611121_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เศรษฐกิจช่วยโลกได้คือเศรษฐกิจจิตเป็น 0
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1QXSnzYrnRtehQL51BrgTD07kVZZ9H_-4P89ZZNelGIA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.https://drive.google.com/open?id=1dNVPvlI4lymECfuRQMookNWRpbgDCKOm
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้จะเป็นวันลอยกระทง คนก็คิดกันว่าจะลอยกระทงกันอย่างไรไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ส่วนพวกเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเพณีนี้
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“กู้วิกฤตตน พ้นวิกฤติชาติ”
ครั้งที่ ๓๔ ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ ๒๓ – อาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา ๐๘๗-๔๔๓๗๘๖๕
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ ๘ พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
ข่าวในโทรทัศน์ทุกวันนี้มีแต่ข่าวไม่ดี เปิดไปช่องไหนก็มีแต่ข่าวสังคมแย่ ตามความโลภโกรธหลง คนก็อยากรวยก็เพิ่มความโลภโกรธหลง มองเห็นสัญญาณไฟบรรลัยกัลป์
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน การเหยียดหยามต่างจากการตำหนิที่ใจ
_1614 อย่าคิด-พูด-ทำ ไปในลักษณะที่เหยียดหยามใคร ๆ ว่าเป็นคนโง่; เพราะเราอาจจะเป็นคนโง่เช่นนั้นเพราะเหตุนั้น-อยู่แล้วโดยไม่รู้สึกตัว #พุทธทาสเช่นนั้น#หอจดหมายเหตุพุทธทาส “เพราะเราอาจเป็นคนโง่เพราะเหตุนั้น” ขอคำอธิบาย เพิ่ม ด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..ก็เป็นความสำนึกที่ดีนะที่คิดเช่นนี้ และบางคนต้องท้วงติงกัน เพราะเขาทำผิดทำไม่ดี คนที่ทำผิดทำไม่ดีคือคนยังโง่ เราก็บอกว่ายังโง่ยังไม่ฉลาดนะที่ทำสิ่งที่ไม่ดียังไม่ฉลาด
พยัญชนะกับสภาวะความเป็นทั้งความคิดความรู้ทางจิตทางอารมณ์ สภาวะคือเรื่องของจิต หากเป็นกายกรรมวจีกรรมก็หยาบกว่า เราจะเลี่ยงไม่พูดคำว่าโง่ นี้ ไม่ได้ แต่จิตของผู้ที่ไม่เหยียดหยามใคร ก็เวลาแสดงออก สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ใช้นัจจะคีตะวาทิตะ ใช้น้ำเสียงสำเนียงท่าทาง คำพูด รวมแล้วสิ่งที่จะสื่อสารออกไป มันก็จะเป็นคำตำหนิ นิคหะ
รวมแล้วก็ไปพูดสิ่งที่เขาไม่ถูกต้องทั้งนั้น มันเลี่ยงยาก อาตมาพูดบ่อยนะ ผู้ที่เขาท้วงอาตมาว่า อาตมาเป็นคนพูดแรง ดัง ตำหนิหนักเหมือนคนโกรธไม่ชอบใจหรืออาจจะอยากพูดสะใจตนเอง อาตมาก็ว่าอาตมาไม่มีจิตสาเฐยจิต จิตอยากอวดอ้างข่มเบ่งคนอื่นเหยียดหยามคนอื่น ทำร้ายคนอื่น อาตมาไม่มี
แม้แต่คำว่าเหยียดหยามเราก็ไม่มีในจิต แต่เราก็ต้องพูดว่าคุณไม่ดีไม่ถูก อย่าโง่สิให้ฉลาดหน่อยเราก็พูด การไม่เหยียดหยามดี แต่เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เหยียดหยาม แต่เราก็พูดว่าเขาโง่ ยิ่งพูดแรงดังอย่างอาตมา คุณอาจแปลตามอาการ
พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าให้เชื่อแค่อาการ เอามาตีความ แล้วสรุปพิพากษา ว่าไม่สุภาพ
สุภาพ แปลว่า ภาวะที่ดี เราทำงาน เช่นแม่ต้องการให้ลูกดี ด้วยความปรารถนาดีแต่ว่าลูกดื้อด้านก็ต้องว่าแรงดุแรง แม่ไม่ได้ผิดอะไรเลย ฉันเดียวกัน อาตมาทำลักษณะนี้แต่คนเข้าใจไม่ได้
สมมุติเชื่อตามเขาว่า ก็บรรยายธรรมะนิ่มๆเบาๆ อย่าไปว่าใคร เรื่อยๆมาเรียงๆ อาตมาว่ามันจะกระเตื้องใหม่ แต่เพราะมันหนาแน่นแข็งแรง ขนาดนี้ยังไม่เคลื่อนไม่กระดิกเลย อาตมาก็ว่าอาตมาเชื่ออย่างนั้นเป็นอย่างนั้นจึงทำอย่างที่เป็นอยู่
ที่จริงอาตมาว่า ท่านพุทธทาสบอกว่า “เพราะเราอาจเป็นคนโง่เพราะเหตุนั้น” คือท่านเองท่านก็ไม่รู้ตัว ท่านมีความจริงครบแล้วหรือยัง แต่ก็มีการสำนึกคิดออกคิดได้ว่า เราอย่าไปเหยียดหยามใครนะ แต่จิตคนไม่ละเอียดพอจะรู้ไหมว่าจิตคนเหยียดหยาม อย่างอาตมาว่าเขาผิดว่าเขาแรง คนอ่านตามอาการก็ว่าอาตมาเหยียดหยามดูถูกคน แต่อาตมาว่าอาตมาไม่มีจิตเช่นนั้น แต่พูดตามความเป็นจริง เขาทำไม่ดีเขาควรจะได้ฟังคำตำหนินั้น
เอาง่ายๆ ที่อาตมาติมากคือ ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ไปโง่ทำไม อย่างนี้อาตมาไม่ได้เหยียดหยามเขานะ ก็เขาโง่ แล้วโง่อยู่ทำไม อ่านคำสอนพระพุทธเจ้าให้แตกฉาน พระพุทธเจ้าท่านตีทิ้งด้วย ท่านมีพลความเยอะแยะที่บ่งบอก เช่น หากไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ หรือในปฏิจจสมุปบาท โพธิปักขิยธรรม มูลสูตร พรหมชาลสูตร ก็บอกไว้หมดว่าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่เช่นนั้นไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติธรรมได้ หากไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะมันโง่
ในมหาจัตตารีสกสูตร บอกไว้ว่า การทำสมาธิต้องปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ปฏิบัติทั้ง 7 สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ
ขณะทำอาชีพ กรรมการงานทุกอย่าง ขณะพูด สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ
แต่ไปสอนว่า ให้นั่งไปอย่าไปคิดแล้วมันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร ปัญญาผีบ้าสิ
คำว่า ผีบ้าใช้เพื่อให้คนสะดุดใจ อาตมาจะพูดหรือออกท่าทางก็ใช้ปัญญาคัดกรอง ไม่ใช่พูดส่งๆไป อาตมาว่าอาตมาผู้ใช้ปัญญา (พ่อครูว่าปวดนิ้วก้อยซ้าย ให้ตัดออกด้วย)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญต่างจากทานเช่นไร
_การทำบุญ=การทำลายล้างอกุศลกรรมใหม่ การทำทาน=การสร้างกุศลกรรมใหม่ เพราะฉะนั้นควรจะทราบไว้ด้วยว่าการจะทำลายล้างกิเลสนั้นจำเป็นต้องมีเครื่องมือ ปัญญา=เครื่องมือทำลายล้างกิเลส จึงควรที่จะสั่งสมปัญญาพิจารณาธรรม แบบนี้ ถูกต้องไหมคะ
พ่อครูว่า…บุญมาจากบาลีว่า สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือ การชำระจิตสันดานให้หมดจด ไปทีละส่วนคือส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา คือกำจัดกิเลสได้ แต่เราไม่ได้นะ ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้อะไรเลยมีแต่สิ่งที่จะหลุดออกไปจากจิตใจ เจริญขึ้น แล้วไม่มีผลอะไรสะสม กิเลสหมดไปก็ไม่ได้สะสมอะไรไม่ได้สะสมกุศล บุญนั้นไม่มีอะไรจะสะสม จนสามารถสิ้นอาสวะ หมดจนกระทั่งไม่เกิดอีก ก็ไม่ต้องทำบุญอีกเรียกว่า อปุญญาภิสังขาร บุญไม่มีแล้ว ปรุงแต่งไม่มีบาปอกุศลให้ชำระอีกแล้ว
ไม่มีบาปเป็นสภาวะซับซ้อน คนไม่มีสภาวะจะยาก คนที่แปลอปุญญาภิสังขารว่า สังขารเป็นบาปนั้นผิด บุญก็คือบุญ อปุญญะคือไม่ต้องทำบุญอีก
พระอรหันต์ทุกพระองค์หรือพระพุทธเจ้าก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ คนที่ไม่มีสภาวะของโลกุตระจะเข้าใจอันนี้ได้ยาก มันเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
การทำทานเท่ากับการสร้างกุศลกรรมใหม่
ทาน เป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระก็ได้ ถ้าคุณทำทานแล้วสามารถอ่านจิตตัวเอง ว่าในขณะคุณให้นั้นจิตของคุณให้หรือเอา จิตของคุณที่มีอาการต้องการเอา เอามาให้แก่ตน เอามาเป็นของตัวของตนเอง ยังหวังที่จะได้จากการให้ คุณก็ให้ไม่ขาด คุณให้ไม่จริง คุณไม่ได้ให้ คุณต้องการแลกเปลี่ยน และคนที่ต้องการแลกเปลี่ยนมาก ให้ไปแล้วเอาคืนมามากๆเยอะแยะ ไม่มีใครทำทานไป 10 ต้องการคืนมา 2 ต้องการคืนมา 5 ส่วนใหญ่ไม่มี
คนที่เข้าใจการทำทาน สภาวะคือการให้ ให้คือให้ หากจิตต้องการเอาขึ้นมามันก็มีตัวตนตัวกูของกู ไม่ได้เป็นทานจริงไม่ได้ให้จริงยังเอาคืนอยู่ และที่แน่ๆไม่มีใครให้ไป 500 แล้วจะเอาคืน 400 300 ให้ไปเท่านั้นแล้วจะเอาคืนมากกว่านั้นต่างหาก ก็ยังต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนคืนมาต้องการกลับมาเรียกว่าความหวัง สาเปกโข เป็นการทำทานที่ไม่มีอานิสงส์
ทำทานต้องไม่หวังอะไรตอบแทน หากว่าหวังอะไรตอบแทนจะมีภพชาติ ต้องการกลับมาแล้วได้ชื่นใจก็เป็นสวรรค์ดาวดึงส์ แล้วอยากให้อยู่นานๆ เรียกว่าสวรรค์ชั้น ยามา แล้วก็ต้องการสุขแบบไม่มีพักเลยไม่มีดุสิต ที่เป็นฐานพักคุณก็ไม่พักโง่ซ้ำซ้อน แล้วเอาแต่เนรมิต เกิดภพชาติ
สวรรค์ทั้ง 6 คือของเลว ผู้ใดที่ยังมีสวรรค์ก็คือไม่เป็นอรหันต์ สวรรค์นั้นไม่ใช่ของดี
สวรรค์มีภพมีชาติ นี่คือศาสนาที่ตีเทวะแตก ส่วนศาสนาที่ตีเทวไม่แตกจึงไม่มีนิพพานไม่มีธรรมะ 0 ธรรมะ 1
พวกที่มีสวรรค์นรกนิรันดร เขาหาว่าศาสนาพุทธไม่เป็นศาสนาเพราะไม่มีจิตวิญญาณ ที่จริงแล้วศาสนาพุทธตีแตกจิตวิญญาณ ถ้ายังมีคนเป็นจิตนิยาม แม้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์อย่างอาตมา อาตมาก็อาศัยจิตวิญญาณ แต่ไม่ได้ยึดถือจิตวิญญาณเป็นเราเป็นของเรา
อาตมาเป็นคนไม่มีจิตวิญญาณ 0 อาตมา แต่ตอนนี้ยังไม่ 0 ยังมีอยู่ยังไม่ตาย เป็นอมตะบุคคลคือยังไม่ยอมตายยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน กิเลสตายเกลี้ยง“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
ที่พูดนี้เป็นการยืนยันสัจจะความจริง ไม่ใช่เดาว่าใครคืออรหันต์ ซึ่งมันไม่มีความมั่นใจที่จะยืนยันได้
อาตมาเอาสภาวะมาพูด แสดงธรรมด้วยสภาวะ ส่วนพยัญชนะดูเหมือนผิดแต่อาตมาว่าไม่ได้พูดผิด แต่คุณตีความสิริมหามายาไม่ได้ หมุนสมองไม่ทันสมัย
เขาตีไม่ออก เขานึกว่าจิตวิญญาณต้องเป็นอยู่นิรันดร อย่างนี้ไม่สามารถแยกเป็น 1 เป็น 0 ได้ หากว่าสามารถทำ 0 ได้ก็สามารถทำให้ไม่ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเป็น 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ก็ตาม ถึงนิรันดร ไม่มีที่สิ้นสุด สรุปว่าทำทานอย่างอย่าไปสร้างกิเลสสร้างภพชาติ
การจะทำลายกิเลสต้องมีเครื่องมือคือปัญญา คนที่สั่งสมปัญญา จนกระทั่งสูงสุดก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องอาศัย
_ไพร จริยา · งานบริการ คืองานรับใช้ ทำได้ไม่เก้อเขิน
พ่อครูว่า…ดี
_แตงกวา ขอทราบความหมายของคำต่อไปนี้
-
คำว่าสามัญญตา พ่อครูว่า..สมณะแปลว่าผู้สงบแล้ว เป็นอรหันต์แล้วคือผู้มีสามัญไม่มีปัญหาสงบสบายแม้โลกจะกระทบกระแทกก็เป็นปกติไม่หวั่นไหวไม่เคลื่อนเป็นอย่างเดิม 0 ว่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ลบไม่บวกไม่ฟุ้งไม่จม
-
ความรักในระดับพุทธเบื้องต้น พุทธเบื้องกลาง พุทธเบื้องสูง
พ่อครูว่า…อาตมาเขียนความรัก 10 มิติ มันมีมิติที่ทั้งแคบทั้งกว้าง การดูดเอามาเป็นตัวตนมาก ก็เป็นมิติที่ 1 เห็นแก่ตัวมาก ไม่เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างแก่ใครเลย
เห็นแก่แค่ 2 คนลูกก็ไม่เกี่ยว ถ้าเผื่อแผ่ไปถึงลูกก็เป็นมิติที่ 2
นอกจากลูกแล้วยังมีเผื่อแผ่แก่ญาติก็เป็นมิติที่ 3 จนกระทั่งขยายไปหาสังคมประเทศ จนกระทั่งไปถึงต่างประเทศ
ความรักคือความเห็นแก่ตัวที่เป็นวงแคบ เรามาขยายความความรักที่ขยายขึ้นจนเป็นความรักของพระเจ้า เป็นความรักที่มีคุณลักษณะที่จะดียิ่งขึ้นประเสริฐยิ่งขึ้น จะมีเบื้องต้นเบื้องสูงก็แบ่งเอาเอง
_ลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง
ลูกขอหมอบกราบแทบเท้าพ่อท่าน กราบขออภัยอย่างสูงสุด วันนี้ลูกขอกราบเรียนความในใจ ที่เก็บไว้มานานแล้ว คือว่า อยู่ดีๆความคิดก็พุ่งขึ้นมาว่า ทำไมหนอพ่อท่านจึงตีงานศิลป์ อย่างรุนแรงไม่เหลือความเป็นตัวเป็นตนเลย งานศิลป์แบบโลกีย์ กว่าจะทำได้ก็ยากมากๆคิดแล้วก็น้อยใจ น้ำตาตกใน แต่ก็ไม่กล้าขัดแย้งอะไร เพราะพ่อท่านพูดเป็นความจริงทั้งหมด
เมื่อก่อนลูกทำงานศิลปะจิตรกรรมก็ภูมิใจตัวเอง ว่าเก่ง อัตตาก็ใหญ่โลกธรรมก็เยอะกามก็แยะ เวลาทำงานต้องขับเคลื่อนด้วยกาม คือ เสียงเพลง ด้วยโลกธรรม คือคนต้องเห็นค่าของงานด้วยอัตตาคือ ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ
แต่พอได้ฟังพ่อท่านวิจารณ์ศิลป กิเลส 3 ตัวก็เบาลง (เฉพาะเรื่องศิลปเท่านั้น) ปัจจุบันทำงานไม่ต้องมีเสียงเพลงก็ได้ ไม่ต้องมีใครมาให้ค่าก็ได้ ทำแล้วไม่ได้ดังใจก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ทุกข์ ปล่อยวางได้ หรือทำใหม่ก็ได้
ถ้าลูกสลายกิเลสเรื่องอื่นๆได้เหมือนเรื่องของศิลป ลูกก็จะเป็นคนกตัญญูต่อพ่อท่านโดยสมบูรณ์และเป็นอิสระ ลูกขอฝันอย่างนี้ไว้ก่อน อีกล้านๆชาติ ก็จะขอเกิดมาเป็นลูกพ่อท่านจะได้เป็นอิสระจากกิเลส
กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง
_บ้านเล็ก เมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ลัทธิทุนนิยมได้สร้างความบอบช้ำให้แก่สังคมโลก ด้วยการส่งเสริม…..ความเป็นปัจเจกชน
เพาะสร้างความเป็นส่วนตัว ให้เสพติดความสะดวกสบาย ที่ปัจจุบันหาซื้อกันได้ง่าย แทบจะทุกปากซอย
ผลักดันให้นายทุนขึ้นสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร โดยมีความหายนะของทรัพยากรโลก เป็นค่าโง่ที่มนุษย์ต้องจ่าย
ทั้งยังได้วางแผนทำลายพฤติกรรมสุจริตดั้งเดิมของมนุษย์
โดยเพิ่มค่าเฉลี่ยต่ำๆ ด้วยการเพิ่มประชากรแบบด้อยคุณภาพในยุค Baby Boom เข้าสู่สังคม
แล้วเสริมเสื่อมระบบการศึกษา….. มุ่งเน้นแข่งขัน….. บ้าความสำเร็จ….. เสพติดแฟชั่น….. บูชาเงิน…..
เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับแย่งชิงกันในอนาคต เป็นหนูถีบจักรในกรงของนายทุน ที่เรียกอย่างสวยหรูว่า….. ธุรกิจ
เด็กรุ่นใหม่ที่ถูก spoil ด้วยความหลงเชื่อผิดๆของพ่อแม่ จึงกลายเป็นตัวทำลายความดีงามดั้งเดิมของบรรพบุรุษซะเอง
ความเลวร้ายทั้งหมดที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันเองเหล่านี้….. เกิดจากข้ออ้างคำเดียวว่า…จะทำให้ ”เศรษฐกิจดี”
แท้จริงแล้วความหมายของเศรษฐศาสตร์ คือศาสตร์แห่งการจัดการทรัพยากรอันมีจำกัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แก่มวลมนุษยชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่เป็นบ้านของมนุษย์ทั้งโลก ไม่ใช่เพื่อนายทุนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แต่หลังจากปี ค.ศ. 1776 เป็นต้นมา เศรษฐศาสตร์ได้มีความหมายเปลี่ยนไปตาม หนังสือ
“ความมั่งคั่งของประชาชาติ” (The Wealth of Nations) ของ อดัม สมิธ ซึ่งเนื้อหาภายในกลับเป็น “ความมั่งคั่งของนายทุน”
ทำให้แรงงานที่มีฝีมือของมนุษย์ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็น….คนเฝ้าเครื่องจักรให้แก่นายทุน
ค่าของคนจึงไม่ได้อยู่ที่…ผลของงานอีกต่อไป แต่ถูกวัดกันด้วยเงินแทน
Small is beautiful ของ ชูเมกเกอร์ ก็ไม่อาจช่วยได้
เพราะมองความต่างของ น้อย กับ มากไม่ออก และยังแยกแยะ ค่าของความเป็นคน กับ ค่าของเงินไม่ได้…..
จนคุณค่าความเป็นมนุษย์ถูกทำลายลง กลายสภาพเป็นผู้เสพติดความเกิน ร่วมขบวนล้างผลาญโลกไปด้วยอย่างเมามัน โดยมีความอยากรวยเป็นแรงขับเคลื่อน
…………จนโลกดำรงอยู่ในขั้นวิกฤติมาพักใหญ่แล้ว เพราะทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัด ได้ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว
กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ในช่วง ๕๐ ปีที่ผ่านมานี้ ได้ฝากรอยแผลเป็นไว้บนโลกมากมาย
ปริมาณก๊าซเรือนกระจก จากภาคอุตสาหกรรม…..จากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย…..
เริ่มต้นตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ…… การขนส่ง……. การประกอบชิ้นส่วน…….. การใช้งาน……..
จนกระทั่งถึงการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังการใช้งาน…… ที่ถูกตั้งชื่อซะเก๋ว่า คาร์บอน ฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint)
รอยเท้าที่อยู่เต็มท้องฟ้าในชั้นบรรยากาศของโลกเหล่านี้เอง คือ สาเหตุหลักของการเกิดสภาวะโลกร้อน
โลกมีสภาพเป็นเตาอบ… น้ำแข็งปริมาณมหาศาลบนขั้วโลกละลายลงสู่ทะเล…ที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นผิวโลก จนเด็กรุ่นหลังคงต้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์ จากแผนที่โลกฉบับใหม่ เพราะแผ่นดินในหลายทวีปจะต้องจมน้ำ
ทั้งอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้น…..เกินขีดที่โลกสามารถจะเยียวยาตัวเองได้อีกต่อไป
เมื่อข้ามจุด point of no return นี้ไปแล้ว จะเข้าสู่การนับถอยหลังของ chaos ทางธรรมชาติ ที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่มนุษย์ไม่เคยประสบมาก่อน แต่จะได้เริ่มรู้จักในอีก ๒๐ ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน
มีเพียงการย้อนกลับไปทำความเข้าใจกับ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
โดยผนวกสุดยอดเคล็ดวิชาบุญนิยม แล้วน้อมนำกระบวนท่าอันสูงส่งของศาสตร์พระราชาเข้าด้วยกัน
เพื่อรับมือกับ chaos ที่จะเกิดในอีก ๒๐ ปีข้างหน้าเท่านั้น
จึงจะช่วยโลกให้รอด และปลดปล่อยอิสรภาพให้แก่มนุษย์ได้
พ่อครูว่า…ประเทศไหนก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่สำเร็จ มีแต่ที่ชาวอโศกนี่แหละที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เพราะว่าเขาแก้ปัญหาแค่เศรษฐกิจสมบัติผลัดกันชม ใครมีโอกาสดีมือยาวสาวได้สาวเอาคนนั้นก็รวย แล้วถือว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจคืออะไร แต่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือการทำให้คนจนอย่างพอใจจนเต็มใจจนตั้งใจจนและจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แล้วพอมีพอกินพอเพียงสร้างสรรค์เกื้อกูลผู้อื่นต่อไป เป็นคนจนไม่ได้เบียดเบียนใครมีแต่ช่วยโลกเพื่อผู้อื่น นี่คือการแก้ปัญหาที่สำเร็จสูงสุด คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์น่าจะฟัง โอ้โห หากคนไทยนับถือศาสนาพุทธเข้าใจแก้ปัญหาอย่างที่ว่านี้ มาเรียนรู้สิว่าชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร ถึงได้อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจไม่ไปแจ้งกับสังคมด้วย เป็นตัวช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมช่วยแบ่งเบาสังคมเราก็มีอยู่พอ
และสูงสุดแถวอโศกตรงไหน ที่ใจ จำนวน (ผู้ฟังบอกว่าจำนวนน้อย) คนบอกว่าจำนวนน้อยก็คือยังใจไม่ถึง หากว่าจำนวน 0 คือคนไม่มีเลย อย่างนี้เป็นไปได้ไหม เป็นไปได้
สม.กล้าข้ามฝัน…
สม.รินฟ้า
ส.ฟ้าไท
ส.แสนดิน
พ่อครูว่า…อยากจะวิจารณ์วิจัยการแก้ปัญหาเศรษฐกิจควรแก้อย่างไร ถ้าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่าจะต้องให้คนรวย ทำให้คนต้องรวย แก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างนั้นแก้ปัญหาไม่เสร็จหรอก แก้ไม่จบ ไม่สงบ ข้อสำคัญก็คือ แก้ไปแล้วไม่สงบ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า…ตอนนี้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงิน ให้แก่ผู้ที่อายุยาวและคนจน เช่นค่าไฟค่าน้ำ
พ่อครูว่า…เขาก็จะยิ่งต้องใช้สบายขึ้นเฟ้อมากขึ้น รัฐบาลช่วยแล้ว เขาก็จะยิ่งประหยัดน้อยลง ถ้ามีน้อยก็กระเบียดกระเสียรก็ยังจะประหยัด แต่นี่รัฐบาลช่วยแล้ว เป็นการแก้ปัญหาปัดสวะออกไปนิดเดียว แล้วมันจะกลับมามากกว่าเก่า แก้ปัญหาไม่สำเร็จสมบูรณ์
แก้ปัญหาเศรษฐกิจควรแก้อย่างไร ขอแก้ปัญหาอย่างกำปั้นทุบดินว่าหันหน้าไปหาธรรมะพระพุทธเจ้า ให้เป็นคนชั้นสูง เป็น The Classes ทุกวันนี้คนเป็น The masses เป็นปุถุชนคนทั่วไป ต้องทำให้คนมีวรรณะที่สูงขึ้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นวรรณะ 9 เป็นคนเจริญ แต่คนชื่อเจริญไม่ได้หมายถึงเป็นคนมีวรรณะนะ พัฒนาตนเองตามหลักความรู้ให้เป็นคนวรรณะ 9 ให้ได้ คนๆนั้นก็จะเกิดจิตใจที่มีคุณธรรม พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ สังคมก็จะอยู่กันแหละ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
แล้วลาภที่ได้มา เราเรียกว่า มวลรวมของรายได้ ก็จะเอามาเข้ากองกลาง เมื่อคนจนได้ถึงที่วรรณะ 9 ก็คือคนทำงานฟรี เป็นคนพ้นมิจฉาชีพ 5 ข้อ พ้นลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา คนฟังแล้ว บอกว่าโต่ง คงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ว่าอาตมาพาพวกเราพิสูจน์ว่าเป็นไปได้ พวกเราเกิดในยุคนี้ คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นไปได้อยู่ปรากฏจริงยืนยันได้พิสูจน์ได้ เอหิปัสสิโก เชิญมาพิสูจน์ได้ดูได้ มีลาภโดยสุจริตแล้วเอามารวมกันกินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคีนี่คือเศรษฐกิจสูงสุดของมนุษยชาติ
อาตมานำเอาทฤษฎีของพุทธเจ้ามาให้เรียนรู้ พวกเราก็เข้าใจและก็เอาตัวมา ปฏิบัติตามและก็เข้ามาอยู่รวมกันในสังคมกลุ่ม เป็นหมู่บ้านได้ อาตมาว่าทำได้ขนาดนี้ทำให้เกิดหมู่บ้านชุมชนตามนิตินัยเลย ที่ไม่ได้ยกตามนิตินัยก็มีหลายหมู่บ้านของชาวอโศก เป็นชุมชนหมู่บ้านที่อยู่กันอย่างมีวัฒนธรรม มีพฤติกรรมสังคมเป็นอยู่ร่วมกันตลอด อยู่อย่างเป็นพี่เป็นน้องอยู่อย่างเป็นญาติ อยู่กันอย่างมีคุณธรรม 9 ของวรรณะ 9 เป็นคนชั้นสูง ที่ไม่ใช่ชั้นวรรณะแบบคนอินเดีย ที่เป็นพราหมณ์กษัตริย์แพศย์ศูทร อันนี้เป็นวรรณะของพระพุทธเจ้าเลย ส่วนอวรรณะมี 6
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
วรรณะ 9
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . .
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .
อาตมาภูมิใจที่นำมาให้พวกเราปฏิบัติได้สำเร็จ ส่วน อวรรณะ มี 6
-
เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
-
บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
-
มักมาก (มหัปปิจฉะ)
-
ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
-
เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
-
คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
แก้ปัญหาวิ่งไปหาปากกรายแก้ยาก ได้แต่สมบัติผลัดกันชม ที่จริงเบียดเบียนเขาแต่ไม่ให้เขารู้ว่าเบียดเบียน ทุนนิยมสร้างความซับซ้อนเอาเปรียบคนอื่นให้คนอื่นจำนนโดยตัวเองก็เป็นนายทาส เขาก็เป็นทาสอยู่อย่างนั้นออกมาไม่สำเร็จสักที
พวกขยันก็ขยัน อวรรณะ ขยันเอาเปรียบเขาขยันมากๆขยันไม่รู้จักพอ ต้องใช้ความรู้ความสามารถสร้างระบบทฤษฎีมาใส่สังคม เป็นทฤษฎีที่ได้เปรียบอย่างที่เขาจำนนอย่างที่เรียกว่า หลอกคนอื่นว่าฉันไม่เอาเปรียบฉันเป็นคนเมตตาอารี เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนซับซ้อน เพราะฉะนั้น คนที่อวรรณะ ยิ่งเกียจคร้าน
อันนี้แปลว่าคลุกคลีด้วยหมู่ อันนี้ แปลแล้วเกิดความซวยมหาศาลเลย
สังคนิกะ ที่จริง ไม่เกี่ยวข้องไม่คลุกคลีกับกองกิเลส คณะนี้คือพวกไม่ดี ตีไม่แตกพวกยึดอยู่ในเทวะ ตีไม่แตก เพราะฉะนั้นไปอยู่กับพวกมีปัญญาตีแตกกิเลสแต่ก็ไม่คลุกคลีกับคนแบบนี้ แล้วก็จมไปไม่รู้จักอะไร จริงๆเขามีอีกคำ
สังคณิกะหรืออสังสัคคะ เขาก็แปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่
แต่อสังสัคคะคือไม่หลงสวรรค์ ไม่สร้างสวรรค์ เลิกสวรรค์ไปเลย ที่จริงเขาก็แปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่แต่ที่จริงคือไม่คลุกคลีด้วยหมู่กิเลส อย่างชาวอโศก ไม่คลุกคลีด้วยกิเลส ก็มาคบกับพวกนี้ได้แต่ไปแปลว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ อย่างนี้แปลใช้ไม่ได้
ต้องแปลให้ชัดว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะที่ไม่มีทางออกจากกิเลส ควรคบกับพวกที่ออกจากกิเลสได้จึงเจริญ
การไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะก็ไปแปลว่าปลีกเดี่ยวไม่คบกับใคร..อย่างนี้ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ผู้เดียวคือไม่มีเพื่อน 2 คำว่าเพื่อน 2 คือกิเลส กิเลสคือเพื่อน 2 มันลึกซึ้ง บอกว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ก็คือคณะกิเลส
คุณอยู่กับหมู่คณะสังคม อำมาตย์พระราชาเลย แต่คุณก็ไม่มีกิเลสอันนี้คือคุณไม่มีเพื่อน 2 แต่ต่อให้คุณอยู่ในป่าเขาถ้ำ แต่คุณมีกิเลสอยู่ อย่างนี้ก็คือมีเพื่อน 2 อยู่
-
อยู่สงัด แต่มีเพื่อนสอง
ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตาอันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ เสียง… กลิ่น… จนถึง ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ (มโนวิญเญยยา ธัมมา อิฏฺฐา กันตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสัญหิตา รชนิยา) ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ หมกมุ่นในธรรมารมณ์นั้นอยู่ ฯลฯ ย่อมเกิดความเพลิดเพลิน เมื่อมีความเพลิดเพลิน ก็มีความกำหนัดกล้า เมื่อมีความกำหนัดกล้า ก็มีความเกี่ยวข้อง (นันทิสัญโญชนสัง)
ถึงจะเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าหญ้าและป่าไม้ เงียบเสียง ไม่อื้ออึง ปราศจากลม แต่ชนเดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของมนุษย์ผู้ต้องการสงัด สมควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังเรียกว่ามีปกติอยู่ด้วยเพื่อน 2 ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้นั้นยังมีตัณหาเป็นเพื่อน 2 เขายังละตัณหานั้นไม่ได้ ฉะนั้นจึงเรียกว่า มีปกติอยู่ด้วยเพื่อน 2 (สทุติยวิหารีติ) มิคชาลสูตร ล.18 ข.66
-
อยู่ผู้เดียวไม่มีเพื่อน 2