611125_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เสฏฐบุคคลแท้มีแต่ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Fzep13bsUNBkwdUogcaaWMW2CYRA9KY6Yb2B-1v_seY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1YgvJcLIIpZmzFCoFM3lw7UQjeARNxPPo
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ..สังคมชาวอโศก ช่วยกันแก้ปัญหา เรามีผู้นำพาลดละกิเลส ต้นเหตุของปัญหา..เป็นคนวรรณะ 9 ลูกๆก็อยากให้พักผ่อนมากๆ
พ่อครูเป็นผู้นำที่หมดตัวตน ไม่มีตัวตน แต่ทำงานเพื่อมนุษยชาติ ให้พัฒนาเป็นคนที่รับใช้คนอื่นต่อไป เป็นคนไม่มีตัวตนเป็นคนเสียสละที่แท้จริง
พ่อครูว่า…sms
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน อยากจะเลิกอบายมุข
_จาก โยม มะระขี้นก “อยากจะเลิกอบายมุข”
ดิฉันติดเรื่องการแต่งหน้า-แต่งตัวรวมไปถึงเครื่องประดับเพชรพลอยต่างๆมีเป็นชุดๆ ไม่ว่าจะเป็นมรกตทับทิมบุษราคัม ฯลฯ กระทั่งเพชร ทั้งนี้เพราะมีมรดกตกทอดเป็นข้าวของเงินทอง รวมทั้งเงินบำนาญอีกหลายหมื่น เป็นตัวช่วยอย่างดี ดิฉันจึงใช้ชีวิตฟูฟ่องล่องลอยไปวันๆ นัดแนะพบปะกับเพื่อนๆทางโลกเสมอเนืองๆ เพื่อเจอะเจอกัน รับประทานอาหารด้วยกัน ดิฉันยังคงมั่นคงในมังสวิรัติ แม้เพื่อนทั้งหลายจะรับประทานเนื้อสัตว์อยู่ก็ตาม เมื่อจะไปเจอเพื่อนๆดิฉันก็แต่งหน้าครั้นมาวัดคบคุ้นกับชาวอโศก ดิฉันก็จะลบออก รู้เหมือนกันว่า ทำตัวเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี ไปตามสิ่งแวดล้อม แต่ก็อดไม่ได้
ดิฉันเป็นโสด กลางคืนก่อนนอนก็สวมแหวนประมาณ 8-9 นิ้ว เป็นประจำ เพราะชอบดูเพชรพลอยต่างๆ และแต่งหน้าด้วย เพื่อที่ว่าหากเช้าขึ้นมาดิฉันหมดลมหายใจ คนจะได้พบดิฉันในสภาพที่สดใสไม่ซีดเซียว ดิฉันอายุจวนจะ80 แล้ว แต่ก็ยังย้อมผมอยู่ เพราะทนเห็นเส้นผมเปลี่ยนสีไม่ได้ ดิฉันคิดว่าจะซื้อวิกมาใส่ เพราะคนชมว่าเมื่อใส่วิกแล้วหน้าของดิฉันจะเหมือนกับฝรั่ง
ดิฉันเจอชาวอโศกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๒ เข้าใจดีว่า ตัวเองยังไม่ได้ไปไหนเลย จิตวิญญาณยังอยู่ที่เดิม จึงใคร่ขอความกรุณาพ่อครูแนะนำดิฉันด้วย เพราะดิฉันอยากเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ไปเกิดเป็นสัตว์อบายในชาติหน้า และอยากติดตามพ่อครูไปทุกภพทุกชาติ …นมัสการขอบพระคุณ 22พ.ย.61
พ่อครูว่า…ก็มีสำนึกดี แต่กิเลสมันแรง มันก็ดึงไป รู้นะว่ามันไม่ดี กิเลสมันก็ให้ทำเองไม่ทำไม่ได้ ตัวเองต้องแต่งตัวใส่แหวน 9 นิ้ว แต่งหน้าก่อนนอน เดี๋ยวตายก่อนคนจะมาเห็นหน้าซีดเซียวไม่ได้นะ นี่เห็นไหม ดีแล้ว สนใจธรรมะฟังไปสักวันหนึ่งก็คงจะเต็มถ้วน อาตมาก็รอสักวันหนึ่งก็คงจะได้ ตั้งใจฟังให้ดี แล้วจะเกิดปัญญาได้ ปัญญามีพลัง เกิดมีพลังปัญญาแล้วมันจะสลาย พลังของราคะโทสะโมหะ พลังอุปาทาน มันสลายได้จริง เพราะว่าเป็นคุณสมบัติของปัญญา มันมีพลังงานของจิต ที่มีประสิทธิภาพสามารถสลาย พลังของกิเลส
พลังกิเลสจะถูกพลังงานของปัญญาสลาย หากยังไม่มีประสิทธิภาพของปัญญากิเลสแต่ยังไม่สลายได้ ถ้าหากเก่งก็จะสลายได้ทันที เก่งจริงๆก็คือกิเลสไม่เกิดได้อีกเลยพลังปัญญาเต็มถ้วนแล้ว จิตวิญญาณมีปัญญาเต็มถ้วนตลอดเวลา กิเลสเข้ามาใกล้ไม่ได้เลยมันมีรังสีของปัญญา กิเลสกระเด็นออกไปเลย
Sms 23 – 24 พ.ย. 61
_วันทิพย์ ปัญญาศิริโรจน์ · ข้าพเจ้าคิดเป็นสัมมาทิฏฐิได้ก็เพราะฟังธรรมจากอโศก สาธุๆๆเจ้าค่ะ (ทึ่งจริงๆ เหมือนเพลงธรรมะที่พ่อครูแต่งไว้)
_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย · พุทธเชื่อเรื่องกรรมเป็นอันทำ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมพวกเราเชื่อ และศรัทธาพ่อคูรมากจ้า
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญทำแล้วไม่ได้อะไรเลย
_อำภา รื่นใจดี · สาธุเจ้าค่ะ แรง ชัดเจน มีบุญอยู่ก็ยังซวยอยู่ ตั้งแต่ลูกฟังธรรมและปฏิบัติตามที่พ่อครูสอน แม้จะยังไม่มาก ต้องค่อย ๆ ทำไป ก็ยังรู้ได้ว่าความซวยค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า..หากเข้าใจว่าสิ่งที่ทำยิ่งได้บุญ แต่บุญแปลว่าการชำระกิเลส หากบอกว่าเอาบุญมาเยอะๆก็แปลว่าจะต้องมีกิเลสเยอะด้วย หากเข้าใจว่าบุญคือการสั่งสมอะไรอยู่ก็คือความงมงายทั้งนั้นเลย เป็นตัวกูของกูทั้งนั้น หากว่าละตัวตนออกไปหมดแล้วชีวิตก็เบาสบาย พวกเราฟังเข้าใจได้ เรานี่ต้องปฏิบัติจนหมดตัวตนอะไรก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราของเรา ที่สุดเรามีความอุดมสมบูรณ์ จากการที่เราสร้างเองเราไม่สร้างสิ่งที่เป็นพิษสิ่งที่มอมเมา เราสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต เยอะแยะเลย ดูนี่สิกล้วยมันแกล้งโตนะ อะไรๆต่างๆนานา มันอุดมสมบูรณ์สวยงามใหญ่โต ดีทั้งนั้นเลย
ความหมายแค่นี้ ถ้าอาตมาไม่ได้เกิดมาพวกเขาจะไม่ได้ยิน ดีนะที่เขาเถียงไม่ออก เพราะหนึ่งมีพยัญชนะยืนยันในพจนานุกรม ฉบับภูมิพโลภิกขุ ฉบับอื่นไม่มีนะ บุญ ท่านแปลว่า สันตานัง ปุนาติวิโสเทติ บุญคือการชำระกิเลสออกจากจิตสันดานจนหมดเกลี้ยง บุญมีแต่ในปัจจุบันเท่านั้น นอกปัจจุบันบุญเกิดไม่ได้เลยสะสมไม่ได้ อดีตไม่มีบุญ อนาคตยิ่งไม่มีใหญ่เลย บุญมีในปัจจุบันเพราะมีตัวตนมีพลังงานเกิดขึ้นกิเลสหายไป ก็ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเป็นซากเหลือ
ผู้มีส่วนบุญ โลกุตระแปลอย่างหนึ่ง โลกียะแปลอย่างหนึ่ง
โลกียะแปลว่าบุญว่าเป็นสมบัติอะไรสะสมขึ้นมา เป็นกุศล
แต่โลกุตระส่วนบุญ แต่ว่าสิ่งนั้นเสร็จไปแล้ว คนมีกิเลส 100 ปฏิบัติไป ทำให้กิเลสลดไป 10 ก็มีส่วนบุญ 10 ผลบุญนั้นคืออะไร คือ เลิกแล้วไม่มีบุญอีกแล้ว โดยสำนวนว่าได้บุญแต่บุญคือสิ่งที่ไม่ได้อะไรเลยกิเลสหมดไป ทำเสร็จแล้วกิเลสหายไป บุญก็หายไปด้วย ไม่ได้อะไรเลย
แต่ในวงการศาสนามีแต่เข้าใจบุญว่าคือการสะสม เข้าใจว่าบุญมีมากยิ่งดี
มีโยมที่เคยอยู่ที่นี่ มีชื่อบุญหนา นามสกุล บุญมี เรียนจบเปรียญ 8 ประโยคนะ ถ้าเข้าใจเรื่องบุญก็คงจะไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลแล้ว บุญบาง นามสกุลหมดบุญ นี่อธิบายเหมือนง่ายๆสนุกๆ แต่ลึกซึ้ง
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ · จิตใต้สำนึก คือสิ่งที่เคยเรียนรู้ แต่มาเกิดใหม่แล้วลืม ด้วยความเจ็บปวดตอนคลอดจากแม่
_สุชาดา น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ ลูกเชื่อในสิ่งที่พ่อครูมีพ่อครูเป็น เหลือแต่ต้องทำตามให้ได้เท่านั้นค่ะ จัดการบริวารควายๆยังเข้าใจมาทำงานฟรี แต่คนบางคนก็ไม่เข้าใจ ก็แสดงว่าโง่ยิ่งกว่าควายนะคะ
พ่อครูว่า…
สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน
_0851614 นิมิต กับ สิ่งที่มีจริง สิริมหามายา ภาษา กับ สภาวะ ต่างกัน อย่างไร
พ่อครูว่า…หันเข้าหาสภาวะมากกว่าพยัญชนะดีกว่า อันไหนยังไม่เข้าใจก็ฟังไปเรื่อยๆ ถ้าจะมาให้เข้าใจท่านที่เป็นรูปธรรมอาตมาว่าตายก่อนนะ ต้องทำตามสภาวะไปตามลำดับ
นิมิตคือเครื่องหมาย ลาง เหตุ เค้ามูล กับสิ่งที่มีจริง อะไรก็ตามที่มีจริง นิมิตเป็นภาษาบาลีคือเครื่องหมายที่บอกสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นสมมติสัจจะในสิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถ์สัจจะ
ภาษากับสภาวะ และสิริมหามายา
ภาษากับสภาวะต่างกันอย่างไร
ภาษาคือสิ่งที่เป็นบัญญัติ
สภาวะคืออาการนามธรรม
ภาษาจะเป็นภาษาไทย จีน อังกฤษ ต่างๆนานา คนละภาษาต่างกัน แต่ว่าสภาวะเดียวกัน เช่นนี่เหลือง ดอกนี้ชื่อดอกทองอุไร พอเราจ่ายเงินซื้อแล้วเราบอกนี่ชื่อทองอโศก เราจะปลูกให้เต็มเลยนะ รู้สึกว่าดี ปลูกง่าย ออกดอกตลอดเวลา ได้น้ำแดดเหมาะสมก็ออกดอก
ของเราดอกทองอโศก คุณตัดคำว่าดอกออกดีกว่านะ นี่อะไร นี่ทองอโศก
ภาษาก็คือพยัญชนะเป็นส่ิงบอก ในคำสอนพระพุทธเจ้าลึกเข้าไปในจิตคน เมื่อกระทบสัมผัสจะเกิดเป็นสภาวะ ถ้าสภาวะนั้นยังไม่มีชื่อ ท่านเรียกวา ปฏิฆสัมผัสโส เกิดสภาวะอันหนึ่งขึ้น สภาวะอันนั้น เป็นปฏิกิริยา เกิด ฆ ขึ้นมา ถ้ามีชื่อก็เรียก อธิวจนสัมผัสโส
เรามีการกระทบสัมผัสแล้วเกิดอาการขึ้นมา สิ่งนั้นถ้ามีชื่อก็เป็น อธิวจนสัมผัสโส ถ้ายังไม่มีชื่อก็เป็นเพียงแค่ ปฏิฆสัมผัสโส
คนที่ไม่ศึกษาก็ไม่มีสิทธิ์เจริญขึ้น แต่คนที่ศึกษาสภาวะกับพยัญชนะแล้ว ภาษาเป็นสื่อที่นำพาให้ไปสู่สภาวะ
สภาวะนิพพาน
นิพพานคือภาษา ส่วนสภาวะของนิพพานนั้น ผู้มีอาการของนิพพานเกิดในจิตเรา เราเรียกนิพพาน เรารู้สภาวะนี้ กำหนดหมายเรียกชื่ออาการนี้ ว่านิพพาน อธิวจนว่านิพพาน ส่วนปฏิฆสัมผัสโสเรียกว่า…สภาวะนั้นๆ พยัญชนะเรียกก็นิพพาน อาการนี้ ใครสามารถทำได้
นิพพาน ไม่ได้ หมายความว่าสิ่งที่ว่างอย่างไม่มีคู่เทียบ
นิพพาน ถ้าไม่มีอะไรเทียบเลยแล้วบอกว่าว่างๆ ไม่มีอะไรเลยว่าง อันนั้น ไม่มีอะไรรู้ได้ อะไรก็รู้ไม่ได้ เป็นไม่ได้ ใครไปแปลคำว่านิพพานแปลว่าความว่าง จิตว่าง แล้วมันว่างจากอะไร? ก็ว่างน่ะ คนนี้ไม่มีวันสำเร็จนิพพาน
นิพพานต้องว่างจากกิเลส
กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด หมดกิเลสหยาบ กลาง ละเอียดคือนิพพาน บอกได้สั้นๆง่ายๆอย่างนี้
ใครไปพูดให้มันละเลียดจนฟังไม่รู้เรื่อง คนนั้นไม่รู้เรื่องของความจริง ว่านิพพานคืออะไร ไปอ่านจุฬสุญญตสูตรให้ชัดๆหลายๆรอบ จะได้เข้าใจว่านิพพานหรือสุญญตานั้นคือความว่าง ว่างจากสิ่งที่เป็นอกุศลจิตหรือกิเลส
เช่นพระพุทธเจ้าท่านอธิบายว่าศาลานี้ว่างจากช้าง ในสำนวนท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ศาลานี้ว่างจากช้าง นั่นแหละนิพพานจากช้างแล้ว ศาลานี้ว่างจากคนบ้า
ศาลานี้ว่างจากคนชั่ว นิพพานต้องมีคู่เปรียบเทียบ บอกว่านิพพานนั้นไม่มีอะไรเลยไม่มีอะไรที่เปรียบเทียบได้นัตถิอุปมา เขาหลอกกันขนาดนั้นเอง ก็เลยไม่เข้าใจว่าคืออะไร
ในขณะที่พูดว่าคืออะไรวะ คนก็ต้องมีสภาวะอะไรวะของคุณ แล้วนิพพานคืออะไรวะ ในจิตคุณต้องมีอะไรวะที่ว่านี้ว่า นี่คือนิพพานหรือเปล่าวะ ก็ต้องมีอะไรขึ้นมาทันที คนนี้จะไม่มีทางรู้เลยนี่แหละคือเทวะที่ตีไม่แตก มันซ่อน คือสิริมหามายา เป็นการพูดเหมือนไม่พูดเป็นการมีเหมือนไม่มี เพราะฉะนั้นพูดพยัญชนะเพื่อให้คุณรู้จักสภาวะ พูดสภาวะก็เพื่อให้รู้ว่ามีพยัญชนะเรียกว่าอะไร
ถ้าคุณมีนิพพานเป็นสภาวะแล้วใครจะมาพูดถึงอะไร ถ้าคุณเข้าใจว่าตรงสภาวะกับคุณคุณก็จบ จะรู้ว่าคนนี้เขาเข้าใจพยัญชนะว่าอย่างไร เข้าใจความหมายของนิพพานได้ดีหรือไม่ สภาวะนิพพานนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าพูดวนไปจนไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร คนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง บางคนพูดวนจนไม่รู้เรื่องคนนั้นคือคนไม่มีจริง คนที่มีจริงนิพพานคืออะไร นิพพานคือจิตที่ไม่มีกิเลส ว่างจากกิเลส สูญจากกิเลส
นิพพานหากพูดกันไม่รู้เรื่องก็คือคนที่ยังไม่รู้เรื่องไม่มีนิพพาน นิพพานรู้เรื่องง่ายจะตายไป นิพพานคือคนหมดกิเลส จิตไม่มีกิเลส คุณก็ต้องศึกษา หยาบกลางละเอียดของกิเลสให้ได้
จบแล้วอธิบายศาสนาพุทธ
อาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็นผู้กอบกู้ศาสนา เป็นสิริมหามายากลับไปกลับมา อาตมาหมดกิเลสจริง คุณต้องมาดูว่าความประพฤติการกระทำต่างๆของอาตมาคืออะไร แล้วตรวจสอบหลักฐานต่างๆทั้งหมดเลย ถ้าอาตมามีอะไรที่ติดก็ซักฟอกอาตมาได้ ถ้าคุณเห็นว่าอาตมามีอะไรที่ไม่ใช่
เช่น คุณก็ว่าอยู่แล้ว คุณว่าอาตมาไม่ใช่ผู้จะมาทำงานกอบกู้ศาสนา คุณว่าอาตมาเป็นพวกมาทำลายศาสนาเป็นพวกนอกรีต อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาพูดถูกพวกคุณนั้นผิดแต่อาตมาถูก อาตมาคนตรงนะ พูดจริงอย่างไม่มีอะไรซ่อนแฝง พวกคุณเป็นคนไม่ยอมรับผิดและโง่ เอาไปตรวจสอบเลย แล้วก็แก้ไขให้ถูกเสีย
เช่นหลอกกันจนกระทั่งว่า อรหันต์คือคนอย่างนี้ อาตมาก็บอกว่า อรหันต์เก๊ ไม่สัมมาทิฏฐิ อรหันต์นั่งหลับตา กินหมากพลูอยู่ แค่สิ่งเสพติดรุ่นๆหยาบๆยังไม่รู้ อรหันต์แต่สูบบุหรี่ขี้โยไม่ขาดปาก ยังไม่รู้ตัว แล้วอรหันต์คืออะไร
แต่สิ่งเสพติดชัดๆยังวางไม่ได้ปล่อยไม่ได้ สิ่งเสพติดอบายมุขหยาบอย่างนี้ยังไม่รู้เรื่อง
ยกตัวอย่างยืนยันว่าให้หยุดงมงายเสียทีให้ตรวจสอบเสีย ถ้าไปนั่งหลับตาแล้วพวกคุณนับถือว่าเป็นอรหันต์แบบนั้น เลิกเลยจบเลยศาสนาพุทธไม่มีอีกแล้วแบบนั้นศาสนาพุทธไม่ได้ไปนั่งหลับตา ไปอ่านพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม สัก 50 รอบ อ่านให้ดีๆไม่มีให้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตและให้ลืมตาปฏิบัติแล้วสัมผัสรู้ไปทีละคู่ ทเวธัมมา แล้วจับที่ความรู้สึกเวทนาเป็นแกนหลัก ให้รู้สึกว่าให้รู้ความจริงของความรู้สึกว่า อาการอย่างนี้ มันคืออาการทุกข์อาการอย่างนี้มันคืออาการสุข อาการอย่างนี้มันชั่วอาการอย่างนี้มันดี
อาการอย่างนี้แหละ รู้สองอาการให้ได้ ให้เหลืออาการเดียว แค่เหลืออาการเดียวคุณก็หมดการปรุงแต่ง แต่ผู้สามารถทำให้ธรรมะ 2 เป็นธรรมะหนึ่งได้ คนนี้จะทำธรรมะ 1 ให้เป็น 0 ได้ แต่ถ้าคุณยังตีไม่แตกธรรมะ 2 เทวนิยมหรือแม้แต่ชาวพุทธยังติดเทวะ ยังเหลืออาการเทวอยู่ เช่นสอนกันว่าทานต้องได้สวรรค์ อาตมาตีทิ้งเลยในทานต้องได้ทั้งสวรรค์และนรก
ทานคือการให้ที่ไม่มีอะไรจะเกิดตัวตนอีกเลย คุณยังมีจิตที่มีตัวตนอยู่ก็ยังทานไม่สูง ยังมีสวรรค์นรก ยังมีเทวะอยู่ เทวะเขาจำนนตีไม่แตกนิรันดร เขาไม่ยอมตีด้วย ใครจะพูดอะไรเท่าไหร่ก็ตาม เขาก็เลยเป็นอย่างนั้นนิรันดร เขาไม่มีสูญไม่มีนิพพาน มีอัตตามีภพชาติ อาตมันตลอดกาล แต่ศาสนาพุทธ- เทวแตกได้มีนิพพานมีสูญได้ แต่จะยังมีอยู่ก็ได้ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานอยู่ต่อไปอีก ก็ได้ เช่นอาตมาจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้แต่ทำไมยังไม่ไป เรื่องของอาตมา อาตมาจะอยู่เพื่อสืบสานศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไป
อาตมาว่าอาตมาเป็นบุคคลที่อยู่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 อาตมาอยู่ในยุคนี้
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
โลกนี้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่
เพราะมันไม่มีใครเหลือที่จะสืบทอดแล้วท่านเลยเอาของท่านเองมาพร้อมเป็นสยังอภิญญา เพราะยุคนี้ไม่เหลือแล้วใครที่จะมาอธิบายโลกนี้โลกหน้า ให้รู้ชัดเจน อธิบายศาสนาให้บริบูรณ์ ว่าคือผู้นี้เอง ผู้มีดวงตาก็จะเห็น สยังอภิญญา เห็นสมณะที่เป็น สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา
แต่ผู้ที่ตาบอด หลับตา นั่งปฏิบัติหลับตา ตามที่ในพระสูตร อินทริยภาวนาสูตร
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ
เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียง
ด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของ
ปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด
ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัส
แล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธลืมตาปฏิบัติให้ชัดเจนตั้งแต่คู่แรก แล้วอ่านในเวทนา ที่เป็นกรรมฐานเท่านั้น ศาสนาพระพุทธเจ้ามีหัวใจอยู่ที่พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ที่ว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ในมหานิทานสูตร
_เฉลิมชัย ล้อลีลา …สุรปแล้ว อะไรมาเกิด? มาเกิดทำไม? มาทำอะไร? ต้องทำอย่างไร? ครับ
พ่อครูว่า…อะไรมาเกิด อวิชชามาเกิด คุณน่ะตัวแท่งอวิชชา
มาเกิดทำไม ก็เพราะว่าคุณยังมีอวิชชา มาทำอะไรมาล้างอวิชชา ต้องทำอย่างไรก็ต้องมาฟังทำให้สัมมาทิฏฐิ แล้วอาตมาจะบอก ปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติและคุณจะหมด เคลียร์คัทหรือยัง?
ไม่ต้องตอบยาวหรอกตีหัวเข้าบ้านเลย
สู่แดนธรรมก็ว่า…เดี๋ยวเขาก็เถียงว่าไม่มีตัวมีตนแล้วจะเอาอะไรมาเกิด
พ่อครูว่า…เหมือนมีฝรั่งเคยมาถามว่าทำอะไร เราก็บอกว่าแสดงธรรม เขาก็มีกลิ่นเหล้าโครงมาเลย อาตมาก็บอกว่าให้ไปหยุดดื่มเหล้าเสร็จก่อน เขาก็พูดต่อไปว่าอนัตตาไม่มีตัวตนแล้ว อาตมาก็ว่า คุณไปละตัวตนให้ไปเลิกเหล้าเสียก่อน เขาก็บอกว่าไม่มีตัวตนแล้วจะเอาอะไรมาเลิก อาตมาก็บอกว่าคนกับอาตมาพูดกันไม่รู้เรื่องหรอกอย่างนี้
คนที่ไม่เข้าใจพยัญชนะไม่เข้าใจสภาวะ 2 อย่างนี้แหละ อาตมาถึงได้สรุปว่า ศาสนาทั้งหลายแหล่ ตีไม่แตกกับสภาวะและพยัญชนะ แล้วก็วนเวียนกับสภาวะกับพยัญชนะ เขาพูดถึงสภาวะเขาก็ไม่ได้พยัญชนะ เขาพูดถึงพยัญชนะก็ไม่ได้สภาวะ เขาก็สับสน มันเป็นอย่างไรสภาวะ ซึ่งสรุปแล้วมันจริงที่เขาพูด สภาวะจริงๆคือความรอบรู้สูงสุด แล้วความรอบรู้สูงสุดคืออะไรก็คือพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็กลับมาที่อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วผู้รอบรู้คือใครก็คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระบุตร เขาบอกว่ามีลูกพระเจ้าที่เป็นพระบุตรเท่านั้น พระเยซูตกลงไม่ใช่คนนะ แต่เขาก็แย้งต่อมาว่า มีแม่แล้วพ่ออยู่ที่ไหน พ่อก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกลัวแม่ไม่บริสุทธิ์ ถ้าว่าจะมีลูกต้องสมสู่กัน แม่จะไม่บริสุทธิ์ มันก็เลยวน ติดกับไม่สะอาดบริสุทธิ์ไปเลย เขาอยากบริสุทธิ์แล้วแต่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
ศาสนาพุทธนั้น พระศาสดาทุกคนก็คือคน สิ่งที่รู้คือคนนี้รู้เองสัมมาสัมพุทธะ รู้เอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้เองทุกพระองค์ ไม่มีพระเจ้าที่ไหน ใครจะเอาสูงสุดเป็นพระเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ทำเองแล้วไม่สงวนลิขสิทธิ์ด้วย ความรู้สุดยอดนี้ทุกคนมีสิทธิ์หมด แต่ศาสนาอื่นนั้นสงวนลิขสิทธิ์ พระเจ้าไม่มีใครเป็นได้ ความรู้สูงสุดไม่มีใครเป็นได้ แล้วพวกนี้มาประกาศเอาความรู้สูงสุดมาให้ฟังก็เป็นลูกพระเจ้า แล้วบอกว่าพระเจ้าคืออะไร ก็คือพระบุตร แล้วมีแม่ แม่ก็ต้องมีลูก ลูกก็ต้องเป็นคน
ศาสนาพุทธมีอรหะคือไม่มีความลับ อรหันตะ คือ หมดความลึกลับอย่างสูงสุด เราไม่เอาแบบกวนๆที่มีความลึกลับ magical เราไม่เอาแบบจินตนาการแต่เราเอาแบบมีสภาวะจริง สมมุติสัจจะคือพยัญชนะสภาวะคือความจริงหมดกิเลส สามารถแยกธาตุให้เป็นอุตุนิยาม พีชนิยามด้วยจิตนิยามที่รู้กรรม ธรรมะ
อุตุนิยาม พีชนิยามนั้นวิทยาศาสตร์เรียนรู้ได้ แยกแยะทะลุหมดแล้ว ผสมพันธุ์ต่างๆนานาสารพัด แม้แต่สัตว์เขาก็ผสมพันธุ์กันได้ จนกระทั่งผสมเป็น gmo ก็เลยจะวุ่นกันใหญ่ ก็เลยต้องห้ามปรามกัน ประเดี๋ยวจะเอาคนมาทำเละใหญ่ พังหมด คนมันรู้มากจนจะทำร้ายตัวเอง ทำลายเชื้อตระกูลของตัวเอง
นี่สัจจะต่างๆพระพุทธเจ้ารู้หมดไม่ต้องเสียเวลาคิดให้วุ่นวาย
คนเราต้องศึกษาสภาวะธาตุรู้ สรุปลงที่กระทบผัสสะแล้วมันชั่วมันดีอย่างไร เรียนรู้ว่ามันทุกข์มันสุขอย่างไร มันมีเหตุที่ไปติดยึด เรียนรู้ว่าทุกข์มันเกิดจากเหตุนี้ คุณเข้าใจแล้ว ก็เหลือหนึ่งเดียว สีอย่างนี้รูปอย่างนี้ใครมาเห็นก็อย่างนี้ อย่างนี้เป็นวงกลม ภาษาไทยว่าวงกลม ภาษาอังกฤษบอกว่าเป็น Circle ภาษาจีนบอกว่า ?
ผู้ที่สลับไปสลับมาเรียกว่าสิริมหามายา คนก็เลยงง ก็เลยบางคนก็ทำตามพระเจ้าสั่งดีกว่าก็เลยจำนนไม่คิดอะไรต่อ เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้จักตัวเอง 2 ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรเองได้ ให้พระเจ้าเป็นคนบงการ ทุกอย่าง เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ตายแล้วก็ไปหาพระเจ้า พระเจ้าจะให้ลงนรกหรือจะขึ้นสวรรค์ก็แล้วแต่พระเจ้า เป็นสิ่งลึกลับที่แก้ไขอะไรไม่ได้เพราะมันไม่รู้ ก็เลยเป็นศาสนาที่แก้ไขอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกันที่อาตมาอยากจะพูดว่า
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสังคมประเทศชาติ ด้วยความไม่เข้าใจ คนไม่เข้าใจก็คือ ผู้กำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติทุกประเทศ ในโลก คือจะแก้ปัญหาให้คนรวย
นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นพวกเทวนิยมก็ทำไม่ได้ วนอยู่กับพยัญชนะ จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้คนไปรวย ให้คนในประเทศเรารวยที่สุด ทุกคนรวยหมด มีทรัพย์สินเงินทองได้รวย แล้วก็จะเอาในประเทศนี้มันก็รวยไม่พอ มันเป็นสมบัติผลัดกันชม นาย ก.ในประเทศนี้รวยก็เอามาจากนาย ข. นายข.จะรวยก็แย่งจากนายค. การแก้ปัญหาให้คนไปรวยจึงเป็นสมบัติผลัดกันชมแก้อย่างไรให้ตายก็ไม่เสร็จ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นให้คนมาเข้าใจว่า เสฏฐะคืออะไร?
เสฏฐะหรือเศรษฐะ แปลว่าดียอดประเสริฐที่สุดดีที่สุดยอดเยี่ยมที่สุด
ยกตัวอย่างประกอบ ชาวอโศกเป็น เสฏฐสังคม เสฏฐบุคคล เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมประเสริฐที่สุดแล้ว เป็นบุคคลที่มีเศรษฐศาสตร์มีเศรษฐกิจถึงขั้นสาธารณโภคี ทำงานฟรี บรรลุพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ทำงานฟรีได้
แค่โกง กุหนา ลปนา หลอกลวง เนมิตกตา ตลบแตลง นิปเปสิกตา มอบตนในทางผิด
ถึงเป็นคนที่ดีที่สุดยอดเยี่ยมที่สุดเพราะมีเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุด
เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่าประหยัด ภาษาอังกฤษว่า Economy หรือ Economic
เป็นคนที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เป็นคนดี เขาไปหมายว่าคนรวยคือคนดีไม่ได้
Economy แปลว่าคนประหยัดมัธยัสถ์ เป็นคนไม่มีมาก ภาษาอังกฤษเขาชัดเจน หรือภาษาธรรมะพระพุทธเจ้า คนเจริญคนประเสริฐคือคนมีวรรณะ 9 เป็นคนไม่มีมาก เป็นคน อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ เป็นคนจนไม่สะสมเลย อปจยะ
เศรษฐกิจที่ดีเลิศยอด คือผู้ที่มีความจนเป็นที่พึ่ง คนที่มีความจนเป็นที่พึ่งแล้วสุขสำราญเบิกบานใจอุดมสมบูรณ์
-
ไม่เบียดเบียนใคร 2. ตัวเองอุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลือใช้ 3. ตัวเองทำให้เหลือช่วยผู้อื่นผลิตเองไม่เบียดเบียนใคร ไม่เป็นพิษภัยกับใคร นี่คือคนที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ เบอร์ 1 ของมนุษย์โลก