611210 รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 29
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1oQB_QfQZEssyAAu1RFK6NxvoR0kyOGc5T23IQKDhfwc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1axexqPKP88klM0Q3TB2Ixmj6NLILSxNY
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคมวันรัฐธรรมนูญ 2561
_สิริมา หายโง่ …จาก ความอ้างถึง หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวว่า ปัจฉาสมณะ หอกข้างแคร่ แต่เนื้อหาเป็นธรรมะ ดิฉันว่า นี่คือเนื้อหาในระดับตื้น เพื่อให้เกิดการวิพากวิจารณ์กัน เพราะเป็นระยะใกล้เลือกตั้ง สมัยพล.ต.จำลอง ลงสมัครเลือกตั้ง ผู้ว่ากทม.มีการพาดหัวหนังสือพิมพ์ ชายตัดผมสั้นตัดผมเกรียน นั่งดื่มเบียร์อยู่ เป็นวิชามารที่ตื้นเขิน เป็นวิชาเต้าข่าว ของพวกที่ไม่หวังดี ขอให้พี่น้องอย่าหวั่นไหว ต่อไปอาจมีอีก เรื่องนี้หากมีคนมาถามกับดิฉัน ดิฉันจะยิ้มน้อยๆ แล้วตอบสั้นๆว่า ไร้สาระ เป็นการปิดประเด็นคำถาม
ที่เขาพยายามเขย่าองค์กรอโศก เพราะว่ารัศมีความจริงแยงตามาร เป็นเรื่องธรรมดาที่มารต้องใช้วิชามาร
พ่อครูว่า… อาตมาว่าอาตมาเข้าใจเพราะได้มีชีวิตเผชิญเรื่องเหล่านี้มา มากพอสมควร พระโพธิสัตว์ศึกษาตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าศึกษาความเป็นมนุษย์กับสังคม สัมผัสสัมพันธ์กับเกิดประโยชน์เกิดโทษต่อกัน ก็เท่านี้ แล้วท่านก็ศึกษาเพื่อจะช่วยให้เขาอยู่กันอย่างไร จึงจะเป็นการอยู่อย่างสงบ สมานกันได้ จะไปบังคับให้คนมีความเข้าใจมีความคิดความรู้เท่ากันไปหมดไม่ได้หรอก จะทำได้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น ที่จะให้เท่ากันคือ คุณต้องทำให้ความรู้ที่สูงที่สุดที่คนจะทำได้คือเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาก็มีความรู้ยังไม่ถึง แม้จะหนักหนาเหน็ดเหนื่อยยังไงก็สู้ นับวันยิ่งเหนื่อย เพราะว่ามันเสื่อมมาก คนเสื่อมมาก จะกอบกู้ช่วยเหลือคนให้กระเตื้องขึ้นมาบ้าง เข้าใจรู้ทำให้ตนเองเจริญขึ้นก็พยายาม แล้วก็ช่างกระไร เขาก็ยิ่งทำตนให้เก๊มากขึ้นๆ
เขาไม่ได้เห็นใจเรา หากเขาเห็นใจเราก็คงไม่ได้ทำให้ตนเองแย่ จนกอบกู้ได้ยาก เขาไม่เห็นใจไม่รู้ว่าเราทำอะไร แต่เขาทำอย่างน้นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่ามันเสื่อมต่ำ แย่ลงๆ
อาตมาเองยิ่ง พัฒนาตัวเองขึ้นมา เป็นมนุษย์ที่รู้มนุษย์สังคมขึ้นมาเรื่อยๆ มันหลากหลาย ในความแตกต่างความยึดถือของมนุษย์ นับวันก็ยิ่งมาก
(มีดช.ภูมิพุทธมากราบหลวงปู่ที่ตัก) คือลึกๆแล้วเขาซื่อจริงใจ มีมาในตัวของเด็กไม่เดียงสา เป็นความจริงใจของเขา ธรรมดาเด็กไม่เข้าใกล้พระหรอก เขาเกรงกลัว แต่จริงๆมีจิตลึกๆที่ว่าผีกลัวพระ แต่ทีนี้จิตเด็กคนนี้ไม่เป็นเด็กผี จิตเป็นพระลึกๆเขาสนิทสนมกับอาตมาด้วย เขาพึ่งจะมาด้วยซ้ำไป สิ่งเหล่านี้เป็นความบริสุทธิ์ที่ฝังลึกในปัญญา เป็นสัญชาตญาณ ก็มาแสดงบทบาท สัตว์เดรัจฉานก็มีสัญชาติญาณแม้ไม่มีใครสอนก็รู้ตัวเอง (ดช.ธรรมะมากราบหลวงปู่แล้ววิ่งตื๋อออกไปเลย แล้วหลวงปู่ก็เรียกให้ทั้งธรรมะและธัมโมมาหาหลวงปู่)
ชีวิตเด็กเข้ามาเขาก็มี osmosis ก็มีสีสัน ไม่งั้นก็จืดๆ ก็ขออนุญาตแซมมาบ้าง
อาตมาว่าชีวิตมันสนุก ถ้าสามารถที่จะพ้นความทุกข์ได้ จิตของใครสามารถพ้นทุกข์ได้ อยู่กับโลก หากไม่มีจิตโพธิสัตว์จะเบื่อ สังคมน่าเบื่อชีวิตน่าเบื่อ นิพพิทา เพราะงั้นจิตที่ไม่มีโพธิสัตว์ เมื่ออยู่เหนือสังคมได้ ก็ไม่ยินดีอยู่ต่อ พอตายไปก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป
จริงมีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขั้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกแต่ผู้พ้นจริงๆได้แล้วสามารถพิสูจน์จิตที่หลุดพ้นแล้วไม่อยากจะอยู่กับอันนี้แล้วก็พยายามศึกษาว่าสังคมอยู่อย่างไร จะช่วยเขาได้ไหม ควรช่วยไหม ควรถามว่า ควรช่วยไหม…คุณก็ตอบกันได้ ว่าควรช่วย
ถ้าใครบอกว่าไม่ควรช่วยก็ใจดำเลย มันควรช่วยเพราะมนุษย์นี้น่าสงสาาร เขาหมุนเวียนในสังสารวัฏ น่าสงสาร เป็นความจริงที่ควรช่วย ความจริงจึงเป็นสัจจะของผู้ที่เมื่อยกจิตขึ้นสู่ปัญญาสู่ความควรรู้ ทั้งที่มันน่าเบื่อหน่าย เมื่อคนหลุดพ้นความน่าเบื่อหน่ายนี้ได้แล้ว เราไม่ไปแย่งชิงอะไรกับโลกแล้วก็รู้ว่า ตัวจะอยู่อย่างไร ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็คือ 1 อัตตาหิอัตโนนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา ก็รู้ว่าตนก็ต้องพึ่งตนสิ แมวหมาก็ยังพึ่งตัวมันเอง มีหมาที่คนเอามาเลี้ยงจนมันเสียนิสัย หมาเลยเสียหมาเลยเลี้ยงตัวเองไม่เป็นต้องพึ่งคน
คนใดที่เอาสัตว์มาเลี้ยงประคบประหงม จนมันเสีย คนนั้นก็บาป แต่เขาเข้าใจผิดว่าเขาได้ช่วยเหลือหมา แต่แท้จริงแล้วเขาทำให้หมาเสียหมา
สัตว์มันก็บำเพ็ญเลี้ยงตัวมันเอง มีแต่คนนี่แหละ ประหลาดไหม พอคลอดออกมาพ่อแม่ไม่เลี้ยงก็ตายเลยนะ คนต้องใจไม่ดำ ใจดำไม่ได้ต้องเลี้ยงเด็กเลี้ยงลูก โดยเฉพาะลูกตัวเองต้องเลี้ยง
อาตมาว่า อาตมาพ้นขีดที่จะอยู่กับสังคมมนุษย์ว่า เห็นแล้วมีแต่น่าสงสารน่าช่วยเหลือมันเหนื่อยหนัก ยิ่งโลกเสื่อมทุกวันศาสนาพุทธเสื่อมลงก็ยิ่งยาก ศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อมแต่คนเสื่อม เข้าใจผิดในความหมายศาสนาพุทธแล้วยึดถือผิด เอาไปปฏิบัติผิดน่าสงสารมาก จนไม่สามารถใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าปฏิบัติให้ตนเองพ้นทุกข์ได้ ก็เสียเลย เสียธรรมะพระพุทธเจ้า เพราะท่านสอนไว้เพื่อให้คนเอามาศึกษาเพื่อการพ้นทุกข์
แล้วคำว่าพ้นทุกข์นี้ลึกซึ้งมาก พ้นทุกข์นี้
ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือไปหลงลาภ ไม่ได้ลาภมาก็ทุกข์ หลงยศ ไม่ได้ยศก็ทุกข์ ใครมานินทาว่าร้ายก็ทุกข์ หรือไม่ได้สิ่งที่ตนเองอุปาทานไว้ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แม้แต่ไม่ได้สมอัตตาก็ทุกข์
นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสอนไว้ชัด ท่านจึงสอนให้อย่าไปยึดถือไปหลงก็เท่านี้แหละมนุษย์ เมื่อมาเรียนรู้ไม่ต้องแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแล้ว ไม่แย่งแล้วทำอะไร กำลังไปไหน กินข้าวกินน้ำเปลืองพืชพรรณธัญญาหาร ที่ต้องใช้สอย ต้องมีที่อยู่ พระพุทธเจ้าว่าพอตรัสรู้มารก็ว่าตายเสียเลยดีกว่า อยู่ไปก็หนักแผ่นดิน เหมือนกัน บรรลุอรหันต์แล้วจะทำอะไรก็ตายเสียสิ ก็บรรลุแล้วจบแล้วก็เหลือแต่ว่าเราพ้นทุกข์แล้ว พ้นเรื่องที่ตรงข้ามกัน ก็มีธรรมะสองดีกับไม่ดี ควรกับไม่ควร เราก็รู้ความควร ความดี อะไรไม่ควรไม่ดี เราก็แนะนำอธิบายคนอื่นต่อ เพราะเขาไม่รู้
_น้ำมนต์ ..ทำไมคนต้องปฏิบัติธรรมคะ
พ่อครูว่า…ใครบอกให้มาถามหลวงปู่…(ถามเอง) ต้องเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร หนูรู้ไหม ธรรมะเป็นของดีหรือไม่ดี ..ดี หากเราปฏิบัติให้เป็นธรรมะมันดีไหม…ดี เพราะฉะนั้นคนจึงต้องปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติคืออะไรรู้ไหม? …เริ่มรู้…แล้วเราปฏิบัติคืออะไร?
หนูปฏิบัติตัวเองไหม …เป็นบ้าง ปฏิบัติแปลว่าทำ เราทำตนเอง ทีนี้ทำตนเองให้เป็นธรรมะ ธรรมะคือของดี ก็ปฏิบัติให้ตนเองให้เป็นคนดี น้ำมนต์เข้าใจแล้วแต่ผู้ใหญ่จะเข้าใจหรือยัง
ภาษาธรรมดาแต่คนไม่ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ที่จริงภาษามีครบ ดีๆทั้งนั้น แต่ตนเองได้เข้าไปถึงสภาวะนั้นหรือไม่ พูดกันดีทั้งนั้นเลอเลิศ แต่ตนเองเข้าไปถึงขั้นไหนในความหมายดีๆนั้นบ้าง อาตมาสรุปในโลกมีเทวะคำเดียว เทวะคือสอง
สองคือ ภาษากับสภาวะจริง ทั้งนั้น แล้วทุกวันนี้คนสับสนภาษากับสภาวะจิต คนอยู่กับภาษาไม่เข้าถึงสภาวะจิต เข้าถึงน้อย รู้ภาษาดีๆๆ แต่เข้าถึงสภาวะน้อย แค่นี้
ศาสนาพุทธตีแตก สภาวะกับภาษา ธรรมะสอง แล้วทำสภาวะให้ดีตามภาษาให้ลงตัวเป็นหนึ่งให้ได้ ต้องแยกแยะกรรมกิริยาของตนเอง กายกรรมดี กับสภาวะและภาษาเป็นหรือยัง
สภาวะกับภาษาดี คุณเป็นตามที่รู้หรือยัง กาย วาจา จิต ก็เท่านี้ ถ้าทำได้ดี ทีนี้ เทวนิยมไม่แยกแม้แต่สองสภาวะกับพยัญชนะไม่แยกเลย ดีอยู่ไหนก็อยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าเป็นไงไม่รู้ ตีไม่แตกแยกไม่ได้ คำสอนของพระเจ้าก็ไม่เข้าถึงสภาวะเอาแต่ภาษาอีก พุทธก็เหมือนกัน เป็นเทวนิยมกันเสียเกือบทั้งนั้น อาตมามาบวช โดนผู้รู้ที่คนว่ายอด ตีอาตมาว่า หาว่าอาตมาพูดสภาวะกับพยัญชนะสลับกัน ไม่หมายตามที่ท่านหมายไว้ จนเดี๋ยวนี้ท่านจะเข้าใจอาตมาแค่ไหนว่าอาตมาเข้าใจสภาวะกับพยัญชนะแค่ไหน คนรู้จบ แยกสภาวะพยัญชนะได้ แล้วทำให้เป็นหนึ่งเดียว สิ่งที่เป็นพยัญชนะบอกว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี แล้วสภาวะทำให้ดีหรือไม่ดี เป็นหนึ่งเดียวกันก็จบ นี่คือสุดท้ายที่สรุปในคำสอน ความจริง
ของพุทธเข้าใจยากที่สิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ขัดแย้งลงตัวเป็นหนึ่งเดียวก็เท่ากับสิ่งหยุดสิ่งไม่เคลื่อนไม่ต้องมีสอง หนึ่งนี้มันจะคือครบทั้งหมด คือ 0
คำว่า 0 คำนี้ จึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเลย รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ที่ตรัสรู้จะมีความรู้สึกอย่างนั้น พอรู้สึกว่าตัวเองรู้จบ รู้เป็น 0 รู้ครบ มันเป็นอจินไตย พอรู้แล้วจะรู้สึกว่า มันจะมีอะไรที่เราไม่รู้อีกหรือ มันจะมีความรู้สึกนี้ ในพวกเรานี้ผู้ที่เกิดอาการอย่างนี้มี
มีคนหนึ่งที่เกิดอาการนี้แล้วแสดงออกมาเลย แสดงพยัญชนะภาษา แสดงจริงใจเลย อาตมาได้รับพอดีที่ท่านแสดงอาการนี้ออกมา
มันเป็นอาการที่รู้จบ รู้จบนี่ก็ไม่ใช้ว่ารู้จบทีเดียวรอบเดียวนะ โอ้โห (ดช.ภูมิมาส่งสาร) มันก็เป็นรอบๆๆ เพราะฉะนั้นคนเรา มันเคยคิดเคยพิจารณา เคยพยายามจะรู้ให้ได้อยู่ในรอบอะไรก็แล้วแต่ ทำไมไม่ลงตัวข้องขัด พอรู้ได้ อ๋อก็จะเกิดความทะลุละลวงก็จะอุทานว่าจะมีอะไรให้เรารู้อีก ประเดี๋ยวก็จะรู้ว่ามีอีกเพราะมีเหตุปัจจัยในรอบต่างๆมีอีกให้รู
เช่นเดียวกับอรหันต์แล้วจะมาศึกษาโพธิสัตว์เช่นเดียวกับอาตมา ก็จะต้องเรียนรู้สิ่งที่ตัวเราเองไม่เคยเป็น ต้องเรียนรู้เพิ่ม ส่วนที่ตัวเราเองเป็นมาแล้วอรหันต์เคยเป็นมารู้จบแล้ว อรหันต์ก็จบในตัวเอง โพธิสัตว์จึงคือผู้เรียนรู้ผู้อื่น ช่วยผู้อื่น ส่วนคนที่เหมือนตัวเรา เราช่วยได้แน่นอน แต่คนอื่นที่ไม่เหมือนตัวเรา เราไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไร โพธิสัตว์จึงต้องมาเรียนรู้ผู้อื่น ประโยชน์ตนหมดแล้วเหลือแต่ประโยชน์ท่าน เราจะรู้ผู้อื่นจนกระทั่ง คนอื่นที่เขาว่ารู้กว่าเราเขารู้บัญญัติมากกว่าเราแต่เขาไม่มีสภาวะเท่าเรา
พระพุทธเจ้าอุบัติมาในโลกไม่ใช่รู้ทุกอย่างทันที แต่ค่อยๆรู้ตามลำดับมาเรื่อยๆ ของเก่าที่รู้มาแล้วก็ค่อยตามมาเรื่อยๆ แม้แต่อาตมาก็ตาม เอาแต่ของเก่าที่อาตมารู้ พันเป็นเอนก โพธิสัตว์คือผู้มีลูกจำนวนพันเป็นเอนก ก็มาสอนลูกที่แตกต่าง พันเป็นเอนกก็จะได้ช่วยเขาไปเรื่อยๆ จนหลายพันเป็นเอนกๆ ก็มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากไปเรื่อยๆ
อัตภาพตั้งแต่เซลล์เดียว จนกว่ามาเป็นหลายเซลล์จนมาเป็นมนุษย์ มนุษย์อเวไนยสัตว์ก็อีกหลายล้านชาติ จนกว่าจะเป็นไวไนยสัตว์โลกีย์วนเวียนในดีชั่วแล้วก็ลืมวนอีก เป็นสมบัติผลัดกันชม แย่งกันดีแย่งกันชั่ว ผู้แย่งได้สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่งก็เป็นศาสดาแล้วก็วนอีกไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะดีแล้วจะหลงดี จะไม่รู้จักตัวตนโลกียะ ไม่ได้ละตัวตน หากยึดตัวตนว่าดี สุดท้ายคนอื่นจะมาชิงดี คนก็ผยองลืมตัว คนที่ไม่ผยองลืมตัวก็จะดีกว่าได้ทดแทนไป ก็ไม่เที่ยง แม้ศาสดาก็ไม่เที่ยง แต่หากเป็นศาสดาของพุทธจบสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็ไม่มีใครมาแย่ง
มีคนถามว่าเป็นพระพุทธเจ้าสุดยอดแล้วจะปรินิพพานทำไม อยู่ช่วยโลกไปสิ คนเขาไม่รู้ว่า คนเป็นพระพุทธเจ้านี้สอนคนช่วยโลกมาจนเบื่อแล้ว โพธิสัตว์ก็สอนคนมาไม่รู้กี่ล้านปีน่าเบื่อจะแย่ เพราะฉะนั้นให้ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปสิ พระพุทธเจ้าไม่มีภพชาติแล้วไม่มีสองสมัย กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านี้สอนคนมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว
_กิ่งธรรม…การเพิ่มสัมประสิทธิ์ลูกเข้าใจว่าต้องเพิ่มอธิศีล อธิจิตอธิปัญญา ไป การเพิ่มก็มีบวก คูณ ยกกำลัง เอาอะไรมาตัดสินว่า บวกหรือคูณหรือยกกำลัง
พ่อครูว่า..เราจะรู้ได้ด้วยฐานจิตที่เรียกว่าปัญญา จะรู้พลังสัมประสิทธิ์คือพลังงานที่มีอัตราการก้าวหน้า อาตมาเข้าใจนัยยะพลังงานฟิสิกส์เขา พลังงานคนที่สามารถสร้างสัมประสิทธิ์คือรู้จักอัตราความเร่ง ที่สังเคราะห์เป็นนิวเคลียสมีพลังงานสูงสุดเท่าไหร่แล้วสามารถแยกบวกลบ บวกเป็นตัวตั้งที่แข็งแรง ลบเป็นตัวตั้งที่เร็ว ต้องแข็งแรง และรวดเร็วคู่กันเสมอ ทั้งสองอย่างต้องแน่น แข็งแรง มีแรงเหวี่ยงเร็วมากเท่าไหร่ก็ไม่มีคลอนแคลนกระดิกเลยสมบูรณ์ จะให้มากขึ้นก็เพิ่มตัวเร่ง ตัวเร่งก็ทำให้แข็งแรงขี้น หากแข็งแรงระดับบวกคนรู้ได้ยาก เขาจึงเอาระดับคูณไปถึงยกกำลัง จึงพอรู้แรงเคลื้อน ยิ่งเร็วนี้รู้ยาก จับไม่ทัน คุณก็ต้องสร้างธาตุรู้ที่จะรู้ทันให้ได้ แม้วัตถุก็มีเครื่องจับ มิเตอร์จับ เพราะคนหมดสิทธิ์ใช้มิเตอร์เป็นเครื่องวัด นัยยะมนุษย์จะวัดจิตต้องใช้มิเตอร์ตัวเองเป็นเครื่องวัด
ตัวแปรที่เพิ่มพลังงานขึ้นเราต้องรู้ คนสามารถเรียนรู้ขั้นนี้ ควรเพิ่มพลังงานดี (กิ่งธรรมว่าเราต้องทำงานทำอะไรได้มากขั้นเพิ่มขึ้น) เราต้องรู้ว่าเพิ่มดี ไม่เสียหายต่อโลก พลังงานจิตเรา เราต้องรู้จิตเรา สามารถทำพลังงานจิตเรา ไม่มีอะไรพิสูจน์ดีเท่าเพื่อขยายอายุขัย จะเทียบวัตถุอะไรไม่เห็นชัดเท่าเลย เอามาขยายความเจริญของชีวะ
อาตมายอมรับว่าไม่เก่ง อธิบายนัยละเอียดอย่างคุณถามมา จะให้คุณอ๋อทันที ยังไม่เก่ง พยายามอยู่ พยัญชนะบาลีมีแต่อาตมาไม่เก่งแม้เอามาใช้พวกคุณก็หัวหมุน ขนาดนี้คุณยังแย่ หากเอามาใช้อีกจะไปไกลเกินจนทิ้งกันไม่คุ้มมันเสียมากกว่าดี
ชีวิตคนสามัญ อายุร้อยก็ยากแล้ว แล้วอายุเก้าสิบก็เป๋แล้ว นั่งวิลแชร์กันแล้ว อายุร้อยนี่ ที่จะไม่นั่งวิลแชร์เดินเหินแข็งแรงได้นี่หาได้ยาก มีบ้างนะมี อาตมาเคยเห็นเขาออกทีวี เดินเหินทำงานได้แต่นอกนั้นหากร้อยก็วิลแชร์หรือนอนติดเตียง แต่ไม่ตายเท่านั้นเอง แต่อาตมาจะพยายามพิสูจน์แม้อธิบายไม่ได้แต่ก็พยายามเก่ง มีสูตร E=C(mc2+A)
ไม่รู้นักวิทยาศาสตร์จะว่าบ้าไหม C คือสัมประสิทธิ์ก็คือ mc2+A ตัว A คือ abstract คุณต้องพยายามจับให้ได้ A คือ mc2 จนกว่า แล้ว ได้ A มาบวกไปเรื่อยๆ จนได้ mc2+A ก็คือ C
ไปได้เรื่อยๆคุณจะสร้าง mc2+A กี่ร้อยชุดก็ตาม ถ้าสามารถ อาตมาก็พยายาม อาตมาใช้สังขารร่างกายมา แต่เด็กก็ไม่ควรจะแข็งแรงขนาดนี้ อาตมาก็พยายามทำ 8 อ.ให้แข็งแรงขึ้น ทุกวันนี้ก็ได้ขึ้นมานะ แต่นี่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นมันก็ได้อยู่ หากอาตมาอยู่อีกห้าปี อาตมาก็ 90
90 อาตมาแอคทีฟอย่างนี้อยู่ แต่คนยิ่งอ่อนแอลง แต่ถ้าอาตมาแค่รักษา 85 หรือ 90 ก็เท่าเดิมเท่านี้ก็เท่ากับมีสัมประสิทธิ์หากยิ่งแข็งแรงกว่าอีกก็ยิ่งแท้ก็ดูไป
_สม.กล้าข้ามฝัน…จากหนังสือคนจนที่มีแบบ และคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เราไปเทียบกับอ่านหนังสือเล่มอื่น เขาว่าอ่านจบ แต่ดิฉันว่าอ่านไม่จบ แล้วแต่เรามีสภาวะ พอไปอ่านอีกเหมือนไม่ได้อ่านเลย ไม่เหมือนหนังสือทางโลก แล้วแต่เราสภาวะอย่างไร หากวันไหนสภาวะเราดีก็ได้อีก ไม่ถาวร เป็นอย่างนี้ทุกคนไหม?…เป็นก็เลยว่าอ่านไม่จบนะ
พ่อครูว่า…มันวนแต่ก็ขยาย เหมือนกันปีใหม่ เปลี่ยนเวียนวาน ผ่านผัน เมื่อครบวันก็จะมีวันปีใหม่
_ตอนแรกดิฉันตั้งใจไว้ผิด ว่าอ่านคนจะมีธรรมะดีกว่าคนจนที่มีแบบ แต่ว่าในข้างในคนจนที่มีแบบนั้นลึกๆมาก ดิฉันดีใจที่จะมีการสอบ
การสอบตอนนี้เลื่อนฐาน แต่ก่อนอยากได้เหรียญ แต่ตอนนี้ไม่มีเหรียญทองคำให้ ตอนนี้เข้าสู่โลกุตระเพียวๆ มันเหมือนได้โลกุตระร้อย%
พ่อครูว่า…ยืนยันความจริงตามจิตเราแต่ละคน เราอยากรู้ว่าเราจะแค่ไหน ยิ่งพวกเราพยายามเอาบัญญัติพระพุทธเจ้ามาสรุป ตีกรอบ
โสดาบันต้องมีจิต กายวาจาใจอย่างนี้มันทำได้ เพราะว่ากรอบโสดาบันทำได้แต่กรอบสกิทาก็ยากขึ้นกรอบอนาคา อรหันต์ ผู้ได้ก็กำหนดกรอบตัวเองได้
พวกเราศึกษาธรรมะแล้วเอาจริงทำเกิดผล แต่ทางโลกน่าสงสาร ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็เหลิง การบวชเป็นอาชีพชนิดหนึ่งของมนุษย์ ส่วนผู้มาบวช ตั้งใจหลุดพ้นก็มีแต่เทียบกันไม่ได้ เขาถือว่าเป็นพระป่า พวกบวชไม่อยากได้หลุดพ้นเป็นพระบ้าน เทียบไม่ได้เลย พระสามแสนรูปจะมีพระป่าถึงห้าหมื่นไหม ไม่ถึง นอกนั้นเป็นพระบ้านหมด
ยิ่งดูแล้วน่าเห็นใจน่าสงสาร แต่ผู้บงการศาสนาคือผู้หันไปหานรก ก็เลยยากมากๆ พูดเขาก็ว่ามาจากไหน ทำเก่ง โบราณาจารย์สอนมาอีกแบบ คือเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ คนตาบอดไปดูหนังมีเสียงก็ยังดี แต่นี่คนตาบอดจูงตาบอดไปดูหนังใบ้ คนตาบอดกับหูหนวกไปดูหนังใบ้ ตาก็ไม่เห็นหูก็ไม่ได้ยิน..จบหรือยังเขาว่าจบก็จบ
_หมาเฒ่า..อารมณ์ค้าง จากที่พ่อครูตอบปัญหาสำมะปี๋ที่สันติฯมีญาติธรรมถามว่าทำไมพ่อครูให้ชุดชาวอโศกเป็นสีน้ำเงิน รู้สึกไม่เคลียร์นิมนต์พ่อครูตอบเพิ่ม
พ่อครูว่า…อาตมาถามดูว่าในประดาสีแม่สี แดงเหลืองน้ำเงิน เราชอบสีไหนมากสุด อาตมาก็ว่าอาตมาชอบสีน้ำเงินมากกว่า ก็ตอบไปแล้ว ..เขาอยากรู้อจินไตย
คือแม่สีจะทำให้ตายอย่างไรในโลกก็มีแม่สี แดงเหลืองน้ำเงินก็เท่านั้นเอง อาจสงสัยอจินไตยคืออาตมาหมกเม็ดว่า ในคนไทย นี่มีสีแดงขาวน้ำเงิน
สีน้ำเงินคือพระมหากษัตริย์ คือมนุษย์ ชาติศาสนาก็ไม่ใช่มนุษย์ ส่วนน้ำเงินคือคน แล้วน้ำเงินมีแถบโตกว่าเพื่อนเท่านั้นเอง เป็นสัจจะชนิดหนึ่ง
_ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0
1 คืออิตถีลิง vs ปุงลิงค์ สู้กันแล้วพอปุงลิงค์ชนะก็เป็น1พอได้แล้วก็ทำเป็น0 คือ นปุงสกลิงค์
เคหสิตะ vs เนกขัมมะ ก็ไปเป็นเนกขัมมะ แล้วเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา แล้วก็ไปถึงที่สุด เพราะว่าเนกขัมมะมีโสมนัส โทมนัส แล้วอุเบกขา ก็จบที่อุเบกขา
ก็ขอขยายความ เคหสิตะกับเนกขัมมะเป็นตัวชี้บ่ง หากไม่สามารถอ่าน เนกขัมมะกับเคหสิตะออก หากคุณทำให้ความเป็นโลกลดลงไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ทุกข์สุขหยาบๆ หากทำให้สุข ทุกข์ลดลงได้เรื่อยก็เนกขัมมะ หากเข้าใจจิตตน ว่าเป็นเคหสิตะ เราปฏิบัติธรรม แต่ก่อนจัดจ้านขนาดนี้ ตอนนี้ทำให้ลดลงได้สัมผัสอีกก็ลดลงได้ คุณก็รู้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ได้เรียนเวทนาสอง
หัวใจของศาสนาพุทธคือธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทำให้เหลือเวทนาหนึ่งแท้ๆ เอกสโมสรณา ตากระทบรูปก็เหมือนกันหมดเป็นเวทนาแท้ ก็เป็นภาษาที่ต่างกันแต่สภาวะแท้เหมือนกันหมด รู้ความจริงตามความเป็นจริง เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็เช่นกัน ต้องแยกเอาเวทนาปลอมทำให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ๆ หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติคือพวกแฝงศาสนาพุทธ อยู่ไปก็ทำให้ศาสนาเสื่อมออกนอกรีตพระพุทธเจ้า ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีฐานในการปฏิบัติ แม้พระสูตรอื่นๆก็ระบุไว้ น่าสงสารพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าออกบวชก็เจอพวกนั่งหลับตาปฏิบัติจนกว่าท่านจะฟื้นคืนความรู้เก่ามาได้ แต่ก็ยังมีพวกฤาษีเดียรถีย์เยอะดึงออกมาไม่ออก แม้แต่ผู้ที่มีปัญญาดีอย่างพระสารีบุตรเจอพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไปหาอาจารย์สญชัย เวลัฏฐบุตร บอกว่าไปหาพระพุทธเจ้าเถอะ สญชัยก็ถามพระสารีบุตรว่าคนโง่หรือคนฉลาดมากกว่ากันในโลกนี้ คนโง่มากกว่า สญชัยก็ว่าเราจะอยู่กับคนโง่จำนวนมากนี้ดีกว่า ก็เหมือนกับปัจจุบัน ดีว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ที่หนังเหนียว ฆ่าก็ไม่ตาย ไม่ยอมตาย เขาก็มองไม่ออก แต่เขาเงียบไปแล้ว เพราะอย่างไรอาตมาก็ไม่ยอมตาย เขาหมดลูกกระสุนแล้วอาตมาอยู่ยงคงกระพัน แต่อย่าเอาลูกปืนมายิงนะ
หากไม่แยกเวทนา 108 มีมโนปวิจาร 18 เนกขัมสิตะกับเคหสิตะ เมื่อแยกตรงนี้อ่านอาการลิงค นิมิตอุเทส สองฝ่ายนี้ได้แล้วแยกได้ แล้วไปจบที่อุเบกขาไม่ทุกข์ไม่สุขไม่มีบาปมีบุญ ไม่มีสวรรค์นรก หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติก็โมฆะทั้งนั้น สงสาร ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ดูได้ถูกจริงเพราะพวกคุณมันผิด แล้วจะให้อาตมาไปอยู่กับพวกผิดก็ไม่ได้
ในธรรมะพุทธเจ้าถ้าเรียนรู้เนกขัมมะ กับเคหสิตะ แยกให้ออกแล้วเข้าใจหัวใจศาสนาพุทธ
_บาป vs บุญ คือบุญหมดสิ้นบาป
พ่อครูว่า..บุญก็หมดด้วย มีพยัญชนะบาลีที่ว่า ปุญญปาปปริกขีโณ เอาบุญไปใช้เป็นกุศลทำให้ศาสนาพังไปหมดเลย มันไม่ใช่สัจจะสาระก็เลยเลอะเทอะ เลยไม่มาทำความเข้าใจว่าพลังงานจะเป็นบุญเป็นอย่างไร ไม่มาเรียนรู้แล้วสร้างพลังงานที่เป็นบุญ คือพลังงานที่ทำให้เกิดอุณหธาตุ เตโชธาตุที่แรง จะ ละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ เมื่อทำได้แล้วบุญก็หายไป บุญไม่ใช่สมบัติ บุญเป็นวิบัติ เกิดในปัจจุบันเท่านั้น ขณะที่สัมผัส รู้ว่านี่คือไฟบาปราคะโทสะโมหะเกิด เราก็สร้างพลังงานไฟบุญขึ้นมาสลายอันนี้ได้ สลายได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าเป็นส่วนแห่งบุญ บาปมีร้อยสลายได้สามสิบคือ ได้คือเสีย เสียบาปไปบุญก็ไม่ได้ตกค้าง พลังงานนี้ไม่ตกค้างทีไ่หนเลย
ไม่มีใครมาอธิบายอย่างนี้ให้ฟังหรอก หาฟังได้ที่นี่แห่งเดียวในโลก จริง ต่อให้ดร.ทางศาสนาพุทธ เป็นฝรั่งเขาก็ไม่พูดอย่างอาตมาหรอก อย่าง Rhys Davids เป็นต้น
หากคุณไม่เข้าใจความรู้อันนี้พยัญชนะอันนี้สภาวะอันนี้ ว่าบุญกับบาป พลังงานนี้แยกไม่ออกเข้าใจไม่ได้ว่าจิตมีพลังงานอย่างไร พอรวมมาเป็นพลังงานสร้างขึ้นมาได้ที่เรียกโดยพยัญชนะ ว่าฌาน
ฌาน แปลว่า ไฟ แต่แปลว่าเพ่ง ก็ผิด ฌานคือพลังงานที่สร้างขึ้นได้จนสามารถละลายพลังงานราคะโทสะ เมื่อทำให้ละลายได้ก็คือเป็นบุญ ขณะที่คุณสร้างนั้นสร้างให้เป็นฌาน แล้วฌาน นี้ภาษาพยัญชนะ ว่า ชา แปลว่ารู้ แปลว่าปัญญา
ปุญญะคือปัญญา สร้างขึ้นมาและมีพลังงานละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ละลายได้ก็จบ เหมือนคุณจุดไฟมาเผาอันนี้สลายได้ ไฟก็หายไปด้วย ไปเก็บเอามาคืน เผาแล้วเอาพลังงานมาเก็บไว้ก็ไม่ได้ ฉันเดียวกัน บุญที่ทำงานเสร็จไปแล้วก็หมดไปจะไปเก็บมาไม่ได้ ยิ่งจะไปสะสมบุญยิ่งไม่ได้ บุญเกิดได้ในขณะนี้ปัจจุบันเท่านั้น แล้วก็ทำงาน ทำงานเสร็จก็สลายไปในตัว เป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่สร้างได้ในปัจจุบัน จะเรียกว่าวินาทีก็นานไป หายวับ สลายบาปให้หมดไป บุญก็หายไปด้วย การไปสะสมบุญเอาไปค้าขาย คำว่าบุญก็เลยเสียไปหมดเลย บุญนั้นเหมือน guillotine ที่เป็นอาวุธร้าย เป็นยอดอาวุธระเบิดนิวเคลียร์ มันมีหน้าที่ทำงานแล้วก็หายไป แต่ว่ากิโยตินยังอยู่นะ อันนี้มันเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ ระเบิดตูมแล้วก็สลายไปเสร็จ มันก็จบไปเลยระเบิดนิวเคลียร์ก็หายไปด้วย ฉันเดียวกัน การสร้างพลังงานบนนี้ให้เกิดได้เป็นเรื่องสำคัญมาก
_พยัญชนะ vs สภาวะ ไปหาสภาวะความจริง แล้วไปหาสภาวะความจริงที่สมบูรณ์
_ปุถุชน vs กัลยาณชน อาริยชนไปหาอรหันต์
_อนุโพธิสัตว์ vs อนิยตโพธิสัตว์
_นิยตโพธิสัตว์ vs ปัจเจกพุทธ
_เทวะ vs อเทวะ
ทั้งหมดมีความถูกต้องสะอาดสอดคล้องกับธรรมะของพ่อครูที่ว่าธรรมะ 2 มีอยู่ตลอดกาลหรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่
_อยากทราบความเห็นตอบกลับ ที่พ่อครู วิพากษ์วิจารณ์ 3 ข้อที่จะมาพิจารณาเพิ่ม
_การฝืนกับชนะสภาวะต่างกัน…
พ่อครูว่า…การฝืนอยู่ถือว่ายังไม่ชนะ จิตคุณฝืนก็ยังไม่ชนะผู้ชนะแล้วก็ไม่ฝืน มีอะไรมากระทบเราก็สบายรู้อะไรตามความจริงตามความเป็นจริงเราไม่ได้ฝืน
_เกร็ดดิน…พ่อท่านไม่รู้จักความเครียด ความเครียดเกิดจากลมหายใจ ลมหายใจสั้นทำให้น้ำดีปิด ทำให้เกิดกรด ดิฉันฝึกทำลมหายใจให้ยาวก็รู้สึกดีและทำให้เข้าใจว่าพ่อครูมีลมปราณที่ดี คนไม่สามารถเป่าลูกโป่งเหมือนพ่อครู พ่อครู มีลมปราณที่ดีมากลึกมาก ทำให้พ่อท่านไม่รู้จักเครียด ลมหายใจพ่อท่านเป็นอัตโนมัติที่มีความลึกและมีพลังมาก เวลาพ่อท่านล้ม จะฟื้นคืนเร็วมาก พ่อท่านจะเพิ่ม Coefficient ก็ต้องทำให้ลมปราณดีขึ้น
พ่อครูว่า…ใช่ๆๆ
_พ่อครูคะ ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุถึงขั้นอนาคามีก็ยังกลัวผีใช่ไหมคะ แล้วก็ยังมีเทวนิยม
พ่อครูว่า…จริงๆแล้ว คำว่าอนาคามีก็กลัวผีอยู่ ถ้าเผื่อว่ายังไม่มีปัญญาไม่เข้าใจคำว่าผีคืออะไร คำว่าผีคืออุปาทาน อนาคามีกับอุปาทาน
อนาคามี คือผู้ที่อยู่เหนือสิ่งสัมผัสภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกสัมผัสแล้วเกิดกิเลสในจิต ที่จะต้องทนไม่ได้จะต้องมีความผลักหรือดูด รักหรือชังมีความโกรธแสดงออกภายนอก อนาคามีไม่มีแล้ว โกรธอย่างไรก็ไม่มีทาง กายกรรมไม่มีทางวจีกรรมไม่มีทาง อนาคามีไม่ทำ เหมือนอย่างอาตมาเคยพูดอธิบาย แต่เขาหาว่า ยุคโน้นที่เขาหาเรื่อง อาตมาอธิบายสภาวะ ว่าโสดาบัน เขายังเตะคนได้อยู่ กายกรรมภายนอก โสดาบันยังทำได้ แต่อนาคามีขึ้นไปจะไม่เตะใครแล้ว มันผ่านสกิทาคามีไปแล้ว แต่โสดาบัน ลดโลภ โกรธก็แค่นั้นแหละทำกายกรรมหยาบ แต่เขาแตะคนได้ แต่ฆ่าคนไม่ได้ ตีได้นะ แต่ไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็คนละระดับ ไม่ได้อธิบายพลความเขาก็ว่าอาตมาจะเตะคนได้ เราก็ไม่ได้มีโอกาสขยายความ คนจะหาเรื่องก็เรื่องของเขา แต่หากเราไม่ได้อธิบายก็ผ่านไป มาพูดตอนนี้ก็เหมือนได้อธิบายแล้วถ้าหากเขาได้ฟังก็อาจจะเข้าใจได้ พูดไปแล้วจะหาว่าแก้ตัวก็แล้วไป
คำว่าผี เป็นอุปาทานภายนอก เห็นเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวตนเห็นวิญญาณเป็นตัวตนซึ่งมันไม่มี แต่คนที่มีอุปาทานเห็นได้เป็นรูปร่างตัวตนก็ได้ แม้มันไม่มีก็ปั้นที่เป็นรูปร่างผีได้ อุปาทานของคุณเหมือนอาตมาอธิบายการสะกดจิตทางวิทยาศาสตร์
สะกดจิตคนแล้วก็บอกว่าบนโต๊ะนี้มีแก้วน้ำอยู่ที่จริงแล้วมันไม่มี เขาก็เห็นว่ามีแก้วน้ำจริงก็จะเอามือคว้า แล้วก็ไม่ได้แก้วน้ำ เราถึงอ่านออกว่านี่ คนนี้ถูกสะกดจิตแล้ว จิตมีอุปาทานว่ามีแก้วน้ำ แต่แท้จริงไม่มี เราพูดกันว่า ลืมตาขึ้นมาแล้วจะเจอเสือ เราก็ต้องคอยจะจับไว้ หรือลองกันว่า สะกดจิตแล้วจะเอาเหล็กแดงเผาไฟนาบที่แขน 1 ที เราก็เอาไม้บรรทัดไปวางที่แขน ก็มีรอยแดงขึ้นมาเป็นเส้นเลยเหมือนไฟไหม้ มันเป็นจริงจิตใจที่มีอุปาทานมันเป็นไปได้ ทางหมอเรียกว่า psychosis เป็นโรคประสาทหลอน จะเกิดการเจ็บปวดอย่างนั้นอย่างนี้ก็ได้ มีเลือดไหลออกก็ได้ ตัวเองทำตัวเองทั้งนั้น
เรื่องผีที่สมมุติกันเป็นเรื่องหยาบ คำว่าผีคือกิเลส อนาคามีจะไม่กลัวแล้ว เรื่องหยาบภายนอกไม่กลัวแล้ว ผีหลอกเป็นรูปร่าง หากสัมมาทิฏฐิจริง โสดาบันก็จะเริ่มเข้าใจอาจจะมีกลัวผีอยู่บ้าง สกิทาคามีก็ค่อยมาเรียนรู้ความจริง มันเป็นสัญญาจะมาติดมาก็จะต้องล้างออกไปซึ่งไม่ง่าย เมื่อเป็นอนาคามีขึ้นไปแล้วก็จะไม่กลัวอะไรหรอก ผีมันไม่มี ที่เป็นรูปร่างตัวตนมาหลอกหลอน พวกเรานี้เอาศพมาตั้งก็เห็นมานอนกันอยู่เต็มไปหมด ชาวอโศกแม้แต่เด็กเล็กๆไม่ได้กลัวผี แต่คนเขาครอบงำทางความคิดก็เลยกลัวกันไปหมดแล้วเชื่อว่ามันมี แต่นี่มันไม่มี แม้แต่จะยังหลงอยู่ในจิตมีสัญญาอยู่ มันก็น้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่ง พวกเราแม้แต่เด็กก็ไม่ได้กลัวผีอะไร
ผีคือศพที่ตายไปแล้วจะมีวิญญาณหลอกหลอนมันไม่มีหรอก แล้วก็หลงงมงายกัน ผีคือกิเลสคือจิตที่มันหลงผิดอวิชชาก็ผีทั้งนั้นผิด อนาคามีก็มีผีในตัว รูปราคะ อรูปราคะ มานะ
ส่วนเทวนิยมก็รู้เป็นภาษาว่ายังมีธรรมะ 2
_ที่พึ่งอันเกษมคือกรรม 3 คือตัวเราใช่ไหม ประโยชน์ตนคือเราได้ลดกิเลส
พ่อครูว่า…ใช่แล้วคนพึ่งกรรม กรรมเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทของกรรม
_การละเมิดศีลของตนเป็นกรรมเลว เป็นการก้าวก่ายทำร้ายจิตวิญญาณและเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อน หากเราลดกิเลสไม่ทันคงทุกข์สาหัสเลยนะ มีผัสสะรุนแรง ถึงรู้ว่าเรามีกิเลสอีกมาก จะผลักแรงก็กลัว Boomerang จะสะท้อนหาตัวเอง เอาเป็นว่ากรรมมันจัดสรรของใครของมันก็แล้วกัน อยู่วัดนานก็กลายเป็นโลกธรรมบาน เหมือนดอกทองอโศก (พ่อครูว่าเรียกดอกอโศกแทนดอกทองอโศก หรือเรียกทองอโศกไปเลย) เราไม่มีสิทธิ์โกรธโจทย์ที่ทำให้เราเจริญเพราะเราได้ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านคือเราได้เห็นกรรมที่เลวของเขา
พ่อครูว่า…อยู่วัดอโศกนี้ไปนานๆเข้าไม่ใช่ว่ากิเลสมากขึ้นหรอกกิเลสมันมีอยู่เก่าแต่เราจะชัดเจนรู้จักกิเลสมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเรากิเลสจริงมากขึ้น ที่นี่ไม่ทำกิเลสใส่กัน มีแต่เราจะรู้กิเลสตัวเองมากขึ้นแล้วจะรู้สึกว่ามันมีมาก แต่ก่อนเราไม่เคยรู้เลยว่ามีกิเลส ไปถามคุณหญิงคุณนายก็จะบอกว่าความโลภของฉันไม่มีมีแต่ความโกรธอยู่ เพราะว่าเงินเขามีเยอะแล้วออกดอกออกผลมาก็จะไปห่วงอะไรเรื่องลาภ โลภ แต่โกรธนี้อย่าแตะเลย ที่แท้มีเป็นกระบุง
_เด็กหรือผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นคนดื้อตาใสแถมนักบวชยังเข้าข้างคนรวย พร้อมกร่างอีกต่างหาก ใช่คำพูดและพฤติกรรมที่หยาบคาย ข่มคนอื่นซวยเรือหายเลย ไม่มีคนเอาภาระมาอยู่วัด แทนที่จะสอนตัวเองให้สูงขึ้นเป็นแปลงตัวเองให้ได้ประโยชน์ในการลดกิเลส สมัยก่อนนักบวชเคยเอากฎระเบียบชาวอโศกมาอ่านบ่อยๆรู้สึกประทับใจมีกำลังใจ แต่มาบัดนี้ไม่มีใครเอาภาระใคร ยิ่งตั้งใจจนก็ยิ่งถูกเหยียดหยามก้าวก่าย ราวกับว่าจะปล้นเอาความสามารถผู้อื่นมาเป็นของตัวเองได้ การทำงานคือการทำหน้าที่ ผู้ที่มีศีลแล้วถูกนักฆ่าตัดตอนตีทิ้งจนเข็ดหลาบตราบกาลละนาน ปัจจุบันนี้โลกุตระกำลังกลายพันธุ์ มีคนโลกียะที่ไม่มีบ้านในนี้มาขออาศัย หลบภัย มีมอเตอร์ไซค์รถยนต์รถจักรยานอย่างดี แต่ใครแตะต้องไม่ได้
พ่อครูว่า…ก็อ่านไป เจอกับใครก็สำนึกเอาก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้อาตมาก็วางมือเรื่องการบริหาร วางมือเรื่องที่พวกเราจะเอาภาระดูแลกัน อาตมาก็ไม่เอาภาระเท่าไหร่แล้ว อาตมาขอปลดเกษียณเรื่องพวกนี้ให้พวกเราช่วยกันเถอะ ช่วยกันดูแลเอาที่ประชุม เอากรรมการหมู่กลุ่มเป็นหลัก จะไปเอาตัวเองเป็นหลัก เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าจงใช้ตัวธรรมะ อย่าใช้ตัวบุคคล เป็นหลักในการบริหาร ปกครองดูแลอะไรกัน ให้ใช้ธรรมะอย่าไปใช้อำนาจส่วนตน อาตมาก็ให้ทำเช่นนั้นพยายามทำกันอยู่
ที่พูดมานี้จะเป็นบ้างสำหรับบางคนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็ดูแลกัน ช่วยกันมีอะไรก็เข้าหมู่กลุ่มว่ากันไป การดูแลเอาภาระรู้สึกว่าน้อยลง ต่างคนต่างก็โทษคนนั้นคนนี้ เป็นการปล่อยปละละเลย หากสังคมเราเป็นอย่างนี้ พฤติกรรมสังคมเราจะเสื่อม ไม่ดูแลกัน พฤติกรรมสังคมจะเสื่อม แล้วมันก็เสีย จะสร้างการงานอะไรขึ้นมาอีกมันก็เท่านั้น
เราเน้นเรื่องความเสื่อมของชีวิตรู้เป็นอย่างปรมัตถ์ แต่ทางข้างนอกมาจากสมมุติมันก็ออกมาจากจิตใจ กลับกันไปกลับกันมา ย้อนแย้งกันอยู่ บางอย่างแสดงออกกายกรรมพฤติกรรมเหมือนไม่ดีแต่ซับซ้อนมันเป็นกุศลก็มีเหมือนกัน เป็นเรื่องของสิริมหามายา พวกเราก็มีอยู่อย่างนั้นจริง แต่ถึงอย่างไรก็ตามพอเข้าใจว่า ควรจะใช้อะไรกับใครตอนไหนเวลาไหนมันก็ควรจะต้องถูกตามสัปปุริสธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ลงตัว
_น้อมยอดธรรม..ดิฉันมาอยู่สันติอโศกก่อน มาเห็นมารู้มาฟัง อยู่ได้ 4-5 เดือน แล้วดิฉันก็บอกลูกว่าแม่จะขายบ้านแล้วนะ แม่มีที่อยู่แล้ว ใช้หนี้เสร็จแล้วก็แบ่งกันไป พ่อบ้านก็ไปบวช แล้วมาด่าลกให้ฟังว่า แม่ทำไมต้องไปขายบ้าน ดิฉันก็บอกว่าไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อหรอกหลวงพ่อไปอยู่วัดเลย ให้ไปดูหลาน เขาก็ไปตามเรื่องของเขาไม่สนใจแล้ว ดิฉันคิดว่า ธรรมะ 2 ของดิฉันสุดท้ายนี้ก็ หมดห่วง หายห่วง เป็นธรรมะหนึ่ง หากมีห่วงก็หลงห่วง ไม่รู้เขาห่วงเราหรือเปล่า ทำไมคนหลงห่วง มิฉะนั้นปลดห่วงไม่มีห่วง
พ่อครูว่า…อธิบายสภาวะของตัวเองก็ดี อุตส่าห์มาบวชนะ แต่ฆราวาสมาบวชในนี้ก็หมดห่วง แต่ว่านักบวชนั้นมีห่วง ก็ลูกๆโตหรือยัง…โตกันหมด เรียนจบหมดอาตมาเคยบอกว่าเลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย ลูกโตแล้วก็รับผิดชอบตัวเอง เมื่อ คนบรรลุนิติภาวะของฝรั่ง เขาก็ให้ไปเลย แต่ทางคนไทยสายเอเชีย ยิ่งจีน ไม่มีตัดขาดเลย คนไทยทางเอเชียก็พลอยเป็นอย่างนั้นด้วย ทางตะวันตกเขาสบายเรื่องนี้ ถือว่าอาศัยกันมาเกิดเท่านั้นรับผิดชอบตัวเองกันไป มันก็ดูไม่ดี เมื่อคนต่างประเทศสองผัวเมียตายายมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเห็นการดูแลเลี้ยงดูกันอย่างดีของคนไทย ก็เลยร้องไห้ เห็นว่าอย่างนี้มันอบอุ่นแต่อย่างเขามันว้าเหว่ มีเงินมีทองก็ไปเที่ยวกันเท่านั้น ระบบสวัสดิการของเราไม่ดีแต่มันดี ถ้าขืนมันดีจะกลายเป็นแบบนั้นอีก เพราะฉะนั้นดีแล้วล่ะระบบมันไม่ดี แต่ว่าวัฒนธรรมมันจะดี จริงๆนะมันจะเป็นอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องวัตถุขาดจิตวิญญาณ จะเป็นการขัดแย้งกันแล้วไปกันคนละด้านเสมอ ทางด้านเอเชียเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นเรื่องของโลกที่แบ่งเขตทางโน้นเป็นเรื่องเทวนิยมทางนี้เรื่องเป็นอเทวนิยมเป็นเรื่องจิตวิญญาณที่สัมพันธ์กันมาก เรื่องเทวนิยมนั้นตีไม่แตกเรื่องจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเขาจึงตื้น ก็เลยกลายเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่เห็นความสำคัญของจิตวิญญาณ เรื่องนี้เขาเข้าใจได้ยาก ประชาธิปไตยขาเดียวไปไม่รอดเพราะไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณ ทางตะวันออกมีการสืบทอดทางจิตวิญญาณมีพระมหากษัตริย์มีการรักษา การปกครองจารีตประเพณีกฎมณเฑียรบาล มีการสืบสันตติวงศ์ ต้องรู้หน้าที่ สันตติวงศ์ก็ต้องมีหน้าที่สังวรสำรวมระวัง ความมีจิตวิญญาณสูงและมีระบบระเบียบ สิ่งที่ไม่ดีงามอย่าไปทำ มีกฎระเบียบต่างๆที่ดีงามสืบทอดกันมาไม่รู้จักจบ ทางโน้นมันก็เลยหายไปเรื่อยๆ เรื่องของพฤติกรรมสังคมเรื่องของฮิปปี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เอาแต่ใจตัวเองอย่างไม่มีระบบอะไร รายละเอียดลึกซึ้งเหล่านี้เขาไม่ค่อยเข้าใจ
ถ้าตะวันตกนี่นะ มีพลเมืองเป็นพันล้านรับรองอยู่ และจะเป็นได้ยากมันจะระเบิดและตีแตกมันจะไม่ได้ถึงพันล้านหรอกในทางตะวันตก อินเดียมีหลายพันล้าน จะไปมากกว่านี้มันก็สงบ แต่ทางจีนเขาแย่กว่า ทางโน้นเป็นเชิงความคิดทางนี้เป็นเชิงสมถะ
พลเมืองอินเดียจะถึง 2000 จีนจะไม่ถึง 2,000 ล้านจะแตกแน่นอน เหมือนรัสเซียก็แตกแยกกันไปแล้ว ไทยเราแปลงตัวได้เก่ง ก็อยู่อย่างนี้ ไทยไม่ใหญ่โตมากมาย
อย่างใดอย่างไรจิตวิญญาณของคนไทยก็ดีที่สุด แม้แต่ระบบของโลกเรื่องของรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ก็จะนำหน้าที่อื่น สำนัก Bloomberg ตรวจสถิติแล้ว เมืองไทยเป็นที่ 1 ในการทุกข์น้อยที่สุดของโลก 3 4 ปีติดต่อกัน เป็นเมืองที่น่ามาลงทุนเป็นเมืองที่น่ามาเที่ยวอย่างนี้จริง สำนัก Bloomberg เขามีหลักเกณฑ์ตรวจสอบ
สรุปแล้วเมืองไทยรักษาสภาพเหล่านี้ให้ดีอาตมาว่าจะดีขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่าพูดดังไป มีชาวอโศกเกิดขึ้นมา ในสังคมโลกในเมืองไทย เป็นแกนของจิตวิญญาณ เรามีแกนจิตวิญญาณที่เป็นจริงเรามีทั้งอธิบายบัญญัติภาษาทฤษฎี พฤติกรรมที่เป็นความรู้ออกไปอีก คนเราก็แสวงหาความจริงที่สุด เป็นแต่เพียงว่า อาตมาเกิดมาอาภัพ มันเป็นความจริงไง ศาสนาพุทธเมืองไทยนั้นเสื่อมมาก จนกระทั่งอาตมามาถึงก็พยายามฟื้นฟูประกาศขึ้นมาว่าอย่างนี้มันถูกอย่างนั้นมันผิด แต่เขาหมู่ใหญ่จะเอาเราตาย มันเป็นความจริง หากเขาไม่ผิดอาตมาก็ว่าเขาถูกก็จะไม่ทะเลาะไม่ขัดแย้งกัน แต่นี่มันผิด อาตมาเข้าใจว่ามันต้องมาแก้ไขก็ยืนยันว่าเป็นอย่างนี้เขาก็ต่อต้าน ก็ยืนยันชี้บ่ง เป็นเครื่องชี้บอกว่าใช่ นอกจากว่าเราผิด ก็บอกว่าถูกก็บอกว่าผิดเขาก็ซัดมาเต็มที่เลย หากเราบอกว่าถูกก็ไปด้วยกันสิ อาตมาก็ว่าเขามาเหยียบเราก็ถูกแล้ว สุดท้ายเขาเหยียบไม่ลง จนวันนี้อาตมาว่ามันจบแล้วจะเกือบ 50 ปีแล้วยืนยันว่าเหยียบอาตมาไม่ลง อาตมาก็เสียงดัง ยังว่าเขาอยู่ว่าแบบนั้นมันผิด ยังว่าเขาอยู่ โดยเฉพาะหลักสำคัญปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล เขามีที่ไหนมีแต่วินัย 227 เริ่มต้นที่ศีลทั้งนั้นแหละ
ข้อที่ 1 คือสัตว์ ในโลกนี้สัตว์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพื่อนทุกข์ สัตว์ทั้งหลายเกิดมามีวิบากของสัตว์แต่ละตัวอย่าไปยุ่งกับเขา เขาก็ปล่อยไปกับเขา จะเลิกเพื่อเกื้อกูลกันได้เล็กน้อยก็ทำไปถ้ามันถึงคราวจำเป็น เขาจะต้องไปทำมาหากินเช่นงูจะต้องกินเขียด จะไปดึงเขียดจากปากงูคุณจะไปร่วมวิบากกับมันทำไม ไม่ให้งูมันกินเขียดจะไปกินฟักทองได้อย่างไร จะให้มันไปกินหญ้า งูไม่ใช่ควาย ก็ต้องปล่อยมันไปจะไปฆ่าแกงกันก็เป็นวิบากของเขา บางทีเหมือนกับเราใจดำ ไม่ใช่ใจดำ มันมีวิบากของมัน มันไม่ไปกัดคนก็บุญของคุณแล้ว บางทีสัตว์มันก็มาเอากับคุณเพราะมันมีวิบากต่อกัน
อาตมาเกิดมาชาตินี้นอกจากมดผึ้งอะไรก็มาต่อยนิดหน่อย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย สัตว์ต่างๆไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราไม่ได้มีวิบากอะไรต่ออาตมามาก จะไปถูกสัตว์ทำร้ายอะไร หมาก็ไม่เคยถูกกัด สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะที่หลุดพ้นมาแล้วเป็นเรื่องอจินไตยที่ไม่มีวิบาก
หากคุณเข้าใจแล้วสัตว์ก็คือสัตว์
ต่อมาศีลข้อ 2 เกี่ยวกับข้าวของแม้แต่พืชก็เป็นข้าวของ คุณอย่าไปสร้างทุจริตต่อกัน ของใครก็ของมัน
ศีลข้อที่ 3 ข้อเกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เกี่ยวกับโลกธรรมเกี่ยวกับเวทนาของตน
ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 คุณเข้าใจแล้วคุณบริสุทธิ์แต่เรื่องสมบัติและข้าวของคุณก็ไม่มีการละเมิดแล้ว สัตว์คนก็ไม่ละเมิด คุณก็มาระมัดระวังโลกธรรมกับกามคุณ 5 การปฏิบัติธรรมของคุณก็เหลือน้อยลง นอกนั้นคุณเข้าใจแล้วก็อย่าไปละเมิด พยายามรู้ให้ได้ ไม่มีกิเลสในส่วนเหลือส่วนใดก็ปฏิบัติต่อ
พวกเราจะเข้าใจ กิเลสเรื่องเกี่ยวกับสัตว์นั้นไม่เดือดร้อนมากมายหรอก เรื่องของข้าวของอะไรก็ไม่มากมายแล้ว ก็เหลือเรื่องข้อ 3 มันเป็นภาระสำคัญมาก …เวลาหมดก็ต้องหยุด