611128_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 26
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1sIxgO5FxpX1p8YnT_cgDjrbQZNKPviIPjyyD_JqnMRQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1Y5XSIdUkzoA-aCd8YFr-PYA_zG88Bnca
วันนี้วัน พุธ ที่ 28 พ.ย. 2561 ที่ศาลาฉัน บวร สันติอโศก
พ่อครูว่า…ขอโอภาปราศรัยกับ SMS
_1614 นิมิต กับ สิ่งที่มีจริง ต่างกัน อย่างไร
พ่อครูว่า….
สิ่งที่มีจริงเป็นภาษาไทย ส่วน นิมิตเป็นภาษาบาลี นิมิตเป็นสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นเป็นเครื่องหมายให้ตนเองรู้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ซึ่งจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ เป็นเครื่องหมายให้เรารู้ ส่วนสิ่งที่มีจริงนั้นจริงแน่ ส่วนนิมิตนั้นยังไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่ ส่ิงที่มีจริง เช่น เวทนาคุณสัมผัสกับอันนี้แล้วเช่นอันนี้ ถังไม้ อันนี้เป็นส่ิงมีจริงเราสัมผัสได้ ส่วนนิมิตมันอยู่ในจิต ถ้าจะไปหมายถึงสิ่งมีอยู่มันไม่ใช่นิมิต มันเป็นส่ิงจริงแล้วที่คุณสัมผัส แต่สิ่งที่คุณคิดสร้างขึ้นมีจริงหรือไม่จริงก็ได้ ต่างกัน
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ • ธรรม2 เป็นตัวบ่งชี้ซึ่งกันและกัน/ คิดอะไรไม่ออกให้คิดอีกฝั่ง
พ่อครูว่า…อันนี้เข้าท่าทีเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นธรรมะ 2 คนที่ไม่มีความรู้ พวกเทวนิยมตีไม่แตกแยกไม่ออก ทั้งๆที่มันเป็นสอง คนที่เกิดมานั้นจะรู้ เราจะเห็น เราจะมีอะไร 2 ทั้งนั้น ไม่มี 1 มันจะมีสิ่งที่ถูกรู้ตลอด คุณคิดขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ คุณไม่คิดอยู่เฉยๆกลางๆว่างๆมันก็มีกับสิ่งที่ว่างๆนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นในความว่างๆรู้สึกว่างๆเฉยๆ เด๋อๆ นอกจากคุณจะมีการฝึกฝนมีภูมิธรรมจนกระทั่งมีอำนาจเหนือจิต ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ วัสสวัตตี ทำจิตไม่ให้คิดอะไรสักระยะหนึ่ง แต่คุณต้องใช้ความสามารถที่จะให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่ ถ้าเป็นคนที่ฝึกทางสมถะ ไม่ใช่บรรลุธรรม คุณก็จะทำให้มันอยู่เฉยๆได้ เท่าที่คุณมีพลังงานควบคุมให้มันอยู่ได้ เสร็จแล้วคุณก็ต้องแวบไปอื่น
ส่วนผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วก็ตาม แม้จะเป็นอรหันต์หากจิตคุณไม่ได้ฝึกก็จะคิดโน่นคิดนี่เหมือนกัน
ว่างเฉยๆเด๋อๆไม่มีนอกจากสมมุติเอา อาตมาแนะนำให้ไปอ่าน จูฬสุญญตสูตร คนก็อ่านแล้วไม่เข้าใจ ว่า ความว่างคือจิตว่างจากกิเลสตลอดเวลาคือจิตอรหันต์ แต่ไม่ได้ว่างจากความคิดความรู้จากสิ่งที่สัมผัส จะคิดหรือไม่คิด มีสัญญากำหนดรู้อยู่ในใจ มีนิมิตอะไรขึ้นมาก็มีได้ หรือจะกำหนดรู้ทางจิตก็ได้ ยิ่งตาสัมผัสรูปโป๊กระทบเสียงก็ยิ่งมีจริง แต่อรหันต์ไม่มีเวทนา 2 ไม่มีกิเลสไม่มีปัญหาไม่มีอุปาทานไม่มี 2 มีแต่ 1 สัมผัสอะไรความจริงตามความเป็นจริงก็จบ
ถ้ามันมี 2 อันหนึ่งคือของจริง อันหนึ่งคือของเก๊ ที่มันสังขารตามกิเลส อันหนึ่งก็คือตัณหาอุปาทาน อุปาทานและตัณหานั้นเอง ถ้าเป็นอรหันต์แล้วมันไม่มีตัณหาอุปาทาน จิตปรุงแต่งก็มีสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นการสังขารปรุงแต่งตามความเป็นจริง ไม่ได้เป็นสังขารปลอม
ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วตีแตกธรรมะ 2 เข้าใจหมดเลยว่า ในขณะนี้จิตเรา
หนึ่งรู้สมมุติสองรู้สภาวะ มันจะมี 2 เป็นธรรมะ 1 เป็นสมมติ 2 เป็นสภาวะ สมมติก็เป็นภาษาเรียกเป็นบัญญัติ เป็นคำเรียกกล่าวอะไรกัน แต่สภาวะจริงนั้นคือจิต สัมผัสตาก็เห็นรูปขณะนี้ตรงๆ สัมผัสเสียงนี้สัมผัสจมูกได้กลิ่น หรือ สัมผัสในความคิด ก็รู้กำลังคิดอะไร กำลังสัมผัสอะไร คิดใหม่ คิดขึ้นมา ก็สามารถปรุงแต่งหน้า ปรุงแต่งเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็คือคิด อย่างไม่ได้เป็นกิเลส หมายความว่า เราคิดแล้วปรุงแต่งอย่างนี้ น่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ใจเราไม่ได้มีกิเลสว่าจะต้องเป็นให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานไม่ใช่ แต่เราต้องมีเจตนาว่ามันควรจะเป็นwหม่ควรจะเป็นเราก็ลงมือทำ คิดว่าควรจะเป็นแล้วเราก็ลงมือทำได้ตามที่เราคิดไหม ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่คนที่ยังมีกิเลสยังมีความยึดมั่นถือมั่นก็จะทุกข์ร้อน ตนเองทำไมไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้เท่าที่จะมีความยึดถือมากหรือน้อย
สรุปแล้วทุกอย่างเป็นธรรมะ 2 และจะมีธรรมะ 2 ไปตลอดกาล ตราบที่เรายังไม่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แม้ว่าเรายังไม่ตายก็เป็นธรรมะ 2 ที่เราจะปรุงแต่งเป็นหนึ่ง
SMS วันที่ 27 พฤศจิกายน 2561
_สาคร วงเวียน · ประโยชน์ท่านเป็นกุศล(สมบัติ) ส่วนประโยชน์ตน(ลดกิเลส)เป็นบุญ(วิบัติ)
พ่อครูว่า…แสดงว่าฟังธรรมะเข้าใจชัดเจนใช้ได้
_วณี โคตุดร · คุณสาครบอกมา รู้สึกตรงเป๋งเลย เข้าใจง่ายดีจัง ขอบคุณค่ะ
_จับใจ ดิฉันมีความโลภเพื่อส่วนรวมและเพื่อส่วนตัว จะเป็นโทษ หรือ ประโยชน์อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…เมื่อกี้เขาบอกแล้ว ประโยชน์ท่านเป็นกุศล(สมบัติ) ส่วนประโยชน์ตน(ลดกิเลส)เป็นบุญ(วิบัติ)
ผู้ใดทำได้ถูกต้องเลยตนเองไม่ต้องสะสมไม่ต้องเป็นของตัว อาตมาภาคภูมิใจที่ทำสังคมชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนที่เป็นสาธารณโภคี
อย่าง สันติอโศกนี่ยังไม่ชัด เพราะยังมีส่วนตัวกระเป๋าใครกระเป๋ามันซ้อนแทรกอยู่ในนี้เยอะ แต่อยู่ในสังคมปฐมอโศกราชธานีอโศกนี้เขาชัดเจน ทำงานส่วนกลางหมด ใครไม่อยู่ในนั้นก็เป็นคนจร เป็นชาวอโศกจร ส่วนชาวอโศกที่เป็นสมาชิก ทำงานแล้วก็เอาเข้าศูนย์กลางหมด เป็นเรื่องไม่ง่ายเป็นเรื่องที่ยากมากเลย แต่เขาก็มีความสุข เขาอยู่ในนี้ 10 ปี 20 ปีตามแต่ละคน ยังอยู่กันก็คิดว่าจะตายตรงนี้อยู่ตรงนี้ก็ยังเป็นจริง เข้าใจทั้งโลกข้างนอกและโลกในสังคมเขา เขาก็เต็มใจอยู่ในสังคมเรา เป็นเรื่องปัญญาที่เราเลือกชัดเจน นี่คือฐานของมนุษยชาติที่เลือกที่จะเป็นอยู่ มีเสนาสนะอันนี้เป็นบุคคลมีเครื่องอาศัยเป็นอาหารมีธรรมะ เป็นสัปปายะ 4 สมบูรณ์แบบ
จะเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ ถ้าทำให้ตรงก็เป็นประโยชน์ถ้าทำไม่ตรงก็เป็นโทษ ต้องรู้ว่าทำเพื่อส่วนรวมจริงไหม เพื่อส่วนรวมและเพื่อส่วนตัว หากทำเพื่อตัวเองอยู่ก็ยังเป็นบาป แต่ถ้าไม่มีเพื่อนส่วนตัวอย่างพวกเราชาวอโศก ทำเพื่อส่วนรวมอาศัยกินอยู่ในที่นี้ก็ไม่มีโทษอะไรเลย
_แซมดิน อยากถามความในใจของพ่อครูนะครับ คือตึกบริเวณนี้มีคดีอยู่ อาจจะถูกทุบทั้งหมด พ่อครูอยากเห็น สันติอโศกเป็นอย่างไรถ้าถูกทุบ มันก็จะโล่งไปหมด
พ่อครูว่า…เขามาทุบตึกก็เจ็บมือนะ มีความหมายนะที่อาตมาพูดนี่ อาตมาว่าเขาไม่ทุบหรอก เขาเสียตังค์ค่าทุบ เขาไม่ทำหรอก ให้ตายก็ไม่ทำ เขาไม่กล้าหรอก คุณจะให้เขาเท่าไหร่ก็ให้เขา เขาไม่เอาก็ฟ้องศาลเอา จะมาโก่งอะไรไม่ได้ขี้ตะกละเพราะเรื่องเสร็จจบไปแล้ว เขามารื้อฟื้นอีก หากทนายเก่งก็แพ้เขา ทนายไม่เก่งก็แพ้
เพราะจริงๆแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราหรือของใครหรอก เป็นอยู่ที่สมมติสัจจะเราก็ไปแย่งที่สมมติสัจจะเท่านั้น ส่วนปรมัตสัจจะนั้นเรารู้แล้วว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของใคร ที่เถียงกันอยู่นี้เป็นสมมติสัจจะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคารมใครจะดีก็ทำ ผู้ที่จะตัดสินรับรอง เชื่อไหมว่าให้ศาลแต่ละศาลนี้มาตัดสินจะไม่เหมือนกัน
ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ก็ไม่เหมือนกันศาลฎีกาก็ไม่เหมือนอีก เพราะฉะนั้นอยู่ที่คารมโวหารเท่านั้นเอง
_ผมเจ็บคอไม่ขอกล่าวคำยาวใดๆให้มากความ “ผมเป็นลูกของเอกบุรุษ ที่เกิดจากปากพระโพธิสัตว์” นี้คือประโยคลั่นสนั่นเงียบๆ ของลูกคนหนึ่ง ที่เกิดจากพ่ออันประเสริฐ
พ่อของผมเกิดมาทำความอัศจรรย์สองอย่างขึ้นในโลก พ่อผมได้กระทำตาม ได้เจริญรอยตามสมเด็จปู่สัมมาสัมพุทธะอย่างลำบากแสนเข็น ให้เป็นที่ประจักษ์ชัด คือ
๑. โลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่พอใจ-ยินดี-บันเทิงอยู่ในรสอร่อยของโลก ครั้นพ่อโพธิสัตว์แสดงธรรมสวนกระแสกับความอร่อยในกามของโลกนั้น ก็ยังมีผู้คนเอียงหูฟัง ดิ่งสดับ และปรับตัวละทิ้งความเพลิดเพลินในโลกกามเหล่านั้น มาเป็นพลังคนจนอันมหัศจรรย์อย่างสุขสำราญ
๒. โลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่พอใจในการถือศักดิ์ศรี ยินดีในความถือตัวด้วยโคตรตระกูล-บันเทิงอยู่ในรสอร่อยของการถือดี ในคุณวุฒิ ในชาติวุฒิ ครั้นพ่อโพธิสัตว์แสดงธรรมสวนกระแสกับความอร่อยในการถือตัวของโลกอัตตานั้น ก็ยังมีผู้คนเอียงหูฟัง ดิ่งสดับ และปรับตัวละทิ้งความเพลิดเพลินในโลกความถือตัวอันไร้สาระเหล่านั้น
พ่อครูว่า…อาตมาว่าอาตมาทำจริง มีผลสำเร็จจริงไม่ใช่ความหลงใหลเพ้อเจ้อไม่มีแล้วหลงว่ามี มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่อาตมาทำสำเร็จ ชาตินี้ไม่โมฆะ ไม่สูญเปล่าไม่เป็นหมัน ทำได้ผลประโยชน์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา
_ใหม่เสมอ …พ่อครูได้สร้าง พระพุทธรูป 3 ปาง และก็มีหยาดน้ำใจ ก็มีล็อคเก็ต ถามว่า ถ้าหลังจากที่พ่อท่านได้สิ้นบุญไปแล้ว พ่อท่านมรณภาพไปแล้วพ่อท่านจะอนุญาตให้พ่อท่านสร้างสิ่งใดไม่สร้างสิ่งใด พ่อท่านมีแนวคิดจะให้สร้างแบบใด
พ่อครูว่า…อาตมาสิ้นบุญแล้ว ประกาศไปตั้งนาน อาตมาเป็นอรหันต์ไม่มีบุญไม่มีบาป แต่ยังไม่ตาย อาตมาตายไปแล้วก็ไม่ทราบได้
-
อาตมาเคยคิดเหมือนกัน เราตายไปแล้ว เขาจะสร้างหรือไม่สร้างอะไรแล้วคิดว่าเขาสร้างจะดีไหม หรือเขาไม่สร้างจะดีกว่า ก็เคยคิดนะ อาตมาก็ว่า ห้ามคนสร้างอะไรไม่ได้แล้ว
-
ถ้าเขาสร้างก็ยังมีที่ยึด อาตมาว่า ถ้าไปห้ามไม่ให้เขาสร้าง เขาก็ไม่มีที่ยึด แล้วก็คงห้ามไม่อยู่ อย่างน้อยก็แอบทำ หรืออาจเลี่ยงไปว่า มาดามทุสโซ่ สร้างหุ่นขี้ผึ้ง มันห้ามยาก เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามทุกวันนี้ถึงเยอะแยะ อิสลามเขามีบัญญัติว่าห้ามสร้างเลยนะ
ก็มีแนวคิดว่า อย่าไปหลงรูปแทนสิ่งแทนว่าเป็นเรื่องมีอิทธิฤทธิ์มีปาฏิหาริย์ มีอะไรที่เป็นเรื่อง magical ต่างๆ เรื่องเพ้อพกไม่เข้าเรื่อง อย่าไปใช้เป็นที่อาศัยเป็นที่พึ่ง เหมือนกับเรา สร้างรูปปั้นของหมอฟากฟ้าหนึ่งไว้ ก็ไม่เห็นว่าพวกเราไปเคารพอย่างขลังๆก็ไม่มี ก็เป็นที่เคารพอย่างนั้น อาตมายังไม่ตายก็สร้างแล้ว หุ่นอาตมา
_คนที่มาปฏิบัติธรรมผมเห็นมี 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกมีความพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะการเงินไม่เคยผิดหวังอะไร เมื่อฟังพ่อครูพบว่าทางนี้มีประโยชน์จึงมาปฏิบัติธรรม
กลุ่มที่ 2 เป็นพวกผิดหวังทางโลกหนักหนาสาหัสเจอวิบากกรรมมากมายมีทุกข์แสนสาหัสแล้วเข้ามาปฏิบัติธรรม
คนสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันทางรูปธรรม แต่ทางจิตวิญญาณแตกต่างกันไหม กลุ่มคนไหนมีโอกาสบรรลุธรรมมากกว่ากัน
พ่อครูว่า…เราไปกำหนดไม่ได้หรอก จะกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ว่าใครจะบรรลุธรรมเร็วกว่ากันมากกว่ากันไม่ได้หรอก มันอยู่ที่บุคคล
_ทองแก้ว..ฟังธรรม ช่วงทำวัตรเช้า เขาจะเปิดเทปเก่าๆ สมัยก่อนเขาจะนั่งหลับตากันเยอะ แต่พ่อครูกล้าชี้ว่านั่งหลับตาไม่บรรลุธรรม อันนี้อันที่ 1
อันที่ 2 หากฟังย้อนธรรมะเก่าๆ พ่อครูจะเทศน์เหมือนกันแต่ว่าตอนนี้ขยายอย่างเช่นธรรมะ 2 ตอนโน้นไม่มี
พ่อครูว่า…อันที่ 1 ทำไมกล้า เพราะมันเป็นความจริงและเป็นความถูกต้องด้วย อาตมาจะปล่อยให้คนผิดอยู่อย่างนั้นหรือ มันก็ไม่เข้าท่า สงสารเขา งมงายกันอยู่อย่างนั้น พยายามพูดแล้วพูดอีก พูดอีกพูดแล้ว จะต้องพูดอีกเพราะว่าเขาหลงยึดมั่นถือมั่น ด้วยความไม่ฉลาดพอไม่มีความรู้พอ อาตมาพูดไปก็มีคนที่ฉลาดพอ บางคนต้องพูดแรงต้องพูดนานพูดแรงพูดมากถึงฉลาดกระเตื้องขึ้น ส่วนคนที่ยึดมั่นถือมั่นและมีกิเลสไม่ชอบใจ ถูกกระทบถูกว่าเขาก็ตีทิ้งเลย ก็ทำอย่างไรได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ สัจจะความจริงก็ยังเกิดในคน 3 แบบ
-
ฟังแล้วอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากหมายความว่าตายเลย
-
ฟังแล้วขอลาสิกขาไปเลย
-
ฟังแล้วบรรลุอรหันต์เลย
เป็นความจริง 3 แบบ นอกนั้นก็มีมากมีน้อยบางคนก็ไม่ถึงอรหันต์ได้บรรลุไปตามลำดับ พระพุทธเจ้าท่านพูดอยู่ 3 หลักใหญ่ บางคนก็ไม่สึกทีเดียว อาจทนอยู่พอสมควร บางคนก็ไม่ตายทีเดียว เจ็บใจอยู่
ที่ตายเพราะช็อคเลย ยึดจัด ถูกหักอย่างแรง สำหรับอาตมา พูดให้ตายก็ไม่โลหิตร้อนออกจากปากหรอก บรรลุอรหันต์ก็ไม่ได้หรอก
ถามว่าทำไมกล้าเพราะเป็นความจริงและเป็นความเข้าใจผิดที่ต้องทำให้ถูก ก็ต้องทำสิ่งอันนี้แหละเป็นสัจจะที่อาตมาต้องทำ ทำไมอาตมากล้า จะไปกลัวทำไมในเมื่อพูดความจริงพูดความถูกต้อง คนที่พูดความไม่จริงนี่สิทำไมมันกล้าถามเขาสิ อาตมาพูดความจริงแล้วจะไปด้อยกว่าคนโง่คนไม่เข้าท่าอย่างนั้นได้อย่างไร
ทองแก้ว..ทำไมไม่เทศน์ให้คนมาเยอะๆ
พ่อครูว่า…เราไม่ต้องการคนเยอะๆเราต้องการคนจริง อาตมาพูดนี้เป็นสิ่งที่อาตมาเลือกเฟ้นไว้แล้วในตัว อาตมาไม่ต้องการคนไม่เข้าท่า ขนาดคนที่ตั้งใจมาจริงๆยังยากเลย อาตมาจะหาเรื่องยากใส่ตัวทำไมขนาดนี้ยังยากแล้ว อาตมาฉลาดนะไม่ใช่โง่เหมือนคุณ
_ทองแก้ว..เมื่อก่อนพ่อครูเทศน์ธรรมะไม่เหมือนกับตอนนี้พวกนิรุตติภาษาจะมีมากกว่า ฟังแล้วเข้าใจง่ายเมื่อก่อนจะเข้าใจยาก ตอนนี้มันพริ้วสละสลวยเข้าใจง่าย
พ่อครูว่า ค่อยๆทยอยเอาออกมา ค่อยๆดึงสภาวะและบัญญัติภาษาที่ค่อยๆขึ้นมาไม่ใช่ว่า พรึ่บมาทีเดียว
อาตมามีสิ่งที่ได้สัมผัส หรืออ่านหนังสืออ่านพระไตรปิฎกก็ทำให้มีเหตุปัจจัยข้อมูลหลักฐานมีภาษาบัญญัติ มาอธิบายได้
ดีที่ฟังได้ และขอให้บรรลุอรหันต์ไวๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อยู่กับคนหลากจริตได้อย่างไม่ทุกข์
_ดิฉันเป็นครูสังกัดโรงเรียนในกทม.แห่งหนึ่ง ที่โรงเรียนมีเพื่อนครูหลากหลายจริตนิสัยมีทั้งช่างพูดคุยใจกว่า โอบอ้อมอารี ปากจัดชอบนินทาว่าร้าย ฯลฯ อยู่คนหนึ่งชอบหาเรื่องหาราวไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งนักการภารโรง ขอพ่อครูกรุณาแนะนำวิธีการอยู่ร่วมกับเขาด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…คุณก็อยู่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว คุณอย่าไปทะเลาะกับเขาก็แล้วกัน คุณเข้าใจเขานั้นดีแล้ว รู้ว่าเขาคนนี้เป็นคนอย่างนี้ เราไปบังคับคนที่เขาจะเป็นอย่างนี้คุณบังคับได้ไหม ก็ไม่ได้ ให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ไหม ก็ไม่ได้ คุณจะอยู่ตรงนั้นก็อยู่กันคุณเข้าใจเขาให้ได้ เมื่อเข้าใจเขาให้ได้เขาก็เป็นเช่นนี้แหละ ตถตา เมื่อเราเข้าใจเขาเป็นเช่นนี้ก็จะไม่สงสัยไม่ขัดข้อง ก็เขาเป็นอย่างนี้ คุณก็สบายใจแล้ว คุณทำให้เป็นอย่างที่อาตมาว่านี้ก็แล้วกัน
พระอรหันต์จะรู้ว่าคนนี้เขาเป็นอย่างนี้ๆ แม้จะคบกันใหม่ๆว่าคนอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ถาวรหรือจะเป็นอย่างนี้ไม่ถาวรก็จะรู้ ก็รู้ความจริงตามความจริงแล้วรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วมันก็มีความแตกต่างกันไป
ผู้ที่สำเร็จ Unity of diversity ทุกอย่างมันก็คือสิ่งที่หลากหลาย ไดเวอร์ซิตี้ แล้วก็จบคือ Unity of diversity เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็หลากหลายแตกต่าง คุณก็เข้าใจสิ่งนั้นตามนั้นแล้วพูดกับเขาให้ได้เป็นประโยชน์ตรงกับที่เขาควรจะได้พูดกับเรา อย่างเป็นมิตรอย่างเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์แก่กันและกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อุทิศส่วนกุศลไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
_การอุทิศส่วนกุศลซึ่งทำไม่ได้จริง ต่างหรือเหมือนกับการแผ่เมตตา ที่เปิดตอนเที่ยงวันสันติภาพ
พ่อครูว่า…มันเพี้ยนไม่ค่อยตรงทำความหมายจริงเท่าไหร่ อุทิศแปลว่าเจตนา อุทิศไม่ได้หมายความว่าให้นะ อุทิศไม่ได้แปลว่าให้ อุทิศแปลว่าเจตนาจงใจ จงใจจะให้เกิดกุศลคืออุทิศส่วนกุศล
คำว่าส่วนกุศล อาตมาก็ไม่รู้ว่า อุทิศส่วนกุศลมันมีในศาสนาพุทธหรือเปล่า แต่ศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยม เขาก็มีการส่งให้ผู้ที่เป็นวิญญาณที่ยังไม่ตาย แต่ศาสนาพุทธมันไม่มี อุทิศส่วนกุศล ภาพแปลอุทิศว่าเจตนา แต่ว่าส่งไปให้ถึง ถ้าไปแปลอย่างเบี้ยวบาลีมันไม่มีหรอกในศาสนาพุทธ แต่ถ้าถูกต้องตามบัญญัติภาษา อุทิศแปลว่าเจตนาให้เกิดกุศล อุทิศส่วนกุศลจะเกิดกุศลส่วนน้อยส่วนกลางส่วนมากก็แล้วแต่ ถ้าอย่างนี้ทำได้ แล้วก็ทำกับคนเป็นๆ ศาสนาพุทธไม่ได้ทำกับคนที่ตายไปแล้ว คนตายแล้วไปอุทิศก็แปลผิดว่าส่งไปให้ เจตนาจะให้ถึง อุทิศแปลว่าเจตนาจะให้ถึง เอากุศลนี้แบ่งไป ถ้าบอกว่ากุศลแบ่งกันได้ก็เป็นการค้านแย้งกับพระพุทธเจ้าที่บอกว่ากรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม การทำกุศลของคนไหนก็คนนั้นแล้วจะไปแบ่งให้คนนั้นคนนี้ ก็เป็นการขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า ทำไมทำคำสอนพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยน ใครแบ่งกุศลให้คนอื่นได้คนนี้ไม่เข้าใจศาสนาพุทธและคนนี้กำลังทำบาป เพราะทำให้ศาสนาพุทธเพี้ยนผิด
ต่างหรือเหมือนกับการแผ่เมตตา ที่เปิดตอนเที่ยงวันสันติภาพ
คำว่าแผ่เมตตา ถ้าหากเข้าใจว่า เมตตาจริงๆแปลว่าจิตของใครก็แล้วแต่สัมผัสอันนี้แล้วเห็นแล้วก็น่าสงสาร น่าจะช่วยเหลือเรียกว่าเมตตา เสร็จแล้วคุณก็ลงมือช่วยเหลือเรียกว่ากรุณา ช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาเป็นสุขตามควรได้แล้ว จบเสร็จ มุทิตา ยินดีด้วยที่เขาพ้นทุกข์ แล้วก็วางใจ นี่คือพรหมวิหาร 4 แต่เดี๋ยวนี้อธิบายเลอะ อธิบายเป็นภพชาติไปหมด
ของพระพุทธเจ้าคือการกระทำที่ช่วยเหลือกัน พรหมคือการช่วยเหลือการช่วยเหลือมนุษยชาติ เราสัมผัสกับคนนี้แล้วเห็นว่าเขาเป็นทุกข์เราก็คิดว่าจะช่วยเขาต้องการให้เขาเป็นสุขก็อันเดียวกัน แต่เขาแปลเมตตาว่า ต้องการให้เขาเป็นสุข กรุณาคือต้องการให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตาคือวางเฉย
อุทิศส่วนกุศลนั้นเขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปเยอะแยะ ส่วนแผ่เมตตาก็อีกอย่าง
หากเห็นเขาเป็นทุกข์ต้องการให้เขาเป็นสุข หรือกรุณาคือลงมือช่วย แล้วก็วางใจ นี่คือ พรหมวิหาร 4 แต่ไปใช้คำว่าแผ่เมตตาคลุมไปหมด ต่างจากอุทิศส่วนกุศลไปให้ มันเป็นความหยาบใหญ่เป็นก้อนเป็นแท่ง ก็มีสิ่งที่ต่างในรายละเอียดอย่างนี้
_ละออง วันนู..พ่อท่านพยายามจะอายุยืนยาว พ่อท่านใช้พลังงานอะไร ใช้พลังงานพิเศษอะไรที่นอกเหนือจาก 8 อ
พ่อครูว่า..ใน 8 อ.นี้
-
อันที่หนึ่ง อิทธิบาทเป็นหัวเรื่องเลย ต้องใช้ความยินดีที่จะต่อชีวิตและมีความพากเพียรมีวิริยะจิตตะวิมังสา
-
อารมณ์ เป็นนามธรรมแล้ว ทุกวันนี้สอนเรื่องเวทนาในเวทนาและพยายามปรับปรุงพัฒนาให้เป็นอรหันต์ ศาสนาพุทธสำคัญที่เวทนา ทำที่เวทนาจบที่เวทนา เพราะในธรรมะทั้งหลายแหล่มันมี 2 ทเวธัมมา ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
อย่างเมตตาคืออยากให้เขาพ้นทุกข์พ้นสุข กรุณาก็ลงมือทำ ก็มันอยู่ที่ทุกข์หรือสุข เสร็จแล้วก็ช่วยเขาได้สำเร็จแล้วก็อุเบกขาไม่ยึดมั่นถือมั่น สาเปกโขหรือเป็นวิมานก็จบ ส่วนเขาจะมีกตัญญูกตเวทีหรือไม่ก็เรื่องของเขาเราไม่ทวงบุญคุณ เขามีความกตัญญูกตเวทีก็เป็นความดีงามของเขาเท่านั้นเอง
ที่ถามมาว่า แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลมันก็เป็นก้อนใหญ่หน่อยสำหรับกุศล เท่านั้นเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน พ่อครูต่ออายุได้อย่างไร
_พ่อท่านรู้สึกตัวไหมว่าต่ออายุได้
พ่อครูว่า…อาตมาว่าได้อธิบายมาตามลำดับ อาตมาใช้คำว่า สัมประสิทธิ์ Coefficient เป็นพลังงานทางจิต จนอาตมาสร้างสูตรเอง E=C(mc2+A) ก็ขยายความหมายจนเมื่อยแล้ว ไม่เป็นประโยชน์อะไรมากเพราะมันยาก คนไปฟังย้อนก็จะเข้าใจได้ทีหลัง
การสร้าง พลังงานให้เกิดสัมประสิทธิ์มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตเลย ทางโลกเขาก็สร้างได้ พลังงานสัมประสิทธิ์นี้เป็นพลังงานตัวแปร ซึ่งสามารถทำให้เกิดพลังงานก้าวหน้าเติมทศนิยมของพลังงาน คุณสามารถรู้จักพลังงานทางจิตคุณจะทำได้
อย่างอาตมานี่อาตมาไม่ได้ทำเล่นไม่ได้พูดเล่น อาตมาพูดจริงทำจริงจึงจะพิสูจน์จริงให้เห็นเลยสัมผัสเลย อาตมาจะต่ออายุขัยไป ถ้าหากว่าจะมาพยายามทำอันนี้แล้ว อาตมาตั้งใจจริงๆว่า ถ้าสามารถอายุยืนยาวไปถึงร้อยปีอาตมาว่าคนเชื่อได้
ถ้าอาตมาอายุถึงร้อยปีก็จะไม่เหมือนคนที่นั่งวิลแชร์นั่งรถเข็น อาตมาก็จะเดินเหินคล่องแคล่ว จะเป็นการพิสูจน์ยืนยันว่า สร้างพลังงานจิตให้มีการต่ออายุยืนยาวได้
_อันนั้น พ่อท่านสร้างพลังงานนั้นได้เองแต่ลูกๆหลานๆหากจะมีอายุยืนยาวเหมือนพ่อท่าน จะต้องทำอย่างไรบ้าง มันก็ยังมีกิเลสยังลดไม่หมดแต่มันก็ต้องยากขึ้น
พ่อครูว่า…ต้องสร้างเองแล้วฟื้นอายุไขได้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ว่าเราจะมีอายุเกินกว่ากัปได้
ก็ค่อยๆฝึกไปตามลำดับ จะได้บ้างแม้จะได้บ้าง คุณยกให้อาตมาว่าไม่มีกิเลสแล้วก็ทำได้ถูก แม้คุณจะมีกิเลสยังเหลืออยู่ก็ทำได้ตามความสามารถ
_มันจะมีอีกศาสตร์ว่า ใช้การหายใจควบคุมเซลล์ในร่างกาย ให้เหมือนกับหยุดไว้ อ่อนเยาว์
พ่อครูว่า…วิทยาศาสตร์บอกว่าเอาไปแช่แข็งให้ยาว มันก็ยืดความสปาร์คไปได้เรื่อยๆ หากไม่สปาร์คก็สูญเสียน้อย
การใช้วิธีสมถะมันก็หยุดปรุงแต่งก็จะได้ คนที่นั่งสมาธิส่วนใหญ่อายุยาวทั้งนั้น อายุยาวและกระดูกเป็นพระธาตุด้วย แคลเซียมมันจะจับตัวเย็นมันจะแข็ง
_สาเปกโขคือเรื่องที่ไม่ดีมีกิเลส แม้คาดหวังเรื่องดี
พ่อครูว่า..สาเปกโข มันรู้ได้ยาก คุณอย่าไปคิดว่าภพชาตินี้ มันเป็นเรื่องน่าสร้างหากคุณคิดว่าทำอันนี้เพื่อชาติหน้าชัดๆสาเปกโข อย่าทำ หากเข้าใจได้ชัดก็อย่าให้มันมีภพชาติ การปฏิบัติธรรมของคุณจะไม่ตอบภพชาติไปอีกเลย มันจะย่นๆชีวิตของคุณมันจะเป็นอรหันต์ด้วยเร็ว
เรื่องดีเรื่องชั่วก็เป็นภพชาติศาสนาพุทธหมดภพชาติ อย่าไปต่อภพชาติ ถ้าคุณเองเป็นอย่างอาตมาอาตมาต่อภพชาติ เพราะว่าอาตมาไม่ได้เดือดร้อนกับภพชาติ อาตมาจะจบภพจบชาติได้แล้ว แต่ต่อมายังไม่จบภพจบชาติตามฐานอาศัยเท่านั้นเอง แต่ว่าจิตของอาตมาจบภพจบชาติได้ ภพชาติของอาตมาไม่เกิดในจิตแล้ว อันนี้เป็นฐานพระโพธิสัตว์ทำได้ แต่คุณยังทำไม่ได้คุณก็อย่าไปต่อภพชาติ พยายามหยุดจะให้มันเกิดภพชาติ ถึงไม่มี สาเปกโข
_หากเอาตัวอยู่กับปัจจุบันมาตัด สาเปกโขได้ไหม
พ่อครูว่า…คุณต้องทำอย่าให้มันเกิดสาเปกโข อย่าให้เกิดเป็นภพชาติในจิต คุณต้องทำใจในใจมนสิการ ทำใจในใจของคุณเป็น ทำให้มันเกิดต่อภพชาติไม่ให้มีสันตติ
เช่น พระพุทธเจ้าสอนในทางสูตรว่า อย่าไปมีสาเปกโขในทาน ถึงจะไม่มีสวรรค์ 6 ชั้น หากคุณทานให้ของเขา คุณก็ให้ไปแล้ว จิตของคุณก็จบ อย่าไปคิดว่าคุณจะต้องได้อันโน้นอันนี้ อยากได้อันนั้นต่อ อยากได้การตอบแทนต่อ อยากให้เขามาตอบแทน คุณไม่สร้างแล้วจิตของคุณก็ไม่มีสาเปกโข จิตของคุณก็จบ แล้วจะเป็นอานิสงส์สูงด้วยเป็นอรหันต์ได้เร็ว
_ต่างกันอย่างไรกับภวตัณหาวิภวตัณหา
พ่อครูว่า..วิภวตัณหาก็แปลว่าไม่มีภพ ไม่สาเปกโข แต่ว่าเขาอธิบายตัณหา 3 อย่างนี้เป็นภพชาติหมด ความจริงแล้วในโลกียมันมีแค่กามตัณหา กับภวตัณหา แต่วิภวตัณหาคือไม่มีภพทั้งกามและภวภพ แต่เขาไปแปลว่า อันหนึ่งอยากได้อันหนึ่งไม่อยากได้ หากมีจิตอยากได้ ก็มีธรรมะ 2 อยู่
แต่ที่จริงคุณเข้าใจธรรมะ 1 ไม่ได้ ทำให้ไม่มีอย่างเป็นลำดับ ทำให้ไม่มีกามภพก่อนแล้วทำให้ไม่มีภวภพ วิภวตัณหาคือตัณหาของพระอาริยะ ของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ต้องการทำงาน อยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า อย่างเช่นพระพุทธเจ้าอยากทำศาสนาให้ครบก่อน มารมาอาราธนาให้ตาย บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้วตายสิ พระพุทธเจ้าก็บอกกับมารว่า ยัง จะต้องสร้างศาสนาจนกระทั่งมีความตั้งมั่นเสียก่อน พุทธบริษัท 4 มีครบและสามารถปรับปวาทะได้ นี่เป็นความต้องการสร้างศาสนา อาตมาก็พูดว่าอาตมาทำอยู่ทุกวันนี้ไม่มีกิเลส อาตมาสบายใจที่ได้เปิดเผย อาตมาพูดไทยชัดเจนเลยไม่ต้องไปยึกยักลำบากอย่างมังกุไม่ต้องกั๊กตรงไหนสบม.มดม.ปกต.หห.จจ.
ที่อาตมาประกาศอรหันต์ก็สบายมากเลย ถ้าไม่ประกาศพวกคุณก็ยึกยักอยู่อย่างนั้น อย่างนี้ไม่ต้องติดขัดอะไรเลย ส่วนคนที่ติดใจบอกว่าคนประกาศเป็นอรหันต์คือคนไม่เป็นอรหันต์ คนบรรลุคือคนที่ไม่สามารถบอกได้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่สอนอย่างนี้ อย่างใน โลหิจสูตรว่า ใครที่บรรลุแล้ว บอกใครไม่ได้ คนนี้มีคติสองทางคือนรกหรือสัตว์เดรัจฉาน
วิภวตัณหาเป็นตัณหาที่ไม่มีภพแล้ว เป็นตัณหาของพระอรหันต์เป็นตัณหาของพระพุทธเจ้าเป็นตัณหาอุดมการณ์
บางคนบอกว่าถ้าอยากได้นิพพานก็เป็นตัณหาแล้ว..อย่างนี้จะไปทำอะไรได้ก็เด๋อๆ ก็ต้องเอาพระไตรปิฎกเป็นที่พึ่งยืนยันไว้
ลมระริน_ร่างกายคนเราจะมีพลังงานชนิดหนึ่ง สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเช่นต่อกระดูกได้ ร่างกายคนเรามีพลังงานพิเศษอย่างนั้นหรือไม่
พ่อครูว่า..ได้ คนเราฝึกเข้าไปก็สามารถที่จะทำให้จิตของเรา มีความสามารถนั้นขึ้นมาได้จริง ตามแต่ละบุคคลที่มีบารมี แล้วมันจะช่วย ช่วยได้ จิตนี้เป็นพลังงาน เพราะฉะนั้นผู้สามารถทำจิตในจิต โยนิโสมนสิการทำจิตของตนเองให้เป็นเช่นนั้นได้ ซึ่งมันยากไม่ง่ายแต่ได้
_ทอธรรม (อาภรณ์ วิชัยดิษฐ ) ดิฉัน เชื่อมั่นพลังจิต ดิฉันคิดว่า 100 ปีพ่อท่านไปได้แน่นอน ดิฉันทดลองกับตัวเองไปเรียนชี่กง ไปดูงาน เราเชื่อว่าพลังจิตมีจริง ชี่กง มีพลังจิต รักษาตนเองได้ ดิฉันทดลอง ไปบ้านราชฯ 6 7 8 ดิฉันไอเป็นเลือด ลูกบอกว่าห้ามไป แต่ดิฉันก็ต้องไป แต่ไปที่โน่นก็มีพลังดีนะ ไม่เห็นจะเจ็บป่วยอะไรเลย ไปดูที่เปียปั้น รูปอาริยบุคคล 4 ก็รู้สึกชื่นชม ดิฉันอยู่คลอง 13 ทเวธัมมา นี้ คือโลกียะกับโลกุตระใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..ด้วย ทุกอย่างเลยในมหาจักรวาลนี้คือธรรมะ 2 ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็ทะลุแล้ว สรุปเรื่องนี้ให้ฟัง จริงๆแล้ว ใครเข้าใจคำว่าเทวะ บาลีคือ เทวฺ หากใครเข้าใจตรงนี้แล้วตีแตกจบเลย ศาสนาพุทธตีเทวะแตก ทำให้เป็นหนึ่งทำให้เป็น 0 ได้จึงจบเลยในเอกภพบรรลุธรรมในความเป็นจิตวิญญาณ ส่วนศาสนาเทวนิยมที่มีพระเจ้าเขาตีไม่แตกแยกไม่ออก และก็ไม่ยอมรับคำสอนศาสนาพุทธ เขาก็เลยจมอยู่กับคำสอนของเทวนิยมตามที่พระเจ้าสอน บอกว่าให้ต้องเชื่อพระเจ้าก็จมอยู่กับพระเจ้า เทวะมีสองก็จมกับสอง คนโง่มากกว่าคนฉลาดเทวนิยมซึ่งมีจำนวนคนนับถือเยอะแยะมากมายเป็นฐาน
ในยุคนี้โลกและสังคมเปลี่ยนแปลง ดิฉันอยากจะตั้งว่าจะอยู่อีก 15 ปีอายุ 97 แต่ว่าก็จะตั้งจิตและพากเพียร
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน
_ส.ลานศิลป์ ใน 8 อ.นี้ มีเวทนาและมีสัมประสิทธิ์ ผมเชื่อว่าพ่อครู มีพลังจิตสูงมาก แต่ยังสงสัยว่ามีสิ่งที่จะขัดกันหรือไม่กับการต่ออายุ เห็นพ่อครูทำอะไรแล้วขวนขวายมากต้องจ่ายพลังงานเยอะ เช่นเรื่องการเขียนหนังสือก็ทุ่มเทจนสุดชีวิต แล้วมันจะขัดกันหรือไม่กับเรื่องของ 8 อ.มันมีการจ่ายเกินไปไหม มีบ้างไหมที่ประมาณพลาดเรื่องจิตกับร่างกาย
พ่อครูว่า..อารมณ์คือเวทนา รวมทั้งรูปและนามใน 8 อ.นี้ หากทำ สัมประสิทธิ์ได้
คุณพูดถูกแล้วแต่คุณงงเอง ผมสร้าง สัมประสิทธิ์เพิ่มขึ้นด้วย ผมจ่ายได้มากเพราะว่าสร้างได้เพิ่มเป็นปฏิภาคทวี ถ้าหากผมไม่ทำสิ มันก็ไม่ไป ป่านนี้ก็หมอบแล้ว หากจ่ายเกินทำเกินก็ป้อแป้ คุณเห็นผมอ่อนแอลงหรือไง แสดงว่าผมไม่ได้ทำเกิน ยังสามารถทำสัมประสิทธิ์ให้มีทศนิยมก้าวหน้าขึ้นได้ คุณว่าผมจ่ายเยอะ แต่มันต้องมีพลังงานสัมประสิทธิ์ที่ผมสร้างขึ้นมันต้องเกินต้องพอเพียงที่ผมจะใช้มันต้องก้าวหน้าขึ้นด้วย
เราต้องรู้ว่าสมดุลขนาดไหน และก็ดีมีผู้แวดล้อมคอยช่วย ตรงนี้ไปมากินนอนตื่นก็ช่วยกัน
มีบ้างไหมที่ประมาณพลาดเรื่องจิตกับร่างกาย
มันก็ไม่ได้พลาดถึงสูญเสียตกหลุมตกบ่อก็อาจมีนิดหน่อยไม่ถือว่าเสียแล้ว ขนาดนี้ถือว่าเก่งพอสมควรแล้ว
พวกเรานี้ได้รับการศึกษาได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่ธรรมดานะ ไม่มีที่ไหนเขาเรียนถึงขนาดนี้หรอก ในวงการศาสนาพุทธ มันแย่เต็มทีเพี้ยนเหลวใหลไม่มีผลของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระแต่ไปทำให้เป็นโลกียธรรม แล้วแย่กว่าศาสนาโลกียะอื่นอีกทั้งเดรัจฉานวิชาและไสยศาสตร์ ศาสนาอิสลามก็ยังไม่มีเท่านี้เลย เขาเคร่งกว่าเยอะ แต่พุทธทุกวันนี้เหลวไหลทำให้อาตมายิ่งสงสารศาสนามาก ก็เลยต้องพากเพียรอยู่อย่าเพิ่งรีบตาย
แต่ก่อนนี้อาตมาพยายามทำงานเพื่ออธิบายสิ่งที่ถูกต้องเพิ่มเติม ทั้งด้านเถรสมาคมเขาหลงตัวว่าเขาถูกต้อง ก็ซัดอาตมาจะตีให้แตกหาว่าอาตมาทำลายศาสนา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาทำผิดหรอก เขามีภูมิเช่นนั้นจริงๆ ก็หมายความว่าเขาโง่ เขาไม่เข้าใจความจริง ไปยึดสิ่งผิด อาตมาก็ไปแก้ไขสิ่งที่ถูก เขาก็ต้องรักษาสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
มันแสดงความจริงว่าอาตมามาแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก ถ้าเขาไม่แย้งก็ไม่ใช่ หากอาตมาว่าจะมาแก้แล้วเขาก็เปลี่ยนได้เลยก็แปลว่าไม่ต้องแก้ แต่นี่เขาแสดงออกมาชัดว่าเขาผิด จนป่านนี้ 40 กว่าปีแล้ว ก็มีแย้งแต่ส่วนตัวบ้าง แต่จะจับกลุ่มมาจัดการอาตมาไม่มีแล้ว อาตมามีความมั่นคงแล้ว มีทั้งนอกทั้งใน ต่างประเทศก็รู้นะ เดี๋ยวนี้สื่อสารมวลชนมันก็เก่งด้วย พูดเป็นภาษาไทยมันสามารถแปลเป็นภาษาอื่นได้เลยทันทีก็ได้
_ส.แม่นใจมั่น…วิภวตัณหากับสัมประสิทธิ์ตรงไหนมาก่อน
พ่อครูว่า…สัมประสิทธิ์ คือเราเข้าใจแล้วจะทำพลังงานจิตของเราให้มีพลังเสริมที่จะมีอิทธิบาทมีความไม่ท้อแท้ มีพลังงานที่มันยินดี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาไปเรื่อย เป็นการสร้างทศนิยมของพลังงาน ความพากเพียรความอุตสาหะความคิดจะต้องทำกรรมกิริยาที่ดี พิจารณาตัวเองไปเรื่อย เป็นเรื่องของอิทธิบาท
ความต้องการที่จะไม่มีภพเป็นความลึกซึ้งกว่า สัมประสิทธิ์เป็นความตื้นและเป็นความง่ายกว่า ให้สร้างพลังงานจิตให้มีการก้าวหน้าเท่านั้น แต่ความเป็นวิภวตัณหาต้องรู้รอบทั้งกว้างและลึกนะ วิภวตัณหาเป็นตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาที่ต้องการให้กามภพหมด และก็ภวภพ รูปภพ อรูปภพหมดอีก เป็นวิภวตัณหาเป็นตัณหาที่ไม่มีภพแล้วเป็นตัณหาของพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้า มีความลึกและกว้าง
หากว่าเข้าใจแล้วจะประพฤติธรรมได้สะดวก ทุกวันนี้ไม่เข้าใจแม้แต่กามตัณหา ก็เลยไปนั่งหลับหูหลับตากันอยู่อย่างนี้ เบื้องต้นต้องทำจากกามตัณหาเป็นลำดับ ถ้าไม่เป็นลำดับก็จะขลุกขลัก ยิ่งหลับตาแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องปฏิบัติแบบหลับตา ก็ผิดแล้วแบบนี้ ไม่เริ่มต้นที่กามตัณหา แต่ดับกามไปอยู่ในภพ เป็นภวตัณหาภายในเลย มันก็เลยไม่ถูกลำดับมันก็เลยไปไม่รอด
เพราะว่าเขาจะเดินทางไปเชียงใหม่ แล้วเขาก็ว่าไปลงเหวก่อนแล้วก็เพลินในถ้ำ แล้วเมื่อไหร่จะถึงเชียงใหม่ ยกตัวอย่างรูปธรรม ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรไม่เป็นลำดับ
_ฟังฝน…เรื่องยืดอายุขัยโดยสัมประสิทธิ์ ในสมัยพระพุทธเจ้าได้พูดกันไหม
พ่อครูว่า…เขาใช้ภาษาว่า อยากอายุยืนยาวต้องมีสัมโพชฌงค์ ก็ไปแปลว่าสวดโพชฌงค์แล้วจะอายุยืนยาวไปอีก
_งานปีใหม่จะเป็นงานเพื่อฟ้าดิน จะมี ว.บบบ.ไหม
พ่อครูว่า..ไม่มีตอนนี้อาตมาวางมือไปหลายอย่าง ทุกวันนี้อาตมากำลังทำตัวเป็นบังอร เอาแต่นอน อาตมาก็นึกถึงตัวเองสะดุดอยู่อย่างหนึ่ง
มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาเคยไปอยู่ที่ห้องภาพสุวรรณ อาตมาก็เห็นโยมพ่อท่านซาบซึ้ง พอตกบ่ายก็นอนๆ อาตมาก็ว่าทำไมต้องนอนตอนนั้นโยมพ่อ ท่านก็ 70-80 แล้วก็สะดุด แต่พอมาถึงตอนนี้ อายุ 80 กว่าแล้วก็ต้องนอนพักให้สมดุลถ้าไม่อย่างนั้นตายเร็ว เพราะสังขารร่างกายต้องเสื่อมไปตามธรรมชาติ ก็ต้องใช้ตรงนี้ให้สมดุล มันจะฝืนให้แข็งแรงอย่างไรอาตมาก็ว่าทำได้ดีนะ แต่เขาให้พักให้พอเพียรให้พอให้สมดุล เราไม่พักเราไม่เพียร จึงจะข้ามโอฆะสงสารได้
อาตมาก็ถึงได้เห็นว่า เป็นสิ่งลึกซึ้ง อาตมาอยากให้อายุยืนยาวจึงต้องให้เขาควบคุมตื่นการนอนอาหารการกินการไปกันมา ก็จะช่วยให้เราต่ออายุได้ พวกนี้เป็นสัมประสิทธิ์
_ใหม่เสมอ…ศาสนามีสองรูปแบบคือ เทวนิยมกับอเทวนิยมแต่ตอนนี้มีพวกที่ไม่นับถือศาสนาใด เพียงแต่ทำตามกฎหมายเท่านั้นก็พอ นี่คือแนวโน้มใหม่ของสังคมโลก
พ่อครูว่า…ก็เห็นว่า คนพวกนี้มี 2 แบบ แบบหนึ่งโง่ดักดาน อีกแบบหนึ่งคือเห็นใจเขาเหมือนกัน เพราะว่าเขาเอง ศาสนาไหนก็ดูเหมือนบกพร่องทั้งนั้น มันก็จริงด้วย ก็เขาก็เลยพึ่งพาตัวเองดีกว่า อันหนึ่งเป็นความโง่เป็นมานะอัตตายิ่งใหญ่กว่าพระเจ้ายิ่งกว่าศาสนาอะไรก็แล้วแต่ เทวนิยมอเทวนิยมกูไม่เอาเลยจะใหญ่ไปถึงไหนคนพวกนี้ ก็มี 2 อย่างเท่านั้น
เพราะฉะนั้นคนเราเกิดมา ตัวเองไม่ได้เป็นศาสดาตัวเองก็จะต้องมีฐานที่พึ่ง จะเทวนิยมหรืออเทวนิยมก็ตาม เทวนิยมแม้โลกีย์เขาก็พัฒนาให้เรามีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่ดีก็คือทำตามกฎหมาย กฎหมายเป็นของโลกที่บัญญัติเปลี่ยนไปตามภูมิประเทศตามสังคมตามวัฒนธรรม แต่ธรรมะนั้นเป็นของกว้างของลึก โลกียะก็เป็นศาสดามีวิธีการ มีความรู้ขั้นตอนของอะไรต่ออะไรสูงต่ำ ดีชั่วต่างๆ ก็ทั้งบัญญัติมาให้ปฏิบัติ แต่เทวนิยมต้องปฏิบัติตามพระเจ้าสั่ง เขาไม่มีความจบของตัวเองไม่สามารถที่จะล้างความคิด หรือธาตุจิตวิญญาณ จิตของเขาจึงเป็นนิรันดรเขาจึงไม่มีนิพพาน เพราะเขาอยู่ในวงเวียนของธาตุจิต อัตตา อาตมันนิรันดร อย่างเก่งเขาตีไม่แตกตรงสวรรค์นรก แต่เขาก็มีปฏิภาณที่จะเอาสวรรค์ไม่เอานรก มันเป็นเรื่องทุกข์เป็นเรื่องไม่ดี แต่คนเราก็ต้องเป็นไปตามกรรม คุณทำชั่วก็ต้องลงนรกอันนั้นเป็นโลกีย์ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นสูงกว่าอันนี้ จึงเรียกว่าเป็นศาสนาที่เกินโลกีย์ที่จะคิดเลย คือมันไม่มีทั้งสวรรค์ไม่มีนรก มันจบหมดเลยแล้วมันล้างความเป็นเทวะ 0 เลยด้วย หมดเลย
อัตภาพของคุณเป็นอุตุไปเลย อรหันต์หากปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็ไม่มีอัตตาไปอีกนิรันดร ส่วนของเทวนิยมมีอัตตานิรันดร
พวกไม่นับถือศาสนาก็มี 2 พวกคือพวกอวดเก่งอวดดี กับอีกพวกหนึ่งไม่รู้จะนับถือไปทำไม
พุทธตีแตกเทวะตีแตกจิต ตีแตกเวทนา 108 แบ่งเห็นเคหสิตะ เนกขัมมะ ให้จิตเป็นอรหันต์สมบูรณ์ตอนเป็นๆตายแล้วจะสลายอัตภาพก็ได้ หรือไม่สลายก็ได้ อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์สลายได้แต่ไม่สลายจะพากเพียรเป็นบารมีอัตภาพได้สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าสัพพัญญู คนทุกวันนี้เชื่อถืออาตมามากขี้นเรื่อยๆ เพราะอาตมายืนยัน พิสูจน์ว่ามีความจริง อย่างน้อยที่สุดก็มีอายุยืนยาว แม้เขาไม่เชื่อก็จะจำนน เขาเข้าใจไม่ได้ก็จะไม่เชื่อ แต่คนที่เข้าใจได้เขาจะเชื่อเลย จะมาเอาศาสนา
อาตมายังเชื่อว่าในอนาคตจะมีคนศาสนาอื่นมาเข้าอโศก
_ปะสร้อยแก้ว…ดิฉันฝึกมาเยอะแยะมากมาย ตั้งตบะ ทฤษฎีก็ฟังเยอะแต่ไม่สามารถที่จะถึงมรรคผลได้ เพราะเราไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ ดิฉันมาจับได้ว่า ฉันตั้งตบะมา ก็หวังว่าจะได้มรรคผล ว่าจะไปเอาความสุข แต่มาทบทวนว่า ความสุขนั้นไม่ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจเป็นทุกข์ แต่เราจะไปเอาสุขมันก็ไม่ใช่ แล้วทีนี้ดิฉันก็มาจับได้ว่า กามหยาบเราทิ้งแล้ว เราก็มาเพิ่มที่กามภพ อาหารที่เราติด เราติดเรื่องกินเรื่องนอน จะเลิกได้อย่างไร ดิฉันก็มาเข้าใจว่าคนเห็นเป็นสุขมันจะรู้ทุกข์ได้อย่างไร เมื่อดิฉันจับอารมณ์ตัวนี้ได้ก็สลายตัวนี้ได้ ฟังธรรมะพ่อครู วิโมกข์ 8 รูป 24 ดิฉันไม่สงสัย แต่ดิฉันจะเข้าใจว่า ถ้าเราไม่เห็นทุกข์ก็ไม่สามารถดับทุกข์ได้แน่นอน หากเขาประกาศว่ามีอาหารอร่อยเราก็ไป อย่างนี้ไม่เห็นทุกข์แน่นอน วนไปวนมาไม่รู้จะจบตรงไหน ตอนนี้ดิฉันเข้าใจอย่างนี้จะตรงกับพ่อครูสอนจบได้ไหม
พ่อครูว่า..ยังไม่ได้ คุณอ่านที่อาการของจิต ความรู้สึกหรืออารมณ์ อ่านอาการลิงค นิมิต อุเทส มันเป็นความรู้สึก มันมีอาการ ความรู้สึกอร่อย ความรู้สึกสุขทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นก้อนใหญ่ ก็อ่านแยกแยะทุกข์สุขให้ออก อ่านอารมณ์ที่เป็นเวทนา สัมผัสอะไรคุณก็จะต้องเริ่มต้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ปฏิบัติธรรมให้เป็นลำดับซึ่งมีความเป็นน่าอัศจรรย์ แต่คุณไม่ไปตามลำดับ คุณเอาเรื่องเดียวก่อนก็ได้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 3 ข้อหลัก อาตมาอธิบายข้อที่ 1 ก่อน เกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ คนก็เป็นสัตว์ แล้วสัตว์ทั้งหลายแหล่คุณอย่าไปยุ่งกับมัน ให้เขาอยู่ต่างวิบากของเขาอย่าไปยุ่ง อย่าแม้แต่จะเอามาเลี้ยงไม่ต้องไปช่วยมัน ให้มันไปตามวิบากของมันเอง ใช้วิบากของมันเองบางทีมันก็ทุกข์ ต้องได้รับวิบากทรมานก็ปล่อยมัน ไม่ใช่คนใจดำหรอก เราอย่าไปร่วมวิบากกับเขา ก็จะเป็นหนี้บุญคุณกันอีก
หนี้บุญคุณนี้ไม่ใช่เรื่องสบาย หนี้เวรกรรมนี้ก็เป็นความทุกข์ยากแน่นอน แม้หนี้บุญคุณก็ไม่ใช่เรื่องสบาย ไม่ต้องไปเพิ่มวิบากเลยไม่ต้องเป็นทางบวกทางลบ เรื่องของสัตว์อย่าไปยุ่งกับมันเลย มันก็เป็นเช่นนั้นแหละไปตามวิบาก คนนี้แหละเป็นสัตว์สำคัญที่จะต้องมาศึกษา สัมผัสกับคนนี่แหละ หลากหลายลีลา มากมาย เราก็ต้องรู้จักคนว่าเป็นจริตอย่างไรมีกรรมกิริยาอย่างไร แล้วก็สัมพันธ์กับคนต่างๆให้ได้ คุณเอาข้อ 1 นี้ก่อนให้ดี เป็นลำดับไปและคุณก็จะเข้าใจอีกเยอะ จริงๆแล้วมันก็มีแต่จิตที่มีความผลักหรือดูดเท่านั้น
ข้อที่ 2 ก็เกี่ยวกับของ มีดินน้ำไฟลมและพืชพวกนี้ไม่มีจิตวิญญาณ ท่านก็สอนว่าอย่าไปเอามาเป็นของเรา ถ้าเราสร้างเองมีเองก็เป็นสิทธิเราได้ ถ้าไม่ใช่ของเราอย่าไปละเมิดเอามาแม้จะถือวิสาสะก็ไม่เอา ให้รู้เกี่ยวข้องกับคนอื่นแล้วนะ เกี่ยวกับสัตว์เดรัจฉานอย่าไปยุ่งกับมัน สัตว์คนนี่แหละมันหวงของกูของกู อะไรเป็นกูเยอะแยะเลย เพราะฉะนั้นการจะไปเกี่ยวข้องกับตัวเขา เกี่ยวข้องกับของของเขา คนนี้แหละ คุณศึกษาอันนี้ให้ดีสัมผัสกับของของเขา สัมผัสตัวเขาสัมผัสด้วยการพูดด้วยกายกรรมอย่างไรก็แล้วแต่ คุณเรียนรู้อาการ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมพวกนี้ แล้วคุณก็จะรู้ว่ามันดูดมันผลัก จิตเรายังต้องการให้เป็นเช่นนั้นให้เป็นเช่นนี้บำเรอใจ หรือบําเรอกาม บำเรอภายนอกกับบำเรอใจ
ข้อที่ 3 สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจในกามคุณ 5 เมื่อคนสัมผัสก็เอาที่คนนี่แหละ สัตว์ไม่ต้องไปวุ่นวายกับมันปล่อยไปตามวิบาก สัมผัสกับคนทางตา หู จมูก ลิ้น กายใ จก็ให้ ละกามละอัตตา
คุณทำเท่านี้ก่อนเรียนรู้ให้ดีแล้วคุณจะเข้าใจว่า อ๋อ เบื้องต้นเท่านี้ เราก็รู้รูปนาม รู้เวทนาในเวทนา รู้การบรรเทาให้ง่ายขึ้นชัดขึ้น ไม่เช่นนั้นมันจะเยอะ เพราะฉะนั้นศีล 5 พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ โดยเฉพาะ 3 ข้อแรกครบแล้ว ส่วนข้อที่ 4 เป็นวาจาข้อที่ 5 เป็นจิต ก็อยู่นัย สามข้อแรก วาจาก็เกิดจากจิตเราที่ไปสั่งให้วาจา กายกรรมทำ จิตของคุณเป็นประธาน ส่วนข้อที่ 5 ก็คือคุณเอามาทำแล้วที่จิต
คุณอยากไปมีจิตอยากบรรลุธรรมให้ได้ผลแล้วจะบรรลุไปเอง จะได้เข้าใจสภาวะว่าเราก้าวหน้าอย่างไร หากเข้าใจสภาวะจิตก็จะเข้าใจว่าเราได้มรรคผลอย่างไร ฟังแล้วก็จะยิ่งเข้าใจที่อาตมาพูด แล้วคุณจะเลิกถาม แสดงว่าคุณยังปฏิบัติไม่เข้าถึงจิต ได้แต่บัญญัติรู้มากอ่านมาก อาตมาว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรอกคนจบเปรียญ 9 ปริญญาเอกเยอะ ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก หากเขาบรรลุก็จะมีหมู่กลุ่มเป็นสังคมพฤติกรรม อย่างเช่นอาตมาทำเป็นสังคมสาธารณโภคี อาตมาประสบผลสำเร็จ เขาจะทำให้เป็นศีล 5 ยังไม่ได้ ของเรามีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลมากกว่านั้นด้วย สังคมของเราทำได้
_ดิฉัน เป็นคนใหม่ ทำอย่างไรจะอยู่กับหมู่กลุ่มได้นานที่สุด
พ่อครูว่า…อันหนึ่งคือ คุณจะต้องชัดเจนว่า กลุ่มหมู่นี้ เป็นหมู่ มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีที่พอใจแล้ว จะมีกลุ่มไหนในประเทศไทย หรือต่างประเทศดูสิว่ากลุ่มไหนที่คุณเลือก ถ้าหากเลือกแล้วว่ากลุ่มนี้ชัดเจน เราก็เกิดความมีฉันถ้ามีความพอใจใช้ได้ แล้วก็เริ่มมาปฏิบัติต่อไป มีมิตรดีสหายดีเป็นสุริยเปยยาล แล้วก็มามีศีล เหมือนอย่างที่อาตมาอธิบาย เป็นปะมาหลายปีแล้ว
ปฏิบัติศีลคือปฏิบัติธรรมทั้งหมด แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ปฏิบัติอย่างเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ปฏิบัติศีลแล้วจะเกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ
ศีลข้อ 1 ก็จะเห็นเลยว่ามันไปขัดเกลาจิตอย่างไร มันมีปัญญารอบรู้ มันเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนหากเข้าใจเวทนา 108 ธรรมะพระพุทธเจ้ากรรมฐานอยู่ที่เวทนา เข้าใจความรู้สึกอารมณ์ของเรา
ขอขยายความเวทนา 108 คร่าวๆ
เวทนา 2 3 5 6 18 36 108
เวทนา 2 คือ ความรู้สึกทางกายกับความรู้สึกทางจิต กายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา คำว่ากายก็ยากแล้ว แม้แต่กายเขาก็ไม่เข้าใจกันแล้ว กายไปเข้าใจคือร่างภายนอกไม่ใช่จิต อันนี้ผิดเลย พระพุทธเจ้าบอกว่ากายคือจิตมโนวิญญาณ
หากไม่เข้าใจเวทนา 108 ปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย เวทนา 108 เป็นตัวปฏิบัติธรรมแท้ๆเพราะมันตีแตกแยกได้ หากได้เป็นร้อยแปดนี้จบ โลกุตระต้องรู้จักมโนปวิจาร 18 เคหะสิตะ มันเป็นของโลกียแล้วต้องแยกแยะได้ ทำให้จิตมีปัญญารู้แยกแยะกิเลส แยกเวทนาเก๊ได้ แล้วพยายามตามหาตัวเหตุ ที่บำเรอตัณหาอุปาทาน มันเกิดสุข ทุกข์ เราก็ลดพลังงานตัณหาเราแรงก็ต้องทำให้จางคลายเบาลง คุณต้องรู้ได้ด้วย ก็ปฏิบัติธรรมเป็นแล้ว จะลดด้วยการกดข่มก็ได้ชั่วคราว ต้องรู้ด้วยปัญญา
กิเลสมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งมันไม่มีตัวตนหรอก มันไม่เที่ยง กิเลสมันไม่ได้อยู่กับคุณตลอดเวลา เดี๋ยวก็มีกิเลสใหม่ เดี๋ยวก็วนมาตัวเก่าวันหนึ่งไม่รู้กี่ที มันไม่อยู่กับที่กับร่องรอยแล้ว มันก็ไม่ใช่ตัวตนด้วยแล้วมันก็ไปเรื่อย สำส่อนมาก แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนด้วย ผู้บรรลุธรรมสูงสุดแล้วก็จะรู้ว่ามันไปสร้างใส่จิตเอง มันก็เกิดในจิตเอง กิเลสมันไม่มีตัวตน…(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) กิเลสมันตัวเลวและสำส่อน ไม่ใช่สิ่งดีงามสักอย่างหากเข้าใจแล้วเอาออกตอนนี้ได้เลยก็เป็นอริยะเป็นพระอรหันต์ เข้าใจเสียว่ามันเป็นเหตุแห่งทุกข์ รู้ตามเหตุปัจจัยความจริงตามความเป็นจริง เช่นนี่ถังก็คือถังไม่ได้อยากได้มา รูปก็คือรูป เสียงก็คือเสียง เป็นเวทนาเดียว แม้จะกดข่มว่า รูปก็คือรูปเสียงก็คือเสียงกลิ่นก็คือกลิ่น ไม่มีความหน้าได้หรือไม่น่าได้ ไม่มีอาการของจิตผลักหรือดูด ให้มันรู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นคุณฝึกไปเลย
ถ้ามันสุขมันทุกข์ก็มีเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันไม่มีตัวตนจริงหรอก แล้วมันซ้ำซ้อนจะตาย มันเป็นอนิจจัง เดี๋ยวก็ไปนู่นไปนี่ ไม่มีตัวตนไม่รู้จักแล้ว นี่แปลอย่างโพธิรักษ์ แปลอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าหากจิตของคุณชัดเจนก็จะไม่ชอบมันเลย หากคุณไม่เหม็นคุณก็ดูด ถ้าเหม็นก็ผลักเท่านั้นเอง เราก็รู้ว่าเหม็นปลาร้ามันเหม็นน่าดู แต่เราก็ต้องกินเป็นสิ่งเลี้ยงขันธ์ การทำปลาร้าหรือน้ำบูดูก็เป็นการถนอมอาหารเท่านั้นเอง เอาธาตุมาเลี้ยงขันธ์ มีวิตามินบี 12 เยอะเท่านั้นเอง เราก็มีความรู้รับสิ่งที่ควรรับไม่รับสิ่งที่ไม่ควรรับ เหม็นเหมือนจะตาย ฝรั่งมาเจอน้ำบูดูก็บอกว่ากินของเน่า เราก็บอกว่าคุณเองไม่รู้จักของดีนะมี B12 นี่เป็นการถนอมอาหารของเขา คนรู้แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นอย่างนี้มันก็ต้องอย่างนี้ มันก็เป็นแก๊สไข่เน่า เอาธาตุมันไม่ได้เอากลิ่นมัน แต่ก็มีกลิ่นอย่างนี้ หากมีกลิ่นเป็นพิษอย่างนี้ก็ระวัง แต่นี่ไม่เป็นอะไร ความเหม็นความหอมไม่เป็นพิษภัยอะไรอย่างนี้เป็นต้น คุณก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้นนี่แหละชีวิตมันก็สบาย ก็อยู่กับทุกอย่าง แตกต่างกันมหาศาล มีความหลากหลายแตกต่างมหาศาลเราก็อยู่กับสิ่งนี้แท้ๆ หากคุณเข้าใจว่า ทั้งหลากหลายอย่าว่าแต่หนึ่งหรือสองเลย สี่ห้าหรือทุกอย่างล้านๆอย่างก็อยู่ด้วยกัน Unity of diversity แต่ละอย่างมันก็ต่างกันเท่านั้นเอง เราก็รู้ว่ามันต่างกัน เราก็ไม่ต้องไปยึดติดว่า อันนี้ต่างกับอันนี้อันนี้ต่างกับอันนี้ เราชอบอันนี้ไม่ชอบอันนี้ ไม่ต้องมีความรู้สึกแบบนี้หรอก สมควรเราก็เอาไม่สมควรเราก็ไม่เอา จบอยู่ที่ควรหรือไม่ควร สิ่งนี้ควรสิ่งนี้ไม่ควร ควรเราก็รับ ไม่ควรเราก็ไม่เอา
_ที่บวร สันติอโศกเราจะมีการสรุปหนังละครหลังจากดูเสร็จ มีหลักการ 4 ข้อ ที่พ่อครูตั้งขึ้นมาทำไมพ่อครูตั้งมา
พ่อครูว่า…ดีไหม เป็นประโยชน์ไหม ทำไม ก็อาตมาฉลาดให้คุณดู แล้วมีหลักการก็เป็นสิ่งมีประโยชน์คุณใช้หลักการนี้ได้ประโยชน์ เดิมแท้เอาไปเผยแพร่ที่เมืองจีนเขาก็ยังทึ่งเลยว่ามีหลักการดูหนังดูละครอย่างนี้หรือ แทนที่จะสูญเปล่ามีแต่อบายมุขกินหัว หนังก็มีสามรส ราคะโทสะโมหะเท่านั้นแหละ มันเอามาปรุงกันตามสัดส่วนต่างๆมาหลอกคน เราก็ดูเอาสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเรา กว่าอาตมาจะให้มาดูหนังละครอาตมาก็ต้องศึกษาว่ามันจะคุมเกมอย่างไร แต่ก่อนมานั่งเซนเซอร์หนัง ตอนหลังก็ให้คนอื่นทำ ตอนแรกก็ต้องควบคุมดูแลพูดไปด้วยมีไมโครโฟนกำกับด้วย กว่าจะมาถึงตอนนี้ แต่เดี๋ยวนี้พวกเราไม่ค่อยอยากดูด้วยซ้ำไป
_การมีศีลบริสุทธิ์การหยั่งรู้เท่าทันโลกดีกว่าการปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตาทำตามกะลาครอบงำตามโลก ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..ใช่สรุปได้ดี ขอยืนยันนะ อยากให้ชาวพุทธทั่วประเทศไทยได้ยินว่าการนั่งหลับตาไม่ใช่ของชาวพุทธเลย ศาสนาพุทธไม่มีการนั่งหลับตาไม่มีหนังสือพระไตรปิฎกเลย ใน 45 เล่มไม่มีคำว่านั่งหลับตาปฏิบัติธรรมเลย มีแต่บอกว่านั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น
ให้มาปฏิบัติธรรมมรรคมีองค์ 8 มีสมณะ 4 เหล่า ในมหาจัตตารีสกสูตร ให้ปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างไร ก็บอกว่าให้ปฏิบัติตามมรรคทั้ง 7 องค์ ก็ไม่เห็นมีการนั่งหลับตาที่ไหน มีแต่สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ มันไปหลับตาที่ไหน เป็นปกติทำงานหาเลี้ยงชีพทำกรรมการงานต่างๆ แต่ต้องพยายามมีสติสัมผัส แล้วก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10 ต้องแก้ไขให้ อัตถิ
ต้องทำทาน ศีล ภาวนา ก็เพื่อจะเอากิเลสออก ในบารมี10 ทัศจบที่ทาน ข้ออื่นๆเสริมหนุนการให้ คุณให้สำเร็จแล้วคุณก็มีชีวิตอยู่กับอุเบกขาและเมตตาเท่านั้น มีสามเส้า มีให้ อุเบกขากับเมตตา
การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าทำไปตามลำดับ อย่างที่อธิบายให้ปะสร้อยฟ้าฟัง เริ่มต้นด้วยศีลข้อใดก็ได้ ทำได้แล้วจะรู้จักเหตุผลหลักการ ทำแล้วมันได้ผลอย่างนี้มันเป็นการลดละกิเลสอย่างนี้ จะได้ชัดเจน
_ต้นฝัน…การเมือง ตอนนี้ดูมันสงบมันสงบจริงหรือไม่
พ่อครูว่า…มันไม่สงบทีเดียวหรอก วูบวาบไม่เที่ยง มันสงบได้ถึงขนาดนี้ถือว่าประเทศไทยดีมากเลย ประเทศไทยทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยกว่าที่เคยมีมาทั้งหมดเลย มีคนเปรียบเทียบคนพูด คอลัมนิสต์เขาพูดว่า สังคมประเทศไทยตอนนี้การเมืองก็ดี เศรษฐกิจก็ดี อะไรก็ดีนั้นดี เขาก็ไปเปรียบเทียบกับพลเอกเปรมบริหาร 8 ปี อันนั้นเป็นการยึดอำนาจบริหาร แล้วพลเอกเปรมก็ทำได้ดี พอสมควร ในยุคนั้นมันไม่มีอะไรเปรียบเทียบแรงมากเท่าไหร่ ตัวรวนที่มาสร้างพฤติกรรมเลวในสังคมไทยยังไม่เกิด ทักษิณยังไม่เกิด ถ้าทักษิณเกิดก่อนพลเอกเปรมไม่ได้เป็นอย่างนี้หรอก พลเอกเปรมจะไม่ได้บริหารง่ายอย่างนี้หรอก เพราะว่ามีการสร้างเชื้อเลวไว้แรง มันต้องเกี่ยวข้องกับกาละเวลาด้วย
ตอนนี้คนไทยรู้จักความเป็นประชาธิปไตยสูงขึ้นเยอะ ความเป็นประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายความว่าแค่เลือกตั้ง มันเป็นพฤติกรรมมนุษย์ พระพุทธเจ้าเป็นยอดแห่งประชาธิปไตยตั้งแต่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลย ยุคทาส พระพุทธเจ้าก็ทำให้สังคมที่ท่านสร้างเป็นสังคมประชาธิปไตยทั้งนั้น ปลดแอกหมดเลยไม่มีวรรณะไม่มีทาส ในยุคนี้ก็เหมือนกัน ประชาธิปไตยคือ 1. อิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีตัวตน 3. ปัญญาโลกุตระ
นี่คือนิยามสั้นที่สุดของความเป็นประชาธิปไตย ศาสนาพุทธนี้สุดยอดประชาธิปไตย ตอนนี้ประเทศไทย มีความรู้ที่ได้มาโดยไม่ได้บรรยายมากมาย ด้วยในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงปฏิบัติให้ดู ท่านทำอะไร
ท่านทำการ ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ นี่ก็เป็นนิยาม 3 ข้อของประชาธิปไตย
ในหลวงทำงานขยันรับใช้ประชาชนนะ นายกรัฐมนตรีทำงานรับใช้ทั่วประเทศเหมือนในหลวงไหม นายกรัฐมนตรีก็เป็นนายกฯของคนทั้งประเทศเหมือนกัน แต่ไม่มีนายกฯคนไหนทำงานเหมือนอย่างในหลวงเลย แต่เขาก็อยู่ได้ไม่นานเหมือนกับในหลวง ในหลวงมีวาระที่นานกว่า แต่นั่นแหละ เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยสุดยอดของในหลวง ท่านทรงมา 70 ปี คนไทยมีปฏิภาณรู้ว่าบริหารแบบนี้ดี นี่คือทราบสภาวะทราบพฤติกรรมแท้ๆของประชาธิปไตยแล้ว ไม่ต้องไปใส่ชื่อว่าประชาธิปไตยเหมือนอย่างพวกแดงพวกทักษิณบอกว่า เขาก็ประชาธิปไตย ขี้หมาสิ เป็นเผด็จการสุด ยอดเผด็จการฟาสซิสต์ เขาก็บอกว่าจะเอาเลือกตั้งให้มาเป็นประชาธิปไตย อาตมาว่าเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็กลับไปเป็นลัทธิบริหารแบบเก่า เละอีก
อาตมาไม่พยากรณ์ ว่าจะเกิดการเลือกตั้งหรือไม่ ให้อิสรเสรีในการเลือกทั้งนั้น อาตมาไม่ไปบังคับใคร
_ส.กอบชัย…วันที่พ่อท่านมาสันติอโศกแล้วเห็นลูกๆมาเต็มศาลาพ่อท่านรู้สึกอย่างไร
พ่อครูว่า…อบอุ่นใจ แล้วบอกตรงๆเลย อาตมามารยาทเลวมาก มาทักทายนิดเดียวแล้วไปเลย อาตมาก็ไปสำนึกว่า เราเป็นคนไม่ดี เลวมากเป็นข้อบกพร่อง พวกคุณเห็นใจอาตมาก็ขอบคุณ แต่ว่าอาตมามันไม่ดี ควรต้องเข้าใจเขาบ้าง อาตมาต่างกับท่านเพาะพุทธคนละขั้วที่ช่างโอภาปราศรัยรับแขก อาตมามีน้อยมากเป็นข้อด้อยของอาตมา
_ส.กอบชัย แล้ววันนี้ รายการนี้มีคนมาเยอะพ่อครูรู้สึกยังไง
พ่อครูว่า…ก็พยายามแก้ตัว โอภาปราศรัยให้ได้ประโยชน์ ให้ได้อะไรที่ดีขึ้นมาเยอะๆ
_ถ้าพ่อท่านรู้สึกดีอย่างนี้ เหตุปัจจัยอย่างนี้จะเป็นองค์ประกอบทำให้พ่อท่านอายุยืนขึ้นหรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่ หากพูดไปแล้วไม่มีการกับเรื่องอะไรเลยอาตมาก็ต้องตายเร็วแน่นอน
_คราวหน้าจัดรายการสำมะปี๋ซี่วิตอีก ญาติโยมมามากกว่านี้พ่อท่านจะรู้สึกอย่างไร
พ่อครูว่า…ก็ได้ประโยชน์ก็มากัน อาตมายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นไปได้ ผู้ใดฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง …จบ