611230_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 ชาวอโศกคือผู้หมดทุกข์ 5 ประการ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ux8nuNpUp-XP3uyngIDlh4jyHc7-4jviyxVywT5Q7K0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=10V6sZPkeOYdTv1VUmXxZ9dNvXT486hNl
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ชาวอโศกคือผู้หมดทุกข์ 5 ประการ
พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันพระน้อยแรม 8 ค่ำเดือนอ้ายปีจอ สดชื่นยามเช้า วันนี้เป็นวันที่ระลึกถึงใครคนหนึ่ง หายไปเลย เขาเขียนให้ กลัวลืม เราก็รับมาแต่หายไปเลย วันนี้วันสิ้นชีวิตของหมอฟากฟ้าหนึ่ง 11 ปีแล้วหมอเสียไป
เราก็ได้ ได้ว่าเกิดจากการซับซาบ คนเรามีการรู้ทางกายวาจาและจิต แต่มางานนี้เราได้รู้ครบทั้งทางกายวาจาและจิต มากกว่านั้นอีกรู้ทางวิญญาณ
รู้ทางวิญญาณหมายความว่า มันรู้ได้ครบ ทั้งเวทนาสัญญาสังขาร มันรู้เห็นสิ่งที่มันปรุงแต่งกันอยู่ทั้งหมด แล้วก็เราก็ใช้สัญญาของเรากำหนดหมายสัมผัสทางกายสัมผัสทางวาจา สัมผัสทางใจ รู้เป็นเวทนารู้เป็นความรู้สึกรู้เป็นอารมณ์สัมผัสแล้วเราก็ได้คบคุ้น อยู่มาได้หลายวันแล้วรู้สึกว่าอารมณ์ของเราเป็นอย่างไร อารมณ์ในองค์รวม เป็นอย่างไร มาอยู่กันตั้ง 5 วันแล้ว เราก็ได้ก่อเกิดตามกาละเวลา ใครมาวันไหนก็แล้วแต่ก็มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ หลายคนก็คงไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย หลายคนก็อาจวอบแวบไปข้างนอกบ้างก็เอาเถอะไม่มีปัญหาอะไร เราก็ได้ ได้ มันเกิดสิ่งที่เราได้เกิดสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ เป็นการสัมพันธ์เป็นการสัมผัส เป็นการก่อเกิดไปตามกาละ การก่อเกิดจากกรรม มโนกรรมกายกรรมวจีกรรมที่เราสัมผัสจากสิ่งแวดล้อมจากทุกสิ่งทุกอย่าง จากทั้งดินน้ำไฟลม ทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ ที่เราอยู่ร่วมกันหลายร้อย ลงทะเบียนสอบ 542 คน แต่มาฟังธรรม 700 กว่าคน
ก็พูดอะไรไปเบาๆง่ายๆทบทวนชีวิตของชาวเราเหมือนไร้สาระแต่ก็มีสาระในเรื่องของความเป็นมนุษย์ชาติ ก็เป็นอย่างนี้ ในรายละเอียดของความเป็นมนุษยชาติเราอยู่ร่วมกันร่วมกันอยู่มีชีวิตร่วมกันไป
อาตมาได้นำเอาสูตรของพระพุทธเจ้าทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติกันมาจนถึงวันนี้วินาทีนี้ อาตมาทำให้คนอย่างพวกเราเกิด มันเกิดอยู่ทุกวินาทีพัฒนาการ
จิตวิญญาณเราบางทีมันก็มี โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ บ้าง มันยังไม่หมด อวิชาทีเดียวก็ยังมี ถ้าเราหมดอวิชชาแล้วเกลี้ยง เราก็ไม่มี โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ พระอรหันต์ไม่มี โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ผู้ที่ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่คือผู้ที่ยังไม่หมดเทวะ คนที่หมดเทวก็หมด โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ หมายความว่าหมดสิ้น ปริเทวะ
ใน 5 ตัวนี้ โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ
อุปายาสะคือยังติ๊งต่องๆๆอยู่ในธุลีละอองของความทุกข์ คนเรามันสุดโต่งระหว่างสุขกับทุกข์ สองตัวนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สุขกับทุกข์ แล้วก็ชัดเจนว่า สุขกับทุกข์มันคือเทวะ มันเป็น 2 แล้วท่านก็ดับเทวะ หมดเลย เทวะจะยิ่งใหญ่มหาGod ขนาดไหนก็ตาม หมดเทวะ
อุปายาสะ หมดก่อนแล้วมา โทมนัส คือความทุกข์ส่วนในเป็นก้อนทุกข์ ก็จบหมด
จึงมาอยู่ที่ ปริเทวะกับโศก แต่พวกเราคือพวกอโศกะ พวกเราเรียนรู้อย่างสิ้นรอบ ปริเทวะ คือความเป็นธรรมมา 2 อย่างครบพร้อม แล้วก็มาเรียนรู้ความเป็นเทว 1 กับ 2 จัดการเวทนา 2 เป็นสำคัญ เทวธัมมา ทวเยนะ เอกสโมสรณา ภวันติ คือหัวใจศาสนาพุทธรู้จักเวทนาสองซึ่งเป็นเทวธัมมา เป็นธรรมะ 2 แล้วก็จับตัวเวทนา เวทนาคือความรู้สึก เป็นสัมผัสแรก ของผัสสะ ผัสสะก็มีเวทนา ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา ก็ไม่มีวิญญาณ คนเราไม่มีผัสสะภายนอกนี้ มันมีธาตุรู้อยู่ภายในคือสัญญากับสังขาร มีสัญญากับสังขารเท่ากับพืช
พืชมีแต่สัญญากับสังขารไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขารมันไม่มีสุขทุกข์ เวทนาไม่มี เพราะฉะนั้นพืชไม่มีสุขไม่มีทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทำจิตนิยามนี้ให้เหมือนพืช
ให้เป็นพลังงานจิตที่มีการกระทบสัมผัส แล้วก็เกิดจิตวิญญาณแล้วก็ทำให้จิตวิญญาณ คือธรรมเวทนาให้เหลือ 1 อย่างเป็นวสวัตตี ให้เป็นผู้ยังความมีอำนาจในจิตตัวเอง จนสุดท้าย ความหมายของคำว่า ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้คือสามารถทำให้จิตของเราเป็นไปอย่างไรก็ได้ แต่ไม่โง่ไปเป็นทุกข์ไปเป็นโทมนัส แม้แต่สุดท้ายโศกะ เราก็รู้รอบแห่งความเป็นเทวะความเป็นเวทนา รู้รอบในความเป็นเวทนาของเราทั้งหมด แล้วเราก็สามารถทำให้เวทนานั้นไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีทั้งสุขไม่มีทั้งทุกข์ได้เหมือนกันกับพืช แต่มีพลังงานเหลือ เพราะว่าจิตนิยามมีพลังงานมากกว่าพืช พืชมีแต่สัญญากับสังขาร แต่จิตวิญญาณมีเวทนากับมีวิญญาณด้วย เพราะฉะนั้นพลังงานที่เหลือก็สามารถที่จะไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอุเบกขาหรือว่าเป็นอาการกลางๆ
พวกเราปฏิบัติธรรมมาแล้วอารมณ์จิตของเราที่มันเป็นกลาง แม้จะเป็น เคหสิตะ เป็นคนโลกีย์ก็สามารถมีอุเบกขา กลางๆ แต่เป็นแบบเคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็นความรู้สึกที่มันเฉยๆ กลางๆ แต่ไม่ใช่ความบรรลุธรรมไม่ใช่เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา
เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา คือ ทำให้เป็นอุเบกขาด้วยความรู้ด้วยปัญญาด้วยการมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็สามารถที่จะมีความรู้ตามปฏิจจสมุปบาททั้งสาย
รู้ตั้งแต่สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา แล้วจัดการกับเวทนานี้ มันมีตัวเคลื่อนคือตัณหาก็ล้างตัณหา มันมีเศษเป็นอุปาทานตกตะกอนอยู่เท่าไหร่ก็ล้าง คนเราจะรู้จักตัณหากับอุปาทาน โดยที่ตัณหาเกิดจากการกระทบแล้วก็เคลื่อน ตัวเวทนาเป็น static เป็นตัวตั้ง เป็นนิวเคลียส ตัวสำคัญของมนุษย์ แม้จะกระทบอย่างแรงๆอย่างไรๆ อุปาทานก็ไม่เกิดตัณหาไม่ฟุ้งกระจาย แม้กระทบสัมผัสเร็วไวเป็นมุทุภูตธาตุ ยิ่งปริสุทธา ปริโยทาตา ปภัสสรา ยิ่งทำกรรมการงานได้อย่างดีเป็นสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลัสสูปสัมปทาเพราะว่าได้ทำ สจิตติปริโยทปนังแล้ว ถ้าจะทำกรรมกิริยาก็มีแต่ดีแต่กุศลบุญก็ไม่มีบาปก็ไม่มีแล้วในพระอรหันต์เป็นคนสิ้นบาป มีแต่กุศลอย่างเดียว กรรมที่เหลืออยู่มีแต่กุศล บาปไม่มี ปุญญปาปปริขีโณ ทั้งบุญทั้งบาปดับสิ้น
ที่อธิบายเป็นการสรุปสภาวะธรรม ฟังแล้วได้ยินแล้วใครเข้าใจบ้างยกมือ ที่อาตมาไล่ๆดูเป็นการตรวจสอบว่าที่เรียนมารู้กันแค่ไหน สอบพยัญชนะแล้วสอบสภาวะจากความรู้สึกพวกเรา เป็นการสอบปากเปล่า จบแล้วนะ defend จบแล้ว เดี๋ยวจะอนุมัติ
พวกเราก็พัฒนาไป ชีวิตนี้ก็ดีนะพวกเรารู้ว่านี่เป็นคุณค่าของชีวิตเรา เรามาเรียนรู้ทางนี้จากที่เราเคยไปร่ำรวยหาเงินหาทองแต่เรามีโอกาสได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาศึกษาได้เรียนรู้และเอาไปปฏิบัติฝึกฝน จนกระทั่งได้ผลออกมาแล้วเราก็มีอยู่ในตัวของเราเป็นพฤติการณ์พฤติบทของเราประจำตัวเราไป เราทำได้ปฏิบัติแล้วเที่ยงแท้มั่นคงยั่งยืนอย่างไรเราก็ได้ในตัวเราไป ก็เป็นมนุษย์ที่ได้รับการศึกษาฝึกฝนอบรมปฏิบัติจนบรรลุผล ตามคำสอนพระพุทธเจ้าได้มากได้น้อยก็แล้วแต่ ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด อาตมาว่าเกิดมาเป็นคนต้องมีอันนี้แหละเป็นสุดยอด อาตมาก็ว่าหมดแล้วในชีวิตนี้มีงานที่จะทำก็คืองานอันนี้ อาตมาก็มีงานที่ช่วยให้รับรู้รับฟังแล้วเอาไปปฏิบัติ จนเป็นมวลมนุษย์ที่เป็นหน่วยของสังคม หน่วยของประเทศไทย หน่วยของจังหวัดที่เราพักอาศัยอยู่ ตอนนี้ก็ออกจากจังหวัดที่เราพักอาศัยอยู่มาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ในอุบลราชธานีก็มีหน่วยย่อยมาจนถึงหมู่บ้านราชธานีอโศก แล้วพวกคุณก็มาอยู่ที่หน่วยนี้ มาอยู่กับหมู่บ้านราชธานีอโศก
ตอนนี้ก็เป็นมวลปัจจุบันของราชธานีอโศกอยู่ที่นี่กัน 6 7 วัน วันนี้วันที่ 5 แล้ว เราก็มีพฤติกรรมอยู่กับมวลของเรา เราก็มีวิถีชีวิต อยู่กันอย่างสังคม สังคมของเราตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้มีประเด็นปฏิบัติอย่างนี้ บางคนไม่คิดอะไร ก็ไปกับหมู่ไม่ต้องคิด โปรแกรมอะไรไม่ต้องมี ไปกับหมู่ไปวันๆ แล้วแต่ว่าวงโคจร ดาวเล็กดาวใหญ่ในนี้ จะพาไปตามเส้นโคจรใดก็ไป แต่เป็นหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีที่พากันไป ให้เกิดการยินดี เป็นแสงอรุณเป็นฉันทะที่ดีในแต่ละวัน ฉันทะเป็นมูลไปเรื่อยๆแล้วก็ได้มนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะ เป็นสมุทัย ได้มีเวทนา ที่จิตรวมหยั่งลงแล้วเราก็ได้จัดการกับเวทนา จนเป็นสมาธิ เป็นฌานเผากิเลสไป ตกผลึกเป็นสมาธิเป็นประมุข จิตของเราก็เกิดมีสติปัญญาผ่องใสขึ้นมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ มีปัญญาเป็นธาตุที่บริหารปกครองชีวิต เป็นธาตุที่อยู่เหนือ มีปัญญาเป็นตัวควบคุม เป็นอุตระ ชีวิตของเราก็มีวิมุติเป็นแก่น หลุดพ้นจากสิ่งนี้สิ่งนั้นไปเรื่อยๆละเอียดลออไปตามลำดับของแต่ละบุคคล จนโอฆทา สำเร็จรูป ลงไปเป็นบุคคลอมตะไปเรื่อยๆจนมานั่งอยู่ตรงนี้แหละ สรุปรวมกันอยู่ตรงนี้ อาตมาแม้จะผ่านอรหันต์แล้วก็ตาม ก็มีภาวะที่เจริญขึ้นมีประโยชน์มีคุณค่า ทำอย่างนี้ไปจนถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำงานกับสังคมมนุษยชาติอย่างนี้สุดยอดแล้ว
อาตมาก็คิดว่า อยากจะได้มวลของที่นี่มาช่วยกันตั้งเป้าไว้พันคน จนมีเพลงหนึ่งในพันมาร้องจนเบื่อก็ยังไม่ถึงพัน มีวิธีการอย่างนั้นอย่างนี้เฟส 1 2 3 คนมีตังค์ก็มาสร้าง แต่ไม่มาอยู่ เป็นบ้านปราศจากวิญญาณ บ้านว่างๆ บ้านก็เหงา เจ้าของบ้านไม่มา ไหนว่าจะมาพักตากอากาศไงบ้านก็ร้องเพลงรอ ..ถ้าเธอ…มีหัวใจเหมือนฉันสักหน่อย…คุณสุรพล โทณะวณิกเป็นคนแต่ง เจ้าน้อยสุรพล ไม่ได้เรียนหนังสือแต่มีพรสวรรค์ ได้รับรางวัลเยอะ อาตมาอาภัพในชีวิตไม่ได้รับรางวัลอะไร จะได้รับรางวัลก็ต้องโดนด่า ไม่มีใครเหมือนอาตมาหรอกได้รับรางวัลแล้วโดนด่าเสร็จ
สังคมทุกวันนี้เราก็มีชีวิตอยู่กับสังคมอย่างไม่ได้หลับตาหนีเข้าป่าเขาถ้ำ เพราะศาสนาพุทธ
-
ไม่ใช่ศาสนาคนป่าเป็นศาสนาคนเมืองอย่างยิ่ง ขอยืนยัน เพราะฉะนั้นการออกป่าผิดไม่ใช่ลัทธิของศาสนาพุทธ
-
ไม่ใช่ศาสนาหลับตา ไม่ใช่เลย หลับตานั้นจะบอกว่าเป็นอุปการะบ้างตามศัพท์ของพระพุทธเจ้า ก็หมายความว่าเป็นเครื่องช่วย ใช้อุปการะชีวิตเรา หลับตาจะใช้เป็นอุปการะได้อะไรบ้าง
-
ใช้พักผ่อนหรือนอน คุณนอนก็ใช้การหลับตาเป็นการพักผ่อน จะหลับตาก็คือนอน นอนก็ได้พักผ่อนหมดเลย เป็นอุปการะของชีวิต ถ้าใครไม่หลับตาไม่นอนไม่อุปการะมันเหนือกว่ากันกว่าคนนอนไม่หลับตา เวลาจะนอนก็หลับตา บางคนนอนไม่หลับตาดูน่ากลัว ไม่รู้ประสาทเขาเป็นอย่างไรชีวะร่างกายสรีระก็เป็นอย่างนั้น (สู่แดนธรรมว่าตั๋งโต๊ะนอนไม่หลับตา) แต่บางคนนอนแต่ตาไม่หลับแต่มองไม่เห็นเขาอยู่ในภวังค์ เพราะฉะนั้นหลับตาคืนนอนคือได้พักผ่อน
-
หลับตาได้ใช้เป็นการศึกษาตรวจสอบภายใน โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับทวารภายนอกทั้ง 5 ใช้สัญญาเอาความนึกคิดบุพเพนิวาสานุสติญาณเอามาระลึก เป็นสภาวะของอดีตทั้งนั้น ไม่ได้มีปัจจุบัน หลับตาไม่มีผัสสะไม่มีปัจจุบัน หรือไม่ก็ฟุ้งซ่านไปในอนาคตที่มีก็ได้ ปั้นเป็นเรื่องราวสร้างเป็นนิรมานกายขึ้นมาก็ได้ บ้าบ้าบอบอไม่มีใครระลึกได้ก็ได้ เช่นอาตมาจะนึกสร้างวิมานตามเรื่องอาตมาซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็ทำได้ เราก็นึกถึงอะไรที่มันเกิดในจิตอะไรที่มันดับในจิตอะไรที่มันทรงอยู่ในจิต มีจุตูปปาตญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็นั่นแหละคือหลับตาแล้วนึกถึงอดีตที่เราเคยผ่านมา ไม่มีปัจจุบันกับอนาคตที่เราจะสร้างใหม่ เพราะฉะนั้นเรารู้ก็อะไรเกิดตั้งอยู่อะไรขึ้นมา จุติอุบัติ จุติบางทีก็แปลว่าเคลื่อนบางทีก็แปลว่าตาย หรืออะไรมันเกิดมันอุบัติอยู่ แล้วก็เอาไปใช้ในการเตวิชโช ตรวจสอบเหมือนกับการลงบัญชีชีวิตที่ผ่านมา อ๋อ เราดับอาสวะได้ แต่มันก็ยังมี วอบแวบเมื่อนั่นเมื่อนี่ ตรวจสอบ จุตูปปาตญาณ ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกจนกระทั่งผ่านเหตุการณ์เมื่อนั่นเมื่อนี่ก็ไม่เกิดอะไรเลย ไม่เกิดกิเลสเลยอาสวะไม่เกิดเลย จนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ผู้นี้ก็ปฏิญาณตนได้ว่าเป็นคนที่จบกิจเป็นอรหันต์อย่างชัดเจน ผ่านมาตั้ง 1 วัน ผ่านมาตั้ง 7 วันผ่านมาตั้ง 1 ปีผ่านมาตั้ง 7 ปี ผ่านมาตั้งนาน มันก็ไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย ก็แน่นอนเราเป็นอรหันต์เด็ดขาด
มาถึงวันนี้เราก็เกิดมาหลายคน คนละอายุของใครของมัน อาตมาอายุ 85 เกิด 5 มิถุนายน 2477 มาถึงปีนี้จะสิ้น 2561 จริงๆแล้วเมื่อถึง 5 มิถุนายน 2561 ก็ครบ 84 ปี จากนั้นมา มาถึง 5 ธันวาคมก็ครบครึ่งปี ก็ครบ 84 ปี 6 เดือน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เขาคนนั้นชื่อพล.อ.ประยุทธ์
มาถึงวันนี้สังคมประเทศไทยเขาคนนั้นชื่อพลเอกประยุทธ์ บทความนี้เขียนโดยเปลวสีเงินตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2561
เขาคนนั้นชื่อ “พลเอกประยุทธ์” 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561
“ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล”
เมอร์รี่ คริสต์มาส “นายกฯ ประยุทธ์” ด้วยเค้กขี้เพี้ย ๘ ก้อน
ก็ผสมโรง “เมอร์รี่ คริสต์มาส” ด้วย!
เค้กทั่วไป จะจัดหนัก-จัดเต็ม ทางหวานจัด มันจัด กินอร่อย แต่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพ
ถ้าเป็นเค้กขี้เพี้ย คำแรกจะขมนำ ซักพัก หวานจะตามในลำคอ เหม็นในหอม-หอมในเหม็น เหมือนจะไม่อร่อย แต่ดีกับสุขภาพ
ก้อนเดียว ทำให้ฟิตปั๋ง กำลังวังชาเพิ่ม
แต่นี่โด๊ปทีเดียวตั้ง ๘ ก้อน ปล้ำกับช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหดได้สบายมาก
เห็นแบบนี้แล้ว ก็…ทั้งโล่งใจและมั่นใจ!
พลเอกประยุทธ์ เสนอตัวเป็นนายกฯ สังกัดพรรคไหน ใครเลือก-ไม่เลือก
สุดแต่ตะกอนในหัวใจของใครจะตกผลึกแค่ไหน?
สำหรับผม…..
เข้าคูหา X ให้ผู้สมัคร ส.ส.สังกัดพรรคที่ชูพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ไปเลย!
การเมืองเป็นร้อยเล่ห์ก็จริง แต่เล่ห์ที่ว่าเป็นร้อยนั้น เป็นของนักเลือกตั้งเขา
สำหรับชาวบ้าน “ผู้เลือก” อย่างเราๆ อย่าเลือกด้วยเล่ห์ ต้องใช้ความจริงใจต่อชาติบ้านเมืองในการเลือก
พูดกันตรงๆ…..
อย่าเห็นแก่เงินโจรประชาธิปไตยที่ยื่นให้ แล้วขายอำนาจครองเมืองให้พวกมัน
ขืนทำอย่างนั้น พวกมันเมื่อได้อำนาจครองเมืองแล้ว ก็จะรุมทึ้งประเทศ
ทั้งย่ำยีบีฑาชาวบ้านที่ถูกตีราคาว่าไม่ใช่พวกมัน เคยเห็นกันแล้วมิใช่หรือ?
๔ ปีข้างหน้า หรืออาจมากกว่านั้น
บ้านเมืองไทยยังจะอยู่ในภาวะ “หัวเลี้ยว-หัวต่อ” ทั้งสังคมโลกและสังคมประเทศ
พูดด้วยตัณหา…..
อภิสิทธิ์-ปชป. ก็เป็นนายกฯ ได้ สุดารัตน์-พท.ก็เป็นได้ ลูกเจ๊เบียบ-ทษช.ก็เป็นได้
นายสงคราม เจ้าของห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว พรรคจตุพร ก็เป็นได้ นายอนุทิน-ภูมิใจไทย ก็เป็นได้ หนูนา ชาติไทยพัฒนา ก็เป็นได้ นายเทวัญ ชาติพัฒนา ก็เป็นได้
กระทั่ง “นายวัฒนา เมืองสุข” ก็เป็นนายกฯ ได้
แต่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รวมพลังประชาชาติไทย ประกาศว่า “เที่ยวนี้ พรรคสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ”
ฉะนั้น ตัดออกไปจากบัญชีตัณหา “อยากเป็นนายกฯ”
แต่เมื่อพูดด้วยปัญหาของบ้านเมือง……
ก็จะเห็นว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมหลัก ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่
ล้วนเป็นมรดกจากรัฐบาลก่อนๆ ทิ้งหมักหมมตกทอดไว้
พวกเข้ามาใหม่…..
มีแต่สร้างปัญหาใหม่ทับในกองขยะเก่า มองไม่เห็นเลยว่า “ขยะคาประเทศ” ใครจะสะสาง
เมื่อมองตัวเลือกทั้งกระจาด
ก็เพิ่งมาในยุครัฐบาล คสช.ที่ตีตราว่า “ฝ่ายเผด็จการ” นี่แหละ เมื่อเข้ามาก็รื้อขยะ ชำระสะสางให้สังคม
พูดเป็นภาพสรุปได้ว่า
“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นี่แหละ ตอบโจทย์ปัญหาค้างคาประเทศได้เหมาะสม
ทั้งสะสางขยะเก่าให้เห็นแล้ว
ทั้งสามารถรับมือสถานการณ์โลกทั้งด้านเศรษฐกิจ-การเมือง
ทั้งรับมือสงครามรูปแบบต่างๆ ในภาวะ “โลกลอกคราบ” ปัจจุบัน ได้ค่อนข้างน่าพอใจ
อาจไม่ทันใจพวกละเลงขนมเบื้องด้วยปาก หรืออาจทำได้ดีเกินไป จึงเกิดมลพิษทางตา ที่เรียก “โรคตาร้อน” นั่นก็เป็นเรื่องธรรมชาติบนความหลากหลายของชั้นมนุษย์
เป็นเรื่องต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องเก็บมาให้เหม็นคาวใจ หรือให้หูดหิดขึ้นที่หัวใจ
ผมเคยอ่านปรัชญานิพนธ์ท้ายรถบรรทุกบ่อยๆ เขาเขียนว่า
“คนอิจฉา” เพราะผลงานบาดตา
ยังไงๆ ก็ดีกว่า ทำงานแล้ว มีแต่คนสมเพช-เวทนา ซึ่งนั่นแสดงว่า เรา “ห่วยแตก”!
ขอย้ำว่า “พลเอกประยุทธ์” ไม่ใช่ตัวเลือกที่ “ดีที่สุด” ในตำแหน่งนายกฯ
แต่ในบรรดามี “พลเอกประยุทธ์” เหมาะสมที่สุด!
อีกทั้ง ตั้งแต่ ๒๔๗๕ ถึงปัจจุบัน มีนายกฯ มากี่คน ขี้เกียจจำ
จำได้อย่างเดียว…..
ไม่เคยปรากฏว่ามี “นายกฯ ดีที่สุด” เลยซักคน
แต่ถ้าบุคคลที่เป็นนายกฯ แล้ว “เหมาะสมที่สุด”
มีหลายคน!
จะนับรวมพลเอกประยุทธ์ไปด้วยก็ได้ ด้วยผลงานดีบ้าง ไม่ดีบ้างในรอบ ๔ ปีที่ผ่าน ซึ่งหักกลบลบหนี้แล้ว
ที่ดี “มากกว่า” ไม่ดี!
นายกฯ เลือกตั้ง ในระบอบประชาธิปไตย กับนายกฯ แต่งตั้ง ในระบบเผด็จการทหาร
ไม่ใช่คำตอบ ใครดีกว่าใคร
ที่ตั้งชุดความคิดป้อนสังคมให้เกิดทัศนคติกันว่า นายกฯ ทหารเลว นายกฯ เลือกตั้งดี
นั่นเป็นความคิดพวก “หมาในรางหญ้า”!
เอาง่ายๆ……
การทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ เผด็จการทหารของพลเอกประยุทธ์
กับการทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ เลือกตั้งของนางสาวยิ่งลักษณ์
ตอบซิ…..
เผด็จการเลว หรือเลือกตั้งเลว?
นี่คือสิ่งพิสูจน์ ว่าประชาธิปไตย-เผด็จการ เป็นแค่เปลือก
“ผลงาน” ที่เกิดกับสังคมชาติบ้านเมืองและประชาชนตะหาก คือ “เนื้อหา”
เลิกกันซะทีเถอะ เสียอำนาจ เสียประโยชน์ แล้วพลอยเกลียดตัวคน ต้องทำลายล้าง ต้องสร้างวาทกรรมบิดเบือน
ตัวคนไม่ตายหรอก
แต่ประเทศชาติบ้านเมืองจะเฉาและยับย่อย!
อย่างเรื่อง เศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่ดี คนจะอดตายกันหมดแล้ว
ผมไม่บอกหรอกว่า จริง-ไม่จริง
แต่การพูดอย่างนั้น ควรมองบ้านอื่น-เมืองอื่นประกอบด้วย ว่ามันไม่ดีเฉพาะเรา
หรือมันเป็นทั้งโลก ด้วยภาวะวิกฤติเศรษฐกิจขาลง
ในความเป็นประเทศสินค้าส่งออก มันไม่ดีไปด้วยกัน ทั้งประเทศผู้ซื้อและผู้ผลิตทุกแห่ง
พูดกันแฟร์ๆ…..
ที่เราบ่นกันว่าเศรษฐกิจไม่ดีนั้น ไปดูซี…ทั้งโลก โดยเฉพาะยุโรป สหรัฐ ต่อให้ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ด้วย
เฉาด้วยกันทั้งนั้น
หนัก-เบา ว่ากันไปตามเศรษฐกิจฐานรากของแต่ละประเทศ!
เราซะอีก ที่ว่าแย่ๆ เทียบแล้วยังดีกว่าของเขาร้อยเท่า นี่เรื่องจริง ไม่ใช่นอนบนเตียงถ่ายคลิปพูด
การสร้างทัศนคติให้คนรังเกียจทหาร พยายามพูดให้เห็นว่า กองทัพเป็นส่วนเกินสังคมปัจจุบัน
ทำกันไปทำไม….
การพูดอย่างนั้น มันทันสมัย โก้ เท่ กันนักหรือ?
ถ้าบ้านเมืองไม่มีกองทัพ ไม่มีทหาร
วันนี้ จะไม่มีแผ่นดินให้พวกคุณได้ยืนเห่าเป็นการเนรคุณอย่างที่ทำกันทุกวันนี้หรอก
เราเห็นบ้านเมืองกันแต่ “ภาพภายนอก” แล้วแหกปากทหารมีไว้ทำไม เลิกเกณฑ์ทหารได้แล้ว กองทัพเกินความจำเป็น
หารู้ไม่ว่า สภาพภายนอกที่สรุปว่าทหารเป็นส่วนเกินแล้วนั้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ, การเงิน, การคลัง รวมถึงความมั่นคง
ตั้งอยู่บนรากฐานที่มาจากการ “ทำงานภายใน” ของกองทัพเป็นส่วนใหญ่
สถานการณ์วันนี้ เสถียรประเทศ “บนดิน” ตาที่เห็นจะบอกว่า ขาดทหารก็ไม่เห็นจะเป็นไร
แต่ถ้าตาคนมองทะลุลงไปใต้น้ำเขตคามสยามประเทศ จะต้องร้องว่า
“มันดำน้ำเข้ามาทะลวงก้นเราขนาดนี้แล้วหรือนี่?”
ในภาวะโลกสับปลับขณะนี้ ลูกอ๊อดอย่างพวกเรา อย่าโง่แล้วหยิ่ง พองตนเป็น “พญาคันคาก” กันให้มากนัก
ไม่ได้บอกให้กองทัพหรือทหารมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินหรอก
เพียงแต่จะบอกว่า เอากันแต่พอดี เคลื่อนคล้อยไปตามเหตุปัจจัยของสถานการณ์ “เอาบ้าน-เอาเมือง” ไว้ก่อน
เรื่องอำนาจ เรื่องกินบ้าน-กินเมือง ทีหลังก็ได้ ในเมื่อประเทศไทยยังมีอยู่
ไม่สายหรอก…..
เมื่อช่วงหัวเลี้ยว-หัวต่อผ่านไป ค่อยเข้ามาแทะกัน คงไม่ถึงขั้นลงแดงตายกันไปก่อนกระมัง?
ด้วยเหตุผลอย่างที่ว่า ผมจึงเห็นพลเอกประยุทธ์ เป็นบุคคลลงตัว ในตำแหน่งนายกฯ คนต่อไปมากที่สุด
บางคนบอกว่า อยู่มา ๔ ปี ไม่เห็นมีผลงานอะไร?
ถามว่า คุณใช้อะไรพูด?
ใจอิจฉา หรือ ความเป็นจริงประจักษ์?
แน่นอน พลเอกประยุทธ์ “ทำทุกเรื่อง” ที่ชาวบ้านต้องการไม่ได้
แต่หลายเรื่อง ทั้งสะสางเก่า ทั้งตั้งต้นเป็นอนาคตใหม่ พลเอกประยุทธ์ทำปรากฏเป็นรูปธรรมน่าพอใจมิใช่หรือ
๔ ปี ทำได้ขนาดนี้ ต้องย้อนถาม แล้วรัฐบาลเลือกตั้ง เวียนกันเป็นมาในรอบ ๒๐ ปี ทำอะไรเป็นเนื้อหนังฝากให้ชาติบ้าง?
อย่าตอบว่า……
ก็แปลงประเทศเป็นทุนไง
๓๑ ธันวา.วันสิ้นปี ประกาศเป็นวันทำงานปกติ เพื่อ “ผัวเซ็น-เมียซื้อ” แล้วโอนโฉนดนั่นไง
เผาบ้าน-เผาเมืองนั่นไง
จำนำข้าวทุกเมล็ด แล้วเวียนเทียนซื้อขายเอาเงินหลวงเข้ากระเป๋า สร้างหนี้ทิ้งไว้ ๘ แสนล้าน ให้ประชาชนทุกคนจ่ายแทนนั่นไง
การพูด ว่าต้องทำอย่างนั้น-ต้องอย่างนี้ มันง่าย
สำหรับคนทำงาน โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าบริหารด้วยแล้ว จะรู้ว่า ในโลกนี้ “ที่ยากที่สุด” คือ
“การบริหารใจคน”!
มีอำนาจ ใช่ว่าจะสั่งให้ทุกคนทำอย่างที่เราต้องการได้ และถึงสั่งได้ ก็ใช่ว่ามันจะทำ
ผมพอใจนายกฯ ประยุทธ์เท่ากับไม่พอใจ แต่ที่เป็นเหตุให้ผมยอมรับได้
เพราะประยุทธ์เอาชาติ เอาสถาบัน เอาประชาชน มุ่งสร้างอนาคตประเทศ ปากร้ายบ้าง
แต่ “ใจ” บริสุทธิ์!.
พ่อครูว่า…อาตมานี่ปากร้ายคือพูดแต่ตำหนิแต่ว่าเขา จะชมก็น้อย ชมก็ชมพลเอกประยุทธ์กับคุณเปลวนี่ไง
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจไทยในยุค คสช.
มาอีกบทความ…
แนวหน้า บทบรรณาธิการ วันพุธ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561,
เศรษฐกิจไทยในยุคคสช.
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลระบอบทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดความหยุดชะงักรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้หลังจากนั้นพลเอกประยุทธ์ได้เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในวันที่ 30 สิงหาคม 2557 เวลาผ่านไปถึงปีที่ 5 ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยดีกว่าสิ้นปี 2557 มากมายหลายเท่าตัว
แต่กลุ่มคนที่เป็นพวกที่สูญเสียอำนาจไปเพราะคณะทหารได้ออกมาโวยวายอย่างหนักแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วฐานะของเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีปัจจุบันคือปี 2561 ดีกว่าสมัยยิ่งลักษณ์มากนักดังตัวเลขที่จะยกมาให้ดังนี้คือสิ้นปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่นักการเมืองในระบอบทักษิณต้องสูญเสียอำนาจการบริหารประเทศไปนั้นประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติ 407.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 13,237.25 ล้านล้านบาท มีประชากร 65.4 ล้านคน
ประเทศมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเทียบปี 2556 กับ 2557 โตแค่ 0.7% เท่านั้นประชากรมีรายได้ต่อหัวคนละ 13,000 เหรียญสหรัฐ หรือคนละ 422,500 บาท เฉลี่ยเดือนละ 35,208 บาทต่อคน มาสิ้นปี 2561 ในยุครัฐบาล คสช. ประเทศไทยมีประชากร 67.6 ล้านคนรายได้ประชาชาติสิ้นปี 2561 ประมาณ 1,323 ทริลเลี่ยนเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 455,400 ล้านล้านบาท รายได้ต่อหัวคนละ 19,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 617,500 บาทเฉลี่ยเดือนละ 51,458 บาท
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างปี 2560 กับ 2561 โตขึ้น 4% ไทยส่งสินค้าออกในปี 2561 ได้ถึง 236,760 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าสินค้า 222,760 ล้านเหรียญสหรัฐเทียบแล้วไทยเกินดุลชำระสินค้า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปี 2561 ค่าเงินบาทแข็งค่าคือ 1 ริงกิตมาเลเซียเท่ากับ 7.96 – 8.00 บาท บาทไทยมีค่าสูงขึ้น
เมื่อเทียบเงินบาทกับเงินตราสกุลหลัก 5 สกุลของโลกปรากฏว่าค่าเงินบาทสูงมาก 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 32.5 บาท 1 ยูโรเท่ากับ 37.5 บาท 1 ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษเท่ากับ 41.4 บาท 100 เยนเท่ากับ 29.5 บาท เมื่อนำเอารายได้ประชาชาติในปี 2557 กับ 2561 แล้วจะพบว่ารายได้ประชาชาติสมัย คสช.ดีกว่าสมัยระบอบทักษิณถึง 915.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3 เท่าตัวในเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมเต็ม 100 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเป็นอย่างมากแต่การกระจายรายได้ไม่ดีเท่าให้เกิดภาวะคนที่ร่ำรวยอยู่แล้วมีฐานะร่ำรวยมากขึ้นจากตัวเลขของนิตยสารฟอร์บสนั้นระบุว่าไทยมีมหาเศรษฐี 1 พันล้านเหรียญสหรัฐถึง 40 ตระกูล มีกลุ่มชนชั้นกลางที่มีฐานะที่ร่ำรวยที่มีรายได้ต่อปีคนละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า 1 ล้านคนจากประชากร 67.6 ล้านคน
ปัญหาที่รัฐบาลคสช.ต้องแก้ไขให้เป็นผลก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 ก.พ. 2562 ก็คือการกระจายรายได้และการใช้โครงการสวัสดิการแห่งรัฐไปสู่ประชาชนที่ยากจนที่มีประมาณร้อยละ 20 ให้เป็นผลงานที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน https://www.naewna.com/politic/columnist/38404
พ่อครูว่า…ชาวอโศกเป็นคนที่ทำงานขยันหมั่นเพียรเสร็จแล้วก็เอาเข้ากองกลางไม่เอาไว้ส่วนตัว ไม่ยักไว้ กองกลางก็เอาไปบริหารสังคมเราที่เหลือก็เอาไปสะพัดสู่สังคมประเทศชาติไม่ขยักนไว้ เป็นคนทำหน้าที่ช่วยประเทศชาติโดยเสียสละ ขอใช้คำว่าเสียสละ เพราะเราไม่ต้องมีเงินทองในส่วนตัว เราอยู่เรากินในสังคมที่สมบูรณ์แบบคือสังคมชาวอโศก สาธารณโภคี เป็นวิธีบริหารสังคมประเทศชาติที่สูงสุดแล้วสาธารณโภคี หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านสังคมสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า
พูดไปนี้เป็นการยืนยันความจริงของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แล้วเราทำได้ นักเศรษฐศาสตร์เชิญมาศึกษาแล้วก็มาวิจัย ของโลกไม่มีหรอก ในตำราโลกไม่มี มีแต่ในตำราของพระพุทธเจ้า แล้วมีคนปฏิบัติได้จริงคือชาวอโศก ขออภัยพูดแล้วเหมือนยกตน แต่มันเป็นเศรษฐศาสตร์ทฤษฎีที่นำโลก ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆแต่ชาวอโศกก็ทำได้
เพราะเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามาเป็นลำดับจนเป็นสังคมเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์สังคมสาธารณโภคี แล้วจะล้มไหม? เศรษฐศาสตร์ชาวอโศก (ไม่).. ยั่งยืนมั่นคงเพราะลงตัวที่จิตมีปัญญา จิตมันรู้ว่าระบบยังมีวิถีชีวิตอย่างนี้มีเสนาสนะ มีบุคคล มีเครื่องอาศัยเป็นอาหารมีธรรมะอย่างนี้แหละ สังคมชาวอโศกจึงไม่มีเปลี่ยนแปลงง่ายๆจะยืนยาวแต่ก็ต้องเสื่อมในอนาคตคนก็จะต้องแย่งกัน แต่ก็จะไม่เสื่อมง่ายหรอก อาตมาถึงต้องพยายามลงหลักปักแหล่งราชธานีอโศกให้เป็นหมู่บ้านตัวอย่าง เราไม่เป็นถึงขั้นทำให้เป็นอำเภอ แค่ตำบลก็ต้องมีหมู่บ้านอย่างนี้ ไปหมู่บ้านอย่างสาธารณโภคีหลายหมู่บ้านรวมกันก็เป็นตำบล มีอยู่กระจายตามที่ต่างๆสาธารณโภคีของชาวอโศกแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ มันก็เลยกระจายอยู่ทั่วประเทศ ถ้าหากต่อไปหมู่บ้านรอบข้างเป็นสาธารณโภคีด้วย จะเป็นเครือแหเชื่อมต่อกันที่ยอดเยี่ยมเลย คำกลางเขาเป็นคริสต์ก็ไม่กล้าพูดเขาหรอก แต่คนบ้านคำกลางมาทำงานในราชธานีอโศกเลี้ยงชีวิตมีเยอะแยะไป พวกเราทำไม่ทันไม่พอก็ต้องจ้างเขา
เราก็คือมวลชนหมู่หนึ่งในประเทศไทยที่มีวิถีชีวิต จะเรียกว่าสาธารณโภคีจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจก็ใช่ทางด้านรัฐกิจก็ใช่ บริหารปกครองแบบศาสนพิธีบริหารโดยไม่ต้องบริหารอย่างยากเย็นอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ
ในหมู่บ้านชาวอโศกไม่ต้องมีตำรวจ ตำรวจไม่ค่อยเข้ามาเลยนานๆทีจะขอร้องให้มาดูแลการจราจรบ้าง พวกเราดูการจราจรของเราเอง เพราะว่าเราไม่จ่าย ไปที่อื่นเขาได้เงินนะ
0 ก็พอนี้เป็นสุดยอดของมนุษย์แล้ว เป็นคนมีอาชีพสูงสุด อาชีพ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา อาชีพที่ไม่ต้องใช้ลาภแลกลาภ ปฏิบัติตามทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาจนถึงวันนี้สมบูรณ์แล้ว อาชีพก็ถึงขั้นสุดยอด วาจาก็ดี พวกเราไม่มีด่าทอ ไม่มีหยาบภายนอก ข้างนอกพูดหยาบคายทะเลาะวิวาทกันของเราไม่มี (อวิวาทะ) แม้แต่พูดหยาบก็ไม่ค่อยมี
การพัฒนาเศรษฐกิจนั้นอาตมาก็เคยพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องพัฒนาเศรษฐกิจด้วยความเป็นคนจน การพยายามพัฒนาเศรษฐกิจให้คนไปรวยนั้นมันไม่สำเร็จมันพูดปากเปล่า พูดอย่างไรก็ให้คนรวยแข่งกันไม่ได้ พัฒนาให้ตายอย่างไรคนรวยก็ยิ่งจะรวย แม้คนระดับกลางก็รวยขึ้นคนจนยิ่งจะกรอบ บอกว่าจะสร้างให้คนรวยนั้นจะเกิดผลคือคนระดับกลางจะยิ่งรวยขึ้น แต่คนที่จนอยู่แล้วก็จะยิ่งกรอบตายกับตาย ไปฟังคำนี้แล้วพิจารณาเอา อย่าไปกลัวที่บอกว่าเราจะบริหารเศรษฐกิจด้วยช่วยให้คนจนลงมา โดยเฉพาะคนที่รวยมากๆให้จนลงมามันจึงเกิดระบบคอมมิวนิสต์ ที่เขาบังคับเลย
คนรวยต้องรู้จักพอ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงให้รู้จักพอบ้างเถอะเจ้าประคุณเอ๋ย พวกเรานี้ชาวอโศกมามีรายได้ 0 เราก็พอ มันไม่มีทางไปแล้วนะมันสุดแล้วนะ หลุดจากรายได้ศูนย์มันก็ไม่มีแล้วคน รายได้เท่าไหร่ก็เอาเข้ากองกลางเพิ่งกินเพิ่งใช้แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ มาแย่งชิงกันสบาย แล้วก็มีความอุดมสมบูรณ์เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแบบนี้ …ก็ต้องพูดซ้ำซากอย่างนี้อีกไม่รู้กี่ชาติ …จบ