620107_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 33
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/15ONmDCy7J1No7TOfrIMGgJACBDb5bcLBDJn7WWMgW18/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1w-S4ILfIhzz5lyxXyYnd4ys7sMusFVAy
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เลข 7 เป็นเลขสำคัญ เลขสัมประสิทธิ์ เลขที่เป็น Coefficient จะไปสู่ที่สูงที่สุดเรียกว่า นิยตะเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว ยิ่งชัดเจนแล้ว นิยตะ นี่ก็ให้ความรู้อีกนิดนึง
วันนี้รายการสำมะปี๋ แต่ก่อนที่จะเริ่มก็มีผู้เก็บข้อมูลมาว่า มีหนุ่มฝรั่งชี้ว่า
..ศาสนาพุทธเท่านั้นที่มี คำสอน ทั้ง 19 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจากศาสนาอื่นได้
1.พระพุทธศาสนา ปฏิเสธว่า มีผู้สร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้าม โลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา
2.พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก
3.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์เท่านั้น
4.พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร
5.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์ ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้
6.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ ตรงข้าม ทรงสอนให้ใช้ปัญญา พิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น
7.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็น และมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา
8.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน
9.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ
10.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ
11.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์ เป็นตัวอธิบายว่า เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด
พ่อครูว่า..อันนี้ลึกซึ้งมาก ถ้าคนไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีกรรมกิริยาประกอบกัน เป็นส่วนสองชิ้น ในมหาจักรวาลนี้ที่มีอะไรเกิดมาสองชิ้นแล้ว จะไม่แตกต่างกันเลย เป็นแต่เพียงไม่แตกต่างละเอียดมากจนคนแยกแยะไม่ได้ คนเราไม่สามารถแยก แม้วัตถุคนก็แยกไม่ได้ละเอียดเท่าสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่เสียง กลิ่น รส แสงต่างๆ ยังแยกสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ในบางแง่มุม
12.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท 10 และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ 10
พ่อครูว่า..นี่ก็ถูกต้องในโลกียะ เราก็ต้องมีจิตเมตตา เอ็นดูหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ต้องมีจิตที่มีพลังไปอย่างนี้กับสัตว์ทั้งปวงทุกภพทุกภูมิ
แต่ชั่วดีนั้นเป็นเพียงโลกียะ เพราะงั้นอาริยะบุคคลของพุทธจะต้องดีอย่างเดียวไม่ชั่วเลยเหมือนกันเป็นสิ่งที่เป็นสมบัติ ยังมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งที่สูงกว่าสมบัติ ได้เป็นกรรมกิริยาเท่านั้นเรียกว่าโลกุตระ อันนั้นต้องชัดเจนว่าสิ่งที่ชื่อว่ากิเลส คืออาการพลังงานทางจิต อันนี้ไว้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงมีตัวเอกที่เรียกว่า ปุญญะ หรือบุญ แล้วก็มีพลังงานที่ไม่ตกค้างเป็นสมบัติเลยเป็นพลังงานเกิดในปัจจุบันที่ผู้ใดมีภูมิธรรมสามารถสัมผัสปรุงแต่งขึ้นมาสร้างตอนนี้ได้ ระเบิดนิวเคลียร์ที่เรียกว่าบุญของพระพุทธเจ้า เกิดอย่างเป็นนามธรรมสร้างได้แล้วทำปฏิกิริยาใช้งานทันที แม้ใช้งานได้แล้ว สู้กิเลสไม่ได้ก็มี สู้กิเลสได้บางส่วนก็มี ทำให้กิเลสดับสูญได้หมดเกลี้ยงเลยก็มีจบ คุณก็หายไปเมื่อกิเลสหมด ตราบใดที่มีกิเลสบุญก็เอามาใช้ได้ บุญเกิดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้นและดับไปในปัจจุบัน
ความลึกซึ้งของคำว่าบุญไม่ใช่จะธรรมดา
ความหมายคำว่าบุญได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว บุญจึงกลายเป็นสมบัติไม่เป็นวิบัติ บุญเป็นเครื่องยนต์ที่จะสร้างสิ่งสะสม มันก็เลยคนละเรื่องคนละจุดหมายคนละหน้าที่กัน
13.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น
14.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา
พ่อครูว่า..ไม่ว่าจะสัตว์เซลล์เดียวหรือกี่เซลล์ก็ตามจะไม่ฆ่า จะฆ่าก็แต่พืช เพราะมันยังไม่มีกรรมไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ
15.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลสที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป
16.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่างๆ ขึ้นมา
17.การฝึกสมาธิ สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ
พ่อครูว่า..จริงใช้ศัพท์คำเดียวกันว่าสมาธิ เราก็พยายามจะแยกสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ แต่คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจฟังไม่ค่อยเชื่อ ก็ต้องมาศึกษาให้ดี
การเกิดย่อมมีดับ ไม่ใช่เกิดนิรันดร อยู่กับพระเจ้านิรันดร ก็คือผู้อยู่กับสวรรค์ แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่าสวรรค์ก็คือภพนรก ของศาสนาพุทธไม่จบที่ความยังมี สลายจิตวิญญาณของตนได้ สลายเป็นอุตุธาตุ แม้จะรวมตัวเป็นพีชธาตุก็ไม่ได้ สลายได้ ไปเป็นอุตุธาตุ
18.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา) หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน สรรพสิ่งในโลก จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน
19.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์ จึงต้องช่วยตนเอง เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ
~ เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่ ก็แสดงว่า มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา มากกว่าคนไทยที่อ้างว่า นับถือพระพุทธศาสนาเสียอีก ขอกราบคารวะ และ ขอชื่นชมด้วยใจจริง
เป็นบทความที่ดีค่ะ..ลองเรียนถามพ่อท่านสิคะว่า ข้อใดไม่ถูกต้องบ้างคะ..?? จาก สม.รินฟ้า
พ่อครูว่า…ทีนี้อีกอันหนึ่ง
_คนเคยเรียนที่ วสส. ชลบุรี ….(วสส.คือวิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร)
ทำไม? พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเตรียมอาหารไว้ถวายพระภิกษุที่จะมารับบิณฑบาตวันละ ๕๐๐ รูป แต่มิมีการส่ง Line สื่อสารกันเหมือนในปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างลืมเตือนกัน ทำให้ภิกษุลดจำนวนลงเรื่อย ๆ จนเหลือแต่พระอานนท์(ซึ่งยังมิสำเร็จอรหันต์ในขณะนั้น) รูปเดียว เนื่องจากปกติ พระภิกษุเหล่านั้นไปรับบิณฑบาตที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือบ้านของนางวิสาขา เป็นประจำทุกวัน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพิโรธพระภิกษุว่ารับนิมนต์แล้วไม่มา จึงเสด็จไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงติเตียนภิกษุ ฯลฯ แสดงว่า การไม่รับบิณฑบาตก็ได้ มิผิดศีลอันใดหรือเปล่าครับ?
พ่อครูว่า…ไม่ได้ผิดศีล ไม่ได้บิณฑบาตตามอาราธนาก็ไม่ผิดศีล
_สมเด็จโตที่ว่าปราบแม่นาค เป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นพระอรหันต์ไหมครับ เป็นระดับไหนครับ
พ่อครูว่า…ในหนัง หลวงปู่ไม่รู้จักนิทานเรื่องนี้ด้วย ไม่รู้ชาดกเรื่องนี้ด้วยก็ตอบไม่ได้ สมเด็จโตที่ว่าตอแหล
_นิพพานไม่ใช่อยู่ที่ดีหรือชั่ว แต่นิพพานอยู่ที่ถูกหรือผิด เรื่องดีชั่วถูกผิดเป็นเรื่องสมมติของชาวโลกสมมติสัจจะ เราเป็นคนหนึ่งของชาวโลก โลกเขาสมมติว่าอันนี้เป็นเรื่องถูกหรือผิดอันนี้ดีหรือชั่วเราก็อนุโลมตามเขา แต่สุขทุกข์นั้นเป็นปรมัตถ์ มันจิตของเราเป็นเอง มันไม่ใช่เรื่องของวัตถุโลก ไม่ใช่เรื่องขององค์ประกอบสังขารโลก มันเป็นสังขารจิตของเรา สุข ทุกข์ ทำให้สามารถพิจารณาถึงความยึดถือของตัวเองในความสุขทุกข์นั้น เหมือนจับโจรได้ ทำให้อาการ หวื่อ(ภาษาอีสาน)จะขึ้นลงของอารมณ์ จะหาถูกผิดตามอารมณ์ลดลงได้ค่ะ
พ่อครูว่า…สุขทุกข์ เป็นเรื่องเวทนาส่วนตนคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ของตนเองแท้ๆเป็นปัจจัตตัง ที่ตนเองจะต้องชัดเจน
_น้ำมนต์..static กับ dynamic แตกต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า…หลวงปู่จะอธิบายให้น้ำมนต์เข้าใจอย่างไรดี
ถ้าน้ำมนต์บอกว่าจะเอาอันนี้ให้ได้ๆจะต้องเอาอันนี้ให้ได้ ไม่ได้ไม่ยอม ก็จะเจ็บปวดใจนี่คือ static ไม่ชอบใจจะต้องร้องไห้นี่คือ Static แต่ถ้าเผื่อว่าจะเอาอันนี้ให้ได้ แม่ก็บอกว่าอันนี้ไม่ได้หรอก อันนี้คนเขาต้องใช้ เราก็ยอม ไม่ต้องเอา ยอม อย่างนี้เป็น Dynamic แต่ถ้าจะเอาให้ได้ไม่ยอม ร้องไห้เจ็บปวดอยู่อย่างนั้นอย่างนี้เป็น static เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าบอกว่า มีเหตุผล สลายให้คนอื่นได้อยู่แล้วเราไม่เอาได้ก็จบ อย่างนี้คือ Dynamic ไม่ยึดมั่นถือมั่น โอ้ เข้าท่าเหมือนกันนะ ผู้ใหญ่ได้ประโยชน์ไปตามไหมนี่
เพราะฉะนั้นผู้ยอมแพ้ผู้ให้เขาเสีย จะไปยึดถือเป็นเราเป็นของเรา นี่แหละคือ Dynamic ถ้ายึดถือเป็นเราเป็นของเราอยู่ก็คือ static ชัดขึ้นนะดีจังเลย น้ำมนต์ทำให้เกิดพยัญชนะเกิดสภาวะ ขยายให้คนอื่นเข้ารู้สภาวะ เทวะ ขึ้นไปอีก
_สิริมา…คุณเอนก เขาเขียนสารคดี วิเคราะห์เรื่องนี้ว่าตัวแม่นาคอยู่ที่พระโขนงมีจริง จะตายแล้วจะกลายเป็นผีไปหลอกใครไม่มีจริง คนที่ยืนยันคือลูกของนางนาคจริง แม่เขาไม่เคยไปหลอกใคร คนสร้างเรื่องขึ้นมาเอง เป็นงานเขียนที่เขาค้นคว้ามา ไปสัมภาษณ์ลูกนางนากเลย แม่เขาตายแล้วเขาก็จับคนมารื้อฟื้นขึ้นมาเอง ตกลงแม่นาคที่เป็นผีไม่มี
พ่อครูว่า…ตกลงคนที่ไปสร้างเรื่องคือผีหลอกคนหลอกเป็นเรื่องเป็นราวหาเงินได้เป็นล้านเลยนั่นคือผี ส่วนตัวแม่นาคตัวเขานั้นไม่เป็นผี แม้แต่ลูกเขาก็ยืนยันว่าแม่เขาไม่ใช่ผีแม่เขาตายแล้วก็เลิกแล้ว คนที่ยังยึดมั่นถือมั่นมีวิญญาณไปหลอกคนนั้นคนนี้นั้นเขาเป็นผีหลอก
_พระอรหันต์หลายรูปไม่มาเกิด แม้ว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกไว้
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าไม่ได้ระบุว่าองค์นี้มาเกิดหรือไม่ ยกตัวอย่างพระสารีบุตรมาเกิดในยุคพระพุทธเจ้าเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา แล้วพระสารีบุตรจะได้เกิดกับพระพุทธเจ้ามาก่อนที่จะเป็นพระสารีบุตรหรือไม่ ได้สั่งสมบารมีร่วมกันหรือเปล่าก็สั่งสมมาตั้งเยอะแยะแต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอก ท่านไม่ได้ตรัสบอกไว้
คนที่บอกว่าพระอรหันต์ไม่มาเกิดอีกเป็นพวกอุจเฉททิฏฐิ เขายึดถือว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญ อันนี้เป็นนัยยะซับซ้อนที่เป็นสิริมหามายา
อรหันต์ที่ตายแล้วตั้งจิตไม่เกิด สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อปณิหิตตนิพพาน นิพพาน 3 นี้สูญเลย แต่ถ้านิพพาน ยังตั้งปณิหิตตะ ตั้งพุทธภูมิ ตั้งไว้ว่าจะไปสร้างบารมีต่อ ก็แล้วแต่สิทธิของท่าน ท่านจะมีจุดหมายเจตนาอะไรของท่านก็แล้วแต่ ท่านอยากจะไปเกิดเรื่องนี้ยังข้องใจอยากจะไปรู้ ดีไม่ดีไปเกิดเป็นสัตว์บางชนิด เพราะว่ามันยังไม่แน่ใจ อยากจะรู้จริงว่ามันเป็นอย่างไรก็ไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นอีกทีก่อนตาย ก่อนปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะต่อไปอีกก็เป็นเรื่องของท่าน เรื่องตายเรื่องเกิดเป็นเรื่องส่วนตัวปัจจัตตังเป็นเรื่องของท่านจะตายหรือเกิดก็เรื่องของท่านสุดยอดเลย ใครจะไปละลาบละล้วงส่วนตัวของอรหันต์แต่ละองค์ไม่ได้ ท่านจะทำอย่างไรจะสูญเลยหรือไม่เกิดอีก เป็นแต่เพียงว่าท่านรู้จัก ลักษณะสุดยอด ของลักษณะ 4
อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
ท่านไม่อุปจยะ อีกเลย ท่านตัดสันตติ ไม่ต่อ อุปจยะไม่มี แม้แต่ชรตา อนิจจตาก็ไม่มี ถ้าต่อไปแต่ไม่พยายามเพิ่ม ไม่สร้างสัมประสิทธิ์ต่อ มันก็ ชรตา เป็นโมเมนตัมสูญหายไป
แต่กระนั้นยังมีอนิจจตาได้อีก ฮึด สร้างสัมประสิทธิ์ขึ้นในวาระใดก็เพิ่มขึ้นมาอีกต่อก็ได้ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่สุดท้าย เส้นทางเปิด ปลายเปิดให้ชรตากับอนิจจตา
_หลวงปู่ครับพระถังซัมจังเป็นอรหันต์ไหมครับ แล้วซุนหงอคงเป็นอรหันต์ไหมครับ
พ่อครูว่า…หลวงปู่ไม่ไปพยากรณ์องค์ไหนไม่ว่าจะเป็นพระถังซัมจั๋งหรือคุณซุนหงอคง ตามนิยายตำนานจีน เราศึกษาเอาข้อที่พระถังซัมจั๋งไปเอาคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วก็เก็บรวบรวมเผยแพร่ให้ศึกษา เอาอันนั้นสิ พระถังซัมจั๋งจะเป็นอย่างไร ซุนหงอคงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปละลาบละล้วงท่าน
ถ้าจะให้อาตมาพูดให้ฟัง มันมีลักษณะหลายอย่าง ตือโป๊ยก่ายก็ตามซุนหงอคงก็ตาม
คนว่าตือโป๊ยก่ายกับซุนหงอคง อาตมาคนจะเป็นอะไร …ซุนหงอคง ลักษณะต่างๆ เราไม่ต้องติดใจในตัวตนบุคคลเราเขา นามนั้นสำคัญไฉน ไม่ต้องติดใจอะไรพวกนั้นมากมาย เป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ถ้าคุณมีข้อมูลหลักฐานพอก็จะรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคุณไม่มีข้อมูลหลักฐาน แต่ธรรมะนัยยะสำคัญมันลงกันตรงกันอย่างนี้อย่างนี้ คนนี้เป็นสายพระโมคคัลลานะ คนนี้มาสายพระสารีบุตร ก็มีสายศรัทธากับสายปัญญา มีเทวะ 2 สายเป็นหลัก กับอีกหลักหนึ่งก็คือ วิตกจริต สายนี้มั่วเลยวนไปวนมายาวนาน กว่าจะบรรลุธรรมสับสนไปมาไม่เรียงตามลำดับ ถ้าเรียงตามลำดับ คุณไม่ต้องสลับไปสลับมา
ยกตัวอย่างคุณจะเดินทางจากที่นี่ไปประเทศอะไรก็แล้วแต่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง คุณตั้งต้นออกจากทิศนี้ก็ตาม ถ้าตั้งใจจริงแม้ว่าไปทิศนี้มันจะอยู่ตรงนี้มันก็ต้องถึงเร็ว ถ้าคุณไม่เหลาะแหละ ถ้าตั้งทิศทางถูกมันอยู่ตรงนี้คุณไปทางนี้ก็จะถูก ไปทางอีกทางก็จะยาวมากจะเสียเวลามากแต่ก็ถึง แต่ถ้าคุณไปแล้วบอกว่าไม่ใช่แล้วกลับไปกลับมาอีก นี่แหละ ดีไม่ดีวนกลับไปกลับมา แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงเสียทีเสียเวลา นี่คือลักษณะวิตกจริต ถ้าปัญญาตรงมุ่งมั่นไม่ยึกยักก็จะเร็ว แต่ถ้ายึกยักก็จะช้าทั้งคู่
_ตามตะวัน…ในหนังสือคนจนที่มีแบบหน้าที่ 100 คำว่า พ้นอันตคาหิกทิฏฐิ 10 หมายความว่าอย่างไร
พ่อครูว่า…ค่อยติดตามฟังในอันตคาหิกทิฏฐิ 10 ที่ว่าโลกนี้มีโลกนี้ไม่มี โลกนี้ใช่หรือไม่ใช่ ชีวะมีหรือไม่มี โลกมีที่สุดหรือโลกไม่มีที่สุด โลกมีที่สุดก็มิใช่ โลกไม่มีที่สุดก็มิใช้ เทียบพยัญชนะ คนที่ไม่เข้าใจก็จะงงแล้ว ความจบในที่สุดของความเป็นโลกที่จะรู้จบความเป็นโลก หรือความไม่มีโลกไม่ใช่โลก คุณจะรู้จบคุณถึงจะรู้จบ คุณยังไม่รู้จบมันก็จะไม่จบ ความเป็นชีพความเป็นชีวะ สรีระก็อย่างหนึ่งอัตตาก็อย่างหนึ่งอะไรอย่างนี้
จะรู้โลก ความเข้าใจที่จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเช่น โลกคือความหมุน เริ่มมีสามเส้า หากมีสองเส้าหมุนไม่ได้เรียกว่าระนาบแม้จะออกมีองศา ถ้าเผื่อว่าไม่ถึง 3 มีแค่ 2 ไปอีกก็หมุนไม่ได้ เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสหมุนไม่ได้ มันจะมีมุม จนกว่ามุมคุณจะหมด เมื่อมุมของคุณลดลงคุณก็จะโค้ง ถ้าองศาของมุมเกิดนิดหนึ่งก็โค้งออกไปไกลเลย ถ้าองศาน้อยมากก็จะเป็นวงรีมาก องศาของคุณเล็ก เมื่อองศาของคุณใหญ่ขึ้นวงรีของคุณก็จะกว้างขึ้น หรือไม่ตรงสนิทก็ตาม ก็จะมาหากลม จะรู้แม้แต่คำว่าโลกแม้เล็กน้อย โลกวงรี โลกวงกลม ไม่ใช่เล่นๆ
เทวนิยม อย่างตัวเลขอารบิกมีแต่เป็นเส้น 1 2 3 4 5 เลข 5 จะมีความโค้งมากขึ้นเลข 6 จะมีความโค้งมากขึ้นเลข 7กลับไปมีเหลี่ยม 8 ก็จะมีความโค้งเมื่อถึง 9 ก็ชักจะมี 2 ความโค้งบรรจบกัน แต่ถึงกระนั้น เลขอารบิก เลข 9 ก็ยังรี
แต่ ของอเทวนิยมของเอเชียเลข ๑ มีจุดแล้วก็หมุน กลม ๒ ก็มีอะไรมาคั่นยัก แต่ที่จริง ๒ ต้องเขียนมนๆ ทางเทวนิยมจะแยกมาหาความวนไม่ค่อยได้ มันจึงช้ากว่าจะรู้จักวัฏสงสาร
_ถ้าเรากลัวอะไรเกินไป จะทำอะไรไม่สำเร็จถูกต้องไหม
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_อยากเรียนถามว่าพ่อท่าน มีโครงการจะสร้างสะพานที่มีความโค้งตรงไหนบ้างคะ ลูกอยากให้มีสะพานพอให้คนหรือรถจักรยานผ่านได้ตรงที่แถวบ้านคุณซึ้งบุญ
พ่อครูว่า…อาตมาระงับตนเองแแล้วนะ เมื่อจะสร้างแล้วก็เมื่อยเพราะคนจะช่วยสร้างหายาก อาตมาก็มีบารมีน้อย ไม่มีนิสัยจะไปรับบริจาคหาเงินโฆษณาอะไร มันก็เลยจะช้าก็เลยไม่อยากทำ ถ้าใครคิดว่าจะมาช่วยสร้างก็มา ตั้งคณะมา หา budget มา ตั้งคณะมา อาตมาก็จะได้ดูด้วย เอาแบบมาดู
อาตมาพยายาม เอาพลังงานมาใช้อธิบาย รวบรวมข้อมูลสาธยายทำให้มากขึ้น เรื่องสร้างนี้อาตมาว่าบ้านราช ขณะนี้เอาเถอะ มันจะไม่วิจิตรพิลึกพิลั่น คือ ถ้าใครที่รู้จักตำนานชาดก พระโพธิสัตว์ทุกองค์ จะสร้างวัตถุ จะเป็นสถาปัตยกรรม จะเป็นปฏิมากรรม ซึ่งมันจะอยู่นาน แม้แต่จะเป็นจิตรกรรมก็จะมีอยู่บ้าง แต่มันจะไม่นานเท่ากับปฏิมากรรมกับสถาปัตยกรรม เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ ที่ท่านยึดมั่นถือมั่น จะต้องสร้างวัตถุเหล่านั้นไว้ว่าเป็นหลักฐานว่าฉันเป็นโพธิสัตว์มาเกิดในยุคนี้ๆ ท่านก็ทำ แต่อาตมาผ่านมาแล้ว อาตมาจะไม่ไปสร้างนครวัดนครธม แม้แต่จะสร้างนารายณ์บรรทมสินธุ์ก็จะไม่สร้าง สร้างวัตถุเป็นภาพวาดภาพเขียนอะไร บอกแล้วว่าภาพเขียนยิ่งไม่นาน แต่ก็ยังมีอยู่ในถ้ำต่างๆก็ยังมีอยู่ในผาแต้มก็ยังมี ทางตะวันตกเขาก็มี อาตมาก็ไม่เอาแค่นั้นไม่ทำแล้ว ชีวิตนี้เรียนจิตรกรรมมาโดยตรง แต่ว่าอาตมามีงานจิตรกรรมหรืออยู่ชิ้นเดียวที่คนค้นพบ นอกนั้นสูญหายไปหมด
ที่เขา copy มาด้วย ต้นฉบับก็ไม่มีแล้ว ชื่อภาพนี้ว่า จะสิ้นโลกแล้วฤา ภาพนี้จะเน่าแหล่ไม่เน่าแหล่ แต่ทำสีที่เกือบเน่าแต่ไม่เน่านี้เก่ง จนกระทั่งเกิดสีสดใสสีเขียวมีชีวิตอยู่ ต้นไม้ใหญ่เหลือแต่กิ่งแห้ง เหลือยาสีเขียวอยู่นิดหน่อย กับกวางคู่สองตัวเท่านั้น จะสิ้นโลกแล้วฤา คนก็จะคิดยาก จะฟื้นโลกได้ยากหรือ จะถึงยุคไฟบรรลัยกัลป์แล้วหรือ
งานปั้นก็ออกแบบพระพุทธรูป 3 ปาง คือ พระพุทธาภิธรรมนิมิต สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา และองค์สมานัตตตา หรือองค์ปรองดอง แต่อาตมาไม่ได้เป็นผู้ปั้นเองคุณแสงศิลป์เป็นผู้ปั้น คนนี้ก็ประหลาดเรียนทางจิตรกรรมมา แต่มาเอาดีทางการปั้น ทั้งการเขียนก็เขียนได้ดี
ทางเข้าสู่บ้านราชฯมีน้อย หากสร้างสะพานข้ามเพิ่มได้ก็ดี ใครจะมีทุนรอนเรี่ยวแรงสร้างก็ได้ คนที่จะมาช่วยตอนนี้อาตมาอยากจะให้ช่วยสร้างเรือ ซึ่งมีทั้งเรือในน้ำและเรือบนบก
เรือบนบกคือรูปร่างเรือ แต่เอามาทำเป็นเรือนบนบก เราเรียกว่าเรือนเรือ แต่ในน้ำเราเรียกว่า เรือเรือน
เรือนเรือที่อาศัยคือ เป็นโครงสร้างของเรือ มีโครงเหล็กอยู่ข้างในยึดบ้าง อาศัยอยู่เหมือนบ้าน ถ้าสองชั้น ข้างล่างเราก็ปั้นเหมือนเรือตั้งบนก้อนหินใหญ่ อาตมาก็เลยเรียกเรือนนี้ว่า stone house เรียกภาษาแสลงอีสานว่า สิโตนเฮ้าส์
ก็ทำได้มาสองหลัง อันแรกคือที่อาจารย์เป็นต้นพักอยู่ ยังมีอีกหลายอันที่จะทำ คนที่ปั้นคือ นายพลังจิต กับนายพลังกาย พี่น้องสองคนจบมหาวิทยาลัยศิลปากรทั้งคู่ เรียนมาทางเขียนจิตรกรรม แต่ก็เสร็จแล้วมาทำการปั้น ก็ว่าจะให้ทำ stone house สิโตนเฮาส์ ใครจะมาช่วย 2 คนนี้ทำก็เชิญเลย ที่ปั้นช้างฮิปโป เต่า ก็ฝีมือสองคนนี้ เตาที่โรงครัวก็เช่นกัน
คือเราจะปิดทางเข้าที่หน้าแก้งสะโพ รถไม่ให้เข้า เพื่อให้น้ำผ่านให้ดี คนจะเล่นน้ำได้ทั่ว เพราะรถผ่านไปมา ถ้าทำได้จะเป็นแก้งสะโพ ที่กว้าง น้ำไหลไม่ต้องกังวลกับรถผ่าน เป็นที่คนเท่านั้นที่จะเดินผ่านได้
_ผมจะทานอาหารธรรมชาติไม่ปรุงแต่งทุกวันพระ แต่หลวงปู่เชื่อไหมครับ ว่า งานวันเด็ก มันตรงกับวันพระพอดีเลยล่ะครับ เหมือนสวรรค์จงใจกลั่นแกล้งเลยนะครับ ผมเคยปรึกษาเรื่องทำนองนี้กับสมณะรูปหนึ่ง ท่านเมตตาบอกว่า “จะกินก็ได้ แต่ลองเคี้ยวสัก 30 ครั้ง ถ้ามันยังอร่อยอีก ก็เอาอีกสัก 50 ครั้ง อะไรอีกไหม ถ้ายังอร่อยอีกก็เอา 100 ครั้ง เด็กบอกใช่เลย เคี้ยวจนเป็นน้ำ จะไม่อร่อย ผมก็รู้ว่ามันดีแต่ถ้างานวันเด็กผมตักขนมอร่อยมาคงจะเคี้ยว 30 ครั้งแน่เลย งานวันเด็กวันนี้ผมจะเสียใจทั้งชีวิตเลยทำอย่างไรดี
พ่อครูว่า…ดีเอาเลย สวรรค์แกล้งจะได้ฝึกฝน อาตมาเคยบอก คุณเคี้ยวแล้วคายใส่มือแล้วเอามาดู แล้วเอาใส่ปากไปเคี้ยวใหม่ เคี้ยวไปแล้วก็คายออกมาดู คุณจะทำได้กี่ครั้ง มันก็แหลกไปตามที่เราเคี้ยวบางทีบอกว่ามันเหมือนกับอาเจียนเลย มันก็ไม่ได้ไปไหน ถ้ามือคุณสะอาดมันก็สะอาดอยู่ดี หรือคุณจะบ้วนใส่ช้อนใส่ชามก็ได้ มันก็ไม่มีอะไรนี่ ยังไม่เลอะเทอะอะไร แต่คุณบอกว่ายังเหมือนกับอาเจียนรากหมูรากหมา มันไม่ใช่หรอกนี่มันคืออาหารที่คุณเคี้ยวให้แหลกแล้วเอามาผสมกับน้ำลายเท่านั้นเอง
ก็อดทนหน่อยสู้ๆหน่อย นี่เป็นการฝึกฝน เด็กๆพวกเราก็ได้ฝึกฝนเพราะนี่เป็นสัจธรรม นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมของพุทธ ให้พิจารณา ลดโลกียะ ลดอัสสาทะ ต่างๆ
_สม.กล้าข้ามฝัน..ญาติธรรมหลายคนบอกว่า เข้ามาบ้านราชฯแล้วเกิดความทุกข์ เหตุเพราะว่า เขาได้มาฟังธรรมต่อหน้าพ่อครูแล้วเห็นงานมีมากมายคนมาเยอะเขาก็อยากมาอยู่ แต่ว่าไม่กล้าจะมาอยู่ เกรงใจเพื่อนสหธัมมิกที่อยู่ที่เดิม ที่เดิมก็มีคนอยู่จะทิ้งเขามาได้อย่างไร เขาก็รู้สึกว่าดีถ้าได้มาฟังธรรมใกล้ๆ แต่ว่าเกรงใจมิตรดีสหายดีก็เลยเกิดความทุกข์ แล้วเป็นอย่างนี้หลายคน ดิฉันถามว่าอะไรดีกว่าเขาก็บอกว่ามาแล้วก็ดีกว่าแต่ว่าตัดใจไม่ได้ ดิฉันก็ไม่กล้าพูดว่ามาเถอะเพราะเกรงใจเหมือนกัน เขารู้สึกว่าทุกคนดึงเขาไว้
พ่อครูว่า…ปัญหานี้เคยตอบมาหลายคนแล้วให้พิจารณาอย่างนี้ ที่คุณอยู่ด้วยนี้ ถ้าคุณมาแล้วเขาอยู่รอดไหม หนึ่ง พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายที่คุณจะต้องรับผิดชอบเป็นทีละคน หรือคนนอก คนนอกคุณจะไปรับผิดชอบอะไรมากมาย แต่ถ้าในแหล่งปฏิบัติธรรมของเรา คุณจะไปดูถูกเขาว่าคุณมาแล้วคุณก็มี อัตตา หากขาดเราแล้วเขาจะแย่ อย่างนั้นเลยหรือ ไม่เป็นอย่างนั้นกระมัง คุณก็ต้องดูความจริงว่าแข็งแรงขนาดนี้อยู่ได้อย่าไปอ่อนแอเกินไป พึ่งพาตนเองได้ขนาดนี้แล้ว เขาก็ต้องพึ่งตัวเองได้แล้ว คุณก็มา ถ้ามาแล้วคุณเห็นมุมที่ดีที่จะก้าวหน้า ก็เอาตัวเองให้รอดก่อน นี่คือความเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านที่เราจะต้องพิจารณาอย่างซับซ้อนลึกซึ้ง ความเป็นประโยชน์คือเอาตัวเองให้รอดก่อน ถ้าไม่ถึงที่สุดแห่งตัวเองแล้วคุณต้องให้ตัวเองรอด พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก สั้นๆกระทัดรัดชัดเจน
เปรียบตนเองคือเรายังเป็นลูกผีลูกคนยังไม่บรรลุสูงสุด แต่เราเป็นห่วงคนอื่นแล้วเมื่อไหร่เราจะได้บรรลุ คุณต้องเอาประโยชน์ตนให้มีกำลังให้มีสิ่งที่ได้จบจนหมดกิจของตัวเองคุณจะช่วยคนอื่นได้เยอะเลย แต่ถ้าเอาตัวเองไม่รอด ตัวเองก็ยังไม่รอดก็ดึงกันไปดึงกันมาแล้วเมื่อไหร่มันจะได้ ตายหมู่ เอาตนเองให้รอด แล้วจะได้ช่วยคนอื่นต่อ
ไปพิจารณา อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก
จำคำนี้ไว้ แล้วจะไม่ขัดแย้งกับคำว่าอัตตาหิอัตโนนาโถ โกหินาโถปโรสิยา ตนเองพึ่งตนเองได้เท่านั้นนอกจากตนเองแล้วจะพึ่งใครอื่นเขาได้
ถ้าตนบรรลุแล้ว ในศาสนาพุทธมีสภาพอนุโลมปฏิโลม คนศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้วหมดตัวหมดตนไม่ใช่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน แต่จะยิ่งเห็นแก่ผู้อื่นตั้งแต่เป็นพระโสดาบันก็เห็นประโยชน์ต่อผู้อื่น สกิทาคามีก็หมดตัวตนไปเรื่อยๆเห็นแก่ผู้อื่นไปเรื่อยๆ อนาคามีก็ยิ่งหมดตัวตนในโลกที่หยาบแล้ว เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นมาก พระอนาคามีจะทำงานเยอะ
_ภาคใต้ ได้โดนพายุปาบึกอย่างหนัก แล้วกองทัพธรรมจะไปช่วยไหมครับ
พ่อครูว่า…ตอนนี้มีทางรัฐบาลไปช่วยอย่างดีแล้ว งานเราก็มีเยอะเราก็เลยไม่ได้ไปทำ เราเคยไปช่วยในกรณีน้ำท่วมหรือสึนามิ สนุกเลย ตอนนั้นเราไปตั้ง 700 กว่าคน สนุก ขนกันเละเทะเลย คนก็หมดท่าหมดแรงเลย แต่ละคนก็น่าสงสาร
น้ำใจที่เห็นแก่ผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นกำลังหุ้นขึ้นอย่างไม่เตี้ยอุ้มค่อม ต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้ก่อน อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก
_ทำไมหลวงปู่ถึงเลือกทำหนังสือคนจนแต่ไม่ทำหนังสือสัจจะคะ
พ่อครูว่า…
_ข้อด้อย 10 ข้อของหลวงปู่มีอะไรบ้างคะ (ไว้ตอบในรายการ)
_ทำอย่างไรถึงจะทำ จิตในจิตได้อย่างไร
พ่อครูว่า…การทำจิตในจิตภาษาบาลีเรียกว่ามนสิการ ต้องทำให้โยนิโสฯ ให้ถึงที่เกิดให้ถ่องแท้แยบคายละเอียดลออไปถึงที่เกิดแท้ แล้วทำให้กิเลสภายในตรงที่มันเกิด ตัวไหนที่มันเกิดแล้วเราจะให้ตายก็ต้องแยกให้ละเอียด ตัวนี้แหละจะให้มันตาย ไม่ใช่ไปทำให้จิตวิญญาณของเราตาย เนื้อแท้จิตวิญญาณไปทำให้ตาย ไม่ใช่ ต้องทำอาคันตุเก แขกจรให้ตายไป ไม่ใช่จิตเดิมแท้เราตาย เราให้ตัวปลอมที่มาในจิตเราตาย
_หลวงปู่มั่นหรือหลวงปู่ชาเป็นพระอาริยะระดับใด
พ่อครูว่า..ก็ยังพูดได้ว่าทั้งสององค์เป็นความหนักไปทางเทวนิยม หนักไปทางนั่งหลับตายังมีเทวนิยมอยู่หนัก ผู้ที่ชัดเจนแล้ว แม้จะมีสัมมาทิฏฐิว่าการนั่งหลับตาไม่ใช่ มันยังมีเชื้อติดการนั่งหลับตาเลย ไปถามท่านเสียงศีลเลย องค์อื่นก็มี ยังติดนั่งหลับตาอยู่ เพราะฉะนั้นจะต้องมีสัมมาทิฏฐิที่ชัดเจนเพียงพอ ถ้าเข้าใจให้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ
ผู้ไม่นั่งหลับตาเลยก็บรรลุอรหันต์ได้ เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาจะใช้อะไรบ้าง
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
_จะทำตัวอย่างไรกรณีเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
พ่อครูว่า…เช่นเราอยู่ในร่างผู้หญิงจะทำเป็นแข็งแรงบึกบึน หรือรูปร่างเป็นผู้ชายจะทำตัวเป็นอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงได้อย่างไร ก็ต้องทำให้พอเหมาะสมควรได้สัดส่วน อันนี้ก็ไม่รู้จะไปให้ตายตัวอย่างไร เพราะบางคนหน้าหวานก็ต้องแข็งแรงหน่อย บางคนหน้าแข็งบึกก็ทำให้อ่อนหวานหน่อยก็ต้องทำให้สมกับรูปนามลงตัว
_สิกขมาตุรินฟ้า…เคยได้ยินพ่อท่านว่า หากจะพัฒนาตนเองไปจนถึงขั้นสูงจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ชายเพศชาย ภิกษุณีหลายองค์บำเพ็ญบารมีจนเป็นเอตทัคคะเป็นผู้หญิงตลอดไม่เห็นจะเปลี่ยนเพศ
พ่อครูว่า…ได้ คุณจะเป็นอรหันต์ไม่ได้ขีดขั้นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แม้จะเป็นโพธิสัตว์กวนอิม เป็นแต่เพียงว่าสุดแห่งที่สุดต้องมีหนึ่งเดียวเป็นเอกบุรุษ แม้แต่เทวนิยมก็ยอมรับว่าอดัมเป็น 1 อีฟเป็น 2 สอดคล้องกันหมด ไม่ได้เป็นการกดขี่ทางเพศ สูงสุดจะเป็นผู้มีประโยชน์ทางโลกได้ จะบำเพ็ญจนกระทั่งที่เขาบอกว่าเป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรคือเจ้าแม่กวนอิม ก็ทำประโยชน์สอนผู้อื่นสอนมนุษย์โลกช่วยมนุษย์โลก ให้พ้นทุกข์ได้ไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็จะปรินิพพานไปในร่างผู้หญิง หรือเป็นพระโพธิสัตว์ถึงขั้นไหนก็ตาม จะปรินิพพานในร่างผู้หญิงก็ได้ แต่เห็นว่าร่างผู้หญิงเป็นทุกข์เยอะมันมีภาระเยอะ ถ้าเกิดเป็นโพธิสัตว์แล้วต้องเกิดแล้วเกิดอีกคุณก็จะต้องเป็นผู้หญิงที่มีทุกข์ตั้งไม่รู้กี่อย่าง คุณก็เห็นว่าเป็นผู้ชายสะดวกกว่า ถ้าคุณเข้าใจมุมเหลี่ยมนี้ว่าสะดวกกว่า เป็นผู้หญิงจะมีภาระเยอะกว่า ก็เอาเป็นผู้ชาย
จริงๆแล้วผู้ชายก็มีนัยละเอียด ถ้าเป็นผู้หญิงจะเป็นประโยชน์ในเรื่องจุกจิกได้เยอะ แต่ถ้าเป็นผู้ชายจะเป็นเรื่องที่เป็นหลักเป็นฐานเป็นเรื่องเป็นราวได้เยอะกว่าอย่างนี้เป็นต้นเป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องใหญ่ได้มากกว่า ผู้หญิงทำเรื่องย่อยได้มากกว่าผู้ชาย ก็เอาสิคุณจะเกิดรสนิยมของคุณจะชอบอันไหน จะบำเพ็ญเป็นผู้หญิงตลอดก็ได้ แต่บางคนบอกว่าไม่เอาจะบำเพ็ญเป็นผู้ชายคุณก็สามารถเกิดไปเป็นผู้ชายได้
เพราะฉะนั้นทำสัดส่วนให้ดี ถ้าสัดส่วนไม่ดีระวังจะเป็นกึ่งกลาง
_สิกขมาตุรินฟ้า ..ต้องล้างกิเลสส่วนใดจึงเกิดมาเป็นผู้ชาย
พ่อครูว่า..การละกิเลสก็เป็นอรหันต์แต่จะเป็นเพศหญิงเพศชายนั้นเป็นสมมติเท่านั้นเอง แล้วก็สมมุตินั้นหากลงตัวเป็นผู้ชายก็ทำประโยชน์อย่างนี้ได้มากกว่า ผู้หญิงก็ทำประโยชน์อีกอย่างได้มากกว่าคนจะชอบแบบนี้ หากชอบจุกจิก ละเอียด ผู้ชายออกไปนอกบ้าน ผู้หญิงก็อยู่ในแวดวงในบ้านอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นความซับซ้อน ผู้หญิงอยากจะเป็นใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้จะเท่าเทียมกับผู้ชายอย่างไรก็ว่ากันไป ซึ่งจะต้องศึกษาแล้วก็จะรู้ว่ามันเป็นสัจจะ ที่เราต้องรู้สัดส่วนของการผสมส่วน
_ขอคำอธิบาย ความเสียเปรียบที่สูงส่งกว่าคำว่าเสมอภาค
พ่อครูว่า…คำว่าเสียเปรียบที่สูงส่ง คำว่า เสียสละ นี้คือเราจะต้องให้แก่ผู้อื่นสละให้แก่ผู้อื่น สิ่งที่เราสละมันมีคุณค่ามันเหมาะสมกับกาละเทศะบุคคล หมู่กลุ่ม ตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เราดูรายละเอียดก็รวบรวมอย่างได้สัดส่วน ที่จะเสียสละยกตัวอย่างเช่น
คนจนกับคนรวย เรารวย แล้วเราก็มีพลัง มีความรู้ความสามารถที่จะสร้างได้มาก แต่คนจนนี้สร้างไม่ได้มาก เราทำได้มากกว่าเขา เราก็เสียสละให้แก่เขาได้มาก เช่นแม่ มีอาหารมา 1 ก้อน แม่ให้ลูกกินเราอดทนได้มากกว่า แม่ก็สามารถสละให้ลูกได้มากกว่าที่ควร
หลักสัปปุริสธรรม 7 ประการพระพุทธเจ้าเเบ่งช้อยส์ต่างๆ คนจะต้องเข้าใจ
-
ธัมมัญญูตา (รู้จักทุกองค์ประกอบ)
-
อัตถัญญูตา (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)
-
อัตตัญญูตา (รู้จักตนเอง)
-
มัตตัญญูตา (รู้จักประมาณจัดสรรสัดส่วน)
-
กาลัญญูตา (รู้จักกาลสมัย)
-
ปริสัญญูตา (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .
-
ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 65)
แล้วยังมีหลักมหาปเทส 4 ไม่มีในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ห้ามหรืออนุญาตเราก็ต้องใช้การพิจารณาของตัวเอง อาศัยตัวเองยังไม่มีลำเอียงไม่มีอคติแล้วตัดสินเอง มันสุดทางแล้ว มหาปเทส สุดทางแล้ว คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีในสิ่งที่จะห้ามหรืออนุญาตในส่วนนี้แล้ว เราก็ต้องพึ่งตนเอง
_อเนญชาภิสังขาร ของโพธิผู้บำเพ็ญ
พ่อครูว่า..อเนญชา คือต้องหลังจากสมาธิ มีสภาพสามเส้า
หนึ่ง เริ่มต้นทำให้เกิดความบริสุทธิ์เป็นองค์ธรรมอุเบกขา 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำได้แล้วก็ทำอันนี้อย่างเป็น อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง เป็นอนุรักขนาปธานทำอย่างนี่แหละ ตามองค์ประกอบดังนี้ คุณก็ทำอย่างนี้ให้เกิดจิตที่แกร่งเป็นอุเบกขา คุณก็ทำจิตอย่างนี้สั่งสมลงไปในขณะที่ทำนั้นก็จะเกิดการสั่งสม อเนญชา หรืออนุรักขณาปธาน 1 2 3 4 5 6 7 8
มันจะจับตัวผนึกกันเเข็งเเรงเรียกว่าสมาธิ แปลว่าจิตตั้งมั่น มันแข็งแรงตั้งมั่น ต้องเกิน 7 เกิน 9 จึงจะแข็งแรงมั่นคงจึงจะได้ 1 หน่วยถ้าเกิน 10 เกินไปอีกเป็น 20 30 40 ยิ่งปฏิภาคทวี เป็น 50 เป็น 100 จึงสั่งสมตั้งมั่นไปอีก ถ้าเป็น 1000 หรือ 10000 มันก็จะเป็นรอบไป คุณจะเอารอบอะไรที่ละ 3เส้าๆๆ ก็จะถือเป็นความตั้งมั่นที่แข็งแรงยิ่งขึ้น
สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น จิตของคุณต้องสะอาดแล้วจึงค่อยมาสั่งสม ไม่ใช่สั่งสมจิตไม่สะอาดจนตั้งมั่น ยิ่งไม่รู้เรื่อง กดข่มจิตตะพึดเลย ไม่รู้เรื่องนิ่งและหยุดอย่างเดียวอย่างนี้ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่เป็นการสั่งสมความตั้งมั่นสมาธิของพุทธเจ้าไม่ใช่สัมมาสมาธิแต่เป็นมิจฉาสมาธิ
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาเปิดทุกอิริยาบถ สัมผัสทางทวารทั้ง 6 และก็สั่งสมจิตที่สะอาดยังลืมตา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ทางทวารทั้ง6 มีอุเบกขา อย่างลืมตา สั่งสมมาเรื่อยๆจึงเกิดอเนญชา ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวที่สูงขึ้นตัวจบ ท่านเรียกว่า สมาหิตะ คือ สมะ +หิตะ
สมะคือเสมอ มันก็สมบูรณ์แบบสงบ สมะแปลว่าสงบด้วย หิตะ แปลว่าประโยชน์ สามารถทำประโยชน์ตนสงบนิ่งเป็น Static แข็งแรง แล้วก็มาทำประโยชน์ต่อผู้อื่น หิตะ จึงเกิด สมาหิตะหรือสมาหิโต เสร็จแล้วสมบูรณ์แบบแล้วตั้งมั่นแล้วตรวจสอบด้วยเจโตปริยญาณ กลุ่มสุดท้ายเป็นสมาหิตะ กับอสมาหิตะ วิมุติกับอวิมุติ จึงจะเป็นอนุตรจิต ไม่ใช่สอุตรจิต ในเจโตปริยญาณคู่กับสุดท้าย คือ สอุตรจิตกับอนุตรจิต
ต้องตรวจสอบ สมาหิตะ กับวิมุติ จิตที่สงบและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแข็งแรง กับการวิมุติสะอาดอดทนเรียบร้อย ไม่ใช่เหลือเศษอวิมุติ อย่างนี้เป็นต้น คือ เจโตปริยญาณ 16 จนสุดท้าย
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)