611226_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 ราชธานีของโลกุตรธรรม
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1oPdHBBi5HGtkBFBlkbV1yjosr-YIoHgXfksnlwhe-nE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1mb9vpd97ftUA1rXqPlHJO-XoXyhZgBiy
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ฟังธรรม ของงาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน เราได้จัดงาน ว.บบบ.ครั้งนี้ครั้งที่ 6 ก็เป็นงานที่เราจะสร้างสรรค์บัณฑิต คำว่าบัณฑิตคือผู้รู้ บัณฑิตคือผู้ที่มีความรอบรู้จริง แต่ความรอบรู้ของพระพุทธเจ้าท่านหมายนี่ หมายถึงสภาวะ ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นที่เข้าหมายเป็นแค่ ไปเรียนกันที่ในสำนักตักสิลา ไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ที่สอนบรรยายกัน พาทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็สอบได้ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่หมายความถึงเนื้อแท้ของจิตวิญญาณ เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณได้เปลี่ยนแปลง จิตวิญญาณได้เกิดพัฒนาการ ในตัวจิตวิญญาณเองจริงๆเลย จากจิตที่มันต่ำ จิตที่มันไปยึดติด หรือชัดๆคือจิตที่มีกิเลส แล้วจิตก็มีกิเลสหลุดออก จางคลายออก จิตหมดกิเลสออกไปเรื่อยๆ เป็นลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนั้นคือบัณฑิตที่แท้ ก็ลดลงไป เป็นผู้ที่หมดอาสวะ
อาสวะ 3 คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ขยายเป็นอาสวะ 4 เติม ทิฏฐาสวะ
ผู้จะหมดสิ้นอาสวะก็คือ ผู้หมดสิ้นอวิชชาสวะ ก็จะต้องเป็นผู้ที่ถึงขั้นปัญญาวิมุติ จึงจะหมดสิ้นอวิชชาสวะ ถ้าหากแค่กายสักขี ก็จะมีอาสวะบางอย่าง
บุคคล 9
-
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า 3. อุภโตภาควิมุติ 4.ปัญญาวิมุติ 5. กายสักขี 6. ทิฐิปัตตะ 7. สัทธาวิมุติ 8. ธัมมานุสารี 9. สัทธานุสารี
บุคคล 9 นี้คือคนในมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าที่จะมีเนื้อหาสาระ
ทิ้งอาสวะคือกิเลสตัวปลาย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะหมดสิ้นอวิชชาสวะ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ
ผู้จะสิ้นอาสวะตัวปลายก็ต้องรู้จักสังโยชน์ อาสวะ แล้ว ก็จะมีความรู้เพิ่มไปอีกชั้นก็คืออนุสัย
อนุสัย กับอาสวะ
สวะ ก็แปลว่าตัวตนสภาวะของจิตสัตว์โลก
สยะก็คือจิตของสัตว์โลก ผู้ที่สามารถรู้ถึงขั้นรายละเอียด อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็รู้พอสมควรแต่ก็ยังไม่ได้รู้ชัดทุกสภาวะ แต่ก็พอรู้ ถ้ายังไม่ถึงอาตมาไม่รู้เรื่องหรอก จะรู้พยัญชนะตั้งแต่ กข ค ฆ ง แต่ละพยัญชนะหมายถึงสภาวะอย่างไรแล้วมาสัมพันธ์ร่วมกันผสมร่วมกัน เป็นสภาวะต่างๆ เพราะฉะนั้นบัณฑิตที่สามารถรู้ทุกคำแล้วผสมระหว่างพยัญชนะและสระ ต่างๆ โอ้โห… เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 ก็จะรู้มากยิ่งขึ้น ส่วนผู้ที่ยังไม่ถึงระดับอาตมา ก็จะเรียนพยัญชนะตัวหนังสืออะไรที่ท่านเรียนกันตามบาลี ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองกันไป ยังไม่เข้าไปลึกถึงขั้นขยาย ไปซับซาบ สภาวะแต่ละพยัญชนะ สระที่รวมกัน
คนฉลาดที่จะสร้างภาษา ภาษาเกิดก่อน แล้วพยัญชนะจะเกิดทีหลัง ภาษาที่พูดกันเกิดก่อน มากมายเยอะแยะ เสร็จแล้วก็มาสร้างพยัญชนะใส่ ก็ยังมีคนที่มีแต่ภาษายังไม่มีพยัญชนะ เอาไว้สำหรับเขียนสื่อสารกัน แต่เขาก็พูดกัน มีภาษาพูดกัน แต่พยัญชนะยังไม่เกิดมา ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเผ่าที่ไม่มีตัวหนังสือ มีแต่ภาษาพูดกัน ซึ่งนับไม่ถ้วนในโลก มีไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนภาษา ก็สื่อกันด้วยพยัญชนะ อาตมาก็ใช้ภาษาไทยสื่อ ขยายความมาจากรากฐานพระพุทธเจ้าที่ยึดถือในบาลีเป็นหลัก เราไม่ได้เรียนมาบาลีโดยตรง แต่เราก็พยายาม เอารากเหง้าของความหมายบาลีมาใช้อาศัย
อาตมาเกิดมาชาตินี้ ก็ยังภาคภูมิใจที่ได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้า มาอธิบายมาให้ศึกษากัน ในประเทศไทย 60 ล้านคนกว่า ก็มาได้ประมาณนี้ 500-600 คน ถ้า 670 ล้าน มาแค่ 670 คน หนึ่งในแสนคน ก็ถือว่าเป็นแก่น ลงทะเบียน 467 คน คนที่ไม่ลงทะเบียนอีกก็มีเยอะ
ได้คนแค่นี้อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีถือว่าสร้างบัณฑิตสร้างคนที่ลดละอาสวะ ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม แต่ก่อนนี้เรามีกิเลสติดเสพถึงขั้นเป็นอาสวะ กิเลสาสวะ เป็นกิเลสขั้นอาสวะคือมีความยึดติดเป็นตัวเรา สวะ ตัวตนเรา ต้องได้ต้องเป็นต้องมีต้องเสพ
ยกตัวอย่างคนติดกาแฟ ไม่ได้ล่ะ เช้าขึ้นมาก็ต้องซดกาแฟก่อน ถ้ายังไม่ซดกาแฟแทบจะเรียกว่าทำอะไรไม่เป็นเลย มันต้องซดกาแฟก่อน ติด อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นกิเลสาสวะ เป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตนจะต้องได้ต้องมีต้องเป็นจะต้องกินต้องใช้เป็นเราเป็นของเรา อย่างน้อยก็มีมาเป็นของเราเลย …ต้องได้เพชรก้อนนี้มา เป็นต้น เอาใส่ไว้ในเซฟ วันใดวันหนึ่งก็ไปเปิดเซฟดู เฮ้ย เพชรมันหายไปไหน ปรากฏว่าคนที่เปิดเซฟได้เอาไปจำนำเอาไปขายแล้ว ก็ฆ่ากัน เพราะยึดติดว่าเป็นของเรา ฆ่ากันแม้จะเป็นผัวเป็นเมีย เป็นคู่กันมา คนหนึ่งเอาของของเราไปขายเอาไปที่ไหนไม่รู้ เรา พรากจากสิ่งเหล่านี้ ขาดจาก ความเป็นของของเรา นี่คืออธิบายเป็นลักษณะสภาวะแท้ของมนุษยชาติ
คนเราก็มาติดมาติดยึดอย่างนี้ เราไม่ต้องยึดถืออะไรเป็นของเราหรอก สิ่งที่ต้องอาศัยมันคืออาหาร จะต้องกินต้องใช้เข้าไปสังเคราะห์ร่างกายนี้เป็นปัจจัยสำคัญนอกนั้นก็มีเสื้อผ้าก็ต้องใช้ประจำตัว ไม่อย่างงั้นอุจาด กันร้อนหนาวแมลงสัตว์กัดต่อย นอกนั้นก็มีที่พักอยู่โรงเรือนอาศัยกันไป เจ็บป่วยก็มีหยูกยารักษาโรคภัย นี่คือปัจจัย 4 ศาสนาพระพุทธเจ้าค้นพบเป็นความสำคัญที่ต้องอาศัยนอกนั้นก็มีบริการ วัตถุอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยใช้สอย เดี๋ยวนี้ต้องมีถึงขั้นคอมพิวเตอร์ แว่นตา ถ้าขาดแว่นตาทำอะไรไม่ได้เลยนะ ตามันสั้น หนักเข้าต้องมีคอมพิวเตอร์ขาดคอมพิวเตอร์ทำอะไรไม่เป็น ถือว่าเป็นบริขาร เป็นชีวิตที่ต้องทำงาน
ส่วนคนที่จะทำงานแล้วเอาไปหาเงินเอาไปสร้างรายได้ คือจะบำเรอความโลภ อีกชั้นหนึ่ง มันก็เป็นเหตุปัจจัยไปเรื่อย คนที่ติดยึดสิ่งเหล่านี้น้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่ง อย่างอาตมามีอาหารกินหรือไม่มีกินก็ไม่กังวล มีเครื่องมือให้ใช้ก็ทำงาน ทำงานก็ไม่ได้เพื่อได้ลาภยศสรรเสริญได้อะไรแลกเปลี่ยนกลับมา ทำก็ทำเพื่อให้ จะทำงานใช้เครื่องมือเครื่องไม้อุปกรณ์ต่างๆก็เพื่อทำงานให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นไป แล้วตัวเองชีวิตก็ งานอะไรควรทำแต่ละกาละเวลาก็ทำ ทำขึ้นมา
สรุปแล้วชีวิตคนอยู่กับกรรมกับการงาน ชีวิตๆหนึ่งก็คือกลุ่มก้อนของกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก้อนของกรรมที่กระทำอันนี้เรียกว่าดี กระทำอันนี้เรียกว่าชั่ว อันใดที่ควรทำอันใดที่ไม่ควรทำ มันก็เป็นผลที่สมบูรณ์แบบออกมาเป็นกรรม มีผลทั้งต่อเรา และออกไปสู่ภายนอก เกิดผลผลิต ผลิตตะ ออกมาให้ไปอาศัย อุปโภคบริโภคต่อไปเรื่อย
สัตว์เดรัจฉานมันไม่ทำงาน มันไม่มีผลผลิตอะไร มันได้แต่ไปกินธรรมชาติอาศัยธรรมชาติไป มันไม่ได้สร้างอะไร แต่คนเป็นสัตว์โลกที่มีภูมิปัญญา ทั้งสร้างขึ้นมาเป็นวัตถุอุปกรณ์เป็นผลผลิตอะไรต่ออะไร ทั้งดูแลรักษาธรรมชาติ ช่วยปลูกฝังรักษาเมล็ดพันธุ์ ช่วยรักษาเชื้อพันธุ์อะไรต่างๆหมุนเวียน คนจึงเป็นสัตว์โลกที่มีประโยชน์ต่อโลก แต่คนก็เป็นสัตว์โลกที่ทำลายโลกยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีก เดรัจฉานได้แต่กินแต่อยู่อาศัยใช้สอยตามประสา แต่คนเอามาใช้สอยได้เยอะและสร้างได้ด้วย แต่ที่ไม่มีภูมิปัญญาผลาญพร่ามีเยอะ คนต้องรู้ว่าเราควรทำลายหรือสร้างสรร ความเป็นคนจะต้องสร้างสรร
สรุปคนอย่างชาวอโศกทำลายน้อย จนกระทั่งเป็นผู้ที่ไม่มีกรรมกิริยาทำลาย นอกนั้นก็สร้าง ชาวอโศกเป็นผู้ที่ไม่ผลาญไม่ทำลาย แต่สร้างช่วยโลก แล้วเราก็มาสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดก็คืออยู่กับกสิกรรม เราไม่ไปสร้างแม้แต่การทำปศุสัตว์ ทำการประมง การประมงเขาก็มีการสร้างมีการเลี้ยงปลา ก็มีบ้าง แต่มันก็สู้ธรรมชาติไม่ได้หรอก แม้จะปศุสัตว์ก็ตามมันก็สู้ธรรมชาติเองไม่ได้ แต่ก็ยังดี คนก็ไปรักษาไปช่วย ก็เป็นธาตุรู้ภูมิรู้ เรียกว่าภูมิเฉกา ภูมิรู้สามัญโลกียะ
ถ้าได้มีปัญญาก็ต้องเป็นปัญญาขั้นโลกุตระ
ปัญญาขั้นโลกุตระ หมายความว่ามีความฉลาดทำกรรมกิริยาต่างๆ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วมีสติสัมปชัญญะมีปัญญา รู้ว่าเราจะตามจิตของเรา แล้วก็รู้จัก ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มีกาม มีพยาบาท ผสมมากับจิตไหม ถ้ามีก็รู้ทัน จับ วิเคราะห์วิจัย จับเอาตัวกาม เฉพาะอาการของกาม เฉพาะอาการของปฏิฆะ แล้วมาจัดการ กำจัดกาม กับกำจัดปฏิฆะ
วิธีกำจัดก็ด้วยการ กดข่ม สมถะ แล้วก็ใช้ความรู้ พิจารณารู้ว่าอาการกามมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นพลังงานที่มันเกิดในจิตเรา มันก็เกิดเป็นคราว แล้วมันก็หายแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปมันไม่เที่ยง แต่มันเกิดมาก่อทุกข์ก็เวรก่อภัย จิตวิญญาณนี่มันเกิดมาก่อทุกข์ แม้ว่าจิตวิญญาณมันเกิดมาเป็นกาม เป็นปฏิฆะ
ปฏิฆะ แปลว่า ถูกกระทบกระแทกกระเทือน เคลื่อนไหว ฆ กับสิ่งหนึ่งเรียกว่ารูปนาม
ฆ คือก้อนแล้วมีพลังงานเกิด กระทบกระแทกกันเรียกว่า ปฏิฆะ
มันเกิด ปฏิฆะ อย่างนั้นขึ้นมาแล้วก็เกิดอารมณ์ พอใจกับไม่พอใจ
พอใจเรียกว่าสุข ไม่พอใจเรียกมันว่าทุกข์ คนไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธอย่างที่อาตมาอธิบายขยาย ตามที่พระพุทธเจ้ารู้ ให้อ่านอาการสุข ผู้ไม่ศึกษาก็ไม่รู้ว่าเหตุอะไรมันเกิดสุขเหตุอะไรมันเกิดทุกข์มันก็ต้องมีเหตุ เหตุที่เราตั้งเป้าเอาไว้เรียกว่าอุปาทาน ยึดติดมานานไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว ถ้าได้มาอย่างนี้ เมื่อใดมากระทบกันก็เกิดสุขเกิดพอใจ ถ้าไม่ได้มาดังที่ตั้งไว้สมมุติไว้ ก็ไม่พอใจ
ชีวิตก็เลยอยู่กับสุขกับทุกข์ แต่แท้จริงแล้ว สุขมันก็ไม่มีทุกข์มันก็ไม่มี อนัตตา แต่คนที่ไม่ได้ศึกษาก็จะอยู่กับสุขกับทุกข์ ยิ่งเป็นเทวนิยม จะไม่เอาทุกข์จะเอาแต่สุข แล้วก็ไม่เคยศึกษาว่าคุณแยกสุขกับทุกข์ไม่ออก คุณตีแตกคำว่าสุขกับทุกข์ไม่ได้
สุขกับทุกข์เป็น dualism เป็นคู่หู คู่ฆ่าแกงกัน คู่รัก คู่ปฏิปักษ์ ก็มีสองอย่าง คู่ฆ่ากับคู่รัก คู่ดูดกับคู่ผลัก ศาสนาเทวนิยมจะไม่เรียนรู้สภาวะลึกซึ้งอันนี้ เขาก็ไม่สามารถทำให้หมดสุขหมดทุกข์ไปได้อย่างไร ก็หลงสุข ไม่พอใจทุกข์ แต่ไม่มีวิธีที่จะเลิกทุกข์ หมดวิธีก็โยนไปให้พระเจ้า โยนไปให้ God เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ตัวเองจะไปรู้เรื่องทุกข์ ตัวเองจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ไม่รู้เรื่อง ที่จริงแล้วสุขกับทุกข์เป็นตัวเดียวกัน เป็นแต่เพียงกลับกันไปในอารมณ์ยึดติด
คนที่ซาดิส มันก็ไปเอาความร้ายแรงความแรงมาเป็นสุข ยิ่งคนเป็น มาโซคิส ไปเห็นคนอื่นชกกัน รุนแรงต่อกันก็พอใจสบายใจ คนมากระทบกระแทกเขาชกกันไม่ใช่เรามันดี ดีไม่ดี เศษสตางค์จ้างเขาชกกันก็รู้สึกมัน เป็นคนอวิชชา แม้บางคนชกเองก็ได้รับสรรเสริญเยินยอว่าตนเองเก่ง ก็อยู่ในความวนเวียน ซาดิส เห็นคนทำรุนแรงคนอื่นก็พอใจ มาโซคิส ตัวเองถูกทำร้ายถูกทำรุนแรงก็เกิดความชอบใจ ภาษาไทยไม่มีต้องอาศัยภาษาฝรั่ง
สิ่งเหล่านี้พอเข้าใจ แต่ไม่มาเรียนรู้ที่จะเลิก ศาสนาพุทธเรียนรู้จนไม่ติดยึดในความสุขความทุกข์
คำว่า สอง ภาษาบาลีว่า ดะเว (เทวฺ)แต่ภาษาไทยอ่าน เทวะ ก็คือสภาวะติดกันยึดแน่นแกะไม่ออก แล้วแต่มองมุมดีว่าเทวคือสวรรค์ คืออารมณ์พอใจร่วมยินดี แต่แท้จริงมันแยกไม่ออกหรอกพอใจกับไม่พอใจเป็นอุปาทานอยู่ภายใน ยึด ถ้าได้กระทบสัมผัส อย่างนี้พอใจ กระทบสัมผัสอย่างนี้ไม่พอใจ มันก็ยึดติดอยู่อย่างนั้น แล้วบำเรออารมณ์ตัวเองเปลี่ยนไปพอใจไม่พอใจ-พอใจไม่พอใจ ศาสนาพุทธเรียนรู้จนกระทั่งไม่ต้องไปบ้าพอใจไม่พอใจ มากระทบอย่างนี้ก็คืออย่างนี้ ถูกกระแทกอย่างแรง กระแทกทำไม อะไรมากระแทกกระทุ้งถึงขั้นฉีกขาดกล้ามเนื้อ ปฏิกิริยาผิวหนังของอากาศเจ็บแสบปวด มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ที่เกิดเหตุการณ์อันนั้นก็รู้ ไม่กระทบกระแทก ตากระทบรูป เห็นรูปร่างสีสัน ก็คือของที่มันมีรูปร่างสีสันอย่างนี้ ไม่ต้องไปโง่ถึงขั้นต้องสีสันอย่างนี้เราถึงชอบ สีสันไม่ถึงอย่างนี้เราไม่ชอบ รูปร่างอย่างนี้เราชอบ ไม่ได้รูปร่างอย่างนี้ไม่ชอบ กลิ่นเสียงสัมผัสก็นัยยะเดียวกัน
เราก็สุขทุกข์อยู่กับการไปยึดติดสิ่งเหล่านี้เป็นสเปคอย่างนี้ กำหนดหมายว่าต้องได้อย่างนี้ แล้วมันกำหนดหมายใส่จิตตนเองมาไม่รู้กี่ชาติ จนกระทั่งมาศึกษาศาสนาพุทธจึงรู้ว่ามันก็เป็นความมีแค่นี้ ตากระทบสีก็เป็นสี ชอบหรือไม่ชอบมันก็เป็นสีนั้น แล้วคุณชอบหรือไม่ชอบ คุณมันบ้า ศาสนาพุทธให้รู้ว่าคุณโง่คุณบ้า ก็เลิกมันเสียไม่ต้องมี 2 เรียนรู้เทวะเรียนรู้สภาวะ 2 ความจริงมันก็คือความจริง ถ้าเกิดว่าชอบหรือไม่ชอบมันคือความว่าความไปติดยึดความเป็นอวิชชา
ถ้าเขาใจที่อาตมาอธิบายมาเรื่อยๆว่าอาการของจิตที่เป็นอวิชชามันบ้า มันมีแต่อันเดียวรู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้าเรายังไม่ตาย เราก็ต้องต้องกระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้นกาย กระทบภายในใจเอง มันก็มีอยู่แค่นี้ ถ้าเราสามารถรู้เป็นหนึ่งเดียว
มะละกออันนี้มันมี 2 สี สีเหลืองกับสีเขียว ไม่ไล่เฉด มีแต่เขียวกับเหลือง อันนี้มีแต่เขียวอย่างเดียว มันก็เขียว อย่างเดียว เขียวก็เขียวก็จบแล้ว แต่ถ้าเขียวนี้ชอบเขียวนี้ดี พุทรามันต้องเขียวอย่างนี้ หรือบางทีสีมันเน่าๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพมีแบคทีเรียมาทำปฏิกิริยาก็เสื่อมไป เราก็รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเพราะมันมีการเสื่อมไปตามสภาพ มันก็ไม่เที่ยงมันก็เปลี่ยนแปลงไป คนเราเข้าใจสภาพที่ต้นเหตุเกิดตามปัจจัยเหล่านี้แล้วไม่แปลก มีหนึ่งเดียวเท่านั้น
คนเข้าใจสภาพเทวแล้วทำจิตให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง จริงๆแล้วมันมีแต่ 1 มันทรงอยู่ที่ 1 ผู้ที่เข้าใจหนึ่งได้อาศัยหนึ่งได้ เมื่อมันไม่มี มันก็คือจิตของเรา จิตของเราจึงหมดปัญหา มีแต่ปัญญา ผู้ที่หมดปัญหามีแต่ปัญญา ก็คือสูญ จิตเราก็มีสูญ มันเป็นตามความเป็นจริง พุทรานี้มันดีมันก็ดี เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเสื่อมก็ได้สังเคราะห์ด้วยแบคทีเรียด้วยอะไร มันเสื่อมไปตามสภาพ ชักสีเหลืองสีน้ำตาลเน่าลง มันก็เปลี่ยนแปลงไป มันไม่เที่ยงมันต้องเปลี่ยนแปลงและไม่มีอะไร ทรงอยู่ได้ จะเรียกว่าอันนี้มันแข็งวันหนึ่งมันก็เปลี่ยน ยิ่งเป็นเหล็กโลหะเลย เกาะตัวอยู่นานสักวันมันก็เปลี่ยน ผู้เข้าใจสิ่งที่ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ได้ยึดติดเลย รู้ความจริงตามความเป็นจริงในปัจจุบัน อันนี้มันก็คืออันนี้ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป คนนี้ไม่มีทุกข์ ขอยืมพยัญชะมาใช้ คนนี้ก็เหลือแต่สุข
สุ คือดี ข คือว่าง สุดท้ายมันก็ว่างมันก็ศูนย์ก็เป็นไปตามธรรม มันก็เปลี่ยนแปลงไปเดี๋ยวก็หายเดี๋ยวก็ไปเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวก็สลายเป็นน้ำ จากธาตุดินมาเป็นธาตุน้ำ สลายเป็นธาตุอากาศ เป็นแก๊ส เป็นลม เป็นไฟ มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างนี้ แล้วคนเข้าใจหนึ่งแล้วก็ไม่มีปัญหาไม่มีปัญญา เสร็จแล้วก็ไปหาศูนย์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ศาสนาพุทธแยกแยะ 2 แล้วมันเป็นหนึ่ง ยังมีปัญญารู้ทุกอย่างมันก็เป็นหนึ่ง แล้วสำรอก จิตเราเป็นผู้ที่มีความสูงมีสุญญตามีนิพพาน ก็จะทำเข้าไปหา 0
ในสภาพของวัตถุมันก็เป็นไปหาศูนย์เหมือนกันมันก็สลายตัวเป็นแปลงไปตามเรื่องตามสภาพของโลก ธรรมชาติ ดิน น้ำ ไฟ ลม หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ไอน์สไตน์บอกว่าทุกอย่างมันเป็นสสารพลังงาน จากสสารพลังงานดินน้ำมันก็เป็นสสาร เมื่อไปถึงเป็นแก๊สเป็นลมเป็นไฟมันก็เป็นพลังงาน ก็เท่านั้นเองหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่มีสูญหาย สสารกับพลังงานเท่านั้น
ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วจึงเข้าใจสุขเข้าใจทุกข์ที่คนยึดติด เราไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ยึดติดจึงรู้จักการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามสภาพที่มันเปลี่ยนไป สภาพที่มันเปลี่ยนมันกำลังเกิด มันกำลังอยู่อย่างได้สมดุลพอดี มันกำลังเสื่อม ก็ไม่ได้สงสัยหรืองงประหลาดอะไร หลายอย่างจบที่คู่เทวะ ปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยแล้วมันก็สูญ อาศัยที่มันเป็นธาตุที่ได้สัดส่วนสมบูรณ์ เสร็จแล้วจิตเราหมดก็สูญไปตามสภาพสภาวะ มันก็จะสลายเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น จากลมจากไฟก็ไปเป็นน้ำเป็นดิน จากดินกับน้ำก็เป็นลมเป็นไฟ วนเวียนอยู่แค่นี้
ศาสนาพุทธ รู้จักสิ่งที่เป็น static Dynamic รู้จักสิ่งที่เป็นก้อนและเคลื่อนไหว 2 อย่างคือรูปกับนามเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นก็จะหมดสงสัยในโลกนี้ รู้จักสังขารการปรุงแต่งดิน น้ำไฟ ลม แม้ที่สุดมาเป็นชีวะเป็นจิตวิญญาณ ก็เป็นจิตวิญญาณที่เข้าไปปรุงแต่ง ก็เป็น 2เหมือนกัน เข้าใจเทวะเข้าใจ 2 เป็น 1 เป็น 0 อย่างสมบูรณ์แบบ
อรหันต์รู้จักสังขารในการปรุงแต่งสมบูรณ์แบบในแต่ละอย่าง แต่ละไฟ แต่ละลม แต่ละน้ำ แต่ละดิน อยากเป็นมหาภูตรูป 4 อย่าง นอกนั้นมันจะจัดการอีกในรูป 24 อุปาทยรูป
ขอเริ่มต้นด้วย ภาวรูป โดยมีตัวตั้งปสาทรูป ชีวะที่มีประสาท ประสาททำงานร่วมกับ โคจระ มันก็คือรูปนามของแต่ละคนมีอยู่แล้ว เมื่อออกไปทำงานกระทบกับสิ่งหนึ่งก็เป็นสามเส้า ก็เกิดการสังขารปรุงแต่ง ปรุงแต่งกันโดยมีความรู้
เราสร้างวัตถุมาเป็นพืชพรรณธัญญาหาร สร้างมาเป็นกระดาษมาเป็นหนังสือมาเป็นคอมพิวเตอร์มาเป็นโลหะ ก็ทำไปในการผสมส่วน ผสมส่วนตั้งแต่ 2 อย่างมาเป็น 3 อย่าง จะเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ก็จาก 2 สิ่ง ถ้าเป็น 3 ก็เป็นองค์รวมของการสังขารขึ้นมา ถ้าหาก 2 อย่างยังไม่เป็นสังขาร 3 อย่างจึงเป็นสังขาร
ยกตัวอย่างในนิวเคลียสมันมีธาตุบวกธาตุลบ แต่มันไม่รู้ตัวมันจับเกาะกันเป็นก้อนเป็น 3 เป็นนิวเคลียสก็เป็น 3 พอมาสามเส้า ยกสถานะจากอุตุ พีชะมันไม่รู้เรื่องหรอก มันจะมี 3 มีสัญญากับสังขาร แต่ของจิตนิยามของมนุษย์ statusก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง อเวไนยสัตว์ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องเป็นเวไนยสัตว์อย่างมนุษย์นี่แหละถึงจะรู้เรื่อง
จึงจะเกิด ภาวรูป 2 อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ จึงเกิดตัวเราเป็นของเราจึงเป็น ISH เป็น I เป็น she เป็น he
พระพุทธเจ้าท่านศึกษารู้รากเหง้าของความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นนามธรรม วัตถุต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ถึงไบโอโลจี พระพุทธเจ้า biology ศึกษาไปถึงจิตวิญญาณสูงถึงขั้นจิตนิยาม ก็เรียนรู้แตกแยกเรื่องของจิตวิญญาณ psychology อย่างลึกซึ้งด้วย ทางด้านภาษาอังกฤษเป็นสายเทวนิยม ไม่เหมือนทางอินเดียหรือไทยที่ศึกษาทางด้านศาสนาพุทธ ก็ลงไปลึก เมื่อลงลึกถึง ไซโคโลจีของศาสนาพุทธ ถึงขั้นที่แยกโลกียะกับโลกุตระ แล้วตีแตก 2 ทุกอย่างเป็นสภาพ 2 ยิ่งเป็นชีวะแล้วมีสภาพ 2
แม้เป็นชีวะของเทวนิยมเขาแตกสภาวะสองสภาพนี้ไม่ออก เมื่อแตกไม่ออกเขาก็จำนวนเกี่ยวกับสองสภาพ มี 2 เรียกว่าเทวะ เทวดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นGod เป็นผู้สั่งการเป็นผู้ปฏิบัติการ แล้วไม่รู้เผด็จการอย่างไรตามใจGod เป็นทุกข์เป็นสุขอย่างไร Godเป็นเจ้าของ คนอื่นไม่สามารถหมดสุขหมดทุกข์ เอาฝากไว้ที่ God
God เป็นเจ้าของทุกชีวะ เขาก็เลยไม่มีนิพพาน หมดความสุขหมดความทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นคนสั่งให้เกิดความสุขความทุกข์ ถ้าหากเป็นคนสายเทวนิยม มันรับวิบากอย่างนั้นอย่างนี้ก็ว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า จำนน คนของสายเทวนิยมจึงไม่มีทางหมดทุกข์ เพราะอย่างไรก็จำนน เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ศาสนาพุทธมีนิพพานมีการพ้นทุกข์สนิท พระเจ้าจะให้ทุกข์อย่างไร จะให้พระอรหันต์มีทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยเรียกพระเจ้าว่า เป็น เทวบุตรมาร แปลงตัวมาเป็นเทพ ส่งมาเป็นลูก เป็นเทพบุตร แต่แท้จริงแล้วไม่ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า มารเอ๋ย เราหักเรือนยอดของเธอหมดไปแล้ว ความเป็นมารไม่มี นี่คือศาสนาพุทธ หักยอดเทวะ ยิ่งใหญ่ แล้วก็เป็นนิรันดร
จากนั้นท่านก็ส่งอีกสิ่งหนึ่งมาเรียกว่าบุตร แต่ทำทีว่าจะมีแม่ของบุตรด้วยนะ ยิ่งมาเป็นคนก็บอกว่า ส่งพระบุตรมาประกาศคำสอนทุกอย่าง คือไม่รู้ต้นรากแท้ๆจริงๆ พูดไปก็เหมือนกับยกตนข่มท่านศาสนาเทวนิยม แต่ความจริงแล้วศาสนาพุทธรู้ความจริงของเทวะ จนกระทั่งเลิกศูนย์เลยมีนิพพาน ศาสนาเทวนิยมมองศาสนาพุทธว่าไม่รู้จักจิตวิญญาณเพราะไม่เป็นเทวดาไม่รู้จักพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ศาสนา เป็นแค่ ฟิโลโซฟี เป็นแค่ปรัชญาเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า ศาสนาพุทธเป็นตัวการที่หักขั้วยอดของวิญญาณออก สลายจนไม่ต้องเกิดวิญญาณหรือจะเกิดอยู่ ก็เกิดได้ เกิดได้อย่างดีด้วย จะมาเป็นคนหรือที่เรียกว่าพระบุตรก็ตาม จิตมีตัวพระเจ้าจริงเลย แล้วเป็นพระบุตรเป็นพระเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดไม่ทำชั่ว มีพฤติกรรมในจิตดีวิเศษที่รู้รอบรู้หมดรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของโลกจริงๆ ที่ยืนยันพิสูจน์ได้ในตัวบุคคล ในศาสนาพุทธก็คือเป็นพระพุทธเจ้า ถ้ารองลงไปก็คือพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานก็คือพระอวโลกิเตศวร นอกนั้นก็มีโพธิสัตว์ระดับรองลงมา โพธิสัตว์องค์อื่นใครพบเจอก็ว่ากันไป เจอพระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่งก็เป็น อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
ใครเจอโพธิสัตว์ระดับ 8/9 ไหม ไม่เจอ ..ยังดี มาเจอโพธิสัตว์ระดับ 7 อย่างอาตมา เจอแล้วดีไหม เป็นคนเอาธรรมะพุทธเจ้ามาสาธยายแยกแยะมา ปรับปวาทะ ให้คนรับรู้ได้เอาไปปฏิบัติได้เอาไปทำให้เป็นขึ้นมาให้เจริญขึ้นมาเป็นคนดี เป็นคนที่หมดทุกข์ หมดทุกข์หมดโศก ทุกข์ก็ไม่มีสุขก็ไม่มี มีแต่สภาวะของมันอย่างนั้นเป็นหนึ่งเดียวอย่างเดียว จึงอาศัยเดียวหนึ่งเดียว ทำเทวะ 2 นี้ให้เป็น 1 อาศัย 1 แล้วก็รู้จักภาวะ 0
ผู้ที่ทำ1 ได้แล้วก็เข้าใจว่าสุดท้ายมันก็สูญสลาย หรือ 1 หรือ 0 มันก็เป็นตัวมันเอง พูดพยายามเขียนสื่อเป็นตัวเลข ที่จริงตัวเลข 0 อารบิก 0 เสร็จแล้วเริ่มต้นผ่าครึ่งก็เป็นหนึ่ง หนึ่งคือเส้นตรง เทวนิยมคือพวกแข็งๆ เป็นพวกผ่าเป็น 1 ส่วนคนไทยเลข 1 ไม่ผ่า แต่ม้วนลงมา จากจุดศูนย์กลางแล้วม้วนลงมา ๑ นี่คือเลข 1 ของไทย
เพราะฉะนั้นไทยจึงเป็นพวก Dynamic พวกเทวนิยม เป็นพวก static คือ 0 คือ 1 เป็น Dynamic พวกม้วนเป็นวงกลม พวกตรงนี้คือพวกพูดกันยาก เพราะไม่มีการยืดหยุ่นไม่มีรู้เรื่องไม่มีการเข้าใจ ศาสนาพุทธมาเรียนรู้ทั้ง 1 ทั้งความเป็น static Dynamic เรียนรู้เทวะ ตีเทวะ 2 เป็น 1 ก็ได้เป็น 2 ก็ได้ ไม่สงสัยมันจะเป็น 1 เมื่อใดเป็น 2 เมื่อใดหรือจะเป็น 3 4 5 6 ขยายออกไปไม่สงสัย แม้ที่สุด ขยายไปจนถึง Infinity เลยก็คือ 0 ไม่สงสัยว่าศูนย์ก็คือ Infinity Infinity ก็คือ 0 หมดปัญหาหมดความสงสัยหมดวิจิกิจฉา เข้าใจหมดเลย
อย่างอาตมานี้ยังไม่เปลี่ยนพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ก็เข้าใจแล้ว เป็นระดับ 7 ก็เข้าใจขนาดนี้แล้ว มีแต่สังขาร สังขารอายุ 84 ก็ยังดี ยังไม่มีป่วยเจ็บอะไรมาก บางคนถามว่าเจ็บปวดอะไรหรือเปล่า วันหนึ่งทำงานกว่า 10 ชั่วโมงนั่งทำงานก็ไม่เป็นไร ไม่ปวดแขนปวดขาอะไรก็ต้องฟิตเนส ไม่มีอะไร อันนี้เป็นบารมีนะ คุณจะเลียนแบบเอาอย่างได้ก็เอาไม่ว่ากัน แต่มันเลียนแบบยากนะ ถ้าหากอาตมาอายุถึง 90 ก็อีกแค่ 5 ปี ก็ยังไม่ได้เจ็บปวดอะไรไม่เมื่อยอะไร ฟิตเนส อยู่อย่างนี้นะ รับรอง 100สบาย สมส่วน ก็มีผู้ดูแลรักษา ทั้งหมอไทยหมอฝรั่ง ช่วยกันดูแลบ้าง อาตมาก็ดูแลตัวเอง คนอื่นก็มาแนะนำดูแล บางทีทำงานมากไปพักผ่อนน้อยไป เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ทำงานกับพักผ่อน กินอยู่ก็ไม่มีอะไรแล้ว กินมื้อเดียวแล้วก็เสร็จ ก็ให้มันหมุนเวียนสังขารร่างกายให้ดี
ส่วนที่อาตมาเรียนรู้ก็บอกเรื่องจิตวิญญาณ ให้รู้จักการรู้เรื่องจิต เข้าใจอาการของจิต อาการของจิตที่เรียนรู้ที่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าท่านสรุปลงไป ศาสนาพุทธมันเพี้ยนไม่เข้าใจ ว่ากรรมฐานที่ตั้งแห่งการกระทำแห่งการปฏิบัติ คือ เวทนา
เวทนา ศาสนาพุทธต้องรู้ฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติคือเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาแล้วไม่มีฐานที่ปฏิบัติ ล. ๙ ข.๘๗ [๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
อันนี้แหละเป็นตัวตั้ง คือสิ่งที่เป็นกสิณ ให้จิตใจจดจ่อเป็นกรรมฐาน รวมลงแล้วได้ 40 เข้าใจผิดอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นเรื่องออกนอกรีตว่ากรรมฐานก็คือ ไปเอาอะไรก็ไม่รู้ 40 อย่างเป็นดินน้ำไฟลมอะไรก็แล้วแต่รวมแล้ว 40 แล้ววิธีกรรมฐานคือสมถะเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่อย่างนี้ให้นิ่ง แล้วเรียกว่าสมาธิ นั่นแหละผิดหมดเลย มันเป็นของศาสนาเดียรถีย์มันไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย ศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ถ้าคุณไม่มีผัสสะก็ไม่มีความรู้สึก ถ้าไปนั่งสะกดจิตหลับตาให้มันนิ่งไม่มีอะไรได้ปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าเลย เพราะไปนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นพวกมองข้ามไปจากศาสนาพุทธ ทำแสดงให้ออกนอกรีตออกจากศาสนาพุทธไปเรื่อยๆ เอาแต่นั่งหลับตาสมาธิยิ่งจะออกนอกศาสนาพุทธไปไกลเดี๋ยวนี้ยิ่งไปไกลมาก ไปติดยึดว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสะกดจิต เป็นสมถะ จะเดินหนอย่างหนอ จะนั่งหลับตาสะกดจิตก็เป็นสมถะหมดเลย
เรียนรู้กรรมฐานพิจารณาเวทนา 108 จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง ดีที่ยังมีหลักฐานเวทนา 108 ถ้าไม่มีเวทนาแล้ว เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ไม่เป็นที่ตั้งไม่เป็นแหล่งที่จะปฏิบัติธรรม ผู้ใดไปนั่งหลับตาก็ไม่มีแรงที่จะปฏิบัติธรรม
โมฆะไปอีกกี่ชาติก็แล้วแต่ ขอพูดขอตีหนักๆ ตีอย่างนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว หยุดหลับตาปฏิบัติธรรมได้แล้วเพราะมันออกนอกศาสนาพุทธไปไกลมากเลย ต้องมีเวทนาเป็นตัวฐานในการปฏิบัติ จะมีเวทนาได้คุณต้องมีผัสสะ
ในมูลสูตร
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)จะบรรลุหรือไม่ก็ต้องทำใจในใจให้เป็น พอจะมีมนสิการเป็นจะต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)หากไม่มีทักษะเป็นสมุทัยเป็นเหตุแห่งการปฏิบัติ อันนี้ไม่ใช่สมุทัยอริยสัจ แต่เป็นสมุทัยในภาคของมรรค ภาคปฏิบัติธรรม ใครที่ไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะเป็นสมุทัยไม่ใช่พุทธเลย ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้าเลย คุณไปไกลมากมันหลงทางออกนอกพุทธไปไกลมากเลย อาตมาพยายามดึงกลับมันก็เหนื่อยเพราะว่ามันไปไกลมาก ในเมืองไทยไม่รู้กี่ล้านคน เป็นชาวพุทธ 95 เปอร์เซ็นต์ด้วย น่าจะประมาณ 60 ล้านคน อาตมาต้องชักเย่อ 1 ต่อ 60 ล้านคน ขันจอหว่อไหม เห็นใจเถิดเห็นใจบ้าง ภาษาจีน
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .