611228_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 สลายอาสวะให้ทะลุไปหาอนุสัย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1bZNtQXUKDH73ki_6pgb_seRNJ6hrSe_RLp2PP4hcY9E/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1XOmjzLMqvAaEBSeQR4Orzj1eOmlnF6k4
พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้อาตมาลงลึกคำว่าเทวะ หรือ เทวฺ มันเป็นสอง รู้ทั้งสภาวะและพยัญชนะ
ทางเทวนิยมเขาเป็น 2 เป็นจิตวิญญาณที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นหนึ่งเดียว เทวหรือเทวดาเขาเป็นหนึ่งเดียวมันแยก 2 ไม่ได้ รู้รูปนามรู้ 2 ไม่ได้ คำว่าสองนี้เป็นได้ทุกอย่างเลยตั้งแต่นิวเคลียสเป็นบวกกับลบ แต่มันเป็นพลังงานได้จนถึงขั้น ระเบิดออกมา มหาศาลเลย เท่าไหร่เท่าไหร่ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันลึกซึ้งมากทีเดียว
พวกเราเป็นพวกที่ว่ากันในยุคนี้เป็นคนที่รู้อันนี้ แม้แต่เถรสมาคมก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นประเทศอื่นเป็นศาสนาพุทธก็ตามก็ยังไม่รู้ มีประเทศไทยรู้และประเทศไทยก็คือชาวอโศกด้วย ไม่ได้อวดดีอวดเก่งแต่มันเป็นไปตามธรรม แสดงออกมาเป็นเกือบ 50 ปีแล้ว ถ้าอาตมาไม่เป็นจริงก็ไม่มีคนจริงไม่มีสภาวะธรรมจริง ไม่มีนามธรรมจริง จิตวิญญาณของคนก็ไม่สามารถรู้ รู้คำว่ากิเลส รู้คำว่าความหมาย รู้แล้วเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติจิตส่วนที่เป็นกิเลสก็แยกกันเป็น 2 อนึ่งเป็นจิตธาตุรู้ที่แท้ อีกอันหนึ่งเป็นจิตปลอม จิตอุปาทาน จิตตัณหา จิตเก๊ แล้วเราก็สามารถทำให้จิตเก๊ จะเรียกว่าอาคันตุกะแขกจรก็ได้มันมาร่วมสิ่งนั้นมันก่อตัวจาก 2 เป็น 1 เราตีแตกแยกได้สามารถทำลายให้เหลือแต่จิตแท้ จนกระทั่งจิตเราสะอาดขึ้นตั้งแต่คู่แรก
อบายมุข เป็นเรื่องกิเลสที่หยาบที่ชัดเจน อันนี้ไม่ได้เรื่องต้องล้างออก สัมผัสของจริงมันเกิดเมื่อไหร่เราก็ได้ปฏิบัติ มันยังไม่หมดก็ปฏิบัติจนลดหมด หมดจนสั่งสมเป็นอเนญชา สั่งสมให้มันตกผลึก เช่น อภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร เกิดพลังงานบุญกำจัดกิเลสได้ ได้จนหมดก็เป็น อปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องกำจัดอีกแล้ว แต่ก็ยังทำสังขารอยู่ สังขารเป็น อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำซ้ำ ทำอย่างที่ทำได้นี่แหละ สั่งสมอเนญชายิ่งขึ้น
คำว่าสมถะสมาธิของพุทธเริ่มที่ตรงนี้ เริ่มตรงสั่งสมเป็นอเนญชา สั่งสมเป็น 1 หน่วย 2 หน่วย 5 หน่วยร้อยหน่วยล้านหน่วยพันหน่วย สั่งสมเป็นจิตตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ
จิตตั้งมั่นสมบูรณ์แล้วเรียกว่า สมาหิโต เป็น Past perfect tense จิตตั้งมั่นแล้วจบ ไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” เป็นอเนญชาภิสังขารจนถึงขั้นสมาหิโต เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ถือว่าเป็นวิมุติ
เราก็ตรวจสอบความหลุดพ้นนี้จะเหลือเป็นเศษ อรูป หรือมีเศษ อนุสัย สุดท้ายๆๆ อนุสัยตัวสุดท้ายที่สุดหรืออยู่ในขั้น ทิฏฐาสวะ ในระดับกามาสวะ ก็มีกามานุสัย ในระดับภวาสวะก็มีภวานุสัย ในระดับภวาสวะ มี ภวราคานุสัย
อนุสัยมี 7
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 11)
อาสวะ 4 ยังมี ทิฏฐาสวะ
1.กามาสวะ
2.ภวาสวะ
3.ทิฏฐาสวะ
4.อวิชชาสวะ
(พตปฎ. เล่ม 35 ข้อ 961)
มาศึกษาทิฏฐาสวะ วิจิกิจฉานุสัย มันจะยังไม่แน่นอนเหมือนศึกษาสังโยชน์ 3 ชุดแรก คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
วิจิกิจฉาในสังโยชน์หยาบกว่า ต้องมีการศึกษาสักกายะ มีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องไหมตรวจให้พ้นวิจิกิจฉา ชัดเจนในตัวตนที่จะต้องฆ่าและเครื่องมือในการฆ่า กิเลสตัวนี้ กับเครื่องมือที่จะฆ่า คือ ศีลพรต ถูกต้องแล้วพ้นวิจิกิจฉาและลงมือทำ ตัวโจรแท้กับวรยุทธ์ของคุณที่ครบ เสร็จแล้วถ้าคุณยังทำไม่ได้ ไปศีลพรตกันแค่ ถ้าเผื่อว่า สีลัพพตุปาทาน ยึดศีลพรต ยังไม่เข้าสัมมาทิฏฐิ อย่างเถรสมาคมยังอยู่แค่ สีลัพพตุปาทาน คือ ปฏิบัติบำเพ็ญอะไรก็แล้วแต่ยังเป็นเพียงแค่ยึดมั่นถือมั่นในศีลในพรต อย่างอุปาทาน ยังไม่เข้าร่องรอยยังไม่สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าทำอย่างสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาแยกแยะกิเลสได้แล้ว แต่คุณยังไม่ฆ่ากิเลสยังเล่นหัวกับกิเลสอยู่เลย เหมือนสิงโตมันจับกระต่ายมาได้ก็วิ่งเล่นอยู่กับกระต่ายแต่ไม่จัดการเสียที เหยาะแหยะลูบคลำ ก็ไม่พ้นสีลัพพตปรามาส
สีลัพพตปรามาสมีความสัมมาทิฐิแล้ว ทว่า ยังไม่ลงมือฆ่ายังไม่ลงมือประหาร ยังกินข้าวต้มกุ๊ยกับโจรอยู่เล่นหัวกับโจรเลี้ยงโจรไว้ ก็ยังไม่แล้วสักทีต้องประหารจึงจะพ้นอาสวะชุดแรก พ้นสีลัพพตปรามาส ส่วนวิจิกิจฉาในอนุสัยนี้ ทิฏฐิก็ต้องมาอ่านรายละเอียดของหลังหมด
กามาสวะ ภวาสวะก็มาศึกษาทิฏฐิให้พ้นสงสัย แล้วปฏิบัติการฆ่าอย่างถูกตัวถูกตนหมด จนกระทั่งเหลือสุดท้าย มานานุสัย ภวราคานุสัย ที่จริง เป็นภวานุสัย ไม่ต้องภวราคานุสัย เพราะราคะมันขั้นราคะ รูปราคะ อรูปราคะ พอภวานุสัยก็คือ รูปราคะ อรูปราคะชั้นปลาย
ภวานุสัย จึงไม่ใช่ รูปราคะ อรูปราคะที่เป็นอาสวะ แต่เป็นอาสวะเบื้องสูง มันละเอียดเหลือภพเล็กน้อยละเอียด ภพละเอียดที่คุณจะต้องเป็นผู้ที่ปราบอย่างมาก ถ้าจะพูดถึงว่า จะเรียกว่ากิเลสมันก็ไม่น่าจะเรียกกิเลสหรอก แต่มันเป็น ภาวะ วอบๆแวมๆที่กวนอยู่บ้างไม่สะอาด เป็นเหมือนความหมองของเพชรต้องเช็ดปัดออกให้สะอาด เรียกว่า ภวานุสัย
ในภวานุสัย สามเส้ากับ มานะ ภาวะ อวิชชา
มานะคือถือดี คุณมีดีแต่คุณยึดดีถือดี หรือเอาดีนี้ ไปทำร้ายคนอื่น เอาดีไปเบียดเบียนคนอื่น ข่มคนอื่นทำร้ายคนอื่น เอาไปเอาเปรียบเขาเป็นเชิงเหนือเขา จะถือตัวเบ่งข่มเบ่งใหญ่เป็นมานานุสัย ก็จะต้องเรียนรู้ตัวเอง หมดมานานุสัยแล้วถึงเหลือภวานุสัย เป็นคู่สุดท้ายกับอวิชชา เป็นรูป อรูปที่เหนือว่า รูปราคะ อรูปราคะ เป็นในลึกกวนใจอยู่ จนกว่าจะสงบหมด
จะว่าไปแล้ว โพธิสัตว์นี่ยังอาศัย ภวานุสัยด้วยซ้ำ อาศัยแล้วสร้างเจโตวสิปัตโต สร้างอำนาจอย่างอำนาจให้เหนือกว่าสิ่งเหล่านี้ได้ จนอยู่ในอาณัติมีอำนาจเหนือ ภวานุสัย จึงเป็นตัวสุดท้ายที่เราจะเลิก ร้าง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ 4 ประการ
ดูกรพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการแล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ธรรม 4 ประการเป็นไฉน
-
ดูกรพราหมณ์ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม 1
-
บุคคลนั้นย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึกวิตกนั้น ย่อมไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้นย่อมจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ ย่อมไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้น เป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ 1
-
เป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน 1
-
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ 1 ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาและไม่คัดค้านแก่ท่านเลย เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ฯ
เราสามารถจัดการกับกิเลสได้ ก็สามารถสร้างพลังงานนี้ไปใช้กับการกระทำอื่น เราเป็นผู้เอาพลังงานไม่ดี ถ้างานเผาทำลายพลังงานเรียกว่าพลังงานไม่ดีไปทำกับอย่างอื่น ต้องทำพลังงานนี้ให้ดี ให้เขาได้พลังงานนี้ไปใช้ กำจัดกิเลสเขา ต้องดีนะ ให้เขาไปทำงานได้ต้องเผากิเลสไม่ใช่ไปทำลายเขา การเผากิเลสต้องตนเองเผาเอง ให้เขาได้รับ ไม่ใช่ว่าให้เขาสลาย ให้เขาได้รับรู้เข้าใจ สร้าง ผลิตพลังงานให้แก่ตนเอง ในสิ่งที่เป็น ปัญญะ หรือฌาน
ฌานคือมรรค บุญคือผล ฌานคือพลังงานที่สร้างในปัจจุบันนั้น ทั้งฌานและบุญมีอยู่แต่ในปัจจุบันเท่านั้น ทำขึ้นมาแล้ว ฌานก็สลายกิเลส พอสลายกิเลสสำเร็จเรียกว่าบุญ สลายกิเลสได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา ส่วนที่กิเลสเสียไปแล้ว 75 ก็ยังไม่หมดเหลืออีก 25 ก็ต้องสร้างฌานให้เกิดบุญอีก สลายอีก 25 ก็เกลี้ยง ทำอย่างอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมังอีก ทั้งที่กิเลสไม่มีแล้วก็ทำต่อไปอีก ทำโดยไม่มีเครื่องมือ โดยไม่ต้องเอาพลังงานมาเผาแต่ก็ทำเหมือนเผา มันเป็นพลังงาน อรูป ทำเหมือนเผา แต่ไม่มีพลังงานอะไรมาเผาอีกแล้ว
ฌานที่เป็นฌาน 1 ก็จะต้องใช้เหตุผลหลักธรรมรูปนามหยาบไปวิตกวิจาร วิตกคือดำริ อย่างยิ่ง ตักกะคือดำริอย่างยิ่ง วิจารเป็นผล รูปนามของวิตกวิจารไม่ใช่แค่คิด เป็นบวกเป็นลบคู่หนึ่ง พลังงานทำร้ายกิเลสได้ เมื่อกิเลสหมดก็ปรุงมาเพื่อสร้างไม่ใช่ทำลาย เป็นการให้ความรู้แก่คนอื่น คนอื่นได้รับไปก็ใช้เป็นการทำลาย กิเลสคนอื่นของเขาเอง เพราะกิเลสของใครคนนั้นต้องทำเอง จากคนอื่นได้แต่เพียงรู้ คุณได้รับรู้แล้วเอาไปสร้างอาวุธไม่สำเร็จ อาวุธนั้นก็ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ แต่ถ้าทำถูกต้องก็ทำลายกิเลสได้ หมดเป็นอปุญญาภิสังขารก็มีแต่สั่งสมอีกให้เป็นความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จึงจะเกิดองค์ธรรม 5 ของการสั่งสมธาตุจิตนิพพาน นี่คือธาตุจิตนิพพานของคนเป็น ถ้าคนตายแล้วธาตุนิพพานก็ไม่มี เป็นภาษาที่เป็นสุญญากาศธาตุ เป็นธาตุที่ว่างไม่มีตัวตนเลย เป็นธาตุแห่งความว่าง เป็นนิพพานธาตุสุญญตธาตุ ก็คือเป็นคำไวพจน์แทนกันได้ นี่คือนัยยะลึกซึ้งละเอียดที่อาตมาสรุปให้ในงานนี้
ทีนี้ก็มาถึงหยาบ เลิกจบ ความลึกละเอียดขนาดนี้ ใครทำได้ขนาดนี้เลยความเป็นอรหันต์แล้ว ใครทำได้อย่างที่อาตมาอธิบายนี้เลยความเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 แล้ว
มาพูดถึงหยาบ เอาตั้งแต่สังคมประเทศชาติ ไล่ไป
ชาวอโศกเป็นชาวพุทธที่รู้จักเทวตีธรรมะ 2 แตกแยกธรรมะ 2 ได้ ใครไม่รู้จักเวทนา 108 ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติตามพระไตรปิฎกเล่ม 9 _ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
คุณไม่เป็นนักรบไม่มีสนามรบในสนาม เหมือนบินโดรนอยู่ แต่ตัวคุณไม่อยู่ในสนาม เห็นอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้มีเวทนาให้ปฏิบัติ ไม่มีตัวฐานไม่มีฐานที่ตั้ง ไม่มีทั้งรูปและนาม เพราะฉะนั้นจะต้องมีทั้งตัวตนมีทั้งตัวเราที่เป็นประธานฆ่ากิเลสเรา หรือมีทาง ตัวคนกับศัตรู ข้าศึก คุณก็จะต้องฆ่า ข้าศึกได้ จะรบแต่อยู่ในสตาร์วออยู่ในอวกาศเหมือนหนังจีนเหาะรบกัน หรือคุณจะยืนอยู่บนพื้นดินรบกันบนพื้นดิน ก็ช่างมันเถอะ รูปธรรมอย่างไร แต่นามธรรมไม่หยาบอย่างนั้นหรอก ก็ทำให้กิเลสดับได้
ตัวกิเลสที่แท้พระพุทธเจ้าย่นย่อเทวให้เข้าหาสุขกับทุกข์ เพราะฉะนั้นคนที่จะพูดเรื่องเทวนิยมจะให้ดับทุกข์ ดับทุกข์ไม่มีสุขมีทุกข์ได้อย่างไร เขาจะไม่รู้เขาจะแยก 2 ไม่ออก สุขทุกข์ของเขา เป็นต่อ dualism เป็นภาวะคู่หู แกะไม่ออกเหมือนเหรียญสองด้าน พอมาเป็นพุทธก็จะแยก 2 ได้จนมาเป็นชิ้นเป็นอันของนามธรรม จึงตีแตกเทวดา เทวดาแปลงตัวลวงว่าสุข เทวดาไม่เรียกทุกข์ แยกอีกคำเป็นเทพบุตรมาร ต้องคลอดออกมาเป็นบุตรไม่ใช่ตัวจริงที่เดียว ไม่เรียกเทพมาร
ตัวตนตีไม่แตกก็เป็นมารอยู่อย่างนั้นเป็นเทวบุตรมาร เมื่อสามารถตีแตกได้ จึงทำลายตัวมารได้ มันแปลตัว เทพบุตรมาร เขาเรียกตามภาษาเทวนิยม แต่เทวะจริง ภาวะยิ่งใหญ่เป็นเทวดาเป็นพระเจ้า ไม่มีใครรู้จักต้องมาออกมาเป็นร่างของคน ใช้แต่พยัญชนะ สภาวะไม่ถึงมีแต่พยัญชนะภาษาเท่านั้นในเทวนิยม พระบุตรก็เป็นพระบุตรออกมาทำงาน
พระบุตรที่ออกมาทำงานเป็นพระเยซู เป็นต้น หรือเป็นพระมะหะหมัด เป็นต้น ก็เอาคำสอนเอาคำที่ถือว่าเป็นของพระเจ้า จึงเรียกว่าประกาศก ไม่ใช่ตนเอง เป็นของพ่อเป็นของพระบิดาแล้วพระบิดาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ คนอื่นจะทำให้เท่าพระบิดาก็ไม่ได้ ตีกินเอาพระบิดา ไม่มีใครสามารถสูงเท่าพระบิดา แต่ของพุทธนั้นเอาความจริงในตัวตนจิตวิญญาณจริงเลย แล้วสามารถแยกจิตวิญญาณที่ใหญ่เป็น god จาก 2 ให้เป็น 1 เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือจิต เจโตวสิปัตโต ไม่สุขไม่ทุกข์ดับได้ตอนเป็นๆเลย ตั้งแต่ของหยาบมาเราก็พิสูจน์ได้เลย เราก็หมดสุขหมดทุกข์กับสิ่งที่หยาบ จนกระทั่งละเอียดขึ้น จนถึงอบายมุข กามภพ ทางตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสแล้วเราก็อยู่เหนือมันให้หมด จนข้างนอกนี่เฉยแล้ว อุเบกขาได้จริงๆ ขาวรอบ แต่ภายในยังมีเชื้อรูปราคะอรูปราคะ จนหมดเหลือภวานุสัยก็เอาไว้อาศัยได้เพราะคุณจะมีพลังงานเป็น เจโตวสิปัตโต จะทำลายก็ได้แต่ว่าถ้างานมันมีแต่เราอยู่เหนือมัน เราจะฆ่ามันก็ฆ่าได้ ไม่ใช่เรื่องแค่ปากพูดแต่เป็นเรื่องจริงที่ทำได้ โพธิสัตว์ที่ทำแล้วทำอีก จึงจะมีสภาวะสิ่งที่จริง ไม่ใช่แค่คิดแต่จะทำซ้ำๆซ้อนอย่างละเอียดจากสิ่งที่เป็นจริงไม่ใช่แค่นึกคิดว่าเราเจริญขึ้น ได้แต่สร้างภพชาติ ไม่ใช่ แต่เป็นจริงเลย เท่าที่จะสัมผัสกับสัตว์โลก
เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์จะต้องเจอกับศัตรูที่เป็นสัตว์โลก ตั้งแต่เดรัจฉานมาจนถึงเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เก่งเป็นมนุษย์ที่ยอด สู้กับมนุษย์ที่ยอดถึงขั้นศาสดา ถึงขั้นเป็นโลกุตระ เป็นอาริยะ ที่จะพัฒนาขึ้นมา เป็นโลกุตระเป็นอาริยบุคคลพัฒนาขึ้นมา จนกระทั่งชัดเจนและรู้ได้ว่า เราเป็นโพธิสัตว์เราเป็นอาริยะบุคคล บำเพ็ญถึงขนาดนี้ ระดับนี้เหนือขึ้นไป จะรู้ว่าเราต่ำกว่าหรือสูงกว่า โดยไม่ไป ข่ม จะรู้ว่านี่เป็นน้องเราเป็นพี่ จะมีความเฉลียวฉลาด มีพลังแห่งปัญญาแหลมลึกคมชัด ก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ส่วนน้องที่ยังไม่สูง ก็จะยังไม่มีความรู้ที่แหลมคมที่รู้ความสูงจริงได้ ก็จะยึดติดอยู่ ก็จะไปเข้าใจผิดว่าพี่เป็นน้อง พี่นี้ต่ำกว่าเรา เพราะฉะนั้นน้องจะข่มพี่ได้ น้องจะดูถูกพี่ แต่พี่รู้อยู่แล้วว่าน้องเป็นอย่างนี้ พี่ก็จะยอมให้น้อง ข่ม คือข่มไป เรารู้อยู่แล้วเพราะมันมีมานานุสัย มานานุสัย ต้องขึ้นไปเป็นโพธิสัตว์จึงจะลดได้ให้เหลือแค่ ภวานุสัยกับอวิชชานุสัย
พวกเราได้ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะเห็นได้ว่าในสังคมชาวอโศกชุมชนชาวอโศกนี้ อาตมาบอกว่าเป็นชุมชนที่อยู่ในฐานของอนาคามี เพราะฉะนั้น คนในนี้จะไปหาโลกอบายไม่มี อย่าว่าแต่อบายเลยกามหยาบก็ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส หยาบไม่มี ปฏิฆะหยาบร้ายแรงก็ไม่มี จะตีกันทะเลาะกันฆ่าแกงกันทำให้เลือดตกยางออก ทำให้เจ็บให้ปวดทำให้เนื้อตัวเป็นแผลอะไรกันก็ไม่มี สี่สิบกว่าปีมานี้ จะ 50 ปีแล้ว อาตมาทำงานมา ในสังคมเราไม่มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลฆ่ากันตีกันทำร้ายร่างกายกัน ไม่มี
ก็มีบ้างละเมิดชกกันบ้างก็มีนับรายได้นะ เท่าที่อาตมาจำได้ จะ 50 ปีนี้นับรายที่ถึงขั้นชกกัน ผู้หญิงถึงขั้นตบกันไม่มี นี่มันเป็นสภาวะจริงเป็นฟีโนมีนอน เป็นปรากฏการณ์จริงของสังคมมนุษย์ มันไม่มีความหยาบ มันมีแต่ความละเอียด ละเอียดไปจนถึงขั้น มันเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่เป็นหลานเป็นญาติธรรมที่สนิทกันจริงๆ เลี้ยงตนด้วยบริสุทธิ์ใจ เอ็นดูบริสุทธิ์ใจช่วยเหลือกัน ไม่ได้คิดว่าเป็นลูกนอกไส้คนนอกไส้ ใช่ไหม มันพึ่งพาเกิดแก่เจ็บตายกันได้เลี้ยงดูกันได้ ไม่มีความโหดร้าย ไม่มีความหยาบอะไรกัน แม้ที่สุดในเรื่องวัตถุเงินทองข้าวของทรัพย์สิน เห็นได้ว่าสาธารณโภคีนี้สุดยอด จนกระทั่งพูดแล้วเป็นเชิงน่าเกลียด ว่าในยุคพระพุทธเจ้านั้นทำสาธารณโภคี ในกลุ่มฆราวาส ให้เกิดสาธารณโภคีในยุคพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ เหมือนกับเราเก่งกว่าพระพุทธเจ้า มาทำสาธารณโภคีได้ถึงในฆราวาส ฟังแล้วไม่ใช่ว่าโพธิรักษ์เก่งกว่าพระพุทธเจ้า มันมีเหตุปัจจัยข้อจำกัด ของพระพุทธเจ้าในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เด็ดขาดเลยนะ
ระบบสาธารณโภคียังไม่เกิดกับสังคมฆราวาสในสมัยพุทธกาล เพราะ…
1.ยุคสมัยนั้นยังเป็นยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์
2.ยุคสมัยนั้นประชาชนยังจำนนในยุคของสังคมทาส
3.คนยุคสมัยนั้นยังไม่มีความรู้เรื่อง“สิทธิ”ต่างๆ ที่มนุษย์พึงมี ตามธรรมชาติ ตามกฎหมาย ตามวัฒนธรรม และพึงมีตามสัจธรรมกันอย่างดีพอ
4.ยุคสมัยนั้นสังคมยังไม่เลวร้ายหนักหนาสาหัสเท่ากับสังคมยุคนี้ ยุคนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกลุ่มสังคมที่ไม่เลวร้าย เพราะยุคนั้นมีสังคมคนดี มีวัฒนธรรม คนดีที่ดีอย่างเข้มข้นที่ดี อย่างเป็นตัวอย่างได้จริงชัดเจน ยังไม่ต้องยืนยันความเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ ถึงขั้นเป็น “สาธารณโภคี” กันได้ในสังคมฆราวาส เพื่อถ่วงดุลหรือจูงนำสังคมที่ยังไม่ดีส่วนใหญ่ นั้นเลย
5.ทรัพยากรของโลกในยุคโน้น ยังไม่อัตคัดขาดแคลนเท่ายุคสมัยนี้
-
สิทธิในทรัพยากรในยุคโน้น ยังไม่เคร่งครัดแย่งชิงเท่ากับสมัยนี้
-
ทรัพยากรสาธารณะในยุคโน้น ยังมีมากมายเหลือเฟือ มีมากกว่ายุคสมัยนี้หลายเท่า
-
ความมีอิสรเสรีภาพของคนยุคโน้น ยังไม่รุ่งเรืองเท่าในยุคสมัยนี้
-
และในยุคโน้นยังไม่ถึงขั้นเปิดโลก หรือยังไม่ถึงยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) อย่างสมัยนี้.