620111_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เราคือโพธิสัตว์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1HvgLeMhcuSZBCn1zpg9gU2vma2tZGOD1n58wzkWalP0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.https://drive.google.com/open?id=14zrXo8zA41UFy9Bs_T81Jx9xjz4lhS07
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ที่ 12 เป็นวันเด็กแห่งชาติ ก็จะเป็นครั้งแรกที่พ่อครูดำริว่า ให้ชาวบ้านราชฯ ช่วยกันจัดงานวันเด็กขึ้นที่ บวร ราชธานีอโศก ในวันเสาร์ที่ 12 ม.ค. 2561 ปกติเราจัดให้แต่เด็กภายใน แต่ปีนี้เราจะจัดเผื่อให้เด็กภายนอกที่มาเล่นน้ำตกด้วย
ชาวบ้านราชฯได้ประชุมกันอย่างเร่งด่วน เพื่อจัดงานขึ้น โดยได้สถานที่จัดคือ ลานใต้ต้นไทรข้างน้ำตกแก่งสะโพ จัดตั้งแต่ 09.00-18.00 น.ของวันที่ 12 มค.นี้
จะมีกิจกรรมเลี้ยงอาหารมังสวิรัติ เช่น ผัดหมี่โคราช ส้มตำ ฯลฯ มีขนมและน้ำหวานสมุนไพรแจกเด็กๆ มีดนตรีจากคณะศิลป์สรรฝันจริง มีการเล่นเกมส์ต่างๆ มีน้ำตกให้เล่นอย่างปลอดภัยและเย็นใจเย็นกาย
เชิญประชาชนนำบุตรหลานของท่านมาร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ราชธานีอโศกปี 2562 ได้ ในวันพรุ่งนี้
หากผู้ใหญ่ท่านใดสนใจจะนำอาหาร หรือสิ่งของมาเลี้ยงเด็กๆ หรือร่วมให้เด็กจับรางวัล ติดต่อได้ที่ คุณปะตรงเตือน 088-078-4866
ความมีชีวิตชีวามีคุณค่าจะเกิดเมื่อพวกเราได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นเพื่อสังคม ต่างคนต่างช่วยกันเตรียมการที่จะจัดงานเพื่อเด็ก ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา อยู่กับพระโพธิสัตว์ก็ทำให้เรามีการกระตุ้นตัวเองเพื่อจะได้ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติได้มากขึ้น
ปีนี้รู้สึก วันเลือกตั้งก็ยังไม่ได้กำหนดว่าวันไหน แต่เราเลื่อนวันพุทธาภิเษกฯไปแล้ว เราก็คงไม่เลื่อนอีก แต่จะจัดที่บ้านราชฯเหมือนเดิม ไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ เพื่อความสะดวกของพ่อครู ตอนนี้กำลังจะยกให้เป็นตำบลฯ มีคุ้มชุมชนต่างๆ ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา งานพุทธาฯจัด 14 ก.พ. วันวาเลนไทน์ จะจบที่ 20 ก.พ. ใกล้วันมาฆบูชา
เราเพิ่งจัดงาน เพื่อฟ้าดินผ่านไป ถือว่าเป็นครั้งที่ 2 จัดงานเสร็จก็เมื่อยกันไปเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากจะเกิดผลประโยชน์ต่อประชาชน
พ่อครูว่า…อาตมาก็เคยผ่านการเป็นเด็กมาทุกคนก็เคยผ่านการเป็นเด็กมา ไม่มีปัญหา ถ้ามีบารมี เด็กก็จะถูกพัดพาไปตามกรรมวิบาก เด็กที่มาอยู่ในนี้เขาจะได้ซึมซับ จะได้ถูกถ่ายเท ไหลรินเข้าไปโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว มันอยู่ใกล้ชิดก็จะถ่ายเทไหลเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ลักษณะนี้ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าออสโมซิส พระพุทธเจ้าเรียกว่ามิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก
เราอยู่กันอย่างบวร ให้ซึมซับกันไปไม่ได้แยกกัน อย่างที่เขาแยกการศึกษา เด็กก็ไปอยู่กับการศึกษา เด็กก็ไปอยู่ส่วนเด็ก คนหนุ่มสาวก็ไปในส่วนหนุ่มสาว คนทำมาหากินหาเงินหาทองก็ไปทำมาหากิน เมื่อทำมาหากินเหน็ดเหนื่อยก็ต้องเลี้ยงลูกหลานคนแก่ก็ต้องอยู่ส่วนคนแก่มันไม่เกิดความอบอุ่น ไม่มีการถ่ายทอดถ่ายเทกันอย่างสมบูรณ์แบบ
อาตมาพูดไปแล้วก็รู้สึกตนเองอธิบายยังไม่เก่งยังไม่ละเอียดลออ มันมีการถ่ายทอดซึมซับเนื่องต่อกันอย่างสวยงาม พวกเราคงจะเก่งกว่าอาตมาในการช่วยกันจัดสรร ในความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคมนี้ สองคำนี้เป็นเรื่องที่พุทธเจ้าท่านได้ศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม นอกนั้นก็เป็นเรื่องรายละเอียดทั้งหมด เช่นในสัปปุริสธรรม 7 ข้อเกือบสุดท้าย ปุคลปโรปรัญญุตา ปริสัญญุตา คือเป็นผู้เข้าใจเรื่องของหมู่กลุ่ม มีญาณปัญญา อัตตัญญุตา รู้หมู่กลุ่มที่มีซ้อนกันเล็กถึงใหญ่ แม้กลุ่มโลกียะบุคคลก็ผสมผสานในโลกุตรบุคคล
แม้โลกียบุคคล ร่างเป็นคน แต่ใจยังเป็นสัตว์ อย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่งถึงสัตว์เดรัจฉานจริงๆ ก็รวมกันอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าแม้แต่สัตว์ทั้งหลายก็อยู่กันอย่างมีหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่กันและกันอยู่ เป็นความลึกซึ้งความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ พอมาเป็นจิตวิญญาณแล้วจะสัมพันธ์เชื่อมต่อกันด้วยกรรม กรรมไปกับกาละ จนกว่า ผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์กับผู้ไม่บรรลุธรรม ก็จะช่วยกัน ผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ก็จะช่วยผู้ที่ไม่บรรลุต่อไปเท่าที่จะช่วยต่อไปได้ อรหันต์แต่ละองค์ อรหันต์บางองค์ตายแล้วไม่ต่อภพภูมิ บางองค์ก็ต่อภพภูมิไปอีกบางองค์ต่อไปจนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า บางองค์ต่อไปไม่กี่ชาติก็ล้มเลิกตนเองปรินิพพานเป็นปริโยสานอีกเยอะ ผู้จะต่อพุทธภูมิจริงๆจะมีไม่มาก มีอรหันต์ที่พยายามบ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องสามัญเป็นเรื่องยาก
เมื่อวานนี้อาตมาได้เขียน
เราคือ โพธิสัตว์
ชื่อเราคือ โพธิสัตว์ หรือสัตว์ที่มีโพธิ มีธรรมะตามที่พระพุทธเจ้า
ความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าคือ จรณะ 15 วิชชา 8
การศึกษา อบรม ฝึกฝน เพื่อ่ให้เกิด จรณะ 15 วิชชา 8 คือ ไตรสิกขา
การปฏิบัติ ไตรสิกขา คือ เริ่มที่“ศีล”ที่เราสมาทานไป แต่ละข้อ ตามลำดับ แล้วก็สำรวมอินทรีย์ มีสติ ทำให้เกิดผลเป็นคนสันโดษ คือ คนใจพอ ก็จะ“พอ”ไปตามลำดับ โดยเริ่มจาก“พอแล้ว” ที่จะโกรธ จะเป็นภัยต่อผู้อื่น(ศีลข้อ 1) โดยสำรวมตน อย่าทำให้เด็ดขาด จนกระทั่งหยุดกาย-วาจา-ใจ ครบ วิเวก 3 เพราะโกรธ ไม่ใช่สวรรค์เลย แต่เป็นนรกแท้
พร้อมกันนั้น ก็หยุดโลภ เริ่มจาก“พอแล้ว”ที่จะทุจริตโลภ มาให้ตน และแม้เอาเปรียบ โลภมาให้ตน ถ้าตนต้องการได้ ต้องการมี ก็ทำเอง สร้างเอง ได้เอง มีเอง อย่างบริสุทธิ์
การได้มา การมีเป็นของตน ก็ไม่ใช่สวรรค์เลย(เป็นสวรรค์เก๊) แต่ก็เป็นนรกอยู่จริง เพราะเป็นนรก“คู่หู(เทฺว)”ของสวรรค์ แยกไม่ได้ ตราบที่ยังไม่ตรัสรู้ความเป็น“เทฺว”บริบูรณ์สัมบรูณ์ ผู้ตรัสรู้ความเป็น“เทฺว”แล้ว“ดับเทว”สนิท ก็สิ้นราคะในตน
ก็เป็นอัน“พอแล้ว” หมดสิ้นโมหะในตน แล้วมีตนเพียงแค่“กรรมกับกาล”
การได้มา(เป็นตน) การมีเป็นของตน(แล้วยึด) แม้จะโดยธรรมบริสุทธิ์ ไม่มีทุจริตเลย ก็เป็นเพียงอาศัยระยะที่เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตขณะนั้นๆหรือปัจจุบันนั้น แล้วก็“พอแก่การ” เสร็จลง จงปล่อยวาง(ไม่มียึด) ผ่องถ่ายให้ผู้อื่นต่อไป อย่ายึดไว้เป็นของตน ไม่เช่นนั้นมันจะตกผลึกเป็น“ตน”นิรันดร ผู้ไม่ยึดเป็น“ตน” ไม่มีราคะ จึงมีแค่สัมผัส ๖ ผ่านไปกับ“กาล” ทุกอย่างมีเพียงสัมผัส ๖ เท่านั้น ตามความเป็นจริงของมัน แล้ว“ตน”ก็ใช้อาศัยให้“พอแก่การ”ให้สั้นที่สุดในกาลเสมอ และจบ ชีวิตจึงมีแต่“กรรมที่สัมพัทธไปกับกาล” Karma and Time of continuum
ความเป็น“ตน”จึงมีเพียงในปัจจุบันขณะเท่านั้น ที่อาศัยในทุกๆชีวิต อันต่อเนื่องดำเนินไปกับ“กาล” จนกว่าเราจะสิ้น“กรรม”ไปจาก“กาล”
ความเป็น“ตน”ที่เสพเป็น“กาม” เสพเป็น“อัตตา” ก็จะสั่งสมใส่“วิบาก” ตกผลึกเป็น“อดีต” และเป็น“อนุสัย”ที่มี“อวิชชา”
สิ้นหมด ไม่มีการเสพเป็น“กาม”เป็น“อัตตา” ก็หมดสิ้นการมี“ภพ”มี“ชาติ”นิรันดร ด้วย“วิชชา”
จบ.
- 10 มกราคม 2562 •
ความหลง อาตมาได้เคยเขียนไว้ 5 อย่าง หลงผิด หลงลืม หลงใหล หลงตัว หลงเหลือ
อาตมานึกถึงสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่เคยทำงานโทรทัศน์ด้วยกันตอนนี้ก็ตายไปแล้ว เขาแก่กว่าอาตมา เกิด 75 เกิดเดือนมิถุนายนเหมือนกัน เขาเกิดวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อาตมาเกิดปี 2477 แก่กว่ากันเกือบ 2 ปี
ก็นึกถึงที่เคยอยู่ทำงานมาด้วยกัน เขาไปแล้ว ตาย ก็ระลึกถึงคนต่อไปที่เคยทำงานวงการบันเทิงมา อาตมาทำงานที่ไทยโทรทัศน์มา 12 ปีแล้วออกมาบวชนี่เลย ไม่ได้ไปทำงานที่อื่น ก็นึกถึงคนต่างๆ แม้คนในวงการบันเทิงก็นึกถึงคนที่ยังอยู่ มี ชาลี อินทรวิจิตร เป็นลูกศิษย์พี่ล้วน ควันธรรม ชาลีก็รู้นิสัยพี่ล้วนดี เคยต่อว่าที่เขามาอะไรกับอาตมา ชาลียังอยู่ เขาแก่กว่าอาตมา 10 กว่าปี (เขาอายุ 95 ปี)
นอกนั้นก็มี ชรินทร์ นันทนาคร อายุประมาณกัน มีสุเทพ วงศ์กำแหง แก่กว่าอาตมา 2 เดือน สมบัติ เมทะนี(อายุ 80ปี) อ่อนกว่าอาตมา 2-3 ปี ก็ยังอยู่กัน ก็ยังแข็งแรงกันดี อาตมาก็ดูสิ ใครจะไปก่อนกัน ก็ดูความเกิดความแก่ความเจ็บความตายของแต่ละคน มีวิถีชีวิตที่เป็นวิบากกรรมของใครของใคร ก็พูดกันยาก เราก็พยายามบอก อย่างนั้นเราก็เข้าใจ อาตมาไปทางบันเทิง ที่จริง อาตมารุ่งเรืองในทางบันเทิงได้มากกว่านี้ จะเป็นเจ้าหมู่คณะด้วย ไม่ได้เป็นตัวดาราเด่น แต่เป็นตัวเจ้าคณะคนขยัน เป็นผู้ที่อยู่อีกชั้นหนึ่ง จะว่าไปแล้วไม่ได้เป็นตัวเด่นแต่เป็นผู้ใหญ่กว่า บริหารปกครองด้วย ที่จริงแล้วเป็นธรรมะจัดสรร ไม่ได้เจตนามาทางนี้ทีเดียวแต่ธรรมะจัดสรรไม่ให้ไปทางโน้น ธรรมะจัดสรรให้มาทางนี้ มาแล้วก็เข้าใจว่า เรามีบารมี ถ้าไม่มีบารมีจะถูกดึงไปหรือว่าอาตมาดึงตัวเองไปทางโน้นมากกว่า แล้วจะไม่ได้เรื่อง อาตมาก็เสียโอกาส
อันนี้เป็นเครื่องชี้บ่งว่าอาตมาหลุดพ้น เพราะอาตมาเจตนาจะไป แต่ธรรมะจัดสรรไม่ให้ไป จะเด่นดังในทางโลกพยายามทุกอย่าง (พ่อครูบรรยายภาพที่ทำงานโทรทัศน์)
มาดู มี sms มา
_ปุญญา ธัมมา พ่อครูจะเมตตา ให้ คำขวัญ วันเด็ก และวันคุรุ ไหมคะ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ให้แล้ว นายกฯก็ให้คำขวัญดีแล้ว
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ชอบคำขยายความสร้างภาพมากครับ ผมก็พยายามสร้างภาพสร้างกรรมดีๆ ตลอดเวลาครับ
พ่อครูว่า..ให้ช่างภาพดีนั้นเป็นตัวเองเลย ดี นั้นติดกับตัวเองจะเป็นอัตโนมัติ จนไม่ต้องสร้างภาพแล้วมันเป็นโดยอัตโนมัติ ดีนะ คนไม่เคยสร้างภาพดีแต่สร้างภาพชั่วๆนั่นแหละแย่แล้วหลอกว่าตัวเองทำดีแต่ตัวเองไม่ทำดี มาบอกว่าจะทำดี ไม่ได้สร้างภาพมีแต่การพูดคุย แต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติไม่ได้สร้างภาพทางกายกรรมวจีกรรมให้คนอื่นเขาเห็น พูดดีแต่ไม่สร้างตัวเองไม่ประพฤติตัวเอง พูดดีแต่ตัวเองไปทำชั่วมีแต่ภาพชั่ว อย่างนี้สิ แล้วมาหลอกซ้อน ไปทำภาพชั่วแล้วมาหลอกว่าฉันทำดี เอ้ามันดีอะไรไปโกหกซ้ำอีก
_พิศมัย ชำนาญคิด · เกษตรอินทรีย์คือการพึ่งตนเองและคนปลูกต้องมีธรรมมะด้วย จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ กราบนมัสการพ่อท่านค่ะอาสา ร่วมพัฒนาชาติ
_รักธรรม สรหงษ์ · ท่านถักบุญคะ อยากให้ทุกบ้านติดแผงโซลาร์เซล พอจะเป็นไปได้ไหมคะ บ้านเราพลังงานแสงอาทิตย์เหลือเฟือ
พ่อครูว่า..อาตมาเรียกชื่อ โซล่าเซลล์ว่าไฟแดด ใครจะเรียกตามก็เรียกเป็นภาษาไทย ชัดกว่าไฟฟ้าหรือชัดกว่าโซล่าเซลล์ เอาไฟแดด
เราทำได้แต่ละคนจะติดที่บ้านก็ทำได้
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง ลูกตั้งใจจะไม่เขียนมารบกวนพ่อท่านอีก เพราะเกรงใจพ่อท่าน แต่วันนี้ขอโอกาสสักหนึ่งคำถามค่ะ ขอความเมตตาขอคำแนะนำจากพ่อท่านด้วยค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าลูกเคยบอกกับลูกสาวว่า ถ้าแม่อายุ 70 แล้ว ก็ปลูกบ้านให้แม่ด้วยเพราะแม่คงอยู่วัดทำงานอะไรไม่ได้มาก และตอนนี้ลูกอายุ 70 แล้ว ลูกสาวก็ปลูกบ้านให้แล้ว แต่ลูกไม่อยากออกไปอยู่นอกวัด ลูกเลยหาวิธีพูดกับลูกสาวเพื่อไม่ให้เขาเสียใจ เลยโกหกกับลูกสาวว่า แม่สุขภาพไม่ดียังต้องรักษาตัวอีก และแม่ไม่กล้าอยู่คนเดียว ลูกพูดอย่างนี้ผิดศีลหรือไม่ค่ะ ลูกจะพูดอย่างไรจึงจะไม่ให้ลูกสาวเสียกำลังใจ ขอความเมตตาจากพ่อท่านให้ปัญญาลูกด้วยค่ะเพราะลูกไม่อยากออกจากวัด กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง
พ่อครูว่า..ก็พยายามใช้ภาษาพูด ก็ไม่เชิงผิดศีล แต่เราเอาเจตนาเป็นใหญ่ พูดแล้วซ้อนไปมาอยู่บ้าง
ก็บอกแม่อยู่วัดนี่ดีแล้วลูกเอ๋ย อยู่แล้วเจริญในทางธรรม สบายดี บ้านหลังนั้นก็ให้ลูกจัดการให้เป็นประโยชน์ต่อไปเถิด เขาก็ไม่น่าจะเสียใจอะไรมากมาย
ลูกถ้ายึดมั่นถือมั่นก็อาจจำเป็นไปอยู่ แต่มาวัดบ่อยจนลูกว่าอยู่วัดเถอะ เอาใจกันยาก ทำไมลูกไม่เข้าใจไม่ศรัทธาที่นี่เลยเหรอ ถ้าลูกศรัทธาก็ไม่น่าจะยาก
_ไร่ แทนคุณ แผ่นดิน …โลกนี้ เต็มไปด้วย คน ไร้ ศีลธรรม มากมายนัก แต่โลกนี้ ยังยืนหยัดอยู่ได้ เพราะยังพอมีคนที่มีศีลธรรมอยู่ แม้จำนวนน้อย แต่ก็มีพลังพอที่จะช่วยต้านทานโลกนี้มิให้เสื่อมไปมากกว่านี้ คนชั่วย่อมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจ คนดีก็จะประพฤติดีทั้งกายวาจาใจ คนโง่จะหลงเชื่อคนชั่ว เพราะคนชั่ว ไม่กลัวบาปกรรม จึงใช้ เล่ห์เพทุบายหลอกลวงให้คนโง่ มาเป็นพวก
คนดี พูดตรงปฏิบัติตรง ต่อสัจธรรม ไม่และเล็มเรียกเคียง หรือหว่านล้อม ให้ใครมาเป็นพวก แต่คนมีปัญญา จะรับรู้และเข้าใจได้เอง แม้มีจำนวนน้อยก็ไม่เป็นไร ดังพุทธภาษิต ที่ทรงกล่าวไว้ คนโง่มี มากเหมือนขนโค ส่วนบัณฑิตมีจำนวนน้อยดั่งเขาโค
พ่อครูว่า…ก็ชัดเจนขึ้นไปแต่ก็ยังยากบางช่วงก็ค่อยๆทำไป
_MsMantoy… พระดูจะหัวร้อนนะท่าน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเยอะกว่าคนทั่วไปอีกนะท่าน อยู่หยั่งกับผู้บริหารบริษัทเลยนะท่าน วางท่าทีใหญ่โตหน้าดูเลยนะท่าน มืงพระจริงรึป่าวว่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้เป็นพระเขาไม่ให้เป็นพระ เขาผลักดันให้เป็นสมณะ อาตมาก็เป็นสมณะ มาใช้ภาษาโบราณถามว่าเป็นพระไหม อาตมาก็ไม่ตอบเพราะไม่ได้เป็นพระ
_Sucnat Sungsint…พวกนี่มัน คือ นิกาย มันมีความคิดอยากเป็นเอกเทศไม่ต่างจากพวกโจรสามชายแดนจังหวัดภาคใต้ มันหัวรุนแรงพยายามทำสงครามกับศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาพุทธเลย คนบอกไม่เป็นมองไม่ออก อาตมาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับใครแม้ว่าอาตมาจะทำสงครามกับสังคม มีการบริหารประเทศ อาตมาไปประท้วงเหมือนกับทำสงคราม แต่สงครามนั้นอาตมารบด้วยมือเปล่า ลบด้วยความสงบไม่ใช้อาวุธ ตามกฎหมายสากลโลก อาตมาชนะพวกใช้ปืนพกใช้ระเบิดเขาแพ้ไป แพ้ถึง 4 รัฐบาล รัฐบาล ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วย 5 รัฐบาล รายการประท้วงด้วยการรบ นักรัฐศาสตร์ต้องศึกษา มันมีภาษาในโบรชัวร์ที่อาตมาใช้ Neo protest ด้วย สงบสันติอหิงสาซื่อสัตย์บริสุทธิ์คมลึกแม่นประเด็น เป็นการศึกษาที่ต้องใช้พฤติกรรมจริง แล้วใช้เวลาเป็นปี อยู่ในสนามรบ กลางกรุง ประกาศใช้สื่อสาร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า..ตอนนี้บรรยากาศการเมืองรุนแรงพวกนี้เลยเริ่มเข้ามา ยิ่งพ่อครูเชียร์บิ๊กตู่เท่าไหร่ ก็จะมีแทรกแซงเข้ามา หลังจากเงียบเหงาไปนานก็กลับมา
พ่อครูว่า..ก็มีไม่มากเท่าไหร่ ก็ดูกันไป ขออนุญาตพวกคุณสองคนอย่ารีบตายให้ดูความจริงไป เขาสนใจศึกษานี้ดีแล้ว แม้เขาจะมองคนละขั้ว เขาก็ทำไปตามจริต ความรู้สึกของเขาเป็นนิสัย เขาก็เป็นมา เราก็ไม่ไปทำอะไรให้เขาเจ็บปวด ที่พูดนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดรุนแรงยั่วยุอะไร พูดอธิบายเรียบๆสบายๆ
เขาหาว่าพวกเราหัวรุนแรงทำสงครามกับศาสนาพุทธ เราไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาพุทธเราทำความจริง ออกไปมันจะขัดแย้งบ้างเหมือนกับการรบ มันเป็น สรณะ ประกอบเหมือนกับการทำสงคราม ก็อาศัยสิ่งเหล่านี้
ส คือ ประกอบ รณะ คือการรบหรือสงคราม สรณะ ก็แปลว่าที่พึ่งที่อาศัย มันอาศัยอยู่ไม่ได้เป็นเรื่องรุนแรงดูเดือดอะไร แต่คนไม่เข้าใจก็เห็นเป็นเช่นนั้น ขอให้คุณ 2 คนรักษาชีวิตร่างกายให้ดีอย่าเพิ่งรีบตาย มีอะไรก็ comment มา อย่าไปทำผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์เขาก็แล้วกัน
_Nonsense Nonsense ดูรายการสุดสัปดาห์เนชั่นวันที่ 6 มกราคม 2562 ได้ยินคุณสนธิญาณพูดว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดายังมีรำคาญต้องหนีเข้าป่า อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับสิ้นโลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมุจเฉท ไม่มีเหลือแม้เล็กน้อย เพราะฉะนั้นความหงุดหงิด รำคาญใจย่อมไม่มีแน่นอน เรื่องราวในพระสูตร อย่าคิดเองหรือฟังมาจากครูอาจารย์อย่างเดียว คุณสนธิญาณควรศึกษาจากอรรถกถาด้วยจะมีรายละเอียดว่าทำไมพระพุทธเจ้าต้องทำแบบนี้ๆ และควรศึกษาพระอภิธรรมด้วย จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้อง คุณสนธิญาณจะพูดอะไรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าควรระมัดระวัง และควรศึกษาโดยละเอียดก่อนพูด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการหมิ่นพระพุทธเจ้า จะเป็นโทษกับตนเอง และคนที่หลงเชื่อคุณ
พ่อครูว่า…ก็ขอแก้แทนคุณสนธิญาณ คุณสนธิญาณไม่มีเจตนาละลาบละล้วงพระพุทธเจ้า แต่ใช้ภาษาตามภูมิของคุณสนธิญาณเท่านั้นเอง แต่แท้จริงไม่ใช่เรื่องถือสาอะไรเลย จะใช้พยัญชนะเรียกว่าหงุดหงิดรำคาญ ผู้ที่เข้าใจพยัญชนะแล้วรู้จักอาการ พระพุทธเจ้าไม่มี อาตมาขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่มีรำคาญความทุกข์ ความหงุดหงิดรำคาญนี้เป็นส่วนทุกข์อยู่ แม้อาตมา ขออภัย อาตมาไม่มี แต่อาตมาขอแก้แทนคุณสนธิญาณ เขาไม่ได้เจตนาว่าพระพุทธเจ้า แต่ใช้พยัญชนะกับสภาวธรรมมันยังไม่ละเอียดพอ ตามภูมิเท่านั้นเอง
อาตมาว่า สนธิญาณ นี้ บูชานับถือพระพุทธเจ้าสุดเกล้าสุดเศียรแน่นอน ไม่ปรารถนาละลาบละล้วงให้แปดเปื้อนเลย เป็นแต่เพียงใช้พยัญชนะยังไม่สมบูรณ์แบบนิดหน่อยเท่านั้นเอง นี่ก็ขอแก้ต่างให้คุณสนธิญาณ
_ชานติ กรุณาอธิบายความหมายของคำ 3 คำ นี้ว่ามีความเหมือนกันหรือความต่างกันอย่างไร
คำว่า วิพากษ์วิจารณ์ ส่อเสียด นินทา
พ่อครูว่า…จริงๆแล้ว 3 คำนี้ ความหมายมันก็คงจะต้องบอกก่อน คำว่าวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นคำกลางๆ ไม่บวกไม่ลบ ส่วนคำว่าส่อเสียดกับนินทานั้นลบแน่นอน เป็นคำไม่ควรทำ ส่อเสียดคือเอาความข้างนั้นมาพูดกับข้างนี้ อาตมาเคยปรามพวกสื่อสารมวลชน ชอบเอาความข้างนั้นมาใส่ข้างนี้ทำให้เกิดความไม่เข้าใจเกิดการรบกัน อะไรที่จะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นอย่าต่อดีกว่า พยายามอย่าให้เป็นความหมายทะเลาะกันเกินไป สื่อสารต้องทำหน้าที่อาตมาก็เห็นใจมันยาก คือ สื่อสารมวลชน อาตมาเคยพูดว่าบรรณาธิการนักหนังสือพิมพ์คือตัวหาเรื่องเลย ถ้าไม่มีเรื่องมันก็ไม่มีอะไรมาลงหนังสือเขา ก็ต้องให้มีเรื่อง
คำว่ามีเรื่อง ภาษาไทยนี้แรง จะมีเรื่องก็ให้เบาไม่รุกรานแต่ประมาณยาก อาตมาเข้าใจเห็นใจว่าเป็นสิ่งที่ยาก
สรุปแล้วคำว่าวิพากษ์วิจารณ์ ก็กลางๆ ส่อเสียดไม่ดี
ส่วนนินทาคือการว่าร้ายลับหลัง นินทาคือคนไม่แน่จริง ต้องพูดต่อหน้า วิพากษ์วิจารณ์กันเลย หากว่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเข้าใจผิดไม่มีปัญญาก็เสียหาย แต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้น ทำให้เกิดการแก้ไขต่อไป ก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์อย่างดี ไม่ใช่ความส่อเสียดหรือนินทา
หากไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคมก็ไม่ก้าวหน้าไม่กระเตื้อง จม ใครจะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่างเขา เราก็ไม่ว่าใครอะไร คุณอยู่ในสังคมก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย แม้แต่สังคมนี้น่าช่วยเหลือกัน แต่ยิ่งไม่บอกใครเลย บุคคลก็ไม่มีวิพากษ์วิจารณ์ใคร สังคมก็ไม่วิพากษ์วิจารณ์ใคร อันนี้อาตมาไม่เอา ไม่มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคมเป็นระบบเทวนิยมของฤาษีหนีเข้าป่าขุดรูอยู่ อันนี้ไม่ใช่ลัทธิพุทธ ซึ่งเป็นลัทธิที่มีประโยชน์ต่อสังคม นั่นคือความเป็นพุทธ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สิกขมาตุรินฟ้า
สมณะฟ้าไท
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า…เรื่องการตอบการโต้ มันเป็นเรื่องเจริญ แม้แต่ที่สุดมันเป็นเรื่องของสงครามก็มีความเจริญ แต่คนที่อวิชชาทำสงครามเพื่อที่จะ ข่มคนอื่น ทำร้ายคนอื่น กับคนที่จะต้องทำสงครามเพื่อที่จะให้คนอื่นได้รับความรู้ ได้รับความเข้าใจและทำให้สังคมมนุษยชาติมวลมนุษยชาติส่วนใหญ่ ได้รับผลที่ถูกต้องได้รับประโยชน์ที่ดีทำเพื่อสังคมมวลมนุษยชาติ ถ้าไม่ทำ ปล่อยให้ โดยเฉพาะพวกที่รุกราน พวกที่อวิชชา ทำแต่ฝ่ายเดียวเขาก็จะหลงตัว เขาก็จะยึดมั่นถือมั่นมันก็ยิ่งจะรุนแรง มันก็ยิ่งจะนานแสนนานเข้าไปอีก เราก็ต้านเขาบ้าง แต่ต้านโดยที่จะต้องดูตัวเอง เรามีอำนาจไปต้านเขาไหม
ทีนี้การต้านเขา เราจะต้องต้านด้วยความแรงน้อยกว่าเขา ร้ายน้อยกว่าเขา เลวน้อยกว่าเขา ถ้าเราไปต้านร้ายแรงกว่าเขา เลวมากกว่าเขา อย่างนี้เป็นต้น หมดท่าเลย เราก็ได้วิบากอันนั้นมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไปต้านแล้วเราจำเป็นต้องต้านทานไว้ แต่เราไม่ได้เลวอย่างเขาไม่ได้แรงอย่างเขา ไม่ได้ร้ายอย่างเขา อันนี้แหละ เขาเลวกว่าเยอะ ไม่ได้ร้ายอย่างเขา เขาร้ายกว่าเรามาก ไม่ได้แรงกว่าเขาเลย และ
จริงๆแล้วเทียบกันได้เลยเขาแรงกว่าเลวกว่า แม้แต่ที่อาตมาแสดงออกแรงแต่เวลาไปรบอาตมาจะเบากว่านี้อีกเยอะ แต่เวลาอยู่ตรงนี้จะแรง แต่เวลาไปรบอาตมาจะสู้ด้วยความสงบสู้ด้วยความเบา สู้ด้วยความไม่ร้ายสู้ด้วยความดี เอาความดีสู้เอาความถูกต้องสู้ จะเป็นอย่างนั้น นี่คือเครื่องมือรบของอาตมา อาตมาจะใช้ศาสตระ คำนี้ ใช้ได้ทั้งอาวุธที่จะไปรบและความรู้ เป็นเทวธัมมา
ที่เป็นสองแง่ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก อาตมาตอนนี้ เห็นว่าในโลกทั้งโลก มีเทวะหรือเดวะ เป็นธรรมยิ่งใหญ่มาก แม้โลกทั้งโลกก็อยู่ที่เทวะ เขาตีไม่แตกแยกไม่ออกก็อยู่ที่เทวะ
สู่แดนธรรมว่า.. เมืองไทยยังมีเมืองหลวงชื่อว่า Dhevanakhara
พ่อครูว่า…ยังไม่เข้าใจเรื่องเทวะก็ยังต้องใช้เทวะอยู่ เทวะคือผู้สูงผู้เจริญ เทวดา โดยนัยยะสามัญจะเข้าใจอย่างนั้น เทวะ แยกคู่ไม่ได้ อย่างพุทธนี้หมดเทวะ ไม่มีคู่ มี 1 หรือ 0
หากยังมี 1 ยังมีเศษของเทวะอยู่บ้างแต่น้อยมากแล้ว พอมาถึง 0 ก็หมดทั้ง 1 2 หรือ 0
ทุกอย่างในโลกนี้คือสภาพคู่ทั้งนั้น ใครมีปัญญารู้ในสภาพคู่ธรรมะสองก็แยกออก เขาจะมารบมาทะเลาะมาดูดดื่มกันก็มี 2 อย่าง คู่ดูดกับผลัก เราไม่ต้องมีทั้งดูดทั้งผลักหมดไปหมดไป นั่นแหละเราถึงจะเจริญขึ้นจนกระทั่งสุดท้าย 0 ไม่ต้องมี แล้วเราก็รู้แล้วว่า 2 คืออะไร มากกว่า 2 คืออะไร คนเริ่มต้นทำ 2 เป็น 1 ได้ ยังมีปัญญารู้ว่าไปหลง 2 ที่จะมีสังขารสังเคราะห์ให้มีเหตุมีเรื่องมีราว มีนิทานอะไรอยู่มันยังไม่ใช่
2 ก็อยู่ร่วมกับเขาเฉยๆ อาตมาอยู่กับคนอื่นโดยไม่ได้ให้คนอื่นมาเป็นทั้ง จะมารักอาตมาหรือจะมาชังอาตมาไม่มี ไม่ได้อยู่เพื่อทั้งสองอย่าง แต่อยู่เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเท่านั้น
แล้วอาตมายังไม่มีบารมีสูงขณะที่ผู้อื่นอยู่กับปัจจุบันแล้วไม่รู้สึกระคาย อาตมาไม่ได้กระแทกกระทุ้งเขาเลยมีแต่เป็นผู้ให้เขา อย่างไม่มีอะไรระคายเคืองรุนแรงเลย อาตมาไม่มีบารมีถึงขนาดนั้น
สิ่งที่ศึกษา คำว่าธรรมะ 2 สภาวะ ธรรมะ 2 นี้ศึกษาตลอดโลกแตก แล้วคนมีจำนวนในภพ 2 นี้มาก โดยเฉพาะในยุคนี้ มีคนเข้าใจเทวะ ตีเทวะ ทำ 1 ทำ 0 ได้นั้นมีน้อยกว่ามากแต่คือผู้หลุดพ้นอยู่กับโลกได้ไม่ทำลายโลกไม่เป็นพิษเป็นภัยกับโลก
อาตมาก็จะพิสูจน์ความจริงนี้อีก ทำงานเพื่อสืบสานธรรมะพุทธเจ้าต่อไป อาตมามั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าจะเอาอาตมาตายพรุ่งนี้แล้วเท่าที่มีอยู่นี่อาตมาไม่ไว้ใจว่าจะมีเนื้อแท้โลกุตรธรรมต่อไปอีกถึง 2 พันกว่าปี มันเลยสองพันห้าร้อยปีแล้ว
พูดแล้วก็พูดอีก ทำให้เหมือนน่าหมั่นไส้ อาตมาเป็นผู้นั้นจริงๆ อาตมาเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ผู้ใดที่ยังไม่เห็นว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา ผู้นั้นก็ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิครบ เพราะว่าโลกนี้มีผู้นี้ผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นหรอก มีผู้อื่นไม่ได้ เพราะสิ่งนี้เป็นธัมมสามี เป็นการสืบทอดมาคล้ายๆกับเป็นพระบุตร พระพุทธเจ้าก็เหมือนพระเจ้า พระบุตรก็มีหนึ่งเดียวไม่มีคนที่สอง นอกจากศาสนาแต่ละศาสนาก็อ้างอิงว่าเป็นของตนเองเท่านั้น เขาก็แข่งกันแย่งกัน แต่ของศาสนาพุทธจะไม่มีแข่งแย่งอย่างนี้ ศาสนาพุทธจึงจะไม่มีสงครามศาสนา ศาสนาพระเจ้ามีสงครามศาสนา แต่ศาสนาอเทวนิยมไม่มีสงครามศาสนา เกิดมาก่อนศาสนาเทวนิยมด้วย แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีสงครามศาสนา ถ้ามันชัดเจนมันต้องจริงถ้าไม่จริงไม่ได้
อาตมาถึงบอกว่า เอาน่า ให้อายุยืนยาวไปกับอาตมาด้วยอย่าเพิ่งรีบตายไป อยู่ไปอีกอย่างน้อยสิบกว่าปี ให้อาตมาถึงร้อยก่อน คุณจะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าอยู่ได้ต่อไปอาตมาก็จะบอกให้ดูไปอีกให้ถึง 112 ปี หรือ 108 แล้วก็ 120 เป็นทีละนักษัตร แล้วไปเป็น 132 ไป 144 แล้วก็คงจะไม่เอาอีก เสวยวิมุติสุขอีก 7 ปี ก็เป็น 151 ปี
เจตนาตั้งเอาไว้มันจะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่รู้ ถ้าอาตมาทำถึง 151 ปี มีผู้รับช่วงต่อไป แต่ถ้า 151 ก็ต้องตาย ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วจะต้องเร็วไม่ช้าหรอกเพราะไม่อยากให้มันขาดช่วง กว่าอาตมาจะโต เดียงสา มาทำงาน ก็ต้องเสียเวลาอีก รีบเกิด อย่างน้อยก็ 20 ปี จะสอนคนก็คนไม่ยอมรับเด็กหรอก ต้องพ้นนิติภาวะก็พอได้ ในยุคนี้เขาจะรับพระอรหันต์ 7 ขวบ 9 ขวบ เขาไม่รับหรอก ขนาดมาประกาศ 36 ก็ยังไม่ค่อยรับ ออกมาจากจอมายาเขาก็ยิ่งรับได้ยาก
พูดถึงเหตุการณ์พรุ่งนี้ ที่นี่ เราพยายามเปิดเป็นสถานที่รับมนุษย์แล้วให้มนุษย์มาสัมผัส สิ่งที่ดีที่ควรเป็นเสนาสนะสัปปายะ เป็นบุคคลสัปปายะเป็นอาหารสัปปายะ เป็นธรรมะสัปปายะ ในสัปปายะ 4
สถานที่ก็เป็นสถานที่ควรจะต้องมาสัมผัสมาอยู่กับสิ่งแวดล้อมดินน้ำไฟลมบ้านช่องเรือนชานมีนิเวศวิทยา เป็นสิ่งที่น่าอยู่ บุคคลก็เป็นคนที่น่าอยู่ร่วม บุคคลสัปปายะ มีสิ่งที่อาศัยตั้งแต่อาหารการกิน อาหารสัปปายะ นี่ก็คือ สิ่งบริโภคอุปโภค เรื่องของการอุปโภคเราไม่ค่อยเก่งเครื่องใช้ไม้สอยเสื้อผ้าหน้าแพร เครื่องไม้เครื่องมือทางอุตสาหกรรมยังไม่เก่ง แต่ไม่เป็นไร มาเน้น บริโภค เน้นอาหารนี่แหละ เน้นเครื่องกิน เราไม่เก่งทางอุตสาหกรรมไม่เป็นไร อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสว่าเราไม่ต้องไปเก่งทางอุตสาหกรรมก้าวหน้ามาก
ในหลวงรัชกาลที่ 9 สร้างเรือใบลำหนึ่ง นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายในเรื่องอุตสาหกรรมเครื่องมือ แต่ทำเรื่องกสิกรรมทำมากโดยเฉพาะในสวนจิตรลดา
อาตมามาเน้นสังคมผู้คนธรรมะ แล้วผู้คนที่ว่านี้สอนจริงๆ สร้างจริงๆ ปั้นจริงๆ จนมีสังคมชุมชนคนจน พยายามจะให้เกิดเป็นตำบลเป็นหมู่บ้าน ได้เป็นหมู่บ้านบ้างแล้ว แต่กระจายไป ถ้าเป็นทางนิตินัย รวมหมู่บ้าน ให้เกิดตำบล อย่างน้อยต้องมี 7 หมู่บ้าน 9 หมู่บ้าน มีคนคิดอ่าน แบ่งบ้านราชฯได้หลายหมู่บ้าน ก็เป็นตำบลบุญนิยม เราเน้นวัฒนธรรมพฤติกรรมแบบนี้สังคมแบบนี้ ซึ่งก็จะมีการบริหารเป็นการบริหารปกครองตามระบอบทางโลก เข้ามาอย่างมีบทบาทร่วม มีกรอบวิธีของโลกมาร่วม(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า..หมู่บ้านสุดชีวิตนี้ดูเหมือนจะมี 2 คน หัวหน้าหมู่บ้านกับลูกน้อง ใครจะไปอยู่เพิ่มก็ได้นะ
พ่อครูว่า…มีเรือพักชีพอยู่นะ ยังไม่มีใครอาศัยอยู่นะ เหมือนไม่มีท่าแต่พอเป็นไป
พรุ่งนี้เราจะต้อนรับ คิดว่าไม่น้อยกว่าวันนี้นะ วันนี้มาเก้ารถบัส
ทั้งทางด้านสังคมเศรษฐกิจรัฐกิจ มันต้องเกิด ตอนนี้ทางด้านการเมืองเราอาจจะช้า แต่มีบทบาทกับส่วนกลางเขาช้ากว่าหน่อยแต่ไม่เป็นไร ไปในสายของเรา เรื่องเศรษฐกิจก็ดีแล้ว เรื่องสังคมก็เป็นรูปร่างสังคมแบบนี้ไป
เศรษฐกิจเงินเป็นทางวัตถุ เขาจะเน้นไปทางเรื่องธนบัตรเป็นแก้วสารพัดนึก เราก็พยายามทำให้เห็นว่าที่นี่ถือว่าธนบัตรเป็นเรื่องเล็ก หรือเป็นสิ่งมีค่าเพชรนิลจินดาทองคำที่จะไปแลกเป็นธนบัตรได้เยอะ อะไรก็แล้วแต่ คุณจะมุกอะไรขึ้นมาเราก็ไม่ทำ เช่น พระเครื่องนี้ราคาเป็นร้อยล้านเราก็ไม่ไปมุกกับคุณ
แม้แต่การสวดมนต์ทุกวันนี้เป็นการทำลายศาสนาพุทธ พูดแล้วก็เกรงใจ ทางรัฐพิธีก็ต้องสวดแต่อาตมาก็ต้องพูด ถ้าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องลึกซึ้งมากในเรื่องการสวดมนต์ ต้องอ้างอิงหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้าหลายข้อเลย แต่คนยังเข้าใจไม่ได้ แม้จะเอาธรรมบทมาสวด แม้แต่สวดปณามคาถา กับสวดธรรมบท
ถ้าสวดประนามคาถาสวดพร้อมกันเป็นหมู่เป็นร้อยเป็นพันคนก็ได้ต่อหน้าธารกำนัล คำประนามคาถาคนแต่งขึ้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นคำแต่งขึ้นของใครก็ตามที่สามารถแต่ง เช่น พาหุง 8 มหากาฯ ภวตุสัพฯ เป็นคำประณามคาถา คุณจะสวดพร้อมกันกี่คนก็ได้ แต่อย่าสวดให้ลากเสียงอันยาว อย่าให้ใส่ทำนองเท่านั้น นี่คือนัยสำคัญซ้อน แต่นี่ผิดหมด ทั้งอย่าว่าแต่ลากเสียงยาว แต่ใส่ทำนองโหยหวนด้วย แล้วเอาไปสวดพร้อมกัน 2 คนขึ้นไปต่อหน้าประชาชน อันนี้ก็ผิดปาจิตตีย์ในมุสาวาทวรรค แต่นี่ไม่ปลง สวดแล้วนึกว่าดีหลงว่าดีด้วย แต่มันผิดอาบัติ ในปาติโมกข์
ในวินัยปิฎกเล่ม 7 ข้อ 20 จะสวดลากเสียงยาวและใส่ทำนอง ข้อ 21 เราอนุญาตสรภัญญะ แล้วก็ไปบอกว่าสรภัญญะนี้เป็นการใส่ทำนองมีทำนองเล็กน้อยก็ได้ไปอนุโลมเอง ก็ขอใช้พยัญชนะว่า พระพุทธเจ้าสุดจะรำคาญ ก็เลยบอกว่า ข้อ 21 เราอนุญาตให้สรภัญญะ
ให้ไปทำความเข้าใจในพระวินัยให้ดี ท่านห้ามสวดด้วยเสียงอันยาว ห้ามใส่ทำนอง และห้ามสวดธรรมบทพร้อมกันสองคนต่อหน้าประชาชนให้สวดได้แต่สรภัญญะ คำเสียงสั้นหรือยาวก็ต้องตามพยัญชนะ
สด.ว่า..สรุป