611216_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วิธีตรวจกึ๋นผู้มาอาสาทำงานการเมืองไทย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1-PBqL79De7Pnugn0CAupPi82HFr4lDJaP-FonniXzGw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1_bmI8YBW5oMj7Kw6vhVLeRQ6ugDLEfxA
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวขึ้น ใครที่จะมางานเพื่อฟ้าดินก็เตรียมตัวกันหนาวมาด้วย สังคมไทยตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งนั้นไม่ใช่เป็นข้อสำคัญหรือเป็นส่วนใหญ่ของประชาธิปไตยเลย เป็นส่วนเล็กน้อยเท่านั้นของประชาธิปไตย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ผู้นำประชาธิปไตยต้องมีลักษณะมหาบุรุษ 4 ประการ
พ่อครูว่า…อาตมากำลังพูดอจินไตยประชาธิปไตยเมืองไทย พยายามแยกแยะขยายความให้ชัดเจน กำลังขยายความแจกแจงว่า ประชาธิปไตยขาเดียวประชาธิปไตยสองขาประชาธิปไตยสามเส้า
การเมืองขาเดียวหรือประชาธิปไตยขาเดียว มันเป็นคนพิการ คนจะมีขาเดียวได้อย่างไรต้องมี 2 ขา (ศาลพระภูมิ) ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เรื่องคำว่า 2 คำว่า เทวะ แปลว่า 2 มันยิ่งใหญ่ในเรื่องของสัตว์โลกเรื่องของจิตนิยาม จิตวิญญาณ ที่จะมีความรู้ในเรื่องของรูปนาม
เรื่อง 2 เทวฺธัมมา ต้องทำงานควบคู่กันไปตั้งแต่อุตุนิยาม มีพลังงานบวกลบก็มีสอง จับตัวเป็นรูปร่างอะไรขึ้นมาก็เริ่มต้นจาก 2 ทั้งนั้น แล้วถึงจะมีบทบาทกิริยาอำนาจอิทธิพลอะไรขึ้นมา ประชาธิปไตยที่เขาเน้นแค่การเลือกตั้ง ส่วนวิธีการอะไรต่างๆที่จะเป็นอย่างไรต่างๆช่างมันขอให้เลือกตั้งนี้ถือว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยเขามีแค่นั้น นอกนั้นจะไปอย่างไรมาอย่างไรพฤติกรรมจะเป็นอย่างไรมีความรู้อย่างไร มีจิตวิญญาณอย่างไรไม่รู้ เลือกตั้งมานี่แหละเขาก็ว่าเป็นประชาธิปไตยหมด ขอให้มีคำว่าเลือกตั้งอันเดียว ก็เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ถ้าไม่มีเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ
ถ้าเป็นสัตว์ไม่มีขาเสียก็แล้วไปเป็นสัตว์น้ำ เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ยังไม่มีขาเป็นไส้เดือนกิ้งกือหรือกิ้งกือก็มีขานับไม่ถ้วน มันมีมากไปก็เลยต้องย่อยให้น้อยลงจนกระทั่งเหลือแค่ 2 ขา สง่าที่สุด 4 ขานี่ก็ยังเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่ 2 ขานี่ยืนขึ้นสง่าผ่าเผย สูงสุดแล้วในเรื่องของความเป็นมนุษย์
ความเป็นสัตว์ที่พัฒนาการจนกระทั่งมาเป็นคนที่ยืนได้ตรง จะมีวิวัฒนาการจากลิงมาก็มีความโค้งจนกระทั่งเดินตรงแข็งแรง ยืนหยัดสู้กับอำนาจจุดศูนย์ถ่วงของโลก แข็งขืนกับแรงโน้มถ่วงของโลกได้อย่างดีที่สุด นี่คือมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่สูงสุดแล้วในมหาจักรวาลนี้
อาตมากำลังพูดถึงประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง เมื่อลงคะแนนเสร็จแล้วก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยมันก็จริงเราไม่เถียง มันก็เป็นส่วนหนึ่งเป็นลักษณะแสดงออกอย่างนึง เป็นกรรมวิธีที่ตื้น เปลือกเปลือก การจะไปลงรับเลือกตั้งก็ต้องหาเสียง อาตมาก็ยืนยันอธิบายว่า การหาเสียงอยู่นี้ ผู้ที่ยังหาเสียงให้แก่ตัวเอง โฆษณา propaganda ตะโกนโหวกเหวกว่าฉันดี หาเสียง มันยังไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นการพูดบอกตัวเองตะโกนบอกตัวเอง แต่ถ้าให้ประชาชนเขาดูเองได้ไหม คุณปฏิบัติตนกระทำอยู่ในสังคมนี้จนกระทั่ง ประชาชนเขารู้เอง ให้เขาตัดสินเองนั่นคือประชาธิปไตย ประชาชนทั้งหลายเขาใช้ความคิดที่มีอิสระเสรีภาพไม่มีอัตตาเขาเอง จะมีอัตตาหรือไม่มีอัตตาก็เป็นตัวของเขาเองสมบูรณ์เป็นผู้วินิจฉัยตัดสินเอง เลือกเองว่าเลือกคนนี้ จำนวนประชาชนแต่ละคนเลือกรวมกัน จะมีวิธีการก็ดีก็ใช้ได้ เราไม่ได้เกี่ยงไม่ได้ว่าอะไร แต่มันเป็นวิธีการที่ตื้นๆ วิธีการที่ให้คนไปลงคะแนนเสียง เพราะฉะนั้นที่ทำกันอยู่นี่ยืนหยัดยืนยันตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คืออเมริกา เขาถือว่าอันนี้เป็นเรื่องใหญ่
ทีนี้ถ้าพูดว่า มีการกระทำให้คนมาเลือกโดยใช้อำนาจทุนรอน อำนาจเงิน ใช้อำนาจในหน้าที่ตำแหน่ง ใช้อำนาจในอำนาจนักเลงหัวไม้ก็แล้วแต่ อำนาจสารพัดที่จะหว่านล้อมเอามาใช้ประกอบคนมันเก่งและฉลาดเฉโก ที่จะเอาประโยชน์สร้างอะไรให้แก่ตัวเองจนกระทั่งมีอิทธิพล ถ้าคุณมีทุนรอนสนับสนุนเป็นหมื่นล้านอย่างที่เขาใช้กันอยู่ แสนล้านนั่นแหละอย่าว่าแต่หมื่นล้านเลย อยู่อเมริกาถ้าไม่มีทุนถึงหมื่นล้านขึ้นเพื่อใช้ในการหาเสียง ไม่มีทางได้เป็นประธานาธิบดีหรอก ให้มันบริสุทธิ์สะอาดจริงๆเลยไม่ต้องหาเสียง มีกี่เบอร์หากันมา หัวกะทิก็มี 2 คนนั่นแหละใครจะแน่กว่ากัน ติดประกาศบอกชื่อเสียงให้คนเขารู้ไม่มีการโฆษณา ก็อยู่กันมาก็พอจะรู้ว่า คนไหนมีวัยวุฒิมีวุฒิภาวะที่จะบริหารประเทศได้คนก็จะรู้จักมักจี่กัน แต่คนที่โตขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วจะให้คนเขาเลือกได้อย่างไร คนไม่ได้รับซับทราบเลย คนนี้แม้จะอายุน้อยแต่เขามีประสิทธิภาพเก่งทำงานมาไม่กี่ปีคนก็เห็นชอบตาม แล้วคนมาทำงานตั้ง 10 ปี 20 ปี 30 ปี ยังไม่เข้าตา มีคนให้ข้อมูลว่าใช้ 175 บาทต่อ 1 เสียง เขาได้คะแนนเสียงหลายสิบล้านคน นี่เป็นตัวอย่างที่จะเป็นปรากฏการณ์ในโลก ให้ได้เรียนรู้กันไป
ประชาธิปไตย 2 ขาเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ ตามความเป็นมนุษย์มีกายกับจิต มีพฤติกรรม รูปกับนาม วัตถุกับจิต เป็นสภาวะเทวะ ธรรมะ 2 ที่จะเกิดพลวัตอะไรกันขึ้นมา ต้องเป็นประชาธิปไตย 2 ขาจึงจะสมบูรณ์ ประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่ประชาชนเลือกตั้งไม่มีกษัตริย์ที่สืบทอดสันตติวงศ์
การสืบทอดสันตติวงศ์จะมีกฎมณเฑียรบาล พระประยูรวงศ์ต่างๆทุกพระองค์จะต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาลจะต้องฝึกฝนตนเอง จะต้องอยู่ในกรอบ คนจะต้องมีวุฒิภาวะคุณภาวะต่างๆ เพื่อที่จะเป็นผู้ที่สูงได้ทั้งภูมิปัญญาทางพฤติกรรมทางจิตวิญญาณ อะไรต่างๆนานา เท่าที่มนุษย์จะเป็นไปได้ มนุษย์ทุกประเทศทุกชาติรู้กันมาแต่โบราณ จนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่โบราณก็มีหัวหน้าเผ่าหัวหน้ากลุ่ม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังมีกษัตริย์ ที่เราใช้ศัพท์คำว่ากษัตริย์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ชน เป็นรากเหง้าอันเดิม เป็นวัฒนธรรมที่พัฒนากันมา จนถึงวันนี้ มันถอนไปไม่ได้ในความเป็นมนุษยชาติ ความเป็นสัตว์โขลงแม้แต่สัตว์ก็ยังมีหัวหน้าฝูง
กษัตริย์ที่จะดีจะต้องมีทศพิธราชธรรม ที่สูงส่ง ละเอียดลออวิเศษเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประชาธิปไตยที่ดีขึ้นเท่านั้น ดังที่ประเทศไทย มีตัวอย่างมาแล้ว น่าจะเป็นตัวอย่างแก่โลกเขาต่อไปอีกคือประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งก็ได้รับคำยอมรับจากต่างประเทศว่าเป็น King of king อย่างนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยสองขาอย่างสมบูรณ์แบบมีทั้งกายและจิต มีทั้งรูปและนามไม่ขาดตกบกพร่อง ในความเป็นชีวะแห่งมนุษย์ ชีวะขั้นจิตนิยาม
ประชาธิปไตยขาเดียวขาดจิตวิญญาณจะเอาแต่การเลือกตั้งเป็นหลักใหญ่เท่านั้นเพราะเขาไม่มีอะไรดีกว่านั้น ไม่ลึกซึ้ง ส่วนประชาธิปไตยที่เราไม่ได้ปฏิเสธการเลือกตั้งมีประโยชน์ แต่ควรเป็นรองอย่างยิ่ง เราก็ไม่ได้ตีทิ้งทีเดียว แต่ไม่สำคัญ ไม่เป็นเอก เป็นแต่เพียงรองๆๆอย่างมากสำหรับการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับคนทั่วไป ใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ ถ้าหากเข้าใจเนื้อหาสาระเนื้อแท้ของประชาธิปไตย
พฤติกรรมเนื้อแท้ของผู้บริหารที่เป็นเนื้อสำคัญ มีพฤติกรรม มีความรู้ความสามารถ ที่จะทำงานให้แก่สังคม การทำงานให้แก่สังคมนั้นอาตมาพยายามจะเอาธรรมะพุทธเจ้ามาเป็นหลัก ผู้ที่จะบริหารประเทศเป็นผู้นำนั้นจะต้องเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่
วัสสการสูตร
[35] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถานใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของพระเจ้ากรุงมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นเครื่องให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เราย่อมบัญญัติผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการ ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ธรรม 4 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้สดับเรื่องที่สดับแล้วนั้นๆมาก ย่อมรู้อรรถแห่งภาษิตนั้นๆ ว่า
นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ 1 เป็นผู้มีสติ ระลึก ตามระลึกซึ่งสิ่งที่กระทำคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ 1 เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในกรณียกิจอันเป็นของคฤหัสถ์ 1 เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็นทางดำเนินในกรณียกิจนั้น สามารถเพื่อจะทำ สามารถจะจัดแจงได้ 1 เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์พึงอนุโมทนาขอท่านพระโคดมทรงอนุโมทนาแก่ข้าพระองค์ แต่ถ้าข้าพระองค์พึงคัดค้าน ขอท่านพระโคดมทรงคัดค้านแก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาแก่ท่านเลยเราไม่คัดค้านเลย
ดูกรพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการแล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ธรรม 4 ประการเป็นไฉน ดูกรพราหมณ์
1.บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม
2.บุคคลนั้นย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึกวิตกนั้น ย่อมไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้นย่อมจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ ย่อมไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้น เป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจ(เจโตวสิปัตโต)ในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้
-
เป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
4.กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง (พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 35)
อาตมาสรุปว่า สามเส้านี้คือประชาธิปไตย พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
ถ้าใครไม่ติดในพยัญชนะพิจารณาในความหมายต่างๆก็จะรู้ว่านี่คือสัจจะที่แท้จริง
เจโตวสิปัตโต คือ มีความสามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ตามประสงค์ จะให้จิตเรามีพลังงานอย่างนี้มีการดำริอย่างนี้ ตักกะอย่างนี้ จะให้จิตเกิดขึ้นมาอย่างไรจนแข็งแรงเท่าใดก็ทำได้ดังประสงค์ เท่าแต่ฐานะของแต่ละคน ถือว่าพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุดทำได้มากที่สุดโพธิสัตว์รองลงไปก็ฝึกไป ก็ทำได้ไปตามลำดับ อาตมาก็มีอยู่ขนาดหนึ่งของอาตมา ตามความเป็นจริงที่เราฝึกฝนมาได้ ไม่มีใครทำได้เกินตัวเอง บางทีเป็นแต่เพียงว่าตัวเองไม่เก่งที่จะทำออกไปให้แก่คนอื่นเรียกว่าถ่อมตน ก็เท่านั้นเอง มีเท่าไหร่ก็ทำได้เท่าที่เราจะทำได้
มีเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้
4 ประการนี้เป็นลักษณะที่ฝึกฝนได้ พระพุทธเจ้าฝึกฝนมาไม่รู้กี่ล้านชาติและได้ประพฤติมาจริง อาตมาก็ได้ฝึกฝนมาตามฐานะจึงได้พูดสิ่งนี้ได้อย่างสะดวกใจสบายใจ
ผู้ที่จะทำงานกับมนุษยชาติกับปวงชน ก็จะต้องมีความเป็นมหาบุรุษ 4 นี้ควรจะมาก หากไม่มีเสียเลยเป็นอนุบุรุษ ไม่ใช่มหาบุรุษ เป็นมหาบุรุษไม่ได้
ผู้ที่สามารถบริหารประเทศได้นั้น อาตมาพยายามจะรวบรวมทั้งความคิดตัวเองและของคนอื่นมา เอาเนื้อแท้ที่เราเข้าใจเชื่อถือว่าเราเอาของเราเป็นตัวตัดสิน ของคนอื่นอันไหนที่ดีก็ขอเอามา อย่างนี้เป็นพฤติกรรมเป็นอาการของมนุษย์ที่ดี เราก็ขอเอามาใช้บรรยายบอกกล่าว ว่าลักษณะอย่างนี้เป็นสิ่งประเสริฐ
ผู้ที่จะเป็นนักรัฐศาสตร์นักบริหารประเทศชาติที่ดี ก็ควรจะต้องมีความรู้และจะต้องสร้างพลังความสามารถในตน ให้มันได้ดั่งที่ผู้รู้ทั้งหลายท่านก็ประมวล ท่านพยายามรวบรวมไว้ให้คนได้ศึกษาฝึกฝนอบรมตนเอง อย่างที่กล่าวไปแล้วอย่างน้อย 4 ข้อนี้
การแสดงออกของบุคคลเหล่านั้น ของผู้ที่จะบริหารประเทศ ขณะนี้ก็มีบุคคลจริงมีนักประพฤติจริง อาตมาว่าหากไม่ลำเอียงไม่มีอคติ ก็ตรวจสอบได้ ในคนไทยเราก็เอาคนไทยเป็นหลักเราอยู่ในประเทศไทยที่กำลังพัฒนาการ อยู่ในสังคมไทยเรา จะดีไม่ดีก็คนไทย ผู้บริหารประเทศจะต้องตรวจสอบ ผู้นำมาเรียกว่านายกรัฐมนตรีของไทย 29 คน ก็มีประวัติ ศึกษาได้ อาตมาก็พอได้ศึกษามาเท่าทีมีภูมิ ก็เห็นว่ามาถึงปัจจุบันนี้มันลงตัว ทั้งพระมหากษัตริย์ ของเราเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ต้องมีทั้งพระมหากษัตริย์และประชาชนที่จะเป็นผู้นำเป็นหัวหน้า โดยเฉพาะมีความหมายมาก ว่ากษัตริย์ท่านจะทรงเป็นกลาง ทรงละเอียดลออลึกซึ้ง จนกระทั่งพูดถึงว่า The King Can do No Wrong จะทำอะไรก็ผิดไม่ได้นะ ซึ่ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 บอกเองว่าพูดอย่างนี้มันหนักไป บอกว่า The King ก็เป็นคนนะ จะทำอะไรไม่ผิดเสียเลยได้อย่างไร เป็นคนก็ไม่น่าจะพูดถึงอย่างนั้นท่านก็ว่า มันก็น่าจะผิดได้บ้าง แต่แน่นอน เป็นในหลวงเป็นกษัตริย์ก็ไม่ควรจะต้องผิด แต่จะไปบังคับว่าไม่ให้ผิดมันเกินธรรมชาติ ถ้าท่านเองท่านไม่ถือดีไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง แสดงถึงปรีชาญาณ พระทัยอันสุดยอด ท่านไม่มีอัตตาตัวตนไม่หลงตัวหลงตน มันต่างกันคนละขั้วเลยกับโดนัลด์ทรัมป์ พฤติกรรมที่แสดงออก สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลมันชัดเจนอย่างนี้เป็นต้น
ขออภัยที่ต้องเอาตัวบุคคลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่พอซับทราบกันได้มาศึกษา ที่มีของจริงให้เราได้อ่าน ได้เป็นข้อวินิจฉัย เป็น specimen เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นของจริง เป็นปรากฏการณ์จริงในโลกขณะนี้
เพราะฉะนั้นในโลกที่มี 2 หน่วยมีกษัตริย์และก็มีนายกฯ เป็นประชาธิปไตย 2 เป็นเทวะ อันนี้มันสมบูรณ์ จิตวิญญาณของกษัตริย์ท่านก็รักษาให้สะอาด ส่วนสมมติสัจจะจะผิดพลาดบกพร่องบ้าง สมมติสัจจะก็เป็นที่รู้กัน ก็ต้องยกให้เป็นรอง 1 นี้ต้องรักษา เพราะฉะนั้นจะให้กษัตริย์มาเต็มที่เหมือนอย่างกับอีกอันนึงนี่ มันจะไม่เหลืออะไร มันจะแปดเปื้อนง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นวิธีการนี้เป็นวิธีการอันชาญฉลาดของมนุษย์โลก ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงทุกวันนี้อาตมาว่ายิ่งฉลาดต่อไป ว่านี้ต้องมี 2 หน่วย ต้องมีรูปนาม
มันจะต้องมีสิ่งที่เกื้อกูลช่วยเหลือกันอย่างนี้ตลอดเวลา จะต้องช่วยกันรักษาสิ่งประเสริฐนี้ ต้องมีผู้หนึ่งที่เป็นผู้รองรับอีกสิ่งหนึ่งให้สะอาดบริสุทธิ์ไว้ แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์นั้นจะเห็นแก่ตัว แต่ผู้ที่จะสะอาดบริสุทธิ์ก็ควรจะต้องสะอาดบริสุทธิ์ ที่จริงแล้วผู้สะอาดบริสุทธิ์จะมาเป็นอย่างนี้แล้วก็เป็นได้แต่ไม่ควรจะมาให้ท่านเป็น ท่านควรจะต้องอยู่ในฐานะนั้นและอีกหนึ่งฐานะจะต้องช่วย มันเป็นเรื่องสัจจะที่ บางคนบอกว่ามันหลง มันต้องเสมอภาคกันสิ พวกนี้มันไม่รู้จักสัจจะ
ต้องมี 2 สิ่งต้องเข้าใจอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ซึ่งเป็นเอกบุรุษ เขาไม่เรียกเอกสตรี มีแต่ที่อเมริกาบอกว่าสตรีหมายเลข 1 เขาก็ตั้งของเขาเอง หลงตัวหลงตนมาก อเมริกา บัญญัติอะไรให้คนเอาตาม คนผู้ที่อ่อนแอกลัวอำนาจของอาวุธร้าย กลัวอำนาจก็ยอม แต่คนที่ไม่กลัวอาวุธร้าย ไม่กลัวอำนาจบาตรใจ เข้าใจชีวะเข้าใจจิตวิญญาณ rebirth หมุนเวียนจิตวิญญาณเกิดแล้วเกิดอีกเป็นอเทวนิยมเขาไม่กลัวหรอก แต่เทวนิยมนี้กลัว ตายแล้วกลัวจะไปในนรก ที่พระเจ้าบันดาล เป็นเรื่องลึกลับ ซึ่งศาสนาพุทธไม่มีความลึกลับเหล่านั้น
อาตมาพยายามรวบรวมภาษา พูดให้เข้าใจง่าย อย่าง เราคิดอะไรฉบับใหม่ของเดือนมกราคม จะออกวางตลาด อาตมาก็พยายามรวบรวมเอาไว้ 3 คำ
-
ขยันรับใช้
-
มีแต่ให้
-
ไม่มีอคติ
3 หลักนี้จะสำคัญอย่างยิ่งเลย ดูได้ อ่านพฤติกรรมนี้ได้จากมนุษย์ เห็นได้สัมผัสได้ คนเด็ก คนกลาง หนุ่มสาว ผู้ใหญ่สัมผัสได้
(1) “บริหาร”ต้องตรึกไว้ สุดสำคัญ
“ขยันรับใช้”คือบรร- ทัดแท้
ประชาธิปไตยอัน ล้ำค่า
ซึ่งวิเศษวิศิษฏ์แก้ วิกฤติได้ทันที
(2) การเมือง“มีแต่ให้” ยิ่งสำคัญ
“ไม่อคติ”ต่อกัน เลิศล้ำ
“อภิบาล”อย่างดีสรร แต่ช่วย ประชาเทอญ
“สังคหะ”แถมสละซ้ำ ยิ่งย้ำพระสอน
(3) สังวรตนหลุดพ้น โลกีย์
คือศาสตร์“สวนกระแส”มี แต่ให้
มันแปลกประหลาดดี มีรึ ดังฤา
หรือแต่เพียงบอกใบ้ ใช่แท้เท็จผจญ
(4) คนไทยเลือดพุทธแท้ เต็มตัว
แต่ไป่ใส่ใจมัว มุ่งบ้า
ถูกหลอกปั่นหูหัว จมลาภ ยศเฮย
หลงโลกธรรมด้านกล้า เก่งสู้ดักดาน
(5) สานธรรมนำสัจจ์ให้ กลับเมิน
ช่างซื่อบื้อเหลือเกิน มนุษย์แท้
ทำชีวิตห่างเหิน พุทธสัจ
โง่บ่รู้จักแก้ ดนุด้อยดูใด
(6) ทำไฉนจึ่งจักก้าว- หน้าที สรรแต่กิจกรรมดี ซื่อซ้ำ
ชีวิตใช่จักมี แต่ต่ำ ฤาแล
เอาส่วนสูงเจริญค้ำ ชีพบ้างเถิดคน
(7) ตรวจค้นผู้สมัครเข้า อาสา
ใคร*เล่นการเมืองมา เก่านั้น
มีกึ๋นเท่าใดหา ดูเถิด ไทยเอย
ปัจจุบันนี้ต่างชั้น เปลี่ยนแล้วยุคสมัย
“สไมย์ จำปาแพง”8 ธ.ค. 2561 [นัยปก “เราคิดอะไร”ฉบับ 342 ประจำเดือนมกราคม 2562]
พ่อครูว่า…ขณะนี้เรามาพูดถึงการเมืองซึ่งขาดธรรมะไม่ได้ บุคคลใดจะมาเป็นนักการเมืองต้องมีธรรมะ เป็นผู้ขยันรับใช้เป็นผู้มีแต่ให้เป็นผู้ไม่มีอคติ แล้วที่อาตมาอธิบายพูดมาไม่รู้กี่ทีแล้ว ว่า ประชาธิปไตยหรือการเมืองนั้นมันจะต้องมี 1 จะต้องรู้จักอิสระ รู้จักอิสระเสรีภาพ ตัวเองจะต้องเป็นผู้ที่มีอิสระเสรีภาพในตัวตน และก็ต้องให้บุคคลอื่นเขามีอิสระเสรีภาพสูงสุด เข้าใจเนื้อหาแท้ของอิสระเสรีภาพว่าคืออะไร ตนเองต้องชัดซึ่งตนเองต้องมีในตัวเองอย่างจริงใจ สุดชื่นชอบในความอิสระ เราก็จะต้องให้คนอื่นเขาได้สิ่งนี้มีสิ่งนี้ฉันเดียวกัน อิสระเสรีภาพ ต้องแน่จริง คนมีประชาธิปไตยต้องให้คนมีอิสระเสรีภาพ ซึ่ง อาตมาเห็นว่าเมืองไทยนี้ทำได้มากเลย แต่มันจำเป็นจะต้องมีองค์ประกอบเพราะว่าคนมันดื้อด้านดึงดัน ถ้าไม่มีกฎหลักกฎเกณฑ์ มันเอาไม่อยู่ แต่กระนั้นก็ตาม ม.44 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ตัดหัวได้เลยเหมือนกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จับเข้าคุกสั่งประหารชีวิตได้ว่างั้นเถอะ แต่เขาไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ในทางนั้นเลย แต่เขามีสิทธิ์ใช้ แต่ไม่ได้ใช้ เป็นแต่เพียงว่า วางไว้เป็นสิ่งที่เคารพนับถือยำเกรง ใช้ได้ เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วคนไทยก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ถึงจะเป็นคนเลว ที่เหลืออยู่ในประเทศไทยก็ยังไม่เลวจัด เลวจัดนั้นมีอำนาจที่สวยที่สุด ไม่ได้บังคับเขา เขามีอิสระแต่เขาก็เข้ามาไม่ได้ เห็นกำแพงไร้สภาพไหม กำแพงไร้สภาพเป็นนามธรรมแต่เข้ามาไม่ได้ เชิญเลยคุณมีสิทธิ์เข้ามาได้ที่นี่ไม่ได้ห้าม แต่ไม่กล้าเอง เข้ามาสิ เพราะเขาเข้ามาไม่ได้ เข้ามายังมีคดีที่รอรับอีกไม่รู้กี่คดีที่จะขึ้นศาล คดีเดียวนี้ยังกลัวหน้าแหกขนหัวลุก ว่อนๆเป็นสัมภเวสีอยู่ที่ไหนไม่รู้ ซึ่งมันซับซ้อนมากเลย
เขาต้องมีอะไรอย่างหนึ่งเป็นตัวของเขาก็คือว่า มีสิ่งที่ชั่วร้ายคือโกงเอาเงินไว้ได้มาก ก็เลยใช้อำนาจเงินนั้นอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นในโลกทุกวันนี้ คนจึงยังหลงอำนาจเงินอยู่ สักวันหนึ่งจะรู้กันดีว่าอำนาจเงินไม่มีท่าอะไรเลย อำนาจเงินคือธนบัตรคือกระดาษเปื้อนสี ขณะนี้ถ้าจัดการได้ คือ Dollar ซึ่งเป็นธนบัตรที่ไร้ค่าที่สุดในโลกตอนนี้ ถ้าหากคืนค่าดอลลาร์นี้ให้แก่เจ้าของ เอาสิ่งที่มีค่าอันอื่นที่สำคัญเอาข้าวเอาน้ำเอาผักพืช สิ่งอะไรต่างๆ แม้จะเอาวัตถุทองคำ หรือว่าเพชรนิลจินดาที่เป็นของหายากตามธรรมชาติมาเป็นของมีค่า จริงก็ได้ เขาก็ไม่มี เจ้าของดอลล่าร์ทุกวันนี้ไม่มี จึงได้แต่แยกเขี้ยวขู่คนอื่น สักวันหนึ่ง เขี้ยวเก๊เหล่านี้ เดี๋ยวจะส่งลิงแสมไปหักเขี้ยวเขาให้ เหมือนสิงโตแก่ ตอนนี้ก็ได้แต่เบ่งกล้ามไปเฉยๆ ขออภัยที่ต้องพูดสัจธรรม เป็นปรากฏการณ์จริง phenomenon ก็ขอบคุณที่ให้เอามาใช้เป็นตัวอย่างศึกษา
แสดงถึงพฤติกรรมที่ไม่มีอิสระเสรีภาพมีแต่การครอบงำบังคับกดขี่ ไม่มีอิสระเสรีภาพ และเขาก็ไม่มีความรู้ในเรื่องของความเป็นอัตตาตัวตน selfish เขาไม่รู้ความเห็นแก่ตัวไม่รู้จัก self เขาไม่รู้จัก ish ของ self เขาครบถ้วนของ Selfish มีความเห็นแก่ตัวเต็มบ้องเลย แสดงออกมาอย่างนี้เช่นพูดว่า American First พูดออกมาได้ เรียกว่าตีทิ้งคนอื่นหมดเลย กูต้องมาก่อน เห็นแก่ตัวอย่างโลกนี้ต้องมีกูใหญ่ที่สุด กูต้องมาก่อน สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลอย่างสมบูรณ์แบบเลย ความเป็นอัตตาเขาก็ไม่รู้ตัว เขาไม่มีท่าเรื่องความมีอิสระเสรีภาพเลย สรุปแล้วไม่มีปัญญาเลย
คำว่าปัญญาภาษาฝรั่งภาษาอังกฤษไม่มี ความเฉลียวฉลาดที่เป็นโลกุตระไม่มีคำศัพท์นี้ มันมีแต่ภาษาข้างเคียง Enlightenment เขาแปลว่าเป็นสิ่งสูงสุดในนามธรรมแล้วเฉลียวฉลาดสูงสุด ส่วนคำว่า Wisdom ยังหยาบ แต่ Enlightenment เป็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่อะไรอย่างนี้ เขาจะไปเอาเรื่องนามธรรมของจิตวิญญาณเขาก็ไม่รู้ พูดไปเหมือนข่ม ทางเทวนิยมตะวันตก ยังตีไม่แตกเรื่องเทวะ
เขาตีไม่แตกแยกไม่ออก ใน รูปกับนามบัญญัติกับสภาวะธรรมแท้ๆจิตวิญญาณกับกาย เขาก็ยังแยกเป็น 2 ไม่ได้ ทำให้เป็นหนึ่งอย่างเด็ดขาดเด็ดเดี่ยวไม่ได้ด้วย เป็นความซับซ้อนระหว่างพยัญชนะกับสภาวะ ยิ่งลงไปถึงคำว่ากายะ ภาษาอังกฤษไม่มี ภาษาอังกฤษมีคำว่าบอดี้เป็นเพียงสรีระ ไม่ได้หมายถึงกายที่ตถาคตเรียกว่าจิตมโนวิญญาณ เขาก็ยิ่งงงใหญ่ กายของเขาคือ body คือ สรีระ จะมาเกี่ยวสปิริตเกี่ยวกับวิญญาณ mental ได้เมื่อไหร่มันมีแต่ Body สรีระเท่านั้น โครงสร้างของดินน้ำไฟลมเท่านั้น ในร่างกายของเขา แม้แต่เขาวพุทธก็เพี้ยนไปกับเขาคำว่ากายหมายถึง body ร่างเท่านั้น ก็ผิดไปจากเนื้อหาของสัจจะ อาตมาเบื่อไม่ได้ แต่เหนื่อยไม่ลงเหมือนกัน หอบแฮ็ก ๆ เอาละกัน
จิตวิญญาณก็เอาระดับความรู้ที่เป็นปัญญา เป็นความฉลาดที่ไม่ใช่โลกีย์เทวนิยมจะเข้าใจ ความหมายของปัญญานี้เป็น อัญญธาตุ เป็นธาตุจิตอีกธาตุหนึ่งที่ไม่มีในโลกีย์ ในดาวดวงปุถุชน ธาตุนี้ไม่มีในดาวดวงนั้น ธาตุปัญญาไม่มี ต้องออกมาสู่ดาวดวงใหม่อีกดวงหนึ่ง
อัญญะแปลว่าอื่น ต้องออกมาสู่ดาวดวงที่เจริญ ดาวดวงโลกุตระ เข้ามากระแสโลกนี้ได้จึงจะเริ่มมี ธาตุรู้ที่เรียกว่าปัญญา ถ้ายังวนอยู่ในโลกโลกีย์นั้น เทวนิยม คุณก็มีแต่แค่บวกลบ วนเวียนอยู่ในสนามแม่เหล็กเดิม เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นอัญญะ อัญญะแปลว่าอื่น อัญญะแปลว่าธาตุรู้ใหม่ ที่จะเป็นอัญญา พหูพจน์ที่มากขึ้น เป็นปัญญาที่มีความฉลาดแบบใหม่
โลกโลกียะที่เอาแต่อำนาจบาตรใหญ่ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่นี่มันเอาออกไปเรื่อยๆเป็นการทวนกระแสกัน จนกระทั่งเอาออกหมด แล้วเขาก็เป็นคนอย่างโลกุตระได้ หมดจนเป็นอรหันต์ได้ด้วย คนที่บริหารปกครองกันด้วยธาตุปัญญา ธาตุรู้ที่เป็นปัญญาที่ไม่เห็นแก่ตัว ในขั้นเป็นอรหันต์เป็นอนาคามีเป็นสกิทาคามี คนที่มีความรู้มีทฤษฎีอย่างนี้ศึกษาให้จริงสักคนให้จริง ละกิเลสที่เป็นอัตตาตัวตนนั้นออก จึงเป็นคนจริง มีพฤติกรรมจริงอยู่ในสังคมมนุษย์โลก รวมกันอยู่เป็นสังคม ดังที่ประเทศไทยเป็นชมพูทวีป
ในกาละอันไม่มีรู้เริ่มต้นหรือจบตรงไหน กาละ อันเกิดจากมหาเอกภพ ที่มันซับซ้อนอยู่ในกาละ กาละคือ เส้นทางโคจรของดวงดาวอยู่ในมหาจักรวาล อยู่ในเอกภพมีอยู่ชั่วกาลนาน เราเกิดมาเป็นสัตว์โลกเป็นคนมีธาตุรู้ จึงมารู้ภาวะของเอกภพ ของจิตนิยาม จนกระทั่งเป็นภาวะของ พีชนิยามจนมาเป็นภาวะของจิตนิยาม จนมาเป็นกรรมนิยาม แล้วมีกรรมมีวิบากจนตั้งไว้ทรงไว้ ธรรมะ แล้วสลายไปตามธรรมชาติได้ หมุนเวียนกันตามธรรมชาติจึงมีผู้รู้ทางจิตวิญญาณ ไปเรียนรู้ กรรม ธรรมะ แล้วจัดการให้ทรงไว้ ตามที่ควรจะเป็นให้ดีที่สุดเป็นกุศลธรรม จนกระทั่งศูนย์เลยไม่มีอะไรทรงไว้ อธรรม สูญสลายไปเลย แต่มันก็ทิ้งไม่ออกตรงที่ว่า สิ่งที่สูญสลายไปนั้นตัวมันเองมันไม่มีตัวรู้ของมันเอง ผู้จะรู้ตัว 0 นี้ได้ก็คือสัตว์โลก แล้วสัตว์โลกมี 0 แต่ไม่รู้ 0 เพราะต้องมีสภาพเปรียบเทียบเป็นธรรมะ 2 ก็เลยบอกไม่ได้ จนมีความเฉลียวฉลาดสามารถเปรียบเทียบออกได้
คนจะรู้ 0 จะต้องมีตัวรู้ ตัวรู้นั่นแหละสูงสุด รู้ว่า 0 คืออะไร คำว่า 0 หรือว่าง แล้วไปเรียกคำว่า จิตว่าง แต่จิตเป็นธาตุรู้ ก็ต้องมี 1 จิตกับความว่าง อย่างน้อยไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเปล่าๆคือเรา เราคือว่าง แต่เราก็ต้องมี ว่าง ก็เลยเป็นเทวที่เป็นสิริมหามายา พูดกลับไปกลับมาแล้วมันว่างหรือไม่ว่างกันแน่ มันมีหรือไม่มีกันแน่
มันมี แต่ไม่มี มันอยู่ด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ถ้าไม่มีจิตหรือธาตุรู้ จะไปพูดกันรู้เรื่องได้อย่างไร ต้องมาสาธยายนำให้คนรู้แล้วปฏิบัติตามได้จนสูงสุด คำว่าจิตว่างนี้ไม่ใช่ว่างอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบไม่มีส่วน 2 ไม่ได้ ว่างต้องมีส่วน 2
ว่าง พูดว่า ว่าง ไม่มีอะไรเทียบได้นั้นเป็นคนยังไม่รู้จริง ว่างไม่มีอะไรเทียบแล้วมันจะรู้เรื่องได้อย่างไร มันก็ต้องมีจิตไปเทียบ จิตสุดท้ายก็รู้ว่ามันว่าง
ก็มาไล่เรียงว่า อันเลวสุด ที่ไม่ควรอยู่กับเราเอามันออกก่อน มันก็ไม่มีอันนั้นได้มันก็ว่างจากอันนั้น อันที่ร้ายที่สุดเลวที่สุด หยาบที่สุด ที่ไม่ควรจะมีอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ในขาวสะอาดที่สุด แม้แต่เศษ .000001 แห่งความเทาก็ต้องไม่มี ก็ต้องรู้ว่ามันคืออะไรแล้วเอาออกก็จึงว่างจากอันนั้น
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดความเป็นคนที่เลวร้ายที่สุด ไม่ควรมีในที่นี้ ในประเทศไทยก็ไม่ควรมีคนที่เลวร้ายที่สุดก็ให้ออกไป ออกไปอย่างดีที่สุดโดยที่เราไม่ได้ให้ออกไป คุณทำตัวเองออกไป แล้วก็ไม่ได้ไปปิดกั้นด้วยให้คุณมาได้ด้วยแต่คุณไม่เข้ามา เห็นไหมว่าอิสระเสรีภาพสูงสุดไหม ที่นี่ไม่ได้ปิดกั้นนะไม่ได้ปิดกั้นคุณ มีกฏเกณฑ์ว่าเข้ามาได้ โล่งหมดแต่คุณขัดแย้งในตัวของคุณเอง เราไม่ได้ไปขัดแย้งกับคุณ คุณขัดแย้งในตัวคุณเอง แล้วคุณก็ทำตัวคุณเอง คุณไม่เข้ามา แล้วเขาก็ไม่ได้มาขี้ตู่ด้วย แม้เขาจะชื่อตู่ เขาคือตัวเนื้อไม่ใช่ขี้ เขาเป็นตู่ไม่ได้เป็นขี้
ถ้าหากเข้ามาก็ต้องอยู่ในครรลองคลองธรรมของประเทศ หนึ่งจะต้องเข้าคุกก่อน แล้วคุณก็สู้คดีไปสิ
สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรม ทำแล้วผิด ทำแล้วไม่ดีไม่งาม ในโลกในสังคมที่มีสัจจะก็ดำเนินไป ประเทศไทยก็ดำเนินไปตามครรลองคลองธรรม แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ มีประชากรแค่ยังไม่ถึงร้อยล้านคน ประเทศอื่นๆเขามีประชาชนเกินร้อยล้านมีเยอะ แต่ก็มีพฤติการณ์มีความรู้มีภูมิธรรม ที่มากพอที่ดีพอ แล้วก็บริสุทธิ์ใจพอ สร้างความจริงขึ้นมาเป็นฐานแห่งความจริงเป็นมนุษย์สังคมในโลก เราก็ใช้บัญญัติภาษาเป็นสิ่งที่สื่อแทนความเป็นจริงต่างๆ
พูดไปตามรัฐศาสตร์ก็จะกลายเป็นนามธรรมอธิบาย จะพูดถึงเชิงพฤติกรรมบทบาท ที่แสดงกรรมการงาน ที่จะมาทำงานอาสารับใช้ประชาชน เขาก็มาซ้อนแทรกอยู่ มารับใช้จริงหรือไม่จริง มารับใช้กันอย่างหลอกขี้โกง กอบโกย โลภโมโทสัน มันก็เห็นได้ชัดเจน ยืนยันได้พิสูจน์ได้มีหลักการมีวิธีการอะไรต่างๆทำได้ คนที่เข้ามาเป็นนักบริหารประเทศก็จะมาอาสา ทำให้ประชาชนในประเทศ ในรัฐ อยู่กันอย่างสันติสงบสุข มีอยู่มีกินมีใช้ไม่แย่งชิง ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายทำลายกันไม่ฆ่าแกงกัน ซ้ำ เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกันอุดหนุนจุนเจือกันมีน้ำใจแก่กันและกัน พูดไปแล้วอาตมาชื่นใจกับชาวอโศกเรา ว่าเรามีสิ่งเหล่านี้ พูดไปแล้วก็เห็นความจริงในสิ่งเหล่านี้
อาตมาว่า อาตมาไม่ได้เป็นคนงมงายสติฟั่นเฟือน อาตมามีสติมีภูมิปัญญามีธาตุรู้ พวกเราชาวอโศกจริงๆแล้วไม่มีอะไรมากในทรัพย์ศฤงคาร วัตถุสมบัติ สร้างสรร โดยเฉพาะอาหารเราก็สร้าง เพราะเราถือว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาตมาถึงมาชวนกันว่า เราจะต้องสร้างกสิกรรมธรรมชาติ
กสิกรรมหมายถึงพืชพรรณธัญญาหารไม่รวมเอาปศุสัตว์ เพราะเรื่องของปศุสัตว์ศาสนาพุทธนั้นไม่เกี่ยว วิบากใครวิบากมัน สัตว์ใดเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายมีวิบากของแต่ละตัว ต่างคนต่างมี เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกัน เรามาเอาแต่แค่พืชพันธุ์ธัญญาหารกสิกรรม กสิกรรมจึงจะเป็นสิ่งหนึ่งในสามที่จะกู้ชาติ กอบกู้เพื่อมนุษยชาติ อาหารก็แบ่งเป็นอุปโภคและบริโภค เราก็เอาสิ่งที่บริโภคนั่นแหละ เป็นคำข้าวมาเลี้ยงขันธ์ มันสำคัญที่สุดในความเป็นชีวะ สร้างอันนี้ให้อุดมสมบูรณ์ที่สุดเป็นพืชพรรณธัญญาหารเป็นเกษตรอินทรีย์ ปราศจากธาตุเคมีต่างๆ สารเคมีต่างๆ มันก็ซ้อน สารเคมี สารที่ใช้ในนี้ก็สารอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงสารเคมีเป็นภาพที่เขากลั่นมาจำเพาะมันก็แข็งแน่น มีคุณสมบัติแน่น แต่อันนี้มันอยู่ได้อย่างสัดส่วนพอเหมาะ ธาตุถั่วฝักยาวก็จะมีธาตุที่คนอาศัยได้ดีกว่า มันไม่เข้มข้นจัดจ้าน ธาตุมะเขือเทศมันจะมีอะไรก็รับสัดส่วนกันตามหน้าที่ของ พีชะ แต่ละวัตถุๆ คนก็มีความรู้หมด ว่าในแต่ละพืชพรรณธัญญาหาร มันมีอะไรบ้างที่ในร่างกายของเรา ของคนนี่ ต้องใช้ อันนั้นเท่านั้นเท่านี้ส่วน รู้หมดแล้วเดี๋ยวนี้ ทางโภชนาการสามารถรู้ที่จะเอาพืชอันนั้นอันนี้ ที่มันมีสารวัตถุ ธาตุต่างๆ เอามาใส่ในร่างกายเท่านั้นเท่านี้วิจัยได้หมด เอาเลือดมาตรวจ ดูว่ามันมีธาตุอาหารอะไรขาดแคลน กี่เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้มันทำงานได้สมดุลดีในร่างกายคนทุกวันนี้มีความรู้เหล่านี้หมด สรุปแล้วอาหารเป็นหนึ่งในโลกตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เรายืนยัน และอาหารนั้นต้องเป็นพืชพรรณธัญญาหารไม่ใช่ปศุสัตว์
การปศุสัตว์นั้นยังมีการประมง ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเราไม่เอาเราไม่เกี่ยว จะเลี้ยงไส้เดือนจิ้งหรีดอะไรไม่เอา ผู้ไม่รู้เขาจะอยู่ในวัฏสงสาร เขาจะเป็นกันเขาจะมีวิบากต่อกันและกัน พวกที่เลี้ยงจิ้งหรีดไส้เดือนเลี้ยงเสือเลี้ยงช้างเลี้ยงม้า มันเป็นวิบากที่เป็นอจินไตยละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่ต้องไปพูดหรอก สัจธรรมจะจัดสรรวิบากของเขาเอง สิ่งเหล่านี้อาตมาว่าอาตมารู้ในเรื่องอจินไตยเหล่หล่านี้ดี อาตมาถึงไม่มีปัญหาเลยในเรื่องพวกนี้ ไปว่าเขาก็ไม่ได้มาก ก็ต้องพยายามสอนเขา ดึงขึ้นมาหาสัจจะ การมากินพืชไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์ใดๆได้มันปลอดจากวิบาก ปลอดภัย คุณจะเกิดไปอีกกี่ชาติๆก็จะยิ่งปลอดวิบากไปเรื่อย
สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตยอาตมาเอามาขยายความว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย ยกตัวอย่างเรื่องการกินเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสใน ชีวกสูตร ละเอียดที่สุดแล้วแต่คนก็ไม่เข้าใจใน 5 ข้อที่มันเป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย บาปนั้นมาก บุญไม่มีเลย 5 ข้อนี้ ท่านใดสรุปไว้อย่างสูงสุดแล้ว
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60