620101_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 พรปีใหม่ขับไล่อวิชชาจากพ่อครู
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1NjnUuCbE6qAUJ7aKqXh-kto1ve0NoS-ZapTLP-eFbKs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1z9H2YBvIX4P7i5B5AeRDaXywSFjofJGV
พ่อครูว่า…อังคารที่ 1 มกราคม 2562 วันเวลาก็หมุนเวียนมาจนถึงวันปีใหม่ แรม 10 ค่ำเดือนอ้ายปีจอ วันที่ 1 แรม 10 ค่ำก็มีเลข 1 เดือนก็ 1 ก็นับหนึ่งใหม่ ปีจอก็เลข 11 ปีนี้ เริ่ม1 ใหม่
ก็ขออนุโมทนาสาธุกับทุกๆคน ที่พยายามนำชีวิตให้มันดำเนินไปกับทิศทางที่ควรจะเป็น ทิศทางชีวิตที่ควรจะเป็นคือทิศทางชีวิตที่ต้องพยายามหาสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่เจริญสำหรับจิตวิญญาณ ความรอบรู้ที่ควรจะใส่ ควรเติมให้แก่จิตวิญญาณให้แก่ความรู้ของเรา ในโลกมีแต่แสวงหาความรู้ที่เป็นความรู้เพิ่มอุปาทาน เพิ่มตัณหา เพิ่มภพชาติ มันก็เลยยิ่งเพิ่ม โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส เพราะเขาไม่รู้ เพราะความไม่รู้ก็เลยเพิ่มสิ่งที่ไม่ควรเพิ่ม ไม่รู้ว่าอวิชชา ความไม่รู้นี้ แต่รู้ว่าทุกอย่างมันคือสังขารปรุงแต่งอยู่กับเรา วินาทีแต่ละนาที แต่ละชั่วโมงแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปี มันก็ปรุงแต่งไปโดยไม่รู้สังขาร 3
กายกรรมปรุงแต่งกันขึ้นมาตั้งแต่เริ่มคิด ดำริ อะไรขึ้นมามันก็มีตัวอาการ มีกาม มีปฏิฆะ เข้าไปร่วมปรุง ปรุงขึ้นมา ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ จิตของเรามันปรุงอย่างไร จนมาเป็นสังกัปปะที่เรียกว่า มิจฉาสังกัปปะเพราะมันไม่รู้ว่าอวิชชา มันไม่มีวิธีการไม่รู้การเรียนรู้ศึกษา
ที่อาตมานำเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายพูดถึง ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ พูดไปถึงอย่างนี้ พวกเราฟังธรรม ระลึกถึงอาการ ระลึกถึงสภาวะ ของคำแต่ละคำ ตักกะ ระลึกถึงสภาพ แม้แต่ในปัจจุบัน ที่อาตมาพูดไป พวกเราได้กำหนดตามไหม ว่าตักกะ เราก็กำหนดตามในปัจจุบันนี้ วิตักกะ ก็หมายความว่าจิตของเราได้พิจารณาไต่ตรองลงไป
แต่คนที่เป็นอวิชชาไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาเลย วิตกวิจาร ดูพฤติกรรมของมันไม่ได้รู้เรื่อง ก็เลยไม่รู้ว่าเราตกลงแล้วจิตมันสังกัปปะ จิตมันปรุงแต่งขึ้นมา ด้วยการมีตัวแขกจร เป็นกิเลสกามก็ดี กิเลสพยาบาทก็ดีปรุงเข้าไปด้วยหรือไม่ สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ฝึกฝน
แต่พวกเรานี้ฟังเอาคำสอนพระพุทธเจ้าที่อาตมาอธิบายแล้ว เข้าไปสังวรสำรวม สังวรปธาน ปหานปธาน ได้สังวร เวลาเราสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีสัมผัส 6 ก็สังวร มันเกิดที่จิตแล้ว จิตเรามีกิเลสหรือยัง จิตเรามีกิเลสมาร่วมปรุงแต่งหรือไม่ถ้ามีเราก็ประหาร
สังวรปธาน ปหานปธาน ประหารให้เกิดผล พอปหานที่จิต นี่พูดรวบรัดเร็ว ประหารกิเลสในจิตเสร็จ ก็เป็นปหานปธานได้ผลเป็นภาวนาปธาน ภาวนาปธานคือการเกิดผล เกิดผลของการประหาร อยู่ในชีวิตประจำวันตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น กายสัมผัส แล้วเกิดกิเลสก็อ่านกิเลสออกประหารกิเลสได้ การประหารแบบสมถะ ซึ่งคนเราก็มีสามัญสมถะกดข่มไว้ ไม่ถาวร ไม่เจริญ ต้องประหารด้วยวิธีพิจารณา ด้วยการไตร่ตรองเรียนรู้ จนกระทั่งแยก เทวะ แยกสภาพสอง
เมื่อมันไม่รู้ตัวมันก็จะจับตัวกันเป็นสภาพ 2 กิเลสมาจับตัวปรุงแต่งในจิตอยู่ จิตเราก็มีกิเลสอยู่ ต้องแยกกิเลสออกได้ แล้วเราก็พิจารณาเห็นว่ามันเป็นกิเลส เอ็งไม่ใช่ของจริงหรอก อนัตตา เอ็งทำเป็นจะมายึดมั่นถือมั่นในตัวเรา แต่จริงๆเองก็ไม่แน่จริงหรอก กิเลสตัวใหม่ก็มาเราก็โง่ให้กิเลสตัวใหม่มาจับใหม่ ดีไม่ดีซ้อนเลย กิเลสตัวเก่ายังไม่ออกไปกิเลสตัวใหม่เข้ามาอีกซับซ้อน จริงๆแล้วไม่อยู่กับร่องกับรอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เที่ยงแท้อะไร แต่มันเป็นทุกข์มันเป็นเหตุแห่งทุกข์จริงๆ ตัวกิเลสนี้ นี่คือการรู้ไตรลักษณ์ ไม่ใช่ไปท่องเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแต่มันไม่เที่ยงแท้มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา มันไม่มีตัวตน แต่เราอ่านจิตเราเสมอ สัมผัสอะไรเกี่ยวข้องกับอะไรอยู่ เราก็สัมผัสเสมอ
นี่คือวิธีปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แล้วก็นิ่งให้สงบหยุด อันนั้นมันเก่า โบร่ำโบราณ เป็นคนโบราณฝึกมา แต่ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้มันเป็นของใหม่เป็นของประเสริฐวิเศษ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะคิดไม่ออก จะอธิบายสังกัปปะ อธิบายตรรกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วล้างกิเลสได้จิตก็ค่อยตกผลึกลงไปสะสม สะสมเข้าก็ควบแน่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ก็จะเป็นแกนของ 2 อัน
เป็นแกนสมถะกับแกนวิปัสสนา แกน Static กับ Dynamic ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นวจีสังขาร นี่คือองค์ธรรม 7 ของสังกัปปะ ผู้ที่ได้ศึกษาฝึกฝนอย่างที่อธิบายย่อๆวันนี้ เราปฏิบัติได้ละเอียดลออไป ได้มรรคได้ผล มีสังวรปธาน ประหารปธาน ภาวนาปธานได้ผลและก็รักษาผล อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมังไปเรื่อยๆ รู้ด้วยปัญญา ปัญญาพระโสดาบันรู้ว่าเราทำกิเลสลดได้และเราก็ทำ รักษาผล ปัญญาที่ 2 อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง
ปัญญาที่ 3 มันวิเศษนะ มันเป็นงานที่พระพุทธเจ้า ที่ได้พาทำ เป็นปุถุชนมันไม่รู้เรื่องหรอกมันไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน ก็เชื่อมั่นเห็นจริงว่าทฤษฎีนี้ เป็นอาริยะ ถ้าอาริยสาวก ของพระพุทธเจ้าสามารถที่จะทำได้ มีวิติกมกิเลสหายไป มีปริยุฏฐานที่ยังเห็นอยู่ นี่คือความเป็นพระโสดาบัน รู้จักสักกายะทิฐิ เท่านั้น พ้นวิจิกิจฉาไม่ได้สงสัยอะไร แล้วก็มีศีลพรต ที่จะปฏิบัติให้ลดละตรงนั้น จะเป็นหลักฐานของปฏิบัติ
ญาณ 7 จึงทำงานได้มีผล ตั้งแต่ข้อที่ 1 รู้จักกิเลสทำกิเลสลด วิติกมกิเลสลดได้แล้ว เป็นตัวอย่างที่เราทำผ่านมาแล้วที่มันกลุ้มรุมเร้า กิเลสตัวเก่าออกไปแล้วก็มีกิเลสตัวใหม่ที่ยังทำไม่ได้ ก็รู้ตัวนี้ ก็รู้ว่าอ๋อ การปฏิบัติอย่างนี้ มันมีกิเลสอยู่รู้กิเลสจริงทำให้กิเลสจางคลายลดลงไปได้จริง นี่คือความรู้ คือญาณ อธิบายไปอย่างนี้ใครเคยมีสภาวะบ้าง ผ่านสภาวะอย่างนี้ๆ
ใครมีบ้างยกมือซิ โอ้โห นี่สอบนะนี่ สอบปากเปล่าไง สอบสดๆเลย ดี พากเพียรปฏิบัติ อย่างนี้แหละเป็นการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไป น่าสงสารหลงผิดไป จนยึดถือกันอย่างนั้นทั่วบ้านทั่วเมือง กระแสหลักทั้งหมด ก็ยึดถืออย่างนี้หมด เป็นไปได้อย่างไร ในตำราพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ เพี้ยนไปได้อย่างไร นี่คือความเสื่อมของคน เสื่อมจากศาสนา เสื่อมจากธรรมะของพระศาสดา คำสอนก็อย่างเดิมแต่คนได้ผิดเพี้ยนไป
คำสอนธรรมะพุทธเจ้า มีศีลแล้วก็เจริญ อธิจิต ทำให้จิตมันลดกิเลสลงไปด้วยการเกิด ญาณ 7 มันชัดเจน ญาณที่ 1 ญาณที่ 2 รู้ความจริงก็ลดลงไปอีก ทำให้มันควบแน่น อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง คำขึ้นไปขึ้นไปก็ยิ่งชัดเจน อย่างนี้เองไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แต่มาทำอย่างนี้กำจัดกิเลสทำให้กิเลสลดละจางคลายอย่างนี้ เราก็ทำซ้ำซ้อนอย่างนี้ เป็นการทำตามลำดับมีศีลข้อที่ 1 เป็นต้น ก็สัมผัสกับสัตว์ เราก็เกิดจิต ไม่มีความมุ่งร้าย มีแต่ความหวังประโยชน์มีความเอ็นดูสัตว์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ก่อนนี้มันมาทำร้ายเรา เราฆ่ามันแน่ ดีไม่ดีเราจงใจเจตนาฆ่ามันเลย ฆ่ามันมากินเลย หรือฆ่ากินเล่นคะนองเลย นักฆ่ามือหนึ่ง แบกอาวุธใหญ่ล้มช้างได้ ถ้าเก่งก็ตัวต่อตัวสิเอาปืนไปทำไม มีปืนแรงร้ายมันก็ตายสิ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดสามารถที่จะเข้าใจอธิบาย ญาณ 7 ก็เข้าใจ
ญาณที่ 3 รู้ดีว่าเป็นสิ่งพิเศษไม่เหมือนใครเป็นของวิเศษ ลัทธิอื่นไม่มี ลัทธินี้แหละเป็นอาริยธรรม ลัทธินี้ชัดเจนกว่า ปัญญามันรู้ มันเห็นความแตกต่างมันมั่นใจเลยว่าอย่างที่เคยผ่านไปอย่างนี้ยังไม่ใช่
ญาณที่ 4 ผู้ที่สามารถที่กระทำได้ผ่านมาแล้วเป็นความรู้จริงแล้ว เป็นผู้ที่ได้ในตัวเองสามารถออกจากสิ่งที่ผิดพลาดไปเอาตัวเองออกจากอาบัติไม่ใช่แค่ปลงอาบัติสารภาพกราบแค่นั้น แต่ออกจากอาบัติหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นทุกข์ในปัจจุบัน ความเป็นสุขปฏิบัติได้แล้ว พอได้แล้วก็เหมือนกับเด็ก ที่เอามือหรือเอาเท้าไปถูกถ่านไฟเข้า เด็กไม่เป็นประสาก็นอนดิ้น เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงายเท้าถูกไฟเข้าก็ชักเท้าออก ไปทำผิดพลาดจากศีลจากสิ่งที่เราหลุดพ้นมาได้ไปเปื้อนมีกิเลสใหม่ ความสกปรกมาแตะเราเราก็จะรีบสลัดออก รู้จักคุณค่าความสะอาดของสิ่งที่เราได้กำจัดกิเลสออกไปได้ นี่คือ ญาณที่4 ที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่เป็นของจริง ชัดเจน ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน ปุถุชนนั้นไม่รู้เรื่อง พวกมิจฉาทิฏฐิก็ไม่รู้ไม่มีความจริงของญาณที่ 4 ว่าเราเดี๋ยวนี้มีหิริโอตัปปะมีคุณสมบัติของจรณะ
ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา นี่เป็นองค์ธรรมเรียกสัทธรรม 7 เกิดเชื่อถือเชื่อมั่นว่า วิธีนี้มันดีวิธีนี้ถูกต้อง วิธีนี้ได้ผลชัดเจน ก็เข้าใจก็ยึดถือ ถ้าเรามีความผิดพลาดก็จะมีจิตที่เป็นหิริ เราไม่เอาจริง ไปเปรอะเปื้อน ยังประมาทอยู่อีกก็ยิ่ง โอตตัปปะ
หิริแค่ละอาย โอตตัปปะกลัวเลย คุณธรรมอันสูงขึ้นไม่เอา ทางโลกเราจะไปทำอะไรอยู่ แต่ทางธรรมนี้เราได้สิ่งนี้ต้องรักษาความเจริญ รักษาความสะอาด รักษาความประเสริฐที่เราได้มาแล้ว คนมีสำนึกศรัทธา หิริ โอตัปปะ 3 อันนี้ก็จะเจริญขึ้นสูงขึ้น เรียกว่าพหูสูตร หรือพหุสุตโต ก็จะได้ชัดเจนเจริญงอกงามเพิ่มภูมิ ยิ่งเจริญยิ่งเจริญขึ้นเป็นพหูสูต
เสร็จแล้วเราก็เพิ่มเติมความอุตสาหะวิริยะ อารัมภวิริโย เพิ่มเติมสิ่งที่ทำได้ การเจริญสติอันเป็นอริยะ สติปัญญาเจริญก็ยิ่งอยู่เหนือโลกุตระไปเรื่อยๆ
คุณสมบัติ 1 ถึง 11 ก็จะมีความซ้อนที่เรียกว่าฌาน ฌานไม่ได้ไปนั่งทำสะกดจิต ฌาน ถึงพร้อมด้วยศีลสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ศรัทธา หิริโอตัปปะ พหูสูต พร้อมด้วยความเพียรมีสติปัญญา เจริญๆๆ สอดประสานช่วยกันขึ้นให้เราเจริญขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละคือความเจริญของพลังงานจิตที่เรียกวาฌาน คือพลังงานไฟที่มีฤทธิ์ เตวิชโช อุณหธาตุ มันสามารถที่จะไปสลาย ราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นพลังงานจริงๆ เป็นอุณหธาตุที่ไปสลาย ราคะโทสะโมหะ อย่างเป็นจริง
ฌานไม่ใช่การเพ่ง เป็นพลังงานความร้อนไม่ใช่พลังงานหยุดนิ่งแข็ง นี่คือ ความรู้ที่ผิดพลาดความเสื่อมจากสัจธรรมมันผิดพลาดหายไป อาตมานี้ยากๆ กลับมารื้อฟื้นความถูกต้องความจริงในวงการศาสนาพุทธที่เขาได้ทำบาปทั้งความเสื่อมทำความผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้าไปเรื่อยเปื่อย ก็มากอบกู้ขึ้น นี่อาตมาก็พูดวันนี้ขณะนี้วินาทีนี้ ก็คือคำพูดที่ได้สาธยายธรรมในวันปีใหม่
คนที่รู้สาระอย่างพวกเรานี้ ขออนุโมทนาสาธุด้วย ที่จะใช้เวลาใช้กาละ กาละมันก็เป็นของมันคนเราก็ทำกรรมในกาละ เอากรรมมาฟังธรรมร่วมสังคมสังสรรมาอยู่กับหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี แล้วก็มาสร้างฉันทะ แล้วก็มามีศีล มีศีลก็จะเรียนรู้ตัวอัตตา แล้วก็จะได้จัดการลดละอัตตาของเราไป ด้วยทิฏฐิความรู้ที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิของเราโดยไม่ประมาท แล้วก็ทำการโยนิโสมนสิการ ไม่ได้แปลว่าคิดเท่านั้น โยนิโสมนสิการแปลว่าทำ มนสิทำที่ใจนี้ ผู้ที่ทำใจได้อย่างถ่องแท้ โยนิโสแปลว่าถ่องแท้ถูกต้องแยบคาย แปลว่าลงไปถึงที่เกิด ลงไปถึงที่เกิดอะไร ที่ที่กิเลสเกิด เป็นหทยรูป แล้วเราก็แยกภาวรูปนี้ออกได้ เป็นธรรมะ 2 มีกิเลสเป็นอิตถีภาวะดิ้นด๊อกแด๊กอยู่ในจิตเป็นธรรมะ 2 ตัวที่เป็นกิเลสเป็นจิตเก๊จิตปลอมอยู่ในนี้ คุณก็จัดการเป็นรูปทั้งรูปเลย ตั้งแต่ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ผัสสะและเกิดภาวะ 2 ที่หทยรูป แล้วก็มีอาหารรูป ตรวจชีวิตรูป อะไรคือชีวิต กิเลสมันยังมีมันยังไม่ตาย กิเลสมันยังมีชีวชีวิตอยู่ อ่านกิเลสได้ กิเลสเป็นจิตนิยาม ชีวิตของกิเลสเหนือกว่าชีวิตของ พีชะ ไม่ใช่แค่อุตุเท่านั้น เราอ่านออก ตัวกิเลสนี้เป็นชีวิตินทรีย์ ก็จัดการมันมีอะไรเป็นอาหาร อ้อ อาหารของมันคือกามคือพยาบาท อาหารของเจ้ากิเลสมันมีชีวิตก็จัดการมันได้ กามหรือพยาบาท
จัดการปริเฉทรูป อย่างเป็นหมวดหมู่ จัดการปริเฉทรูป แล้วก็สามารถที่จะแยกแยะความเป็นตัวกิเลสที่มันปรุงแต่งอยู่ในนี้ได้ จับได้ตั้งแต่ข้างนอกที่สัมผัสทางกาย สัมผัสทางวจี เป็นวิญญัติ 2 ก็เอามาจัดการเกิดการสังเคราะห์สังขาร จับกิเลสได้ก็ประหารๆๆๆ ประหารได้ ล้างกิเลสได้ กิเลสลดลงๆๆ จนจิตมันสะอาดจิตว่าง จนจิตอยู่ในลักษณะ วิการรูป 5
จิตก็เบาสบายมี มุทุ ความเร็วไวคล่องแคล่ว ลหุตา ก็ทำงาน มีกรรมที่เกิดจากจิตลหุตา ว่างเบา ก็ทำงานอย่างมี อัญญา ปัญญาเข้าร่วมกับกรรม ก็เป็นผลงานออกมาเป็น กัมมัญญา เป็นการงานที่เหมาะควรดีงามทุกอย่าง เพราะเราได้ล้างกิเลสออก ก็มีจิตที่ ลหุตา มุทุตา ก็เกิด กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เกิดจากมโนคือจิตใจเรานั่นแหละ
อธิบายขยายความมันก็มีสภาวะ เรามีนะ มีอาการมีสภาวะพวกนี้ในจิตเรา ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสให้ท่องพยัญชนะได้เฉยๆ แต่เราเรียนรู้แล้วเราก็มีสภาวะ เราทำแล้วเราก็พอรู้พอเข้าใจ เห็นจริงมันมีสภาวะละเอียด ที่พูดนี้ละเอียดลออ เป็นอภิธรรมรูปต่างๆมันมีอยู่จริง สัมผัสพยัญชนะคืออะไรแล้วสภาวะคืออะไร มุทุตา ลหุตา กัมมัญญตาคืออะไร กายวิญญัติ วจีวิญญัติ รวมเป็น 5 วิการรูป เราก็ทำได้สำเร็จ จิตเราก็สามารถที่จะมี วสวัตตี มีอำนาจในทางจิต มีลักษณะรูป อีก 4 อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา จะให้เกิด อุปจยะ เราก็ให้เกิดอย่างไม่มีกิเลส หรือเราจะไม่ให้เกิดหยุดการสันตติไม่ต่อไป เราก็สามารถควบคุมได้มีวสวัตตี มีอำนาจเหนือจิตควบคุมจิตได้สัมผัสอะไร จิตกับเราจะให้มันเกิดก็ได้ไม่ให้มันเกิดก็ได้ควบคุมได้ ถ้าอวิชชา สัมผัสแล้วมันเกิดเลยคุณควบคุมไม่ได้ กิเลสกามกิเลสพยาบาท มันเกิด ปุ๊บๆๆ เลย ควบคุมไม่ได้
-
สัมผัสวัตถุข้างหน้าให้เกิดรู้ ถ้าเราไม่ใช้ ปสาทรูป โคจรรูป แต่ก็ไม่ใช้สติสัมปชัญญะไม่ใช้ปัญญากำหนดรู้ตามสัมผัสมันก็เฉยๆ เงียบๆอยู่ในจิต คนสะกดจิต แสงกระทบวัตถุเข้าตาแต่มันไม่เห็นอันนี้หรอก มันไปอยู่กับจิตปรุงแต่งเรื่องอะไรไม่รู้ เพ้อไปกับวิมานอะไร เอามือมาอย่างนี้ก็ไม่รู้เรื่อง แสดงว่าสัมปชัญญะ ไม่อยู่กับสายตา แต่คนที่ปฏิบัติธรรมก็อยู่กับสิ่งที่เป็นปสาทะ โคจระ สัมผัสอันนี้ก็รู้ว่ามันมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส เป็นภาวะรูป 2 ก็จัดการกิเลสเสียถ้ามี จัดการแล้วคุณก็ดูจนควบคุมได้จนกระทั่งไม่มีกิเลสอยู่เหนือ จะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด ถ้าไม่ให้เกิดจิตของเราก็จะค่อยๆเสื่อมไปชรตา เราก็หยุดเลยไปเลยมันก็จะสลาย อย่างเป็นพระอนาคามีเป็นต้นไป ปล่อยไปกิเลสก็สลายไปตามเวลา อันตระ อุปหัจจะ