611123_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำบุญสัมมาทิฏฐิจึงตีเทวะแตกถึงอนัตตา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1qmIflIueT3KnViFouKlRLdiNmt6-__BFLYe4_LBjYcU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1qj4A3iHlgVomZNLJVbt-DeZV3ol2sAO9
สมณะดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก มีข้างขึ้นก็มีข้างแรม มีกุศลก็มีอกุศล มีเวทนาแท้ก็มีเวทนาเทียม หากให้พวกเราเลือกเอาระหว่างคนมีบุญกับคนหมดบุญ พวกเราก็จะเลือกเอาคนหมดบุญ เราก็เข้าใจปรากฏการณ์ที่โลกเขามีอยู่ เราก็จะเข้าใจกุศลเข้าใจความทุกข ์ทำสิ่งที่ไม่ถูกให้เป็นสิ่งที่ถูกได้
พ่อครูว่า..ขอโอภาปราศรัยกับ SMS ก่อน
SMS วันที่ 21 – 22 พฤศจิกายน 2561
_7680 กราบนมัสการพ่อครูและหมู่สงฆ์ด้วยความเคารพ / ผมยอมรับด้วยใจจริง ๆ เลยว่าเคยโง่ เคยชั่วมาก่อน เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลือโง่ เหลือชั่วอยู่ แต่มันก็เบาบางลงบ้างแล้ว ไม่โง่หนัก ไม่ชั่วหนักเหมือนแต่ก่อน ดังนั้น เวลาที่ได้ฟังพ่อครูกล่าวว่า “จะโง่ไปถึงไหน” เน้นเสียงดัง ๆ หนัก ๆ ผมฟังแล้วไม่รู้สึกว่าถูกเสียบถูกแทงให้เจ็บปวดแต่อย่างใด แต่กลับเหมือนถูกชี้ให้ดูคนที่กำลังละเมอหลับตาเดินบนทางด่วน มันก็นึกหวาดเสียวอยู่เหมือนกันเพราะเราก็เคยทำแบบนั้นมา เคราะห์ดีที่ตื่นมาได้ ก็คำของพ่อครูนี่แหละจะคอยเตือนเราให้ตื่นอยู่เสมอ และจะไม่ยอมหลับตาเดินแบบนั้นอีกแล้ว / ขอบพระคุณในความเมตตาอย่างยิ่ง
พ่อครูว่า..หากยังไม่เป็นอรหันต์ยังไม่หมดอวิชชาก็ยังถือว่าโง่ จะบอกให้คนหลับตามาลืมตานี่ยากมาก
_3867บ้านราชเมืองเรือจัดงานลอยกระทงแบบงานวัด77จังหวัดไหม? เห็นมีเรือโนอาห์,แพพืชผักผลดอกทานตะวันที่รับน้ำหนักหมู่มวลชนแบบบ่มีวันจมน้ำฯปลอดภัยที่สุด!
พ่อครูว่า..ไม่จัดเลย เพราะเป็นมลพิษ เพราะเป็นประเพณีที่ทำให้รกเลอะ
_8768กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ยังไม่เข้าใจเรื่องธรรมะ2 ค่ะเพราะฟังไม่ทันสักทีค่ะขอความเมตตาพ่อท่านอธิบายอีกสักรอบค่ะ
พ่อครูว่า..ติดตามฟังให้ดีไม่อธิบายรอบเดียวจะอธิบายอีกแสนรอบ เทวะแปลว่า 2 แล้วก็หลงไปเป็นเทวดา เทพเจ้า ไม่ใช่ เทวะแปลว่า สอง เขาไม่เข้าใจก็ไปหลงตัวตนว่าเป็นเทวดากับอีกฝั่งหนึ่งหลงพยัญชนะ มีแต่ตรรกะ ส่วนพวกไม่หลงตรรกะก็ไปหลงพระเจ้าที่เป็นเรื่องลึกลับmagical
เรามาเรียนรู้เทวะที่แปลว่าสอง ศาสนาพุทธตีแตกคำว่าเทวะ เป็นสภาวะอย่างไรเราก็รู้ ในจิตวิญญาณจะเป็นเทวะ เป็นมาร เป็นพรหม ก็อยู่ในนี้ ศาสนาพุทธตีแตกทำให้เหลือแต่พระพรหมที่เป็นความบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าสูงสุดมีจิตวิญญาณสูงสุดได้ เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์สะอาด
พยัญชนะธรรมะ2 ศาสนาพุทธทำให้เกิดสภาวะเป็น 1 หรือเป็น 0 ได้ พูดไปแล้วก็เหมือนกับการไปข่มศาสนาอื่น แต่เป็นเรื่องสัจธรรม
_กิ่งฟ้า ขันหล้า · กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ..พึ่งเคยเห็นพ่อท่านบ่นว่าปวด..ขอให้หายเป็นปกติไวๆนะคะ
_6242สมัยพุทธกาลมีท่านพระจูฬปันถก!!! สมัยพ่อครู..มีท่านสมณะถักบุญ!!! สาธุ..สาธุ..สาธุ!!!
_1614 คุณค่าของตนเองนั้นอันที่จริงดูได้จากคุณงามความดีและสติปัญญาของตนเอง
ถ้ามีองค์คุณเหล่านั้นอยู่กับตัว ก็มั่นใจในตนเองได้โดยไม่ต้องเอาทรัพย์สมบัตินอกตัวหรือสินค้ายี่ห้อดังมาเป็นเครื่องวัด – พระไพศาล วิสาโล #หอจดหมายเหตุพุทธทาส #BIA
พ่อครูว่า..วันนี้เจตนาพูดถึงเรื่องอัตตา อนัตตา เทวะ อเทวะ
อัตตา อันตา
อันตาแปลว่าข้าง ฝ่ายบางที่แปลว่าโต่งไปข้างหนึ่งหรือเหลือนิดนึงก็เป็นอันตา คือมันไม่กลาง อันตาคือไม่ใช่จุดกลาง
อัตตาคือมีตัวตน พลังงานที่ยังมีความดูดหรือผลักอยู่ก็ยังไม่เป็นกลาง แม้เล็กแม้น้อยก็ยังไม่เป็นกลาง
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องความเป็นกลางแต่ทุกวันนี้เพี้ยนไป กลายเป็นทางสายกลาง แต่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นกลาง แล้วมีทางหรือวิธีปฏิบัติที่ไปสู่ความเป็นกลาง
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงมัชฌิมาคือความเป็นกลาง หากไม่กลางก็มีข้างใดข้างหนึ่งคือยังมีกามหรืออัตตา
เขาก็ไปตีความว่าการไปเข้าข้างใดข้างหนึ่งคือความไม่เป็นกลาง ศาสนาพุทธไม่ได้สอนอย่างนี้เลย ถ้าหากเป็นคนเป็นพวกความดีหรือไม่ดี ความเป็นกลางที่สูงสุดนั้น ต้องเข้าข้างคนดี ต้องเข้าข้างความถูกต้อง นี่คือความดีหรือความเป็นกลางความดีสูงสุด
ความเป็นกลางคำนี้คือปรมัตถ์คือจิต จิตของใครก็แล้วแต่ ถ้ายังมีอาการของกิเลส กาม หมดกามก็คืออนาคามี ไม่มีกิเลสที่ออกไปภายนอกแล้วมีแต่ภายใน ก็ต้องล้าง ภวตัณหาต่อไปอีกให้หมดจึงมีความเป็นกลาง ได้สูงสุด
ความเป็นกลางของคนทั่วไปจึงแค่โลกียศาสตร์ เป็นแค่ความดีความชั่วกุศลอกุศลง่ายๆตื้นๆ
ทีนี้ ความเป็นกลางนั้นจะต้องมีผัสสะจึงจะชัดเจนในสภาวะอาการทางจิต ถ้าหากไม่มีสัมผัสเราจะไม่รู้เลยว่า ยังมีอากาศ กาม ภายนอกอยู่หรือเปล่า หากหลับตาปิดทวารภายนอกตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไปเรียนรู้แต่ทวารภายใน รูปราคะ อรูปราคะภายใน ทิ้งกามคุณ5 ไปทั้งดุ้น
สายหลับตาจึงล้มเหลวตั้งแต่แรกแล้ว เพราะทิ้งคำว่ากาย กายคือธรรมะ 2 ต้องมีทั้งข้างนอกและข้างในสัมผัสภายนอกและสัมผัสภายใน เป็นอนาคามีก็รู้ว่าเป็นอนาคามี หมดกิเลสกามภายนอก หากปฏิบัติผิดไปทำการนั่งหลับตา ทำในภายในก่อนก็ไม่ได้ เพราะเป็นการผิดลำดับ
แต่ทุกวันนี้เอาการหลับตาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่จริงแล้วคนลืมตาปฏิบัตินี่แหละยิ่งใหญ่แม้ที่สุด เป็นอนาคามีแล้วก็ยังลืมตา กระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย แต่เรื่องกามภพอนาคามีนั้นอยู่เหนือ มีโลกุตรธรรมอยู่เหนือแล้ว อยู่เหนือโลกภายนอก ทางตาหูจมูกลิ้นกายทำอะไรท่านไม่ได้แล้วพระอนาคามี ลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่ในโลกียะต่างๆ สุขทางโลกียะต่างๆไม่มี อนาคามีไม่มี มีแต่เหลือเศษภายในเป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
หากไม่มีลำดับจึงหมดสิทธิ์เป็นอรหันต์ เพราะไปงมโข่งอยู่กับภายใน แล้วไปหลงผิดปิดลูกกะตาอีก จึงปิดประตูที่จะมีธรรมะพระพุทธเจ้า ทุกด้านไม่มีเลยไม่เหลือเลย ไม่มีธรรมะพระพุทธเจ้า
อาตมาพูดอย่างเกรงใจนะ ไม่ได้อยากอวด หากอยากอวดก็จะพูดเกินความเป็นจริง แต่อาตมาพูดในความเป็นจริงที่ตนเองเป็น
ที่อยากจะอธิบายวันนี้คือที่กำลังขยายความเรื่องชัดๆคืออัตตา อนัตตา
ผู้ทำอนัตตาได้ ไม่มีตัวตนไม่เหลือตัวตนได้ คือผู้สุดสูงแล้ว อันติมะ หรือ ultimate ได้
ผู้ทำสูงสุดได้คือผู้หมดตัวตนเป็นอนัตตา สำหรับจิตนิยาม ที่มีความเป็นที่สุดของมนุษย์ มนุสโส เรียนรู้อัตตา ทำอัตตาให้เกลี้ยงได้ ไม่ใช่อะไรทุกอย่างก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตนไปยึดตัวตนทำไม ก็ตรรกะทั้งนั้น
ก็เพราะไม่ได้เรียนรู้ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข ก็ต้องอ่านอาการจิต แล้วทำให้กิเลสดับ อัตตาดับ จนกระทบอยู่แล้วมันก็ไม่มีกิเลส ในอนาคามีเหลือแต่ภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ
ผู้ที่ปฏิบัติจริงจึงจะมีอัตตา อัตตาจึงไม่ใช่แค่ตรรกะว่าไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวตนจะไปยึดตัวตนทำไมเป็นแค่ภาษาพูด อะไรก็ได้ จริงๆแล้วต้องมาเรียนรู้ว่าอัตตามันมีทุกคน เกิดมาด้วยอวิชชามันมีอัตตาทั้งนั้น เทวนิยมไม่เรียนรู้อัตตา จมกับสองแล้วตีไม่แตกอยู่กับเทวะ ทำให้เป็นหนึ่งเป็น 0 ไม่ได้
แล้วคำว่าเทวนิยมมาหาอเทวนิยมอยู่ไหนก็ไม่รู้ สัมผัสไม่ได้ แล้วเข้าใจว่า ปกาศก คำสอนของพระเจ้าที่เราไม่รู้ว่าคือใครนั้น มาจากพระเจ้า ที่จริงแล้วก็มาจากคนนั่นแหละที่มีบารมีทางโลกียที่เป็นศาสดาได้ ก็คือคน แต่ความรู้ของเทวนิยมก็มีแค่เทวนิยม เป็นโลกียธรรม ไม่มีโลกุตระ
โลกุตระคืออะไร คือรู้จักเทวะทำลายเทวะให้สูญได้ ก็อยู่อย่างธรรมะที่ไม่มีคู่อยู่อย่างไม่มีเทว เป็นธรรมะหนึ่งได้ แล้วสามารถทำให้รู้ทะลุหมดเลย ปรินิพพานเลิกไปเลย อัตตานิรันดรเลิกไปเลยพิสูจน์ได้ตอนเป็นคนเป็นมนุษย์นี่แหละ สูญได้ในขณะปัจจุบันที่ยังไม่ตาย อรหันต์เป็นผู้ที่สูญได้จบ จากนั้นจะบำเพ็ญต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าอีกก็บำเพ็ญ
ความเป็นนความสูงสุดที่มนุษยชาติจะเป็นได้ยืนยันได้อย่างเป็นสัจจะที่ทุกคนเป็นได้ ไม่ใช่ไปอยู่ในจุดที่สูงที่คนไม่รู้ว่าคืออะไร ทุกวันนี้คนก็ยังไม่เคยรู้จักพระเจ้าจริง แต่พระเจ้านั้นมีแต่โลกียลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หากลดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างแท้จริงอย่างที่อานอาการจิตเจตสิก เวทนา 108 ของตัวเองเลย ว่ามันมีความหมดเป็นจิตที่สะอาดไม่มี ยืนยันได้ว่าแม้จะอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็ไม่มีเวียนกลับอีกเลย เด็ดขาดแน่นอนที่สุดเลย จะพิสูจน์กันอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ได้ เพราะศาสนาเทวนิยมนั้นมีภพชาติ เกิดวนเวียนเป็นล้านชาติ แต่ศาสนาอเทวนิยมนั้นไม่มีชาติ เทวนิยมไม่เรียนรู้ไม่เข้าใจเรื่องชาติตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ไม่รู้จักชาติไม่มีชาติ ภพชาติไม่มีไม่รู้จัก rebirth ไม่มี ตายไปแล้วก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าว่าจะให้ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ จบภายในชาติเดียว
ที่จะเกิดเป็นวิบากกรรมชาติแล้วชาติเล่าไม่มี สร้างจิตวิญญาณให้เป็นจิตวิญญาณที่เป็นโลกียะได้ดีได้สูงสุดเป็นกุศลสูงทำดีได้สูงสุด แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นจิตวิญญาณที่มีนิพพานได้อีกด้วย นี่คือศาสนาพุทธ คือสูงสุดเท่าที่ปกาศกหรือศาสดาจะเป็นได้ ปกาศกเป็นคน แต่เขาก็บอกว่าเป็นลูกพระเจ้า แล้วก็เลยบอกว่ามีแต่แม่มีแต่พระมารี แล้วพ่อเป็นใครก็ไม่รู้ บอกไม่ได้เดี๋ยวไม่บริสุทธิ์ เดี๋ยวพระศาสดาไม่บริสุทธิ์ ก็เลยเกิดมาโดยไม่มีพ่อ แล้วมันจะฝืนธรรมชาติได้อย่างไร นี่คือเรื่องที่มันไม่จบมันพูดกันไม่ได้ ติดกับอยู่อย่างนั้น ค้างคาอยู่อย่างนั้น เป็นเรื่องที่อธิบายเป็นธรรมะไม่ได้ แล้วเขาก็คิดว่าต้องเป็นอย่างที่เป็น
แต่ถ้าเข้าใจอย่างที่พูดสอนเป็นอเทวนิยมก็ไม่มีปัญหา ศาสนาเทวนิยมหาว่าศาสนาพุทธไม่มีจิตวิญญาณเพราะไม่มีพระเจ้า มีแต่ศาสดา จริงๆแล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่จับตัวจิตวิญญาณรู้จักจิตวิญญาณ มนุษย์มีจิตวิญญาณอยู่ ก็เอาจิตวิญญาณนี้มาเรียนจนจบเลย แต่ว่าศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักจิตวิญญาณ ตีเทวไม่แตก ตีธรรมะ 2 ไม่ออก ตี รูปนามไม่ออกไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ต้องมีรูปนามมีธรรมะ 2 ต้องมีสิ่งหนึ่งกับจิตวิญญาณที่กระทบกันแล้วเกิดสามเส้า เรียกว่าสังขาร ก็เป็นกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
สามสังขารนี้คือวิญญาณ จะรู้จักจิตวิญญาณต้องรู้นามรูป รู้อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา
เรียนรู้ไม่ใช่แค่สมถะกับกสิณดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ให้เรียนรู้เวทนา 108 ที่เป็น เทวธัมมา
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เพิ่งมาปีนี้ที่อาตมาตีความเรื่องธรรมะ2 นี้ได้ละเอียด แต่ก่อนนี้ผ่านไปผ่านมา จนกว่าจะฟื้นคืนสภาวะมาก็เอามาอธิบายได้ ก็จะค่อยๆละเอียดลึกซึ้งไปตามสัจจะ อาตมาเคยคิดว่าสอนธรรมะไปวนเวียนไปมาจะเอาอะไรมาสอนอีก แต่ที่ไหนได้ยังมีที่รู้ละเอียดลึกซึ้งอีกเยอะ
เพราะธรรมะพุทธเจ้านี้ถึงสุดยอดจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเดินแล้วจะไม่มีที่จบ จบได้ทุกคนเป็นอรหันต์ได้ก่อน แค่ใบไม้กำมือเดียว แล้วก็ค่อยมาเรียนรู้ต่อใบไม้ทั้งป่ากับจริตคนที่มีอีกเยอะแยะมากมาย พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็สอนมาตามลำดับ บางพระพุทธเจ้ามีอายุถึง 80,000 กว่าปี แต่พระสมณโคดมมีอายุแค่ 80 ปี
พระเจ้าจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่เป็นภาระที่พระเจ้าจะจัดการกับตัวตนเราอีก เพราะตัวเองสามารถจัดการตัวตนของตัวเองให้สูญสิ้นไปจากกาละได้แล้ว ไม่ปรากฏกรรมใดๆในเอกภพนี้ เราเรียนรู้จักตัวตนของเรา พระเจ้ามาทำให้อัตตาเราสูญไม่ได้เราต้องทำเอง แต่ศาสนาพระเจ้านั้นยังตีตัวเองไม่แตกเลย
ผู้ทำอนัตตาได้แท้ๆจึงเป็นผู้มีความสูงสุดในบรรดาจิตวิญญาณ เป็นตัวจบ อนัตตาเป็นความสำเร็จสูงสุดของจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นสภาวะสิ่งที่ไม่ใช่บัญญัติ จึงเป็นจุดสำเร็จของชีวิตแต่ละคนในความเป็นคนที่มีความสูงสู่สุดได้
เรายกให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้สูงสุดเท่าที่จะมีได้ เพราะเป็นผู้ค้นพบอนัตตา อนัตตาจึงเป็นสภาวะเป้าหมายแท้ ของทุกคนชาวพุทธ ผู้บรรลุธรรมสูงสุดก็คือผู้ทำอนัตตาให้เกิดในจิตของตน และเห็นด้วยปัญญา ผู้นี้ก็คือผู้บรรลุธรรมสูงสุด ทำจิตเป็นอนัตตาเสร็จแล้วก็จบด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ จนสำเร็จแล้วเที่ยงแท้ คนนี้ก็จบกิจ
ผู้เข้าถึงอนัตตาแล้วจะเรียกว่าเป็นผู้บรรลุธรรม บรรลุนิพพาน บรรลุวิมุต บรรลุนิโรธ บรรลุสุดยอด บรรลุสรรพสิ่งบรรลุเป็นอรหัตตผล เป็นผู้เป็นอรหันต์ เป็นผู้พ้นทุกข์อริยสัจ เรียกกันไปตามพยัญชนะ คำไวพจน์ Synonym มีเยอะแยะคือผู้สำเร็จจบเป็นอะไร
พยัญชนะนั้น เรียนกันจบตำราจบนักธรรมจบปริญญา คนส่วนมากก็ติดที่พยัญชนะภาษาบัญญัติ เป็นกันมากโดยไม่รู้ตัว ศึกษากันมากมายหัวผุหัวพังจบเปรียญ 9 จบปริญญาเอกแต่ไม่มีผลลึกลงไปถึงสภาวะถึงเนื้อแท้ของสัจธรรม ที่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไม่รู้ ไม่เป็นลำดับ น้อยมากที่จะเรียนรู้และได้ประโยชน์ตนบ้าง ส่วนมากเก่งภาษาพยัญชนะทางศาสนาเยอะ แต่ไม่รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย
ศีลข้อ 1 เราได้บรรลุสูงสุดเรื่องของสัตว์ไหม สัมผัสกับสัตว์แล้วเกิดจิตว่างไหม เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายกันหมดทั้งสิ้น โดยเฉพาะสัตว์ที่น่าช่วยที่สุดก็คือคน เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่ทำงานอย่างอื่น อาตมาทำงานเมตตาสัตว์เมตตาคน แม้จะถูกด่าถูกว่าอย่างไรก็ทำงานนี้ เพราะเป็นสุดแล้วที่จะต้องช่วย เป็นจิตเมตตาสูงสุด เรื่องอื่นอาตมาไม่กังวล
เพราะฉะนั้นไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสภาวะกัน เช่นพูดคำว่ารูปธรรมนามธรรมก็ดี พูดกันถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน ขันธ์ 5 เวทนา สัญญา สังขารก็พูดกันจ๋อยๆ แม้แต่รูป 28 นาม 5 ก็พูดกันน้อยลงไปอีก ยังมีที่ลึกละเอียดกว่านั้นมากมายนับไม่ถ้วน พวกที่เรียนอภิธรรมเป็นโสภณจิต อโสภณจิต
พระพุทธเจ้าเรียนรู้ที่จะมีวิธีที่เรียนรู้ให้ครบ เรียนแล้วจะปฏิบัติได้สุดยอด ถ้าหากรู้จักเบื้องต้นท่ามกลางก็จะได้ หากเรียนแต่ตรรกะก็ไม่ได้ น่าสงสาร จะได้ไปตามลำดับสำเร็จผลไปตามลำดับพ้นทุกขสัจ ไปตามลำดับเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ บรรลุเป็นพระอริยบุคคลไปตามลำดับ นั่นคือเรียนรู้ด้วยธรรมะ 2 ที่เรียกว่า ทเวธัมมา
โดยทำทเวธัมมาให้เป็นเอกธรรม ที่สุดแล้วทำเอกธรรมให้เป็น 0 ถึงจะจบจึงจะรู้ทั้งหมด
ความเป็นเทวะ หรือธรรมะสอง ถูกรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วยปัญญา สมบูรณ์แบบ อาตมาเน้นคำว่าปัญญาที่ไม่เหมือนโลกปุถุชนที่เป็นปัญญาที่อยู่ในโลกียไม่มีทางรู้จักกิเลส ไม่รู้จักปฏิบัติไปทีละลำดับ แต่เขาปฏิบัติ กดข่มเก่งได้ แล้วปฏิบัติในสิ่งที่ดี แต่กิเลสนั้นไม่ตาย มันก็วนกลับมาอีก ไม่มีวิธีที่จะฆ่ากิเลสได้อย่างสมบูรณ์แบบ ศาสนาพุทธรู้จักหน้าตาของอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของกิเลสรู้ปรมัตถธรรม
ศาสนาพุทธรู้จักตัวหน้าตาของซาตานดี ไม่ได้ให้เรียนรู้แต่พระเจ้า เรียนรู้ซาตานแล้วกำจัดซาตานให้หมดจบเลย ตัวเองก็กลายเป็นพระเจ้าบริสุทธิ์ เพราะว่าพระเจ้ากับซาตานเป็นของคู่กัน แต่ว่าพระเจ้าไม่มีทางที่จะฆ่าซาตานได้ มีแต่บอกว่าสร้างอย่างเดียว แล้วทำไมไม่ทำลาย แต่ว่าศาสนาพุทธนี้ทำลายอย่างเดียว แล้วทำลายได้ก็จะสร้างเองอย่างมี นัยยะที่ควรเป็นภาวะที่ดี คนเป็นธรรมะ 2 ในตัวเองเป็นเทวะ ตัวเองเป็นเทวะเอง แล้วไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างคู่อีก
ถึงคลุมเครือว่าเทวะจริงๆนี้มีคู่ ก็เลยมอมเมาว่า พระพรหมมีคู่หรือเปล่า เอาไปเอามา เละเลย พระเจ้าแต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน มีพระรามพระศิวะพระพรหมก็มีคู่ไปหมด มีพระสุรัสวดีเป็นต้น
จริงๆแล้วไม่ชัดเจนว่าพระเจ้าจริงๆแล้วไม่มีคู่จะมีปัญญารู้ว่าไม่ใช่เรื่องเพศ แล้วสูงสุดไม่มีคู่จนถึง 0 มันจบกิจ ทำลายจิตวิญญาณจะนิยามให้เป็น 0 ได้
ความเป็นเทวะ หรือเทวธัมมา ธรรมะ 2 ที่ถูกรู้ด้วยปัญญาศาสนาพุทธมีวิธีทำให้เกิดได้เป็นได้ พุทธจึงเป็นศาสนาที่มีนิพพานหรือมีศูนย์ บรรลุอนัตตาด้วยปัญญาอย่างแท้จริงเพียงศาสนาเดียว
ปัญญาคือความรู้ขั้นอุตระ ถึงเป็นความรู้ขั้นอริยะ ที่รู้ทั้งรู้ รู้จริงๆเลย รู้ในความมีปัญญา ทั้งรู้เองตัวเองเป็นทั้งตีแตกเทวะด้วย ไม่เหมือนความรู้ทั่วไป ที่สากลโลกเขารู้กัน อันนี้เป็นความรู้เฉพาะที่เป็นจิตวิญญาณของพุทธ ปัญญานี้ เป็นโลกุตระไม่ใช่ความรู้เรื่องลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข เป็นเรื่องโลก แต่นี่เป็นความรู้ที่ลึกไปทางอัตตา อนัตตา
แต่อัตตาหรืออนัตตา ขาดจากความเป็นโลกไม่ได้เพราะว่าเป็นคนจะต้องมีโลก เกิดมาไม่มีโลกไม่ได้ คุณจะอยู่ในโลกแต่ไม่มีโลกได้อย่างไร คุณเกิดมาเป็นตัวตนต้องมีโลกอยู่ จึงต้องมีคู่เสมอที่มีโลกกับอัตตา คนไม่เข้าใจก็ไปนั่งหลับตาทิ้งอัตตาทิ้งโลก ทิ้งรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส งมงายไปหมดกลายเป็นพวกมีกาย 3
นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย คือกายที่อุปาทานสร้างเอง เนรมิตเอง สร้างเป็นภพชาติ แล้วมีพวกอุปาทานหมู่ด้วยกัน พูดกันรู้เรื่องนะแต่ไม่รู้เรื่องต่างคนต่างเห็น แต่โมเมกัน เรียกว่าสัมโภคกาย โมเม
อาตมาเคยเล่นไสยศาสตร์ เขาบอกว่ามีภาษาจิตวิญญาณ ภาษาที่เขาพูดกันรู้เรื่องเรียกว่าสัมโภคกาย เป็นภาษาจิต ที่จริงมันไม่มีตัวตนอย่างนั้นหรอกเป็นอาทิสมานกาย นี่คือความงมงายสูงสุด นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย
กายคือรูปนาม ที่เป็นคน คนมีขันธ์5 มีองคาพยพ ทวัตติงสาการ มีผมขนเล็บฟันหนังจนกระทั่งถึงอาการ 32 และมีธาตุจิตวิญญาณร่วมอยู่
จึงเกิดภาพหลอนเป็นอะไรก็ได้ทางการแพทย์เรียกว่า psychosis เป็นมโนมยอัตตา เห็นเป็นตัวตนรูปร่างผีก็ได้เอามาปั้นสร้างเป็นนิรมานกาย ศาสนายุโรปตะวันตกผีคืออย่างนี้ ทางเอเชียก็เป็นอีกอย่างจินตนาการกันไปเอง ปั้นกันไปแล้วแต่จะสมมติกันไปเป็นสัมโภคกายที่รู้เรื่องกัน แต่มันไม่มีมันไม่เห็นตัวจริงหรอกมันก็สมมุติว่าไปเห็น แล้วเกิดเป็นภาพหลอน นี่คือรายละเอียดความจริง รู้ความจริงแล้วจะหมดปัญหาไม่สงสัยเลยในเรื่องจิตวิญญาณ ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องของภาพที่มีเทวดาสัตว์นรกนอกตัวเรา เรียนในตัวเรานี่แหละ เกิดสิ่งเหล่านี้ในปัจจุบันนี้แล้วก็เรียนรู้สิ่งที่คนไปหลงอยู่ นอกตัวนอกตนสารพัด เป็นล้านๆๆๆอย่าง เรียนรู้ตอนปัจจุบันนี้ นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พุทธเป็นศาสนาที่ตีแตกแยกแยะได้ เรียกว่ามี Distinguish ตีแตกมาเป็นเทวะได้ จึงได้ประโยชน์จากเทวะหรือธรรมะ 2 ถึงขั้นบริบูรณ์สมบูรณ์ ผู้ไม่รู้จักรู้แจ้งความจริงในเรื่องความเป็นเทวะ ก็จะจำนวนอยู่กับเทวนิรันดร สายเทวนิยมจึงอยู่กับเทวะนิรันดร ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ ก็จบอยู่ที่นั่น ศาสนานั้นจะไม่มีนิพพาน อย่างพระโพธิสัตว์จะเข้าใจจิตวิญญาณและทำจิตวิญญาณให้สูงขึ้น จิตวิญญาณสูงสุดในความเป็นคนก็เท่ากับพระพุทธเจ้า จะบอกว่าพระพุทธเจ้ามีศักดิ์เท่ากันกับพระศาสนาทุกคนก็ได้ก็คือคน เพราะฉะนั้นศาสดาของเทวนิยมก็ต้องเป็นคน เรามีความรู้อะไร ความรู้ของคนนั่นแหละเอามาเปิดเผย จะบอกว่าเป็นความรู้สูงสุดของพระเจ้า แต่ของพระเจ้านั้นตีเทวไม่แตก แต่ของอเทวนิยมพระพุทธเจ้านี้ตีเทวาแตกด้วย อยู่ในคนเหมือนกันนี่แหละ พูดเหมือนยกตนข่มท่านแต่อาตมายืนยันว่าอาตมาอธิบายอยู่นะตีเทวธรรมะ 2 ให้แตก ทำให้เป็นอย่างอย่างไรทำให้เป็น 0 ได้อย่างไรอาตมาทำได้ ตามศาสนาพุทธสอนเพราะว่ารู้จักจิตเจตสิกต่างๆแม้แต่ที่สุดเวทนา 108 อาตมาก็เอามาอธิบายได้มีสภาวะจริง แยกเคหสิตะ มโนปวิจาร เคหสิตะ 18 ทำให้เป็นเนกขัมสิตะ 18 ได้ แล้วสูงสุดเป็นอุเบกขาจิตวิญญาณเป็นพระเจ้าสมบูรณ์แบบ บริสุทธิ์อย่างปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา และมี “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
สม.กล้าข้ามฝัน
สม.รินฟ้า
ส.ฟ้าไท
พ่อครูว่า…เรื่องอัตตา อนัตตา ธรรมะของชาวอโศกไม่เหมือนกับของมหาเถรสมาคมหรือสำนักอื่นใดที่มีในขณะนี้ที่พูดกัน ไม่เหมือน จะไม่มีสำนักใดเหมือนเลย กับสำนักชาวอโศก มีบางสำนักที่พูดเรื่อง อัตตา เอาอนัตตามาพูดบ้าง แต่ก็ไม่เอาจริงเอาจัง หรือ สามารถจับตัวอัตตาตัวตนในตัวเองได้ รู้จริง ทำให้อัตตาลดลงไป หมดความยึดถือได้ จนมีคน เป็นคน ลดละได้จริง แล้ว มีธรรมะกันจริง ธรรมะที่ลดละได้บรรลุธรรม จนกระทั่งที่สุดควรบรรลุธรรมที่แท้จริง ต้องมารวมกัน ต้องมาอยู่ด้วยกันมาเป็นสังคม จนสามารถเกิดสังคมสาธารณโภคี เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาตรวจสอบ เอาวรรณะ 9 มาตรวจสอบ สาราณียธรรม 6 มาตรวจสอบ แม้แต่พุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้า พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ ก็สามารถพิสูจน์ยืนยันสภาวะเหล่านี้ได้
หรือจะเอาแค่พูดเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็ปฏิบัติธรรมมีศีลธรรมให้เกิดจิตบรรลุธรรมกิเลสในจิตลดละได้ มีตัวธาตุรู้ปัญญารู้สิ่งเหล่านี้ รู้ปรมัตถ์รู้จิตเจตสิกรูปต่างๆ แล้วสามารถแยกแยะกิเลสได้ลดกิเลสได้ เกิดมรรคเกิดผลจริงๆ จนเกิดคนบรรลุธรรมแล้วอาตมาก็กล้าพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ ว่าพวกเราปฏิบัติธรรมบรรลุผลจนเป็นสังคมอาริยะ
จนกระทั่งพูดกันว่าเป็นแดนของพระอริยบุคคลอย่างแท้จริง มีพระโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์ ไม่ได้พูดอย่างเลอะเทอะ แต่หากพูดอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนนั้นเป็นปาราชิกเลวร้ายมาก อาตมารู้ความจริงเช่นนี้จึงไม่พูดอย่างปากเปราะให้ตัวเองได้รับอนันตริยกรรม บาปมีจริง จริงๆผลของบุญนี้ก็ยิ่งจริง
จนอาตมาต้องมารื้อฟื้นเอาคำว่าบุญมาพูดให้ถูกต้อง เพราะคำว่าบุญเพี้ยนไปจนสุดเลย เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้แล้ว เข้าใจคำว่าบุญผิดไปเลย อาตมาขอฟื้นอีกว่าบุญไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสะสม คุณยังมีบุญอยู่นั่นซวยอยู่ คนยังต้องทำบุญอยู่คนนั้นซวย คนที่บรรลุสูงสุดเป็นอรหันต์จบการทำบุญเลย ไม่มีบุญอีกแล้ว นั่นคือคนสูงสุด คุณยังอยากมีบุญยังทำบุญอยู่คุณยังซวย ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดอยู่อย่างนั้น
อาตมาพูดอย่างนี้แล้วยังมีพยัญชนะยืนยันให้อาตมาได้ อธิบายได้ว่าไม่ได้พูดเอาเอง แต่เขาเข้าใจผิดกัน อาตมากำลังจะเอาความถูกต้องกลับคืน บุญ คำเดียวทำศาสนาจนชิบหายทุกวันนี้เพราะเข้าใจคำว่าบุญผิดเข้าใจว่าบุญคือกุศล ลงเรือลงทะเลลงนรกเลย
บุญไม่ใช่กุศล แต่ว่ากุศลนั้นมันเลยขีดของกุศล บุญน่ะ บุญคืออาวุธ บุญคือเครื่องฆ่า คุณจะต้องสร้าง ปุญญาภิสังขารขึ้น สร้างประกอบ เป็นนักทำพลังงานจิตให้เกิดบุญให้ได้ การจะทำให้พลังงานจนเกิดภาวะที่มันเป็นอำนาจ เป็นพลังงานสูงสุดถึงขั้นบุญ ก็จะต้องเป็นพลังงานจึงมีภูมิปัญญาและก็ต้องมีตัวจิตจริง มีภูมิปัญญาจริงให้มีพลังที่มีฤทธิ์มีอำนาจ สามารถที่จะทำให้อำนาจของราคะ อำนาจของโทสะ อำนาจของโมหะนี้มันแพ้สลายไป
อาตมาพูดตามภาษาง่ายๆตามสภาวะที่อาตมามีจริงไม่ได้เอาตามตำราอันไหน ก็ไม่เคยเห็นตำราอันไหนมีแบบนี้ อาตมาไม่ได้เป็นนักศึกษาก็เลยไม่รู้ว่ามีพลังงานแบบนี้หรือเปล่า แต่ต่อมาว่าอาตมาอธิบายเองคือสภาวะความรู้ที่อาตมามีเอง
เข้าใจบุญไม่ถูกต้องก็เลยสร้างพลังงานจิตให้เกิดบุญขึ้นมาไม่ได้ มันก็ไม่มีอาวุธฆ่ากิเลสได้จริง พลังงานขั้นบุญไม่เกิด
ยกตัวอย่างเช่น ทำทานก็อยากได้ผลทาน คุณอยากได้ผลทาน ไม่มีสิทธิ์ที่จะเกิดบุญเลยเพราะเป็นภพชาติ
ทาน เอาออกจากตัวเองให้แก่คนอื่นไป จิตวิญญาณของคุณจะเป็นบุญหรือรู้จักจบ คุณให้ไปแล้วเอาออกไปจากคุณไปก็จบ เอาออกจากความเป็นเราของเรา จิตก็ต้องเอาออกจากความเป็นเราไม่มีของเรา จิตของเราไม่ได้นึกว่าเราไปให้ ของเราไปเป็นของเขา ให้แล้วก็จบอาการ ถ้ายังบอกว่านั่นเป็นเราของเราอยู่ ก็จะเกิดความเป็นตัวตนเป็นภพชาติ
ยิ่งให้ไปแล้ว จะต้องไปทำประโยชน์กลับคืนมาให้แก่ตัวเอง ให้แล้วก็ต้องสูญมายึดถือเป็นเราเป็นของเรา หากยังอยากได้อะไรกลับมาก็ยังไม่รู้จบทานต้องไม่มี สาเปกโข ไม่มีหวังว่าจะได้อะไรกลับมาเลย ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก นี่คือทาน
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สัมมาทิฏฐิ 10 หากไม่สัมมาทิฏฐิ 10 ปฏิบัติธรรมไม่มีผล
ทาน ศีล ภาวนา
แค่ทานตัวแรก มีกรรมชัดๆยื่นของให้คนอื่น มี กายกรรมวจีกรรมและมโนกรรมให้จริงหรือเปล่า คุณให้แล้วยังมี สาเปกโข ให้แล้วยังไม่พอไปทวงคืน ไปยึดถือเอาคืนมา ได้ผลตอบแทนจากทาน ก็ดีใจ ถ้าไม่ได้ก็ไปบุกลุย แย่งชิง ตีรันฟันแทงเอาคืนมาให้ได้ ให้ทานเป็นของ ต้องการแลกอย่างละเอียดเป็นสุขต่อมา เป็น สรรเสริญ ต่อมาเป็น ยศ ต่อมาเป็นลาภ
พวกนี้ไม่ได้ทานจริงให้แล้วยังมีของแลกเปลี่ยน ถ้าต้องการ ภพ ก็เป็นจตุมหาราช แย่งชิง ลาภ ให้ไปแล้วก็ต้องใช้คืนต้องมีดอกเบี้ย ได้ยศได้อำนาจได้สรรเสริญชมเชยยกย่องว่า ฉันได้ทำทานเป็นเจ้าของเป็นผู้ให้แล้วก็หลงเสพสุขตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้ที่ให้ เขามาตอบแทนก็ยิ่งหลงใหญ่เลย เป็นจาตุมหาราชิกา ได้มาตอบแทนยินดีเป็นดาวดึงส์ แล้วติดยึดเป็นยามา ให้ไปทีเดียวและขอตอบแทนมาหลายทีก็ยิ่งดีๆ แล้วก็ถึงจุดพัก ดุสิต แต่ยังไม่พักยังมีภพชาติต่อไปอีก ดีไม่ดีให้คนอื่นมาช่วยจำอีก อย่างบางคนมีลูกน้องมาขอเกาะตำแหน่งเกาะเอายศศักดิ์ ทางการเมือง เป็นผู้นิรมิตให้ นิมมานรดี แล้วเก่งสุดยอดคนอื่นเนรมิตให้เราหมดเลยเป็นปรนิมมิตวสวัตตี
นี่คือสิ่งที่ไม่รู้จบอธิบายง่ายๆ แต่พอจะฟังรู้เรื่องกันไหม ถ้าเราสามารถเข้าใจแล้วว่า เทวดานั้นเป็นภพชาติ อย่าไปคิดสร้างอย่าไปคิดมีอะไรเลย ขนาดเรารู้แล้ว บางคนยังอยากจะไปมีอะไรอยู่บ้าง อย่าไปอยากได้อะไรจากใคร ตนเป็นที่พึ่งของตนเท่านั้น นอกจากต้นแล้วไม่มีใครพึ่งได้ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหิ นาโถ ปโรสิยา ตนเป็นที่พึ่งของตนนอกจากตนแล้วไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้ได้
ถ้าผู้ใดเข้าใจชีวิตคือกรรม คุณทำทานก็เป็นกรรมชนิดหนึ่ง ผู้ที่สามารถสัมมาทิฏฐิว่าทำทานนั้นมีมรรคผล อัตถิทินนัง ทำทานแล้วมีผล คุณต้องรู้ว่าผลคืออะไร
ผลคือโลกุตรธรรม ผลคือการลดกิเลสได้ ทานก็ต้องลดกิเลสความโลภ ทานแล้วต้องลดโลภ แต่ยิ่งทานแล้วสาธุขอให้ได้สวรรค์วิมาน 8 ชั้น วิมานเฟส 2 เฟส 3 เฟส 4 เละไปหมด มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้น ทำทานอย่างมีภพชาติต้องการสิ่งตอบแทนให้แล้วไม่รู้จักจบ เหตุใดจะต้องมีคืนดีไม่ดีออกดอกเบี้ยอีก
มันต้องทำใจของตัวเราเอง ว่าเราให้แล้วอย่าไปจำว่าเราเป็นผู้ให้ อาตมานี้จะกลายเป็นคนนิสัยเสียสัญญาเสีย สัญญาความจำเสีย ให้เขาก็จำไม่ได้ เขาให้แล้วก็จำไม่ได้ใครให้มา ไม่จำ ให้เขาไปแล้วก็ให้หรือยังนะ นิสัยเสีย สัญญาเสีย จนกลายเป็นสิ่งบกพร่อง อาตมาก็พยายามจำ เราเป็นผู้ให้ ให้ใครก็จำไม่ได้รู้แต่ว่าได้ให้ก็จบ แต่เขาให้เราแล้วเราไม่จำเขาเลยมันก็ไม่ค่อยดีนะ ขออภัยจริงๆ คนที่ให้แล้วอาตมาจำไม่ได้ บางคน ขออภัยจริง ก็จำว่าเขาให้ทานบริจาคอะไรมา บางคนให้ทานเป็นล้าน อาตมาก็จำไม่ได้ เข้ามาพบอีกก็เหมือนกับคนที่ไม่ได้ให้อะไรกับอาตมา เขาก็คงน้อยใจ อะไรนะจำไม่ได้ว่าเคยให้ทานเป็นล้าน อาตมาก็เสียอย่างนี้ นี่เรื่องจริงเลยนะ อาตมาก็ต้องขออภัย เป็นจุดบอดของอาตมา
สมณะเดินดินว่า…แม้แต่กินอะไรก็จำไม่ได้
พ่อครูว่า..อาตมาต้องการแคลอรี่ต้องการพลังงานมาคิดมาเขียนหนังสือทำตำรามาสอน มาพูดอธิบาย แม้แต่การนั่งการนอนหลับก็มีแต่เรื่องคิดว่าจะสอนอะไร เรื่องนี้เรื่องนี้ บางคืนคุยกับเทวดาละเอียด หลายเรื่องเอามาสอนไม่ไหว มันไปมากมาย หรือแม้แต่ตื่นมา ก็อยู่กับธรรมะ หลับไปก็อยู่อย่างนี้ ชีวิตทำงานกับธรรมะอยู่กับธรรมะไม่มีอะไรอย่างอื่น หนังเรื่องอาตมาก็ขอเอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งมา แม้แต่พลังงานบางอย่าง อาตมาเก็บพลังงานที่สูญเสียไม่เข้าเรื่องเอาไว้หมด ไม่สูญเสียพลังงานเอาพลังงานมาใช้แต่เรื่องทำงานพวกนี้ ให้เป็นประโยชน์
เราก็ต้องมีประโยชน์ทางโลกบ้างทางธรรมบ้าง ทางโลกอาตมาก็ทิ้งมาได้ ก็สบายเพราะเราเข้าใจจะให้คลุกลงไปทำจริงๆก็เคยทำมาแล้ว ทางเศรษฐกิจอาตมาก็ภาคภูมิใจที่พวกเราทำได้ ถึงขั้นสาธารณโภคี แล้วก็เป็นบุญนิยม ที่เป็น 4 ขั้น
ขั้นที่ 1 เราจะต้องไม่ขายเกินราคาตลาด ต้องต่ำกว่าราคาตลาด แต่ไม่ได้เอาเปรียบอย่างทุนนิยม อัตราต่ำที่สุดแย่ที่สุดจนกระทั่งขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุนเท่าไหร่ก็เจริญมากขึ้นเท่านั้น เป็นผู้ช่วยเศรษฐกิจโลก เป็นผู้ทำงานช่วยเหลือเศรษฐกิจโลกเป็นผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่โลก ได้ช่วยเหลือสังคมประเทศชาติแก่โลกด้วยซ้ำไป
นักเศรษฐศาสตร์สูงสุดคือนักเสียสละ ไม่ใช่นักเอาเปรียบ
เศรษฐกิจเจริญสูงสุดคือเราลดการเอาเปรียบได้ เราลดกำไรจากโลกได้ เราขาดทุนให้โลกได้ เป็นเศรษฐกิจเจริญ เราขาดทุนให้แก่ผู้อื่นได้เป็นเศรษฐกิจเจริญ เราขาดทุนให้แก่โลกได้เราต้องอยู่ได้นะ เราไม่เป็นหนี้และเราก็ไม่เบียดเบียนใครด้วยนะ เราก็มีเหลือส่วนของเราถึงได้เอาไปขาดทุนให้แก่โลกได้ เป็นคนมีเศรษฐกิจดีนะ
เศรษฐกิจช่ัวคือเอาของเขามาไม่มีที่สิ้นสุด พวกรวยแล้วรวยอีกไม่รู้แล้วคือพวกชั่วที่สุด อาตมาไม่ได้ด่า แต่พูดสาระธรรมพูดสัจธรรม คนที่โลภมากรวยเท่าไหร่ไม่รู้จักพอคือพวกชั่วมากที่สุด
คนมีสันตุฏฐีธรรมคือพวกเจริญเอาไว้น้อย หรือไม่เอาเลย อาตมาประสบผลสำเร็จที่ทำงานแล้วไม่เอาอะไรให้แก่ตัวเองเลยเป็นสาธารณโภคีเข้าแก่กองกลาง มีเหลือมากก็สะพัดไปสู่ผู้อื่น อาตมาสร้างราชธานีอโศกสร้างโรงเรือนสร้างแม่น้ำลำธารสร้างน้ำตก เพื่อให้คนอื่นได้มาอาศัยใช้สอย แม้แต่ทำที่เพื่อขาย ให้คนอื่นมาขาย เราทำไปขายด้วย มะละกอมีเยอะแยะเลย ขาย 5 ลูก 1 บาท เอามาขายบ้างมันเยอะแยะเต็มไปหมด ขายลูกละบาทก็ได้ มาซื้อสิ เราพูดจริง เราไม่ได้เป็นภาระแก่ผู้บริหารประเทศชาติว่าจะต้องช่วยสังคมเศรษฐกิจ ของเรามีช่วยสังคมเศรษฐกิจ เป็นผู้ที่จนสำเร็จด้วยคือผู้ที่ขาดทุนคือกำไร และกำไรตลอดเลย พูดอย่างภาษาสิริมหามายา ขาดทุนของเราคือกำไรของเราคือภาษาสิริมหามายา เราขาดทุนตลอดเพราะฉะนั้นเรากำไรตลอด ใจของเราชัดเจนนะว่าเรากำไร เราไม่ได้พูดปากเปล่า เราไม่ได้เป็นคนตลกๆอะไร เราไม่ได้เป็นจอมมายาอะไร แต่เป็นเรื่องจริง เราขาดทุนให้แก่คนอื่นได้นี่แหละคือเราสบายใจ เรามีประโยชน์เราเป็นนักเศรษฐกิจนักเศรษฐศาสตร์ เราเป็นผู้ช่วยโลกช่วยเศรษฐกิจ เราไม่ได้เอาของเขามาเลย เป็นผู้ที่มีเศรษฐกิจดีมาก นี่เป็นสัจธรรม ฟังธรรมะที่อาตมาพูดให้ดี พวกเปรียญ 9 แม้แต่พวกเศรษฐศาสตร์ปริญญาเอกก็ไม่พูดอย่างอาตมาหรอก
อาตมานี้พวก Post Doctor หรือด๊อกเตอร์หลายโพด ภาษาอีสานนะ
อาตมาอธิบายนี้ไม่ใช่เรื่องนอกรีต นอกสัจธรรมแต่เป็นความจริง และเป็นความจริงที่เป็นไปได้ไม่ใช่สุดโต่ง ยุคนี้คนก็ทำได้อย่างพวกคุณนี้ทำได้ จริง คนมาเอหิปัสสิโก ท้าทายให้คนมาดูได้นะ อาจหาญแก้วกล้าจริงหนอ อาสโภ กล้าหาญ ยืนยันสัจธรรมและจิตใจคุณมีจิตใจอยากอวดโอ่สาเฐยจิตหรือไม่ ไม่มี ยืนยันความจริงให้ฟังว่าในยุคนี้ยังมีคนจริง
เพราะฉะนั้นประเทศไทยยังมีธรรมะที่เป็นโลกุตระ ยังมีคนทำได้จริง ไม่มีสังคมที่เป็นองค์รวมมีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอย่างนี้จริง ถึงขั้นสาราณียธรรม 6 มีจริง จึงเกิดพุทธพจน์ 7 เกิดจากจิตของพวกเรามี พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ ที่แท้จริง ยืนยันได้ว่าพวกเราเป็นเอกภาพเป็นปึกแผ่น
เอกภาพเป็นปึกแผ่น เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความขัดแย้งมีน้อยที่สุด จากสังคมทั้งโลกเขามีมาก น้อยกว่ามาก ข้างนอกเขาขัดแย้งกันเยอะ พวกเราขัดแย้งกันพอเหมาะ ถึงแน่นอน เราตรวจสอบเรื่องขัดแย้ง ก็เป็นธรรมดา Unity of diversity เป็นความหลากหลายของเอกภาพ แล้วอยู่กันอย่างสงบ หลากหลายแตกต่างกัน พวกเรามี นัยยะละเอียดแตกต่างกันหลากหลายมุม แต่ขัดแย้งกันพอเหมาะ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรกันมากไม่ทะเลาะกันยังอยู่ในขั้นที่เป็นสามัคคียะ อวิวาทะ พวกเราไม่มีการตีรันฟันแทงทะเลาะวิวาทกัน เป็นการพิสูจน์พุทธพจน์ 7 สังคหะ ช่วยกันสร้างสรรอนุเคราะห์โลก เกื้อกูลผู้อื่นช่วยเหลือเจือจานเสียสละ มีความเคารพกัน ครุกรณะ รักกันอย่างมีมิติที่สูงด้วย ระลึกถึงกัน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้แม้จะเป็นลูกคนละพ่อและแม่มา มาอยู่ที่นี่ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งอาตมาภาคภูมิใจที่อาตมาได้นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติ แล้วปฏิบัติกันได้ มีเรื่องจริงเกิดจริง อาตมาจึงภาคภูมิใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เป็นหมัน แม้จะเป็นเรื่องยาก
อย่างจนกลายเป็นว่าชาวอโศกนี้ ชาววงการศาสนาพุทธ ลอยแพ พวกเรา แต่อาตมาไม่ปล่อยให้พวกคุณถูกมรสุมตกนรกๆ แพพวกคุณจะตกนรกแล้วอาตมาจึงต้องช่วย จึงต้องบอกว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่าไปทางนั้นมันเป็นทางนรก ก็ต้องบอกต้องพูดอยู่อย่างนี้ ห้ามอาตมาไม่ได้ แต่มันไม่มีเรื่องอะไรจะพูดนอกจากช่วยผู้ที่ตกนรก ช่วยพวกที่ไม่ขึ้นสวรรค์ไม่ไปนรกเป็นโลกุตระอย่างพวกเราก็มาอยู่แล้ว อาตมาไม่ส่งเสริมสวรรค์เพราะอะไร เพราะสวรรค์มันเลวร้ายยิ่งกว่านรก คนรวยจะไม่กลัวสวรรค์จะไปกลัวนรกอาตมาจะไปส่งเสริมสวรรค์ทำไม มันไปติดสวรรค์นั้นแย่ยิ่งกว่าเจอนรก นรกไม่มีใครอยากเอา แต่สวรรค์มันกระโดดเข้าใส่แล้วมันเป็นภพชาติด้วยกันทั้งนั้น นรกกับสวรรค์นั้นแยกกันไม่ได้ คุณมีนรก 1.1 ก็มีสวรรค์ 1.1 คุณมีนรก.001 คุณไปหลงสวรรค์.001 เท่านั้นเอง คุณไปสร้างสวรรค์.001 คุณก็ได้นรก .001
สวรรค์นรกเป็นเรื่องของภพชาติ ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกที่นี่ถึงไม่ได้สอนเรื่องสวรรค์ สอนแต่นรก คุณเลิกจากนรกได้ก็ไม่มีแล้วสวรรค์ก็จบแล้ว มันเป็นของคู่แยกกันไม่ได้มันเป็นเทวะ มันทำให้เหลือแต่อย่าสร้างสิ่งที่เป็นกุศลอย่าไปสร้างสิ่งเป็นนรกแท้ แม้แต่กุศลก็เป็นภพชาติ ต้องสร้างอย่างบุญเลยไม่ต้องมีสวรรค์ไม่มีนรก ฆ่าภพชาติสวรรค์อัตตาเลย นี่คือทางที่สั้นที่สุดไม่ถือว่าเป็นทางลัด
คุณทำได้คุณก็รู้สภาวะจิตของคุณว่า นี่เรายังอยากมีภพชาติยังอยากได้สวรรค์หรือไม่ หากยังมีคนก็ไม่จบง่าย มันจะเรื้อรังมันจะเป็นภพชาติ ถ้าคุณเข้าใจว่าจิตมันยังมีความหวังอยากได้อันนั้นอันนี้อยู่ต่อ คุณมาทำปัจจุบันนี้ ให้เป็นกลางเป็นศูนย์ ไม่มีผลักไม่มีดูดไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ ไม่มีเทวะ ไม่มีธรรมะ 2 อย่างเก่งมันมีธรรมะ 1 หรือ 0 ให้ได้ จะต้องอธิบายกันว่า 0 คืออะไร 1 คืออะไร
1 คือเราจะต้องใช้พลังงานให้มันมีอยู่ แต่ 0 ก็คือคุณทำได้ก็ไม่ต้องมีแล้ว ศูนย์ไปเลย จิตของคุณก็ว่าง 0 เลย มันมีสักอย่างในจิตของเราไหมที่โลกเขาก็ยังมีอยู่ อย่างเช่นวันเพ็ญเดือนสิบสองเขาก็ต้องไปสนุกกันแต่จิตใจของพวกคุณ 0 ไหม มันก็ไม่มีมันก็ชัดเจน
มันจะมีอย่างนี้ เราไม่เอาแล้ว แล้วไปว่าเขา ไปมองเขาไปข่มขี่เขา อย่าให้เป็นอย่างนั้นให้จิตใจเป็นกลางๆเป็นธรรมชาติธรรมดาของคน หรือคุณก็สงสารเขาจะช่วยเขาได้อย่างไร จิตใจมีเมตตาเกื้อกูล แต่ไม่ต้องถึงกับเมตตาใหญ่ งานของเราก็เยอะอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่มีจิต ที่นี่จะลอยกระทงไหมก็มีหลักฐานให้ลอย ถ้าจะเปิดทางเราก็ทำได้ทุกแห่ง มีที่จะลอยกระทง ถ้าหากเปิดให้ลอยกระทงที่นี่เราหนักเลย เรื่องอะไรเราจะไปทำเสีย
อาตมาเคยพูดถึง เรื่องของจารีตประเพณีหลายอย่างมันเสียมาก ลอยกระทงก็เถอะ ประเพณีสงกรานต์
ทานก็ขอผ่านไปก่อน ไปอ่านทานสูตร
อ่านแล้วทำความเข้าใจให้ดีสวรรค์ 6 ชั้นเป็นอย่างไรไม่มีสวรรค์เป็นอย่างไรทำทานอย่างไม่มี สาเปกโข เป็นอย่างไรหากเข้าใจแล้วก็จะปฏิบัติถูกต้อง
มาพูดถึงสัมมาทิฏฐิข้อที่ 2
ยิฏฐังคือ ยัญพิธี พิธีการก็เพื่อลดกิเลส แต่นัตถิยิตถัง คือไม่มีผลลดกิเลส เดี๋ยวนี้ วิธีการพิธีกรรมอะไรเพื่อให้กิเลสลด วิธีทำศีล วิธีทำสมาธิ ศึกษาปริยัติ แล้วให้ปฏิบัติตามกุศโลบายของอาจารย์ก็เพื่อให้เรากิเลส เรียกว่ายัญพิธีมีผล แต่ทุกวันนี้ยันพิธีไม่ใช่เพื่อลดกิเลส ใครเป็นพิธีการที่จะต้องได้บุญกุศล ได้สวรรค์วิมาน หนักเข้าก็วิธีหาเงิน หมด
พิธีรักษาศีล 8 พิธีอะไรก็แล้วแต่ ตั้งชื่อมามากมาย ทั้งนั้น อย่างมีพิธีก็กลายเป็นพิธีสมถะ ไม่ได้เรียนรู้กิเลสไม่ได้เรียนรู้เวทนาในเวทนา มีแต่ทำให้จิตหยุดนิ่ง ซึ่งมันไม่ใช้เลย ศาสนาพุทธให้เรียนจิตเดินจิตวิ่ง ไม่ใช่ให้จิตนิ่งแล้วจับกิเลสในจิตวิ่งนี้ให้ได้ แล้วให้กิเลสลดลงจึงจะนิ่ง จิตจึงจะเกิดปัสสัทธิสงบไม่ใช่กดให้จิตเกิดสมาธิเท่านั้น ศาสนาพุทธมันต่างไปอย่างนี้
คำว่าสงบในภาษาไทย แต่ความเป็นสภาวะของความสงบของพระพุทธเจ้านั้นคือกิเลสมันสงบจิตใจจะยิ่งเร็วยิ่งแรง จิตใจยิ่งคล่องตัว เป็นกายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา เวทนา สัญญาสังขารยิ่ง คล่องแคล่ว วิญญาณก็จะยิ่งคล่องแคล่วปราดเปรียวเร็วไว ไม่ใช่ยิ่งเฉื่อยยิ่งตื้อ
กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา เขาก็แปลกันรู้เรื่องได้แต่เขามีสภาวะกันไหม อภิธรรมเขาแปลจากพยัญชนะสระพยัญชนะเป็นตัวตนเป็นวิมาน อาตมามุ่งเข้าสู่สภาวะแล้วแปลโดยอัตโนมัติ หากอาตมาสอนผิดเป็นวิบากกรรม อาตมาจะไปทำทำไม อาตมารู้ศรัทธาเรื่องกรรม กรรมที่เป็นวิบากบาปทำทำไม อย่างน้อยกรรมต้องเป็นกุศลหรือว่าเป็นบุญได้ก็ยิ่งดีเลยคือการฆ่ากิเลส ถ้าได้กิเลสก็หมดลงไปทันที
การทำทานก็ดี จะถือศีล หรือจะปฏิบัติอย่างไรมีวิธีปฏิบัติมี ยิฏฐัง จังใดก่อให้เกิดพลังงานบุญชำระกิเลสได้นั่นคือ อัตถิ อัตถิทินนัง อัตถิยิฏฐัง
หุตังคือ จิตของคนเกิดผล ก็คือการทำทานทำพิธีกรรมและเกิดผลที่จิต
ท่านแปลว่าสังเวยที่บวงสรวงแล้ว ฟังแล้วต้องไปนอนสลบสัก 3 วัน สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผลหรือไม่ ก็เลยคิดกันว่าจะต้องเอาไก่เอาเป็ดพะโล้ เอาหัวหมูไป บวงสรวงไปให้ หากว่าหัวหมูแหว่งไปครึ่งนึงบอกว่าวิญญาณมาเอาไปกิน แท้จริงแล้วมีสุนัขขึ้นไปกิน
น่าสงสาร บางคนเขาบอกว่ากลิ่นมันจางลงไปรสมันจางลงไป พูดไปแล้วน่าสงสารพวกนี้ เพ้อเจ้อเลอะเทอะไปน่าสงสาร กลายเป็นเรื่องจารีตประเพณีพิธีสังเวยบวงสรวงกันไป แปลตามพยัญชนะเป็นเรื่องเทวนิยม เป็นภาษาเทวนิยมเก่าตามโบราณ แต่สมัยนี้มันไม่ได้แล้ว แปลกันไม่ออกด้วยพูดกันไม่รู้เรื่อง
ทานที่ให้แล้วมีผล
ยันต์พิธีที่บูชาแล้วมีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล
ในสัมมาทิฏฐิ 10 ใน 3 ข้อนี้
ผลที่ได้ของจิตต้องรู้ว่าจิตลดละกิเลสทำให้เกิดบุญได้ลดกิเลสได้หรือไม่
ข้อที่ 4 ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ .
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
ผลของโลกุตระจะไม่เป็นวิมานเป็นกุศล แต่ผลคือการฆ่ากิเลส เป็นปุญญภาค ผลสมบูรณ์เป็นปุญญภาคิยะ ผลของบุญคือทำให้เสียทำให้สลายทำให้กิเลสลดได้ ผลของบุญคือเสียไป สละไปได้สละกิเลส ส่วนบุญคือส่วนกิเลสตายกิเลสมันจางกิเลสมันลดลงไป นั่นคือส่วนแห่งบุญ ถ้าหากกิเลสลดหมดก็สิ้นอาสวะเป็นอนาสวะ
หากสาสวะกิเลสยังไม่สิ้น เป็นพระเสขบุคคลไปตามลำดับ ปุญญภาคิยะ ส่วนแห่งบุญ คุณก็เจริญไปตามลำดับ ขันธ์ของคุณก็สะอาดขึ้นเรื่อยๆ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นอุปธิเวปักกา ผลกิเลสลดลงจิตก็เจริญขึ้น
ถ้าหากทำสมาธิอย่างนี้ก็ทำกรรมทุกอย่างที่สะอาด เป็นการปฏิบัติใดๆก็แล้วแต่ กรรมเหล่านั้นเป็นสุกตทุกกฏานัง กรรมวิบากของพุทธก็เป็นโลกุตระ มีกตญาณ แปลว่าดีแล้วเสร็จแล้ว สุคตะ ไม่ใช่สุคโต ที่เป็นสวรรค์วิมาน พระพุทธเจ้าเป็นสุคโต แปลว่าเสด็จไปดีแล้ว คือท่านจะยังมีการเดินทางไปเป็นกุศล มีการเกิด ล้วนแล้วมีแต่ กุสลสูปสัมปทามีแต่ดี เป็นสุคะโตมีแต่ดี ยังเป็นสภาพที่มีไม่ใช่สภาพไม่มี
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ