ธ.ค.312018ศาสนา611231_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 ส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่นิพพาน อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1N68_pOpbc_X1KEGr3f6DB_P52VJqFOYuy-3CRih_VFc/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1BkksVQKyIPeaqXy4gHKQnF1xFS2-aWsR พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2561 วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีแล้วนะ แต่เดือนเป็นเดือนอ้ายผ่านมา 9 วันแล้ว ปีจอ นับตามจันทรคติ ถ้าปีกุนจะนับตั้งแต่วันสงกรานต์ วันเวลาก็เคลื่อนไป ส่วนเราก็สำคัญที่กรรมของเรา กาละมันก็ทำกาละของมัน เราต้องหยุดที่เรา เราแต่ละคนก็กาละของใครของมัน กาละของใครหยุด กาละของคนนั้นก็หยุด เริ่มต้นเอาเรื่องของธรรมะก่อน เช้าแจ่มใสฟังธรรมะให้ดี หนักสมองก่อนจะผ่อนคลายด้วยการเมือง จริงๆของพวกเรา การเมืองเป็นเรื่องไม่ยากเป็นเรื่องง่าย แต่เรื่องธรรมะเป็นเรื่องยาก แต่ทางโลกเขาเรื่องธรรมะเขาไม่ยากหรอกเขาไม่อ่าน เขาก็ทำไปตามประสาเขาเล็กๆน้อยๆ แต่เรื่องการเมืองของเขายาก เขาเอาเป็นเอาตายกันซีเรียสกันมาก แต่เรื่องธรรมะเขาไม่ซีเรียส พวกเรามาซีเรียสทางเรื่องธรรมะ การเมืองไม่ซีเรียส มันก็เป็นธรรมดานี่แหละเรื่องของสิริมหามายา เป็นเรื่องสลับซับซ้อนกลับไปกลับมา ทีนี้พวกเรามีสภาวะ พูดกันง่ายเข้าใจ แต่ทั้งโลกเขาหัวหมุนเลย พูดวนไปวนมาสลับไปสลับมา มีผู้ที่ข้องใจสงสัยแล้วไม่มาฟังที่นี่เสียทีอยู่แต่ทางบ้านถามมา ให้ตอบไป เอากำไรอยู่เรื่อยนะ ประเด็นสำคัญที่ถามมา หมุนสมองให้ทันสมัย แอดจัสให้ดี คำถามว่านิพพานไม่ใช่อยู่ที่ดีหรือชั่ว ไม่ใช่อยู่ที่ถูกหรือผิด ตัวนิพพานไม่ใช่ดีหรือชั่วไม่ใช่ถูกหรือผิด พ่อครูว่า…นิพพานอยู่ที่สุขและหรือทุกข์ สุขทุกข์นี่แหละเป็นเทวดาสำคัญเป็นธรรมะ 2 หมดสุขหมดทุกข์ดับเทวะ เป็นอะไร เป็นนิพพาน ดีชั่วถูกผิดเป็นโลกียะไปดับมันไม่ได้หรอก คุณเองคุณเป็นส่วนตัวคุณทำชั่วคนทำผิดหรือคุณทำแต่ดีทำถูกไปกับโลกเขา คนต้องมีโลกด้วยคุณจะมีถูกมีผิด คุณก็ต้องมีโลกด้วย ถ้าไม่มีโลก มันไม่มีถูกไม่มีผิดมันไม่มีดีไม่มีชั่วถ้าไม่มีโลก สมมุติไปเป็นจินตนาการ ถ้าคุณคิดทำชั่วแต่ไม่อยู่ในโลกนี้เลย จริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร มันจะมีตัวมีตนไหม คนคิดดีคิดชั่วพูดผิดมันก็ไม่มีตัวตน แต่ถ้าใครไปยึดเข้าเท่านั้นแหละมันถึงจะมี ถ้าคุณคิดไปก็คิดแล้วก็ทิ้งไปมันจะไปมีเหลืออะไร แต่ถ้าคิดแล้วเป็นอุปาทานเข้าไปยึด มันก็จะมี สรุปแล้วความสำคัญ นิพพานไม่ใช่อยู่ที่ดีหรือชั่วไม่ใช่ถูกหรือผิด นิพพานอยู่ที่สุขกับทุกข์ ก็สุขนี่แหละเป็นตัวร้าย คุณได้สุขมันก็ต้องมีทุกข์เพราะมันเป็นเทวเป็นธรรมะคู่ เป็น duality เป็นภาวะคู่คุณยังไม่ล้างมีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดมากอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ จนกระทั่งถึงอารมณ์อุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์ แต่มันมีอาศัยอยู่ มันมี มันเป็นอารมณ์อาการ เราจะต้องรู้ พระพุทธเจ้าถึงให้ฝึกไปอยู่ที่ฐาน สิ่งที่ยังมีอยู่ที่ฐานของรูป เรียกว่า วิการรูป 5 การ คือการกระทำที่ยิ่งที่สุดอยู่ที่ วิการรูป 5 มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา และกายวิญญัติ วจีวิญญัติ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ จะอยู่ข้างนอกก็ได้อยู่ข้างในมันก็เป็นต้นทางที่จิต เพราะฉะนั้นอุเบกขา ที่จริงแล้วทุกข์ก็ตามมันเป็นเบาที่สุดแล้ว มันเป็นคู่กัน ถ้าจะพูดพยัญชนะบอกว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปก็ได้ มันก็สุขเท่านั้นเกิดขึ้นสุขเท่านั้นตั้งอยู่สุขเท่านั้นดับไป มันก็พูดไปได้ขนาดนั้น แต่ถ้าคุณดูแล้วว่าคุณเบา นี่คือตัวลักษณะ ทีนี้เคหสิตอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขา นี่ก็คู่หนึ่งเคหสิตอุเบกขา เป็นโลกียล้วน ถ้ายังไม่มีความรู้โลกุตระ มโนปวิจาร 18 มีเคหสิต 18 เนกขัมมะ 18 คุณไม่รู้เลยตั้งแต่หยาบ ทวาร 6 สุข ทุกข์ อุเบกขา หรือว่าเป็นโสมนัสโทมนัสและเป็นอุเบกขา เรียกว่าอินทรีย์ 5 สุขก็ตามชั่วก็ตามเกี่ยวกับภายนอกด้วย เมื่อมันไปข้างใน หมดจากภายนอกแล้ว เหลือข้างในก็เป็นโสมนัสโทมนัส เป็นอุเบกขินทรีย์ อาการของอารมณ์ คุณจะต้องรู้ด้วยตน ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ ต้องฉลาดต้องมีความรู้ที่จะอ่านสัมผัสเองรู้ มันเป็นของใครของมัน ปัจจัตตัง มันมีลักษณะเป็นของตัวเอง คนอื่นไม่มีใครจะมาอ่านลักษณะอาการในจิตของเรา ให้เรารู้ได้ เราต้องอ่านของเราเอง เคหสิตเวทนานั้น มันเป็นลักษณะของอวิชชา มันยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นยึดถืออยู่มันก็เป็นตัว static มันก็ไม่จากไปมันก็อยู่ วิหรติ เมื่อล้างออกไปให้ไม่มีในจิตเราคือเนกขัมมะเอาออก เอ็งไม่จากข้าข้าก็จากเอ็ง สมบูรณ์แบบเลย เอ็งจากข้า ข้าก็จากเอ็ง ถ้าเอ็งจากข้าแต่ข้าไม่จากเอ็ง ก็เอ็งน่ะเป็นเอง เปลี่ยนแปลงได้เป็น Dynamic จะอนุโลมปฏิโลมกับเขาก็ได้ แต่ก่อนคุณจะอนุโลมปฏิโลมให้คนอื่นได้ยาก คุณจะอนุโลมให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ยาก คนต้องมีฐานของตนเอง เรียกว่าสมาธิ ฐานตั้งมั่น อาตมาอธิบายเป็นรูปธรรม คุณจะช่วยคนที่ตกบ่อ ฐานคนที่ยึดไว้บนบ่อ ที่จะมีกำลังเอื้อมลงไปในบ่อคุณต้องมีฐาน แข็งแรงตั้งมั่น ได้พอสมควรแล้วคุณจึงอนุโลมไปช่วยคนอื่นเขาขึ้นมา คุณจะใช้กำลังทาง 100 เลย คุณมีอยู่ 100 คุณอนุโลมหมด 100เลยคุณก็หมดหัวทิ่มบ่อไปกับเขา คุณต้องใช้ไม่หมด ใช้ให้น้อยกว่า 100 แต่ถ้าคุณมีมากกว่า 100 ก็ยิ่งทำได้ สมมุติว่าคุณมี 100 จะเอาน้ำหนักอีก 100 จากข้างล่างขึ้นมาจะได้ไหม…มันก็ไม่ได้ คุณมีน้ำหนักอยู่ข้างบน 100 แล้วจะช่วยข้างล่างอีก 100 มันก็ไม่ได้ คุณต้องมีมากกว่า100 ต้องมากถึงจะช่วยได้ ถ้ามากไม่พอ ไม่ไหว ต้องหาตัวช่วย ต้องหาพื้นช่วยยึด หรือใครคนอื่นมาเกาะขาไว้ เอาน้ำหนักถ่วงขาไว้มันจึงจะชัวร์มันถึงจะเอาขึ้นได้ (เอาไม้ให้เขาปีนเอง) สรุปแล้วคำว่าเทวหมายความว่าสุข เป็นเจ้าแห่งความสุขเป็นภาวะที่ยิ่งใหญ่เป็นก็อต เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ศึกษาธรรมะของพูดเขาก็ไม่รู้สึกทุกข์ที่ละเอียดลออไม่รู้ความเป็น 2 ความเป็นเทวที่ละเอียดลออเขาก็จะเอาแต่สุข เพราะฉะนั้นเราก็จะทำดีมันก็ไม่ลึกซึ้ง ดีชั่วก็ไม่ลึกซึ้ง ดีชั่วที่ประกอบไปด้วยบุญบาป ประกอบไปด้วยลักษณะที่ต้องเรียนรู้พลังงาน ที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นประกอบเข้าไปด้วยเสมอๆ ฉะนั้นธรรมะสองที่เป็น ยึดวางๆๆ วางกับยึด มันก็เป็นคนละลักษณะ จึงเป็นภาษาพูดที่พูดได้ แต่สภาวะจริงนั้น ต้องฝึกกันอย่างชำนาญ ยึดวางๆๆ อาตมาขนาดเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว ยังไม่เป็นมุทุภูตธาตุที่เก่งยึดวางๆๆ ทุกวันนี้วาง ที่ไม่เห็นความสำคัญนั้นวางหมดเลยคนอื่นยึดแทน เอาพลังงานมายึดไอ้ที่สำคัญๆที่เป็นโลกุตระที่เป็นปรมัตถ์ ซึ่งมันก็ไม่ใช่น้อยอาตมายังต้องวาง ยังจำไม่ได้ ควักเอามาใช้ได้เร็ว ควักอืดอาด บางทีต้องหาตัวช่วยอยู่เรื่อยเลย ต้องฝึกให้ชำนาญยิ่งกว่านี้ อาตมาต้องฝึกตัว มุทุภูตธาตุให้เร็วขึ้น จึงควักออกมาทำงานได้เก่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่เข้าถ้าไม่ออกมาแปลวจีวิญญัติกายวิญญัติ กายวิญญัติของอาตมาทุกวันนี้จึงไม่มีอะไรแรงไม่มีอะไรจัดจ้านเท่าไหร่ กายวิญญัติยิ่งไม่มีอะไรแรงเลย วจียังมีแรงอยู่ แต่กายไม่แรงเลย เหมือนมีพลังงานอีกมาก แต่แรงอาตมาไม่เอาไปแปลเป็นอกุศล มีแต่กุศล กุศลก็สังเคราะห์มาทำงานทางด้านศาสนา ยิ่งอายุมากขึ้นแล้วเดี๋ยวนี้ต้องใช้แรงงาน เด็กกับหนุ่มสาวเยอะ เด็กมันใช้แรงงานได้ประมาณหนึ่ง จะทำงานหนักมากก็ไม่ได้ เพราะเด็กนี่ต้องสร้างสัมประสิทธิ์ Coefficient มันทดอย่างนี้ ถึงก้าวหน้าไปเรื่อยๆจนเป็นหนุ่ม คนหนุ่มเต็มที่แล้วก็ค่อยๆลดลง อย่างนี้เป็นต้น เป็นภาวะสัจจะธรรมดา สรุปแล้วสุขทุกข์นี่เป็นตัวประเด็นของนิพพาน ไม่ใช่ดีหรือชั่วผิดหรือถูก เพราะว่า ดีชั่วถูกผิดนั่นเป็นโลกียะ สุขทุกข์นี่แหละเป็นตัวสำคัญยิ่งใหญ่ของนิพพานไม่ใช่ดีหรือชั่ว ผู้ที่นิพพานแล้วพ้นจากสุขทุกข์แล้ว ก็ยังต้องมาทำงาน ต้องมาช่วยอนุโลมปฏิโลมร่วมดีกับชั่วเขา อาตมาจึงมีจุดด้อย ถ้าพูดด้วยศัพท์ว่าดี หรือชั่ว ยังมีข้อด้อย ยังตำหนิแรง บางทีเฉียดหยาบด้วยนะ ต้องอนุโลมปฏิโลมถ้าไม่ทำก็ไม่เหมาะสมกับของที่มันหยาบ ด้าน หนา ต้องใช้ทุกทาง พวกเราก็คงพอเข้าใจที่พูดนี้ มันจำนนกับสภาวะ 2 แท่งก้อนที่มันต้องทุบ ก็ต้องใช้กำลังพอสมควร มันถึงจะทุบให้ละเอียดได้ _คำถามมา..นิพพานที่เป็น 0 ต้องเป็น อนิมิตนิพพานเท่านั้นหรือไม่ นิพพานแบบสุญญตะ กิเลสหมดแต่ยังมีชีวิตอยู่ ถือว่าเป็น 1 หรือ 0 ถ้าตาย แต่ยังตั้งจิต เกิดต่อ เพื่อมาเป็นโพธิสัตว์ แบบอปนิหิตตะ จะยังเป็น 1 ใช่ไหมคะ พ่อครูว่า…มีทั้ง 1 กับ 0 กิเลสหมด 0 อยู่ แต่คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ยัง 1 อยู่ ไม่เห็นจะสับสนตรงไหน แต่ถ้าตาย แต่ยังตั้งจิต การตายหมายถึงร่างกายตายนะ แต่จิตตั้งอยู่ ตั้งจิตเกิดต่อเป็นโพธิสัตว์ แบบ อปนิหิตตะ ถ้าจะใช้พยัญชนะควบคู่กับกิเลสก็ต้องใช้ อปนิหิตตะมันก็ไม่มีกิเลสมัน 0 แล้ว แต่คุณไม่ตาย คุณจะยังไม่ตายยังจะตั้ง คิดว่าจะไม่ตายยังจะเกิดอีก แต่คุณทำกิเลสหมดอย่างถาวรแล้ว กิเลสคุณหมดอย่างถาวรเอากิเลสมาตั้งใหม่อีกมันก็ไม่ได้นะ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” แต่แน่นอนสัมผัสอยู่กับโลกคนโลกๆก็ยังเป็นเหตุแห่งกิเลส ที่มาอยู่นี่ก็ไม่ใช่อรหันต์ทั้งหมด แต่ที่คนยังมีกิเลสนั่งอยู่นี่ กิเลสของคน ว่อนออกมาหรือเปล่า ? มันออกมาได้นะ ทำเป็นเล่นไปนะ มันหรอยออกมาได้นะ คุณยังไม่แน่จริงไม่ทำให้มันสูญไปหมด มันก็หรอยออกมาได้ โลกนี้นิรันดรด้วยกิเลส ถ้าโลกนี้ไม่มีกิเลสแล้วโลกนี้จะมีมนุษย์ไหม มนุษย์ก็ไม่มี ก็มันไม่มีแล้วกิเลส กิเลสมันอาศัยมนุษย์ ไม่มีมนุษย์ไม่มีกิเลส แตงโมมันไม่มีกิเลส สัตว์มันมีกิเลสแต่มันไม่รู้มันเป็นอวิชชา เริ่มต้นเป็นจิตนิยามตั้งแต่ 1 เซลล์ก็มีกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็ชัดเจนก็จะรู้ เริ่มต้นเป็นจิตนิยามสะสมกิเลส เป็นสัตว์เดรัจฉานมาไม่รู้เท่าไหร่ จึงมาเป็นคน จนเป็นอเวไนยสัตว์ พูดเรื่องโลกุตระกันไม่รู้เรื่อง พูดไปเขาก็ฟังไป ดีไม่ดีก็โดยมารยาทก็ยิ้มให้กับเราด้วย จนกว่าเขาจะค่อยๆรับได้เขาจะเข้าใจ ถึงจะชื่นอกชื่นใจจึงจะมีฉันทะ สรุปว่านิพพานที่เป็น 0 ต้องเป็น อนิมิตนิพพานเท่านั้นหรือ นิพพานแบบสุญญตะทีเด็ดหมดแต่ยังมีชีวิตอยู่ถือว่าเป็น 1 หรือ 0 ก็เป็น 1 แปลว่ายังมีอย่างไรก็ต้องเป็น 1 มัน 0 จริงๆเลยหมดไปเลยไม่มีนิมิตเหลือ ตั้งอยู่ก็ไม่เหลือ ปนิหิตตะก็ไม่มีเรียกว่า 0 แท้ แต่ถ้าตายลงไปแล้วจะไม่ตั้งจิตต่อไม่กลับมามีร่างอีกแล้ว แต่บำเพ็ญโพธิสัตว์แบบอปนิหิตตะ ก็ต้องขยาย อปนิหิตตะ ว่าไม่ให้กิเลสมันตั้งอยู่ ไม่มีสภาพ ไม่มีนิมิตไม่มีเครื่องหมาย ก็ใช้พยัญชนะเทียบกับสภาวะ แม้ว่าสามารถทำให้ศูนย์ได้ทำให้มีก็ได้ในขณะตอนเป็น หนึ่งเดียวทำให้เป็นล้าน หลายคนทำให้เป็นคนเดียว คนเดียวทำให้เป็นหลายคนก็ได้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ จึงเรียกว่าเป็นสิริมหามายาเหมือนนักเล่นกล แล้วมันเป็นอะไรกันแน่ จิตใจมันเหนือแล้ว ความเก่งความวิจิตรความประเสริฐความสุดยอดของจิต ถ้าไม่ศึกษากันจริงๆแล้ว มันก็ฟังมันเล่านิทาน แต่ถ้ามาศึกษาให้จริงแล้วจะรู้ว่า จิตมันเร็วยิ่งกว่าแสงกว่าเสียง เสียงคุณพูดไปนี้เสียงมันช้ากว่าแสงอีกเยอะ จิตเร็วกว่าแสงเสียง ปั้นเป็นแสงเสียงได้เยอะ แบบอปนิหิตตะ จะยังเป็น 1 ใช่ไหมคะ ก็บอกแล้ว จิตของคุณไม่มีกิเลสตั้งอยู่แล้วจะใช้พยัญชนะเรียกอะไร กิเลสมันตั้งในจิตของคุณไม่ได้ แต่คุณจะอยู่กับหยาบเขาได้ เพราะมีละเอียดที่เหนือชั้น ใช้พยัญชนะชัดขึ้นไหม คุณก็ใช้ความละเอียดของคุณเอาชนะ พระคุณเหนือชั้น มีความละเอียดที่เหนือชั้น _อุตุนิยาม พีชนิยาม ในจิตมีหรือ พ่อครูว่า…เป็นพยัญชนะเอาใช้แทน จริงๆร่างกายเรามีทั้งอุตุ มีทั้ง พีชะ มีทั้งจิต ทีนี้คุณจะประกอบกรรม กายวาจา จิตของคุณก็จะต้องรู้ว่า ตอนนี้มันจะหมายถึง อุตุนะ เพื่อจะสื่อสภาวะด้วย ทีนี้สื่อสภาวะด้วย ถ้าคุณจะพูดถึงว่าแตงโม แตงโมมันก็จะต้องมีทั้งอุตุมีทั้งพีชะ มันไม่มีจิต แน่นอน คนพูดกับคนอื่นเขาคนจะหมายถึงอะไร คุณก็ต้องเอาพยัญชนะเอาภาษามาสื่อให้ถึงเขา ความจริงแล้วในขณะที่คุณพูด จิตของคุณก็จะต้องมีธาตุรู้ ที่คุณต้องรู้หมายถึง แตงโมมันไม่มีหรอกไม่ได้มีจิต มันมีแต่อุตุกับพีชะ อุตุกับพีชะ มันก็มีในจิตของเราเองที่หมายถึงมัน ในจิตของเราเองมันไม่มีอุตุ หรือพีชะแต่หมายถึงที่จะทำกรรมให้คนอื่นเขารู้ไหมว่าคุณคิดก็รู้ของคุณเองแล้วก็หายไป แต่เมื่อพูดถึงแตงโมมันเป็น พีชะกับอุตุ แต่ถ้าพูดอยู่ข้างในแตงโมของฉันลูกสีสันอย่างนี้ สีของมรกตผสมนิลกาฬ คนอื่นก็จินตนาการไปตาม แล้วมันเป็นนิลกาฬนี้ดำหรือว่ามรกตมันเขียวมาก เขาก็จินตนาการตามคุณเข้าไป แต่มันไม่ได้เป็นสภาพที่เหมือนกันได้ ก็จินตนาการไปมันก็ไม่ใช่อุตุ มันก็ไม่ใช่ พีชะแล้ว มันจะไปมีในจิตจริงก็ไม่ได้มันก็เป็นจินตนาการ ให้เป็นความละเอียดในการอธิบายสภาวะพวกนี้ ที่จริงความทุกข์ความสุขไม่ได้ละเอียดขนาดนี้หรอก การพ้นจากความทุกข์ความสุขไม่ได้ละเอียดขนาดนี้หรอกเพราะที่พูดนี้ _ถามว่า ลักษณะจิตของคุณที่เป็นอุตุ พีชะมีไหม คุณรับรู้ได้ก็คือคุณมี แต่ถ้าคุณไปยึดมั่นถือมั่นในจิตก็เป็นอาสวะอนุสัย แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่เป็น เอาจริงๆแล้วมันจะไปเอาให้อุตุ เป็นจิตไม่ได้ เอาพีชะไปเป็นจิตมันไม่ได้ อยู่คนละฐานะ เป็นแต่เพียงถ้าจิตที่ไปรู้แล้วยึด ถ้ารู้แล้วยึดคุณก็ติดไปข้ามชาติ แต่ถ้าคุณวางปล่อยมันก็มีหนึ่งวินาที คุณยึดถือไว้ 1 วินาทีมันก็อยู่กับคุณ 1 วินาที แต่คุณโง่ไม่รู้จัก กาละรู้จักความยึดคุณก็โง่ คุณก็เลยคิดถึงไปนิรันดร เพราะกาละก็ไม่รู้ความคิดก็ไม่รู้นี่คือเทวะอย่างหนึ่งคุณไม่รู้ทั้งคู่ ก็คุณไปชอบมัน คุณยึดถือก็ไม่รู้ กาละก็ไม่รู้ แต่คุณมีฉันทะ ก็เสร็จเลย ฉันทะจึงเป็นมูล ข้อที่ 1 ของมูลสูตร สุขกับทุกข์หมด นิพพาน เป็นแต่เพียงเราอนุโลมปฏิโลมกับเขากับโลกเขา เรารู้อันนี้ถูกอันนี้ผิด อันนี้ดีไม่ดี คนนี้เขาว่าถูกคนนี้เขาว่าผิด คนนี้เขาก็ดีเขาว่าชั่ว เราก็เข้าใจได้ตามเขา แต่จะบอกว่าเรามี เราก็มีดีกับเขา มีถูกกับเขา แต่ชั่วหรือผิดเราไม่มี พยัญชนะเหมือนพูดเล่นพูดโก้ สภาวะของคุณจริง แต่กรรมเราไม่ได้ทำกับเขา ความชั่วความถูกผิดอยู่ที่เขา อาตมายกตัวอย่างเหมือนแม่เล่นขนมหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก เหมือนมีความสนุกไปกับลูกเขา เด็กเขาก็สนุกไป แต่บางทีก็เมื่อยเหมือนกัน เราก็อนุโลมสุขสนุกไปกับเขา ไม่ได้ยึดไม่ได้ดูดดึงเอาไว้ เมื่อเลิก เด็กลูกเลิกแล้ว คุณก็ไม่เหลือคุณก็วางเพราะคุณไม่ได้ติดเยอะ มันเป็นความจริง นอกจากคนจะติดยึดอยู่เวลาลูกไม่อยู่คุณก็เล่นเองสนุกเองมันเอง คุณจะไปหลอกตัวเองได้อย่างไร แต่คุณไม่มีคุณจะทำไปทำไม มาเข้าเรื่องการเมือง…จากบ้านเล็กเมืองน้อย การปกครองในสมัยโบราณที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราช พุทธศาสนาได้ถูกใช้เพื่อเสริมอำนาจความเป็นสมมุติเทพให้แก่ผู้ปกครอง………ด้วยการเติมแต่งขนบประเพณี เสริมส่งพิธีกรรมให้อลังการ ดูขลัง ให้ง่ายแก่การปกครอง การสวดมนต์พรมน้ำ ทำเครื่องราง ลงยันต์ ท่องคาถา เสกอาคม ถูกนำมาประกอบเสริมพิธี และช่วยสร้างความฮึกเหิมในยามรบทัพจับศึก พ่อครูว่า…พยัญชนะเป็นตัวสื่อสภาวะที่จะตรงกัน แต่เมื่อคนยังไม่เข้าถึงสภาวะก็ต้องใช้พยัญชนะเป็นตัวนำสำคัญไปให้เข้าถึงสภาวะ คนที่ไปหลับตาทำ แล้วก็ทำจิตของตัวเองให้เป็นได้เช่นทำให้วิมุติแบบหลับตาได้ วิมุติก็คือหลุดพ้นวางหยุดเฉย เป็นความวิมุติเป็นความนิโรธ แต่สภาวะจริงๆแล้วมันไม่ใช่ คำว่าวิมุติจากการหลับตานั้นไม่มี ไม่ใช่หรือว่าหยุดจิตให้ไม่นึกไม่คิดไม่มี มันต้องมารู้ว่าไม่มี อย่างสว่างสัมผัสอยู่ก็ไม่มีเศษธุลีละอองแวบ เต็มๆต้องมาเอาสว่างไม่ไปเอามืด เอามืดอย่างไรคุณก็หาไม่ได้ครบ สว่างถึงจะหาได้ครบ สว่างเกินไป พร่าก็ไม่ครบ คนที่อนุโลมได้ เช่นแม่เล่นขนมหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก จบแล้วแม่ไม่เอาอะไรไว้ แต่ลูกเลิกเล่นแล้วมันก็ยังจะมี แต่แม่เลิกเล่นแล้วมันก็ไม่มี ฉันเดียวกัน พระเจ้าปเสนทิโกศล พระพุทธเจ้าท่านก็อนุโลม เลิกแล้วท่านก็ไม่มี พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านก็มีไป พระพุทธเจ้าท่านไม่มีตามเขา ปัจจุบันไม่มีคุณก็ไม่มี คุณจะอนุโลมกับเขาเมื่อปัจจุบันคุณไม่มีเมื่ออนุโลมกับเขาก็เหมือนมี เลิกแล้วคุณก็ไม่มี ไม่มีแล้วมี 1 วินาทีคุณก็จำได้ มี 100วินาทีคุณก็จำได้ นี่เป็นปีคุณก็จำได้ สักแต่ว่าจำ ก็ยังมีการกินลึกในความรู้สึกอีก สัญญาคือจำ เวทนาคือความรู้สึก มันคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นความรู้สึก จริงๆแล้วจำนี้ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขหรอก แต่เมื่อมีสัญญากับสังขาร พีชะมีสัญญา มันจำหน่วยลักษณะนี้ธาตุนี้ เป็นธาตุที่เราต้องการในเนื้อ มันเอาแต่สิ่งที่มันเอา ISH สิ่งที่มันไม่ต้องการมันไม่เอาแต่ไม่ไปทำร้ายเขา เพราะฉะนั้นธาตุจิตของคน ทำให้เป็นพีชธาตุได้ ธาตุพลังงานที่เหลืออื่นอีก พีชะจะมีธาตุพลังงาน static ด้วย พลังงานที่เหลือเป็น Dynamic พลัง Static มีพลังงานแข็งแรงควบแน่น ไม่ให้พลังงานไดนามิคของเราไปทำชั่ว มีฤทธิ์ พลังงาน Static ฐานจิตที่แข็งแรงเป็นตัวประธาน เป็นฐานไม่ให้ไปทำชั่วได้ คุณมี static อยู่ 100 ใช้ Dynamic แค่ 30 ก็สบาย อย่าไปใช้มาก หากใช้มากไปก็พลาดพลั้งได้ตายด้วย อธิบายเป็นพยัญชนะเป็นภาษา นามธรรม จิตของเราต้องฝึกอย่างที่ว่านี้จริงๆคุณถึงจะมีได้เป็นไปได้และคุณก็ทำได้ ถ้าคุณทำไม่ได้คุณก็ตาย ตายถึงร่างกายเลยนะไม่ใช่ตายเฉพาะจิตด้วย ……แม้ทั้งหมดจะเป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่ได้ส่งผลให้หมู่สงฆ์ที่มิจฉาทิฐิอยู่เดิม เริ่มพากันปฏิบัติออกนอกขอบเขตพุทธ ศาสนาพุทธจึงเพี้ยนไปทางพราหมณ์ พ่อครูว่า…สงฆ์ต้องอนุโลมก็ต้องรู้ว่าอันนี้อนุโลม หรือบางทีต้องทำร่วมด้วย บางทีสงฆ์ก็ต้องไปทำร่วมด้วยกับพิธีกรรมใด เราก็ต้องรู้ว่าอันนี้อนุโลม ก็ต้องทำเต็มที่คล้อยตามเท่านั้น แต่จิตใจจริงไม่ได้เป็น ใครจะมาบังคับจิตใจเราได้ ใครจะ มารู้ว่าจิตใจเราอนุโลม หรือว่าจิตใจเราเป็นตาม อนุ คือเป็นน้อยแต่ ปฏิ คือทวน แต่ถ้าเอาแต่อนุโลม ไปไม่กลับเลยก็เสร็จเลย ไปใหญ่เลย …… ผู้เผยแพร่ธรรมะ ที่เป็นเหตุเป็นผลของพระพุทธเจ้า จึงกลายเป็น ผู้วิเศษที่เต็มไปด้วยอาคม มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ความงมงายจึงเกิดแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้ แล้วสมบัติก็ผลัดกันชม จากความเก็บกดของชนชั้นที่ต่ำต้อย…. พ่อค้าพลิกกลับมามีบารมีเหนือกษัตริย์ด้วย Democracy ที่ซ้อน แฝง Demon + crazy อยู่ภายใน……….เสรีภาพในการเอาเปรียบจึงมีกฎหมายคอยคุ้มครอง……………………เพื่ออุปสงค์มวลรวมมากๆ จึงต้องสร้างอุปาทานหมู่ จนแฟชั่นอยู่เหนือเหตุผล ปุถุชนจึงบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่ง พากันเปิดเสรีรับความเป็นทาสอย่างสมัครใจ…………. สังคมที่เคยเอื้อเฟื้อ ก็ถูกเศรษฐกิจชี้นำให้แก่งแย่ง กุญแจที่ไขไปสู่อำนาจทางการเมืองจึงตกอยู่ในมือซ้ายกลุ่มทุน ซึ่งในมือขวาได้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่ก่อนแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นนโยบายหลักของทุกรัฐบาล……..ความร่ำรวยเป็นความใฝ่ฝันของเด็กๆ………. นักธุรกิจแห่กันเปลี่ยนอาชีพเป็นนักการเมือง……………… ความเสื่อมทรามจึงแผ่ซ่านไปทั่วสังคม มีเพียงภัยคุกคามเดียวของทุนที่เหลืออยู่ คือ ศีลธรรม พุทธศาสนาที่เคยสนับสนุนกษัตริย์ จึงจำต้องแปรเปลี่ยนมารับใช้ทุน แต่โลกธรรม ได้เปลี่ยนผู้ตกกระไดพลอยโจน ไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด จากศีลพรตปรามาสที่ย่ำแย่อยู่เดิม กลายเป็นพุทธพาณิชย์ หารายได้กับมหาชนไม่จำกัด…… ฆราวาสแห่กันสะสมบุญ แต่นักบวชกลับสะสมทรัพย์…….. พ่อครูว่า…คำว่าบุญเข้าใจผิดก็มืดเลยไม่ว่าฆราวาสหรือนักบวช ทั้งยังส่งเสริมการนั่งหลับตาสมาธิให้แพร่หลาย โดยเน้นที่คลายเครียด ให้มีสมาธิในการเอาเปรียบกันต่อไป จะได้หาเงินไว้ทำบุญ สะสมบุญ เพื่อเอาไปจับจ่ายใช้สอยกันในปรโลก……. ช่างบัดซบได้ใหญ่หลวงยิ่งนัก พุทธบริษัทที่ผิดเพี้ยนอยู่ก่อนแล้ว จึงกลายเป็นสหกรณ์ อมทรัพย์ เครดิตยู เหี้ยน คลองจั่น และเพื่อความยั่งยืนของทุน ยังได้ปิดทางกอบกู้สังคม ด้วยการยัดเยียด ความไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ให้ตกเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของนักบวชในพุทธศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เข้าใจพระศาสดาของตน ว่าท่านตรัสรู้อะไร? สอนอะไร? และเพื่ออะไร? พ่อท่านบอกว่าพุทธศาสนาเน้นสอนให้เข้าใจ ความเป็นมนุษย์และความเป็นสังคม ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า สังคม คือ “รูป” มนุษย์ คือ “นาม” สังคมเป็นภายนอกที่สะท้อนพฤติกรรมรวมของมนุษย์ที่เป็นภายใน มนุษย์ที่ปราศจาก “ศีล” ทำให้สังคมมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อผัสสะกับอุบายของทุนเฉโก แรงดูดของสังคมจึงสร้างภาวะทุกข์เข็นแก่มนุษย์ การจะกอบกู้สังคมให้กลับมามีศีลมีธรรมได้นั้น มนุษย์ต้องมีศีล มันเป็นดั่งธรรมนูญของความเป็นมนุษย์ที่ดี เฉกเช่นเดียวกับการดูแลเฝ้าระวังภัยให้แก่สังคม ก็คือหน้าที่หลักของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ธรรมะกับการเมือง จึงเป็นเรื่องเดียวกัน มนุษย์ดี ไปทำการเมืองให้ดี เศรษฐกิจสังคมก็จะดี เพราะคุณธรรมอันวิเศษของพระพุทธเจ้า จะนำมาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เนื่องในเทศกาลปีใหม่นี้ ขอมอบ ส.ค.ส. (ส่ง-ความ-สัตย์) เป็นสัทธรรมที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทความรู้จากพ่อท่านในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเปิดทางสู่อิสรเสรีภาพ แก่ท่านที่ยังไม่ถึงพร้อมด้วยทิฐิที่ถูกตรง ให้ปรากฏแสงอรุณในดวงเนตร จะได้เบิกทางเดินสู่มรรคองค์ ๘ จนสำเร็จสัมมาสมาธิของพุทธแท้ แล้วจะช่วยสร้างความร่มเย็นแก่สังคมได้จริง…… ความสัตย์แรก การนั่งหลับตาสมาธิ ที่เรียกว่า Meditation นั้น เป็นศาสตร์โบราณของศาสนาพราหมณ์ ที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ หลงผิดเสียเวลาไป ๖ ปี กับการเป็นฤาษี ผลที่ได้จากสมาธิแบบนี้ คือการมีสติจดจ่ออยู่เพียงในภวังค์ชั่วคราว ไม่ได้ลดกิเลสและความเห็นแก่ตัวลงแต่อย่างไร ส่วนการปฏิบัติสมาธิของพุทธ (Supra concentration) ตามที่พ่อท่านสอนนั้น คือไตรสิกขา ซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติศีลแบบลืมตาปกติ ควบคู่ไปกับสัมมาอริยมรรคจนจิตตั้งมั่นในศีลเป็นสัมมาสมาธิ จึงเกิดความรู้ใหม่ที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ผลที่ได้จากสมาธิพุทธ คือการมีสติ สัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม จิตตั้งมั่น ไม่ทำชั่ว ไม่เห็นแก่ตัว อย่างเป็นปกติ ในทุกปัจจุบันขณะ ความสัตย์ที่สอง เรื่องการไม่ยุ่งเกี่ยวกันระหว่างศาสนากับการเมืองนั้น….. โปรดทำความเข้าใจกันเสียใหม่ ! ศาสดาของทุกศาสนา คือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญทั้งสิ้น !!! ในศาสนาพุทธ….. พระพุทธเจ้าคือผู้เลิกทาส ทรงปลดแอกทาส ในสังคมที่มีรากเหง้าความเชื่อเรื่องชนชั้นวรรณะที่ฝังลึกที่สุดสังคมหนึ่งได้สำเร็จด้วยสันติวิธี โดยไม่เสียเลือดเนื้อ และทำให้เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆให้การยอมรับอย่างยินยอมพร้อมใจ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ พระพุทธเจ้าคือ สุดยอดนักการเมือง สุดยอดนักปฏิวัติ ที่สลายชนชั้นวรรณะ แล้วสถาปนาสังคมที่เท่าเทียมกันขึ้นมาใหม่ให้แก่หมู่คณะสงฆ์ของท่าน โดยนำระบบสาธารณะโภคี (ประชาธิปไตยที่แท้จริง) มาใช้ในการอยู่ร่วมกัน และด้วยการยอมรับอย่างเป็นทางการ ในที่ประชุมองค์สมัชชา ของสหประชาชาติ ครั้งที่ ๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ได้รับรองโดยฉันทามติ กำหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก……….เหตุผลคือ “ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ…….. นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์…… เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยใช้ความเป็นเหตุเป็นผล และไม่คิดค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ” ดังนั้นพระพุทธเจ้านี่แหละ…..คือสุดยอดนักประชาธิปไตยขนานแท้ มรรคผลของการปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ก็จะได้ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นเอง พ่อครูว่า…ดี ช่วยให้อาตมาเบาแรง การเมืองตอนนี้กำลังเข้าไคล ต้องช่วยกัน จะมีเลือกตั้งหรือไม่มีเลือกตั้งอาตมาไม่มีความลำบากใจ ที่จะ ไปออกก่อนเป็นอะไรเป็นอะไรก็ได้ อาตมามั่นใจว่าคนไทยชาวไทยสว่างแล้วระหว่างทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ แค่นี้แหละ ไม่ต้องเอาอะไรมาก ว่าใครเป็นนักผลาญใครเป็นนักสร้าง ทักษิณเป็นนักผลาญ ประยุทธ์เป็นนักสร้าง คนจะฉลาดหรือโง่ความจริงสรุบกันแค่นี้ มันมีทั้งหลักฐานในอดีตมีทั้งหลักฐานในปัจจุบัน เห็นได้ชัดอยู่แล้ว คนหนึ่งกอบกู้ขึ้นมาข้อหนึ่งทำให้ฉิบหายวายป่วงไปเท่าไหร่เห็นชัดๆอยู่แล้ว ถ้าอย่างนี้ยังดูไม่ออก ไปตายซะ ไม่รู้จะพูดภาษาอะไรแล้ว เวลาก็หมดลงอาตมาก็จบลงด้วยคำว่าไปตายซะเท่านั้นแหละ ส่งท้ายปีเก่าไปตายซะ ความโง่ที่มีอยู่ ปีใหม่ค่อยเอาความเจริญมาให้ Category: ศาสนาBy Samanasandin31 ธันวาคม 2018 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:611230_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 ชาวอโศกคือผู้หมดทุกข์ 5 ประการNextNext post:620101_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 พรปีใหม่ขับไล่อวิชชาจากพ่อครูRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024