611128_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 26
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1sIxgO5FxpX1p8YnT_cgDjrbQZNKPviIPjyyD_JqnMRQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1Y5XSIdUkzoA-aCd8YFr-PYA_zG88Bnca
วันนี้วัน พุธ ที่ 28 พ.ย. 2561 ที่ศาลาฉัน บวร สันติอโศก
พ่อครูว่า…ขอโอภาปราศรัยกับ SMS
_1614 นิมิต กับ สิ่งที่มีจริง ต่างกัน อย่างไร
พ่อครูว่า….
สิ่งที่มีจริงเป็นภาษาไทย ส่วน นิมิตเป็นภาษาบาลี นิมิตเป็นสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นเป็นเครื่องหมายให้ตนเองรู้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ซึ่งจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ เป็นเครื่องหมายให้เรารู้ ส่วนสิ่งที่มีจริงนั้นจริงแน่ ส่วนนิมิตนั้นยังไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่ ส่ิงที่มีจริง เช่น เวทนาคุณสัมผัสกับอันนี้แล้วเช่นอันนี้ ถังไม้ อันนี้เป็นส่ิงมีจริงเราสัมผัสได้ ส่วนนิมิตมันอยู่ในจิต ถ้าจะไปหมายถึงสิ่งมีอยู่มันไม่ใช่นิมิต มันเป็นส่ิงจริงแล้วที่คุณสัมผัส แต่สิ่งที่คุณคิดสร้างขึ้นมีจริงหรือไม่จริงก็ได้ ต่างกัน
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ • ธรรม2 เป็นตัวบ่งชี้ซึ่งกันและกัน/ คิดอะไรไม่ออกให้คิดอีกฝั่ง
พ่อครูว่า…อันนี้เข้าท่าทีเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นธรรมะ 2 คนที่ไม่มีความรู้ พวกเทวนิยมตีไม่แตกแยกไม่ออก ทั้งๆที่มันเป็นสอง คนที่เกิดมานั้นจะรู้ เราจะเห็น เราจะมีอะไร 2 ทั้งนั้น ไม่มี 1 มันจะมีสิ่งที่ถูกรู้ตลอด คุณคิดขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ คุณไม่คิดอยู่เฉยๆกลางๆว่างๆมันก็มีกับสิ่งที่ว่างๆนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นในความว่างๆรู้สึกว่างๆเฉยๆ เด๋อๆ นอกจากคุณจะมีการฝึกฝนมีภูมิธรรมจนกระทั่งมีอำนาจเหนือจิต ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ วัสสวัตตี ทำจิตไม่ให้คิดอะไรสักระยะหนึ่ง แต่คุณต้องใช้ความสามารถที่จะให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่ ถ้าเป็นคนที่ฝึกทางสมถะ ไม่ใช่บรรลุธรรม คุณก็จะทำให้มันอยู่เฉยๆได้ เท่าที่คุณมีพลังงานควบคุมให้มันอยู่ได้ เสร็จแล้วคุณก็ต้องแวบไปอื่น
ส่วนผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วก็ตาม แม้จะเป็นอรหันต์หากจิตคุณไม่ได้ฝึกก็จะคิดโน่นคิดนี่เหมือนกัน
ว่างเฉยๆเด๋อๆไม่มีนอกจากสมมุติเอา อาตมาแนะนำให้ไปอ่าน จูฬสุญญตสูตร คนก็อ่านแล้วไม่เข้าใจ ว่า ความว่างคือจิตว่างจากกิเลสตลอดเวลาคือจิตอรหันต์ แต่ไม่ได้ว่างจากความคิดความรู้จากสิ่งที่สัมผัส จะคิดหรือไม่คิด มีสัญญากำหนดรู้อยู่ในใจ มีนิมิตอะไรขึ้นมาก็มีได้ หรือจะกำหนดรู้ทางจิตก็ได้ ยิ่งตาสัมผัสรูปโป๊กระทบเสียงก็ยิ่งมีจริง แต่อรหันต์ไม่มีเวทนา 2 ไม่มีกิเลสไม่มีปัญหาไม่มีอุปาทานไม่มี 2 มีแต่ 1 สัมผัสอะไรความจริงตามความเป็นจริงก็จบ
ถ้ามันมี 2 อันหนึ่งคือของจริง อันหนึ่งคือของเก๊ ที่มันสังขารตามกิเลส อันหนึ่งก็คือตัณหาอุปาทาน อุปาทานและตัณหานั้นเอง ถ้าเป็นอรหันต์แล้วมันไม่มีตัณหาอุปาทาน จิตปรุงแต่งก็มีสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นการสังขารปรุงแต่งตามความเป็นจริง ไม่ได้เป็นสังขารปลอม
ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วตีแตกธรรมะ 2 เข้าใจหมดเลยว่า ในขณะนี้จิตเรา
หนึ่งรู้สมมุติสองรู้สภาวะ มันจะมี 2 เป็นธรรมะ 1 เป็นสมมติ 2 เป็นสภาวะ สมมติก็เป็นภาษาเรียกเป็นบัญญัติ เป็นคำเรียกกล่าวอะไรกัน แต่สภาวะจริงนั้นคือจิต สัมผัสตาก็เห็นรูปขณะนี้ตรงๆ สัมผัสเสียงนี้สัมผัสจมูกได้กลิ่น หรือ สัมผัสในความคิด ก็รู้กำลังคิดอะไร กำลังสัมผัสอะไร คิดใหม่ คิดขึ้นมา ก็สามารถปรุงแต่งหน้า ปรุงแต่งเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็คือคิด อย่างไม่ได้เป็นกิเลส หมายความว่า เราคิดแล้วปรุงแต่งอย่างนี้ น่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ใจเราไม่ได้มีกิเลสว่าจะต้องเป็นให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานไม่ใช่ แต่เราต้องมีเจตนาว่ามันควรจะเป็นwหม่ควรจะเป็นเราก็ลงมือทำ คิดว่าควรจะเป็นแล้วเราก็ลงมือทำได้ตามที่เราคิดไหม ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่คนที่ยังมีกิเลสยังมีความยึดมั่นถือมั่นก็จะทุกข์ร้อน ตนเองทำไมไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้เท่าที่จะมีความยึดถือมากหรือน้อย
สรุปแล้วทุกอย่างเป็นธรรมะ 2 และจะมีธรรมะ 2 ไปตลอดกาล ตราบที่เรายังไม่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แม้ว่าเรายังไม่ตายก็เป็นธรรมะ 2 ที่เราจะปรุงแต่งเป็นหนึ่ง
SMS วันที่ 27 พฤศจิกายน 2561
_สาคร วงเวียน · ประโยชน์ท่านเป็นกุศล(สมบัติ) ส่วนประโยชน์ตน(ลดกิเลส)เป็นบุญ(วิบัติ)
พ่อครูว่า…แสดงว่าฟังธรรมะเข้าใจชัดเจนใช้ได้
_วณี โคตุดร · คุณสาครบอกมา รู้สึกตรงเป๋งเลย เข้าใจง่ายดีจัง ขอบคุณค่ะ
_จับใจ ดิฉันมีความโลภเพื่อส่วนรวมและเพื่อส่วนตัว จะเป็นโทษ หรือ ประโยชน์อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…เมื่อกี้เขาบอกแล้ว ประโยชน์ท่านเป็นกุศล(สมบัติ) ส่วนประโยชน์ตน(ลดกิเลส)เป็นบุญ(วิบัติ)
ผู้ใดทำได้ถูกต้องเลยตนเองไม่ต้องสะสมไม่ต้องเป็นของตัว อาตมาภาคภูมิใจที่ทำสังคมชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนที่เป็นสาธารณโภคี
อย่าง สันติอโศกนี่ยังไม่ชัด เพราะยังมีส่วนตัวกระเป๋าใครกระเป๋ามันซ้อนแทรกอยู่ในนี้เยอะ แต่อยู่ในสังคมปฐมอโศกราชธานีอโศกนี้เขาชัดเจน ทำงานส่วนกลางหมด ใครไม่อยู่ในนั้นก็เป็นคนจร เป็นชาวอโศกจร ส่วนชาวอโศกที่เป็นสมาชิก ทำงานแล้วก็เอาเข้าศูนย์กลางหมด เป็นเรื่องไม่ง่ายเป็นเรื่องที่ยากมากเลย แต่เขาก็มีความสุข เขาอยู่ในนี้ 10 ปี 20 ปีตามแต่ละคน ยังอยู่กันก็คิดว่าจะตายตรงนี้อยู่ตรงนี้ก็ยังเป็นจริง เข้าใจทั้งโลกข้างนอกและโลกในสังคมเขา เขาก็เต็มใจอยู่ในสังคมเรา เป็นเรื่องปัญญาที่เราเลือกชัดเจน นี่คือฐานของมนุษยชาติที่เลือกที่จะเป็นอยู่ มีเสนาสนะอันนี้เป็นบุคคลมีเครื่องอาศัยเป็นอาหารมีธรรมะ เป็นสัปปายะ 4 สมบูรณ์แบบ
จะเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ ถ้าทำให้ตรงก็เป็นประโยชน์ถ้าทำไม่ตรงก็เป็นโทษ ต้องรู้ว่าทำเพื่อส่วนรวมจริงไหม เพื่อส่วนรวมและเพื่อส่วนตัว หากทำเพื่อตัวเองอยู่ก็ยังเป็นบาป แต่ถ้าไม่มีเพื่อนส่วนตัวอย่างพวกเราชาวอโศก ทำเพื่อส่วนรวมอาศัยกินอยู่ในที่นี้ก็ไม่มีโทษอะไรเลย
_แซมดิน อยากถามความในใจของพ่อครูนะครับ คือตึกบริเวณนี้มีคดีอยู่ อาจจะถูกทุบทั้งหมด พ่อครูอยากเห็น สันติอโศกเป็นอย่างไรถ้าถูกทุบ มันก็จะโล่งไปหมด
พ่อครูว่า…เขามาทุบตึกก็เจ็บมือนะ มีความหมายนะที่อาตมาพูดนี่ อาตมาว่าเขาไม่ทุบหรอก เขาเสียตังค์ค่าทุบ เขาไม่ทำหรอก ให้ตายก็ไม่ทำ เขาไม่กล้าหรอก คุณจะให้เขาเท่าไหร่ก็ให้เขา เขาไม่เอาก็ฟ้องศาลเอา จะมาโก่งอะไรไม่ได้ขี้ตะกละเพราะเรื่องเสร็จจบไปแล้ว เขามารื้อฟื้นอีก หากทนายเก่งก็แพ้เขา ทนายไม่เก่งก็แพ้
เพราะจริงๆแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราหรือของใครหรอก เป็นอยู่ที่สมมติสัจจะเราก็ไปแย่งที่สมมติสัจจะเท่านั้น ส่วนปรมัตสัจจะนั้นเรารู้แล้วว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของใคร ที่เถียงกันอยู่นี้เป็นสมมติสัจจะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคารมใครจะดีก็ทำ ผู้ที่จะตัดสินรับรอง เชื่อไหมว่าให้ศาลแต่ละศาลนี้มาตัดสินจะไม่เหมือนกัน
ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ก็ไม่เหมือนกันศาลฎีกาก็ไม่เหมือนอีก เพราะฉะนั้นอยู่ที่คารมโวหารเท่านั้นเอง
_ผมเจ็บคอไม่ขอกล่าวคำยาวใดๆให้มากความ “ผมเป็นลูกของเอกบุรุษ ที่เกิดจากปากพระโพธิสัตว์” นี้คือประโยคลั่นสนั่นเงียบๆ ของลูกคนหนึ่ง ที่เกิดจากพ่ออันประเสริฐ
พ่อของผมเกิดมาทำความอัศจรรย์สองอย่างขึ้นในโลก พ่อผมได้กระทำตาม ได้เจริญรอยตามสมเด็จปู่สัมมาสัมพุทธะอย่างลำบากแสนเข็น ให้เป็นที่ประจักษ์ชัด คือ
๑. โลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่พอใจ-ยินดี-บันเทิงอยู่ในรสอร่อยของโลก ครั้นพ่อโพธิสัตว์แสดงธรรมสวนกระแสกับความอร่อยในกามของโลกนั้น ก็ยังมีผู้คนเอียงหูฟัง ดิ่งสดับ และปรับตัวละทิ้งความเพลิดเพลินในโลกกามเหล่านั้น มาเป็นพลังคนจนอันมหัศจรรย์อย่างสุขสำราญ
๒. โลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่พอใจในการถือศักดิ์ศรี ยินดีในความถือตัวด้วยโคตรตระกูล-บันเทิงอยู่ในรสอร่อยของการถือดี ในคุณวุฒิ ในชาติวุฒิ ครั้นพ่อโพธิสัตว์แสดงธรรมสวนกระแสกับความอร่อยในการถือตัวของโลกอัตตานั้น ก็ยังมีผู้คนเอียงหูฟัง ดิ่งสดับ และปรับตัวละทิ้งความเพลิดเพลินในโลกความถือตัวอันไร้สาระเหล่านั้น
พ่อครูว่า…อาตมาว่าอาตมาทำจริง มีผลสำเร็จจริงไม่ใช่ความหลงใหลเพ้อเจ้อไม่มีแล้วหลงว่ามี มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่อาตมาทำสำเร็จ ชาตินี้ไม่โมฆะ ไม่สูญเปล่าไม่เป็นหมัน ทำได้ผลประโยชน์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา
_ใหม่เสมอ …พ่อครูได้สร้าง พระพุทธรูป 3 ปาง และก็มีหยาดน้ำใจ ก็มีล็อคเก็ต ถามว่า ถ้าหลังจากที่พ่อท่านได้สิ้นบุญไปแล้ว พ่อท่านมรณภาพไปแล้วพ่อท่านจะอนุญาตให้พ่อท่านสร้างสิ่งใดไม่สร้างสิ่งใด พ่อท่านมีแนวคิดจะให้สร้างแบบใด
พ่อครูว่า…อาตมาสิ้นบุญแล้ว ประกาศไปตั้งนาน อาตมาเป็นอรหันต์ไม่มีบุญไม่มีบาป แต่ยังไม่ตาย อาตมาตายไปแล้วก็ไม่ทราบได้
-
อาตมาเคยคิดเหมือนกัน เราตายไปแล้ว เขาจะสร้างหรือไม่สร้างอะไรแล้วคิดว่าเขาสร้างจะดีไหม หรือเขาไม่สร้างจะดีกว่า ก็เคยคิดนะ อาตมาก็ว่า ห้ามคนสร้างอะไรไม่ได้แล้ว
-
ถ้าเขาสร้างก็ยังมีที่ยึด อาตมาว่า ถ้าไปห้ามไม่ให้เขาสร้าง เขาก็ไม่มีที่ยึด แล้วก็คงห้ามไม่อยู่ อย่างน้อยก็แอบทำ หรืออาจเลี่ยงไปว่า มาดามทุสโซ่ สร้างหุ่นขี้ผึ้ง มันห้ามยาก เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามทุกวันนี้ถึงเยอะแยะ อิสลามเขามีบัญญัติว่าห้ามสร้างเลยนะ
ก็มีแนวคิดว่า อย่าไปหลงรูปแทนสิ่งแทนว่าเป็นเรื่องมีอิทธิฤทธิ์มีปาฏิหาริย์ มีอะไรที่เป็นเรื่อง magical ต่างๆ เรื่องเพ้อพกไม่เข้าเรื่อง อย่าไปใช้เป็นที่อาศัยเป็นที่พึ่ง เหมือนกับเรา สร้างรูปปั้นของหมอฟากฟ้าหนึ่งไว้ ก็ไม่เห็นว่าพวกเราไปเคารพอย่างขลังๆก็ไม่มี ก็เป็นที่เคารพอย่างนั้น อาตมายังไม่ตายก็สร้างแล้ว หุ่นอาตมา
_คนที่มาปฏิบัติธรรมผมเห็นมี 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกมีความพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะการเงินไม่เคยผิดหวังอะไร เมื่อฟังพ่อครูพบว่าทางนี้มีประโยชน์จึงมาปฏิบัติธรรม
กลุ่มที่ 2 เป็นพวกผิดหวังทางโลกหนักหนาสาหัสเจอวิบากกรรมมากมายมีทุกข์แสนสาหัสแล้วเข้ามาปฏิบัติธรรม
คนสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันทางรูปธรรม แต่ทางจิตวิญญาณแตกต่างกันไหม กลุ่มคนไหนมีโอกาสบรรลุธรรมมากกว่ากัน
พ่อครูว่า…เราไปกำหนดไม่ได้หรอก จะกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ว่าใครจะบรรลุธรรมเร็วกว่ากันมากกว่ากันไม่ได้หรอก มันอยู่ที่บุคคล
_ทองแก้ว..ฟังธรรม ช่วงทำวัตรเช้า เขาจะเปิดเทปเก่าๆ สมัยก่อนเขาจะนั่งหลับตากันเยอะ แต่พ่อครูกล้าชี้ว่านั่งหลับตาไม่บรรลุธรรม อันนี้อันที่ 1
อันที่ 2 หากฟังย้อนธรรมะเก่าๆ พ่อครูจะเทศน์เหมือนกันแต่ว่าตอนนี้ขยายอย่างเช่นธรรมะ 2 ตอนโน้นไม่มี
พ่อครูว่า…อันที่ 1 ทำไมกล้า เพราะมันเป็นความจริงและเป็นความถูกต้องด้วย อาตมาจะปล่อยให้คนผิดอยู่อย่างนั้นหรือ มันก็ไม่เข้าท่า สงสารเขา งมงายกันอยู่อย่างนั้น พยายามพูดแล้วพูดอีก พูดอีกพูดแล้ว จะต้องพูดอีกเพราะว่าเขาหลงยึดมั่นถือมั่น ด้วยความไม่ฉลาดพอไม่มีความรู้พอ อาตมาพูดไปก็มีคนที่ฉลาดพอ บางคนต้องพูดแรงต้องพูดนานพูดแรงพูดมากถึงฉลาดกระเตื้องขึ้น ส่วนคนที่ยึดมั่นถือมั่นและมีกิเลสไม่ชอบใจ ถูกกระทบถูกว่าเขาก็ตีทิ้งเลย ก็ทำอย่างไรได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ สัจจะความจริงก็ยังเกิดในคน 3 แบบ
-
ฟังแล้วอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากหมายความว่าตายเลย
-
ฟังแล้วขอลาสิกขาไปเลย
-
ฟังแล้วบรรลุอรหันต์เลย
เป็นความจริง 3 แบบ นอกนั้นก็มีมากมีน้อยบางคนก็ไม่ถึงอรหันต์ได้บรรลุไปตามลำดับ พระพุทธเจ้าท่านพูดอยู่ 3 หลักใหญ่ บางคนก็ไม่สึกทีเดียว อาจทนอยู่พอสมควร บางคนก็ไม่ตายทีเดียว เจ็บใจอยู่
ที่ตายเพราะช็อคเลย ยึดจัด ถูกหักอย่างแรง สำหรับอาตมา พูดให้ตายก็ไม่โลหิตร้อนออกจากปากหรอก บรรลุอรหันต์ก็ไม่ได้หรอก
ถามว่าทำไมกล้าเพราะเป็นความจริงและเป็นความเข้าใจผิดที่ต้องทำให้ถูก ก็ต้องทำสิ่งอันนี้แหละเป็นสัจจะที่อาตมาต้องทำ ทำไมอาตมากล้า จะไปกลัวทำไมในเมื่อพูดความจริงพูดความถูกต้อง คนที่พูดความไม่จริงนี่สิทำไมมันกล้าถามเขาสิ อาตมาพูดความจริงแล้วจะไปด้อยกว่าคนโง่คนไม่เข้าท่าอย่างนั้นได้อย่างไร
ทองแก้ว..ทำไมไม่เทศน์ให้คนมาเยอะๆ
พ่อครูว่า…เราไม่ต้องการคนเยอะๆเราต้องการคนจริง อาตมาพูดนี้เป็นสิ่งที่อาตมาเลือกเฟ้นไว้แล้วในตัว อาตมาไม่ต้องการคนไม่เข้าท่า ขนาดคนที่ตั้งใจมาจริงๆยังยากเลย อาตมาจะหาเรื่องยากใส่ตัวทำไมขนาดนี้ยังยากแล้ว อาตมาฉลาดนะไม่ใช่โง่เหมือนคุณ
_ทองแก้ว..เมื่อก่อนพ่อครูเทศน์ธรรมะไม่เหมือนกับตอนนี้พวกนิรุตติภาษาจะมีมากกว่า ฟังแล้วเข้าใจง่ายเมื่อก่อนจะเข้าใจยาก ตอนนี้มันพริ้วสละสลวยเข้าใจง่าย
พ่อครูว่า ค่อยๆทยอยเอาออกมา ค่อยๆดึงสภาวะและบัญญัติภาษาที่ค่อยๆขึ้นมาไม่ใช่ว่า พรึ่บมาทีเดียว
อาตมามีสิ่งที่ได้สัมผัส หรืออ่านหนังสืออ่านพระไตรปิฎกก็ทำให้มีเหตุปัจจัยข้อมูลหลักฐานมีภาษาบัญญัติ มาอธิบายได้
ดีที่ฟังได้ และขอให้บรรลุอรหันต์ไวๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อยู่กับคนหลากจริตได้อย่างไม่ทุกข์
_ดิฉันเป็นครูสังกัดโรงเรียนในกทม.แห่งหนึ่ง ที่โรงเรียนมีเพื่อนครูหลากหลายจริตนิสัยมีทั้งช่างพูดคุยใจกว่า โอบอ้อมอารี ปากจัดชอบนินทาว่าร้าย ฯลฯ อยู่คนหนึ่งชอบหาเรื่องหาราวไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งนักการภารโรง ขอพ่อครูกรุณาแนะนำวิธีการอยู่ร่วมกับเขาด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…คุณก็อยู่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว คุณอย่าไปทะเลาะกับเขาก็แล้วกัน คุณเข้าใจเขานั้นดีแล้ว รู้ว่าเขาคนนี้เป็นคนอย่างนี้ เราไปบังคับคนที่เขาจะเป็นอย่างนี้คุณบังคับได้ไหม ก็ไม่ได้ ให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ไหม ก็ไม่ได้ คุณจะอยู่ตรงนั้นก็อยู่กันคุณเข้าใจเขาให้ได้ เมื่อเข้าใจเขาให้ได้เขาก็เป็นเช่นนี้แหละ ตถตา เมื่อเราเข้าใจเขาเป็นเช่นนี้ก็จะไม่สงสัยไม่ขัดข้อง ก็เขาเป็นอย่างนี้ คุณก็สบายใจแล้ว คุณทำให้เป็นอย่างที่อาตมาว่านี้ก็แล้วกัน
พระอรหันต์จะรู้ว่าคนนี้เขาเป็นอย่างนี้ๆ แม้จะคบกันใหม่ๆว่าคนอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ถาวรหรือจะเป็นอย่างนี้ไม่ถาวรก็จะรู้ ก็รู้ความจริงตามความจริงแล้วรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วมันก็มีความแตกต่างกันไป
ผู้ที่สำเร็จ Unity of diversity ทุกอย่างมันก็คือสิ่งที่หลากหลาย ไดเวอร์ซิตี้ แล้วก็จบคือ Unity of diversity เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็หลากหลายแตกต่าง คุณก็เข้าใจสิ่งนั้นตามนั้นแล้วพูดกับเขาให้ได้เป็นประโยชน์ตรงกับที่เขาควรจะได้พูดกับเรา อย่างเป็นมิตรอย่างเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์แก่กันและกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อุทิศส่วนกุศลไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
_การอุทิศส่วนกุศลซึ่งทำไม่ได้จริง ต่างหรือเหมือนกับการแผ่เมตตา ที่เปิดตอนเที่ยงวันสันติภาพ
พ่อครูว่า…มันเพี้ยนไม่ค่อยตรงทำความหมายจริงเท่าไหร่ อุทิศแปลว่าเจตนา อุทิศไม่ได้หมายความว่าให้นะ อุทิศไม่ได้แปลว่าให้ อุทิศแปลว่าเจตนาจงใจ จงใจจะให้เกิดกุศลคืออุทิศส่วนกุศล
คำว่าส่วนกุศล อาตมาก็ไม่รู้ว่า อุทิศส่วนกุศลมันมีในศาสนาพุทธหรือเปล่า แต่ศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยม เขาก็มีการส่งให้ผู้ที่เป็นวิญญาณที่ยังไม่ตาย แต่ศาสนาพุทธมันไม่มี อุทิศส่วนกุศล ภาพแปลอุทิศว่าเจตนา แต่ว่าส่งไปให้ถึง ถ้าไปแปลอย่างเบี้ยวบาลีมันไม่มีหรอกในศาสนาพุทธ แต่ถ้าถูกต้องตามบัญญัติภาษา อุทิศแปลว่าเจตนาให้เกิดกุศล อุทิศส่วนกุศลจะเกิดกุศลส่วนน้อยส่วนกลางส่วนมากก็แล้วแต่ ถ้าอย่างนี้ทำได้ แล้วก็ทำกับคนเป็นๆ ศาสนาพุทธไม่ได้ทำกับคนที่ตายไปแล้ว คนตายแล้วไปอุทิศก็แปลผิดว่าส่งไปให้ เจตนาจะให้ถึง อุทิศแปลว่าเจตนาจะให้ถึง เอากุศลนี้แบ่งไป ถ้าบอกว่ากุศลแบ่งกันได้ก็เป็นการค้านแย้งกับพระพุทธเจ้าที่บอกว่ากรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม การทำกุศลของคนไหนก็คนนั้นแล้วจะไปแบ่งให้คนนั้นคนนี้ ก็เป็นการขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า ทำไมทำคำสอนพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยน ใครแบ่งกุศลให้คนอื่นได้คนนี้ไม่เข้าใจศาสนาพุทธและคนนี้กำลังทำบาป เพราะทำให้ศาสนาพุทธเพี้ยนผิด
ต่างหรือเหมือนกับการแผ่เมตตา ที่เปิดตอนเที่ยงวันสันติภาพ
คำว่าแผ่เมตตา ถ้าหากเข้าใจว่า เมตตาจริงๆแปลว่าจิตของใครก็แล้วแต่สัมผัสอันนี้แล้วเห็นแล้วก็น่าสงสาร น่าจะช่วยเหลือเรียกว่าเมตตา เสร็จแล้วคุณก็ลงมือช่วยเหลือเรียกว่ากรุณา ช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาเป็นสุขตามควรได้แล้ว จบเสร็จ มุทิตา ยินดีด้วยที่เขาพ้นทุกข์ แล้วก็วางใจ นี่คือพรหมวิหาร 4 แต่เดี๋ยวนี้อธิบายเลอะ อธิบายเป็นภพชาติไปหมด
ของพระพุทธเจ้าคือการกระทำที่ช่วยเหลือกัน พรหมคือการช่วยเหลือการช่วยเหลือมนุษยชาติ เราสัมผัสกับคนนี้แล้วเห็นว่าเขาเป็นทุกข์เราก็คิดว่าจะช่วยเขาต้องการให้เขาเป็นสุขก็อันเดียวกัน แต่เขาแปลเมตตาว่า ต้องการให้เขาเป็นสุข กรุณาคือต้องการให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตาคือวางเฉย
อุทิศส่วนกุศลนั้นเขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปเยอะแยะ ส่วนแผ่เมตตาก็อีกอย่าง
หากเห็นเขาเป็นทุกข์ต้องการให้เขาเป็นสุข หรือกรุณาคือลงมือช่วย แล้วก็วางใจ นี่คือ พรหมวิหาร 4 แต่ไปใช้คำว่าแผ่เมตตาคลุมไปหมด ต่างจากอุทิศส่วนกุศลไปให้ มันเป็นความหยาบใหญ่เป็นก้อนเป็นแท่ง ก็มีสิ่งที่ต่างในรายละเอียดอย่างนี้
_ละออง วันนู..พ่อท่านพยายามจะอายุยืนยาว พ่อท่านใช้พลังงานอะไร ใช้พลังงานพิเศษอะไรที่นอกเหนือจาก 8 อ
พ่อครูว่า..ใน 8 อ.นี้
-
อันที่หนึ่ง อิทธิบาทเป็นหัวเรื่องเลย ต้องใช้ความยินดีที่จะต่อชีวิตและมีความพากเพียรมีวิริยะจิตตะวิมังสา
-
อารมณ์ เป็นนามธรรมแล้ว ทุกวันนี้สอนเรื่องเวทนาในเวทนาและพยายามปรับปรุงพัฒนาให้เป็นอรหันต์ ศาสนาพุทธสำคัญที่เวทนา ทำที่เวทนาจบที่เวทนา เพราะในธรรมะทั้งหลายแหล่มันมี 2 ทเวธัมมา ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60