้ว จะเหลืองดำลงก็เพราะเราทั้งหลาย ศาสนาพุทธไม่มีลัทธินั่งหลับตา มีผัสสะ 6 เป็นมีสัมผัสเป็นปัจจัย
กายคตาสติคือลืมตาปฏิบัติไม่ได้อยู่คนเดียวนะ คำว่าอยู่คนเดียวคือไม่มีเพื่อนสอง เขาไปแปล เอกะ ว่าอยู่คนเดียว ที่จริงคือทำจิตให้ไม่เกิดกิเลส เอกเสนะ ไม่มีเพื่อนสองคือกิเลส
ขณะที่คุณสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจอยู่ตลอดเวลา ต้องระมัดระวังรู้ตัวอย่าให้เกิดกิเลส อย่างนั้นประการหนึ่ง
คือคิดตื้นๆความสงบสงัดคือไปอยู่ในที่ที่ไม่มีอะไรพวกพล่าน มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียวอย่างนี้ไม่ใช่ลัทธิพุทธเป็นพวกฤาษีคิดกัน ว่าพระพุทธเจ้าให้อิสระเสรีภาพ แต่ว่าแม้จะอยู่คนเดียวนั้นก็ยังมีเพื่อน 2 คือกิเลส
รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่ยินดีไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้น เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้นอยู่ ความเพลิดเพลินย่อมดับ เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ก็ไม่มีความกำหนัด เมื่อไม่มีความกำหนัด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง ดูกรมิคชาละ ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความเกี่ยวข้อง เราเรียกว่ามีปรกติอยู่ผู้เดียว
พระพุทธเจ้าออกบวช ก็เจอแต่พวกหนีเข้าป่านั่งหลับตาสมาธิ จิตโน้มไปทางมิจฉาทิฏฐิมิจฉาปฏิบัติ แต่หากเราปฏิบัติในขณะลืมตาแล้วก็ทำให้กิเลสหมดไปได้ ทำให้ได้ตลอดกาล
ท่านตรวจสอบจิตแม้แต่อยู่คนเดียว พระอานนท์ท่านก็พิจารณาของท่านไม่ได้หมายถึงท่านทำอย่างนี้อย่างเดียวแต่ไปเอาสมัยนั้นของท่านมากล่าว
ตามประวัติพ่อครูมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าคุณ นร แล้วท่านเจ้าคุณ นร เป็นพระอรหันต์หรือไม่
พ่อครูว่า…ขั้นบันไดเป็นอรหันต์ ว่าไปแล้วท่านเป็นโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ท่านเกิดมาในชาตินี้เป็นสายศรัทธา ท่านไม่มีเพื่อน ท่านก็ปฏิบัติไปตามของท่าน ท่านไม่ได้ออกป่าเขา แต่อยู่ในเมือง ท่านเป็นตัวอย่างให้แก่วัดแก่พระทั้งหมด คนเคารพท่านแต่ไม่เอาตามท่าน เอาใจใส่เวลามีกิจสงฆ์ แต่ท่านเป็นสายเจโตมากไปเท่านั้นเอง ท่านก็เลยไม่ร่วมงานกิจสงฆ์ ซึ่งผิด มันสุดโต่ง แต่ท่านเกิดมายุคนี้อาตมาเข้าใจ ท่านเป็นสายเจโตแต่ศรัทธา ไม่เหมือนอาตมา อาตมานักกวาดลาน มีอะไรก็กวาดแต่ท่านเจโต ก็เลยคนละขั้ว มันยากทุกวันนี้ สายเจโตไม่มีปัญญาทำอะไรหรอก แต่สายปัญญาจะแข็งๆกราดๆ ไม่อย่างนั้นไปไม่ออก อาตมามีธรรมฤทธิ์พอสมควรจึงไปได้
มาเข้าสู่พวกเรา เนื่องในโอกาส อภิลักขิตสมัย อาตมาก็มีดำริจะให้อภัยโทษแก่ผู้ที่ทำผิดแล้วต้องออกจากอโศกไป และมอบให้ทางคภส.พิจารณาจึงได้ดำริขึ้นมา ว่าควรจะให้อภัยโทษได้แค่ไหนอย่างไร ก็มีคนที่ต้องพิจารณาเป็นขั้นตอน ควรยกโทษให้ผู้ที่กระทำไม่ผิดร้ายแรง โทษที่ต้องออกไปตั้งแต่ 4 ปีจนถึง1 ปี ส่วนโทษที่หนักกว่านี้อาจพิจารณาในวาระอายุ 90 ปี
ดังนั้นผู้ที่ได้รับการลงโทษไม่ถึง 4 ปีหากประสงค์จะเวียนกลับเข้ามาในหมู่อีกครั้ง ในชุมชนใดก็แล้วแต่ก็ให้แจ้งความประสงค์มาในแต่ละที่
ก็เป็นการประกาศอภัยโทษต่อชาวอโศก
ก็เข้ามาสู่เนื้อหาธรรมะ
อาตมาได้พูดถึงเรื่อง วันและเวลา…
ชาวอโศกเราย่างเข้าสู่พศ.2537-2539
พศ.2537 เราอยู่ในวาระยังไม่สิ้นสงครามสังคมชาวอโศกที่เริ่มแต่ 32-39
พศ.2549 เราเดินเข้าสู่สนามหลวง อาตมาเดินนำขบวนหมู่สมณะเดินเข้าสู่สนามหลวงและไปนั่งชุมนุมกับเขา จนเอารัฐบาลออกไปได้ถึง 4 รบ.
เป็นกิจที่สำคัญเป็นกิจที่ผ่านมาได้อย่างสวยงามมาก พูดเหมือนกับหลงตัวเองเลย ว่าพวกเรานี้ได้นำพาประเทศชาติให้ประท้วงได้อย่างสงบ อำนาจแห่งความสงบสยบความรุนแรง จนกระทั่งไล่รัฐบาลสำเร็จด้วย ไม่ได้ใช้อาวุธไม่ได้ใช้ความรุนแรง เอาคนมานั่งเสนอหน้าปักหลักเลย เพื่อแสดงมวลปชช.คะแนนเสียงว่าไม่เอาพวกคุณนะมีมวลร่วมกันมานั่งให้พรักพร้อม มายืนยันประท้วงรัฐบาลไม่ให้รัฐบาลนี้บริหารต่อไปจนสำเร็จ ผู้บริหารหมดฤทธิ์หมดอำนาจจริงๆ คนประยุทธ์ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจจากผู้รักษาการ เขาไม่มีอะไรจะเถียงเพราะประชาชนได้ปฏิวัติเรียบร้อยแล้ว
เป็นรัฐศาสตร์ในเมืองไทย แต่เขาไม่พูดว่าชาวอโศกไปทำก็ไม่เป็นไร เราก็ให้รู้ประวัติศาสตร์บทนี้ในไทย ทำได้อย่างงดงามสงบเรียบร้อย
มีสิ่งที่น่าฉุกคิดคือมีความรุนแรงถึงขั้นมายิงมาปาระเบิดใส่ ก็พวกรัฐบาลนั่นแหละพูดกันให้ชัด พวกที่เข้าข้างรัฐบาลนั่นแหละ มาวุ่นวายเรา ที่ฉุกคิดคือ ไม่มีชาวอโศกบาดเจ็บล้มตายเลย ไปทำนานเป็นปี อาตมาเข้าใจในกรรมวิบากบารมี เขาคิดไม่ออกว่าคือธรรมฤทธิ์ ที่พุทธศาสนิกชนทำงานให้กับชาติ แต่เถรสมาคมเขาไม่เข้าใจ เข้าใจว่าศาสนาพุทธต้องไปนั่งหลับตาไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ที่จริงแล้วศาสนาพุทธจะต้องอยู่กับสังคมมีบทบาทพัฒนาร่วมกันทำให้สังคมเจริญ แต่เขาก็ทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปไกลมากเป็นเรื่องเลอะเทอะ จนไม่เป็นศาสนาพุทธเลย
ศาสนาพุทธ ปฏิบัติแล้วจะเกิดปัญญา 7
ผู้ที่เกิดเป็นอาริยะ เจริญทางพุทธธรรมคือผู้มีปัญญา 7 โสดาบัน ถึงจะเป็นผู้ที่เข้าถึงเข้ากระแสของการเป็นชาวพุทธ ที่แท้จริง มีญาณ 7 พระโสดาบัน
-
รู้แล้วละ (ญาณที่ 1)
คือกำลังเรียนรู้กิเลสกลาง (ปริยุฏฐาน -กิเลส)ได้แก่นิวรณ์ 5 เพื่อละกิเลสนั้น แต่ยังมีทะเลาะ วิวาทกัน ด้วยหอกปาก (มุขสัตติ) อยู่
คือเราหลุดพ้นจากกิเลสตัวแรกของเรา เรากำลังทำกิเลสตัวต่อไป ไม่ได้หนีสังคม แต่กระทบสัมผัสอยู่รวมกับสังคม เราพ้นอบายแล้วก็อยู่กับสังคมได้ นี่ต่างหากคือปัญญาเป็นความหลุดพ้น นั่งหลับตาไม่มีทางหลุดพ้นจากศาสนาพุทธ
แม้ละ ปริยุฏฐานกิเลส ยังไม่ได้ ก็รู้ ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิ ตั้งปณิธานจิตไว้ เพื่อไปสู่การตรัสรู้ สัจจะทั้งหลาย
-
ทำให้มาก (ญาณที่ 2) คือเสพคุ้น (อาเสวนา) ทำให้เกิดผลเจริญ (ภาวนา) ทำให้มาก (พหุลีกัมมัง) กระทั่ง ระงับดับกิเลสตนได้
-
เชื่อมั่นธรรมวินัยนี้ (ญาณที่ 3) คือชัดเจนว่า การปฏิบัติอื่น นอกธรรมวินัยนี้ ไม่สามารถ ดับกิเลส สิ้นเกลี้ยง ไม่เป็นโลกุตระ
-
ผิดรีบแก้ (ญาณที่ 4) คือรีบแก้ไขความผิดของตน เหมือนเด็กอ่อน นอนหงาย มือเท้า ถูกถ่านไฟเข้าแล้ว ก็รีบชักหนีเร็วพลัน เช่นคุณไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และสังวร ทวาร 5 หากเราทำผิดไปจะรู้ตัวและรีบแก้ไข เป็นสำนึก
-
ทำกิจตน – กิจท่าน (ญาณที่ 5) คือทั้งศึกษา ในอธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา ทั้งขวนขวาย กิจใหญ่น้อย ของเพื่อนพรหมจรรย์ เหมือนวัวแม่ลูกอ่อน เล็มหญ้ากินด้วย ชำเลืองดูลูกด้วย อยู่กับหมู่กลุ่มทำงานเพื่อสังคมไป
-
มีกำลัง (ญาณที่ 6) คือมีอำนาจในตน มีพลังทำประโยชน์ ทำไว้ในใจ กำหนดด้วยจิต ทั้งปวง เงี่ยโสต ฟังธรรมวินัย ของตถาคต อันบัณฑิตแสดงอยู่
มีกำลังจิต แยกแยะถูกผิดได้ชัด รู้ตนว่ามีผล ได้บรรลุแล้ว
-
ปลื้มใจในผล (ญาณที่ 7) คือได้รู้ธรรม รู้แก่น (อรรถ) รู้จริงครบถ้วนธรรม ปลื้มใจในผล ที่ตนได้ เห็นผลสุข ที่จะมียิ่งขึ้น ยิ่งเข้าใจชัด สมบูรณ์ ข้อ 7 เป็นพลังงานเสริม ผลที่ได้คือสงบเย็น เป็นประโยชน์สูงขึ้น เป็นโทษภัยต่อสังคมน้อยลง เป็นความเจริญครบพร้อมให้ตรวจสอบ ของปัญญาของธาตุรู้