620114_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 34
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1xZDucjFpmKHLVxlzl9_8H9B_FNNQ1Y8mDkHiOXzL_w8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1twZyUZ4U4UrZv28OckHBEmB8D-fcZS3X
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
ก่อนจะเริ่มตอบปัญหา ก็เอา sms มาอ่าน และสลับกับตอบปัญหาสด
SMS วันที่ 13 ม.ค. 2562 (รายการวิถีอาริยธรรม)
_3867โลกกระแสหลักเชื่อบ่เชื่อพ่อครูเป็นโพธิสัตว์? จะมีคนศรัทธาพ่อครูกี่มากน้อย? แต่สากลโลกก็เชื่อใจลูกศิษย์โพธิรักษ์ให้รางวัลลุงจำลองฯผู้ว่าฯแมกไซไซ!เชื่อถือหมอใจเพชรชูเกียรติบัตรหมอเขียวเพชรเอเซียศิษย์เอกโพธิรักษ์ฯ
พ่อครูว่า…เป็นนัยซับซ้อน ประเด็นแรกคือ ความรู้ของชาวโลกคือโลกียะทั้งสิ้นยังไม่เข้าถึงความรู้ทางโลกุตระเลย ความรู้ทางโลกุตระ ที่จะเข้าถึงโลกุตระได้ จะต้องมีความรู้ในจุดนี้ ที่บอกว่าโลกสากลเชื่อใจลูกศิษย์โพธิรักษ์ ให้รางวัลหมอเขียว คุณจำลอง ทำไมไม่ให้โพธิรักษ์ ไปให้ลูกศิษย์เท่านั้น โพธิรักษ์นั้นทั้งแสดงธรรมทั้งพามาปฏิบัติธรรม เป็นหมวดเป็นหมู่เป็นหมู่บ้านเป็นชุมชนเป็นพฤติกรรมสังคมเลย ทำไมไม่ให้รางวัลโพธิรักษ์ มาให้รางวัลแค่คุณจำลองหมอเขียว ทำไม ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นแสดงว่า ความเป็นศิษย์ ไม่ว่าจะเป็นคุณจำลองหรือหมอเขียว ไปได้รางวัลมันไม่ใช่เรื่องของความเป็นลูกศิษย์โพธิรักษ์ แต่ไปได้รางวัลสำหรับเข้าตาโลกสากลเขา ของคุณจำลอง ของหมอเขียว นี่แหละเป็นประเด็นซับซ้อนลึกซึ้ง เป็นประเด็นที่เป็นสิริมหามายาอย่างมากเลย
สิริมหามายาคือโลกกลับตาลปัตรดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เห็นมีเป็นไม่มี เห็นไม่มีเป็นมี กลับกันไป กลับกันมา เขาจะหมุนจะงงแล้วคิดว่าไม่ใช่ อย่างนี้เป็นต้น อาตมาเป็นสิริมหามายาที่ให้กำเนิดสิทธัตถะ คนจะรู้จักสิทธัตถะรู้จักพระพุทธเจ้าแท้ๆ ต้องศรัทธาสิริมหามายา คนใดที่ยังไม่ศรัทธาสิริมหามายายังไม่มีปัญญาพอที่จะศรัทธาสิริมหามายา แน่นอนจะเห็นสิทธัตถะไม่ได้ จะบูชาเคารพสิทธัตถะไม่ได้ จะไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจ คนที่รู้จักสิริมหามายาดีจึงจะรู้จักสิทธัตถะ ภาวะสิริมหามายาเป็นผู้ให้กำเนิดสิทธัตถะ
อาตมาเองอาตมาเป็นคนไม่มีตัวตน คนจะเข้าใจนับถือยกย่อง อาตมาไม่มีปัญหาเลย แต่อาตมามีหน้าที่ดูแลธรรมะแสดงธรรมะ คุณจำลองหรือหมอเขียวเข้าใจก็มาเอาได้ จนคุณจำลองบอกว่าจำลองวันนี้ได้ดีเพราะอโศก แต่หมอเขียวก็ไม่รู้จะพูดอะไรบ้างก็แล้วแต่ยอมรับนับถือโพธิรักษ์เป็นอาจารย์อยู่ ลูกศิษย์หมอเขียวก็ยอมรับนับถือโพธิรักษ์เป็นอาจารย์อยู่ เช่นหมอเขียว อาตมาได้ยินจากปากคนอื่นว่า หมอเขียวก็บอกว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 แล้วรับอาตมาว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ไม่มีปัญหาไม่แปลกอะไรก็ทำงานแล้วก็มีผลงานอะไรออกมาก็ดี ใช้ได้ ก็ทำให้คนเข้าใจสัจธรรมไปตามลำดับอยู่
คนที่มีภูมิปัญญาก็จะชัดเจนรู้ได้ เพราะฉะนั้นในเถรวาทหรือในศาสนาพุทธเมืองไทยเป็นเถรวาท 100% ไม่รู้จักโพธิสัตว์ แล้วบอกว่าโพธิสัตว์เป็นปุถุชน อาตมามายืนยันว่าโพธิสัตว์เป็นปุถุชนไม่ได้ ต้องเป็นอาริยะเป็นอรหันต์มาก่อน ต้องมีภูมิธรรมโพธิตั้งแต่โสดาบันเป็นเรื่องแรกก็เป็นโสดาบันโพธิสัตว์คือ โพธิสัตว์ระดับ 1
ต้องมีอรหัตตผลของโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาก็สาธยายตามภูมิ อาตมาแจกแจงธรรมะ อาตมาพูดตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้มาพูดเพื่อให้คนเชื่อ หรือ อยากให้คนเชื่อหรือบังคับให้คนเชื่อ หว่านล้อมให้คนเชื่อ ไม่มี อาตมามีหน้าที่พูดความจริงให้จริงที่สุด ส่วนแต่ละคนจะมีภูมิปัญญาเห็นว่าอันนี้เป็นความจริงน่าได้น่ามีน่าเป็นก็เอาเอง หรือคุณเห็นว่าเป็นความจริงแต่ไม่เอา ก็เรื่องของเขา เขาเห็นว่าอันนี้ดีอันนี้จริง แต่เขาไม่เอา ก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครที่เห็นว่าดีจริงก็เอา คนเห็นว่าไม่ดีแน่นอนเขาก็ไม่เอาหรอก ก็ถ้าไม่จริงแน่นอนเขาไม่เอา ต้องเป็นคนที่เห็นว่าดีเห็นว่าจริงเขาถึงจะเอา ไม่เห็นว่าดีไม่เห็นว่าจริงเขาไม่เอาหรอก ใครจะเอาหรือไม่เอาถ้ามาไม่มีปัญหาอาตมามีหน้าที่ที่จะรับผิดชอบสาธยายไป ต้องให้จริง และก็พยายามจะให้คนเข้าใจให้ได้ อันนี้ก็มีด้วย เท่าที่พยายามสามารถได้
อาตมาเก่งสาธยายได้เพียงเท่านี้ อาตมาทำให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ได้เท่านี้ อาตมาไม่เก่งกว่านี้ ไม่พยายามจะทำให้ยาก แต่ธรรมะพระพุทธเจ้ามันยาก ท่านตรัสว่าธรรมะของท่านนั้น
คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สันตา สงบพิเศษคือสงบยังดิ้นแรงไม่ใช่สงบอย่างหยุดง่าย ไม่ใช่ แต่เป็นสงบที่หมุนเร็วแรง เหมือนลูกข่างกินน้ำจั้น ลูกข่างนอนวัน เร็ว นิ่ง ถ้าไม่เร็วได้ขอบเขต ลูกข่างไม่นิ่ง ลูกข่างที่หมุนและเร็วได้นิ่งนั้นเพราะสามารถเอาชนะแรงโน้มถ่วงได้ จึงหยั่งลงได้ มันคือความสงบของศาสนาพุทธ ความสงบของศาสนาพุทธคือความสงบที่เร็วและแรง ไม่ใช่ความสงบที่หยุดนิ่งเฉยช้าไม่ใช่เบา ไม่ใช่เลย
สมณะแปลว่าผู้สงบ เถรสมาคมเขาให้มานะ อาตมาไม่ได้ตั้งเอง สัจธรรมเป็นเรื่องที่ต้องเป็นเช่นนั้นมันต้องเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ในสังคมประเทศไทยเขาไม่เรียกพระเป็นสมณะหรอกเขาเรียกพระ อย่างนี้เขาเรียกภิกษุ ไม่ได้เป็นสมณะหรอก แต่เอาไปเอามา เรามากลายเป็นสมณะ เขาให้ นี่มันคือความลงตัวเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้
สงบของศาสนาพุทธเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสในใจ คือไม่มีตัวที่ทำให้ไม่สงบ กิเลสคือตัวที่ทำให้ไม่สงบ กิเลสเป็นตัวที่ทำให้คนไม่สงบ คนที่หมดกิเลสแล้วจึงเป็นคนสงบ อาตมาประกาศไปหมดแล้วว่าตนเองเป็นอรหันต์อาตมาจึงสงบ
คนเห็นว่าอาตมาไม่สงบเพราะเขารู้ไม่ได้ อุตส่าห์บอกก็ยังไม่รู้ ยังไม่เชื่อถือ สันตาคือสงบ สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตอะไรที่ตั้งมั่นก็คือจิตใจที่สะอาดปราศจากกิเลสตั้งมั่นเป็นแกน Static ที่แข็งแรง ยิ่งแข็งแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งหมุนได้เร็วเท่านั้น เพราะมีคู่ Static กับ Dynamic สัมพันธ์กัน สัมผัสกันอย่างแข็งแรง แกนจึงแข็งแรงมากจึงหมุนได้เร็วอาตมาจึงแรงได้มากเร็วได้บ้าง แสดงธรรมเร็วไม่คิดช้าเลยเดี๋ยวนี้ค่อยยังช้าหน่อย แต่ก่อนที่แสดงธรรมวัดมหาธาตุ เรียกว่าแสดงจนพอเราลงจากเวที ไอ้หนุ่มบอกว่า มันชิบหายเลยหลวงพี่แต่พูดให้ช้าหน่อยฟังไม่ทันเลย
_ใจแก้ว…ก่อนมาอยู่บ้านราชฯ อยู่ที่สันติฯ เป็นคนแพ้คาเฟอีน ในกาแฟ ดื่มไปตอนเที่ยงหลังอาหาร แต่ตลอดคืนตาค้างไม่ได้นอนถึงสว่าง เสร็จแล้วก็เลยกังวล ผ่านไปวันหนึ่งไม่ได้หลับ ตอนกลางวันก็ทำงานอีก คืนที่สองถึงได้หลับ แต่ไม่ยอมแพ้ อีกอาทิตย์หนึ่งก็ไปลองอีก ทำไมใจเราสู้อำนาจคาเฟอีนไม่ได้ เสร็จแล้วพอจะนอนก็ตาค้าง จิตกังวลอีก แต่พอวางจิตได้ไม่กังวล จิตก็วางได้นอนได้
คนเราพออายุมากใกล้ตายจิตวางไม่ได้ แต่หากเราสะสมจิตปล่อยวางได้บ่อยๆตอนเราจะทิ้งร่างจะวางได้ง่ายขึ้นไหม
พ่อครูว่า…ได้ หากเราฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวจะเกิดญาณปัญญารู้ ท่านใช้คำว่าทำใจในใจ โยนิโส มนสิกโรติ เราทำใจในใจของเรา ฝึกใจของเราทำอย่างนี้ เราจะรู้ว่าเราฝึกใจในใจทำใจในใจได้ไหม การทำใจในใจขณะตื่นรู้มีอะไรกระทบสัมผัสเราก็ได้ปรับใจของเราถ้าทำได้เก่งก็เรียกว่ามีอภิสังขาร ทำใจแยกกิเลสกำจัดกิเลสได้เรียกว่าปุญญาภิสังขาร ค่อยๆทำไป ถ้าเราทำใจเฉยๆไปก็เป็นเพียงสมถะ ก็ทำให้ชำนาญได้เหมือน แทนที่จะวางเพียงสมถะเท่านั้น จริงๆแล้วคนเรามันมีสมาธิในตัวทั้งนั้น แต่หัดรู้สภาวะอาการในจิต ว่าจิตมันวางเพราะเรามีปัญญารู้ อ๋อมันเป็นอย่างนี้มันก็วางก็ปล่อยเอง อย่างนี้เรียกว่าเป็นจิตที่เป็นญาณปัญญาแท้ เรียกว่า โสฬสญาณ ในข้อมุลจิตตุกัมมยตาญาณ ญาณเปลื้องปล่อยด้วยความรู้ ก่อนจะถึง ก็มีการเห็นโทษภัยเปลื้องปล่อยไปตามลำดับ
ในญาณ 16 เราจะชัดเจนเลย
-
นามรูปปริเฉทญาณ ญาณจำแนกรู้รูป-รู้นาม และ . นามก็เปลี่ยนเป็น“รูป” ให้ถูกรู้อีก ว่ายึดครอง? . . .
-
ปัจจยปริคคหญาณ ญาณรู้ปัจจัยของการยึดถือ มั่น ครอบครองมั่น หลงเอารูปทั้งหลายมายึดจนเที่ยง .
3.สัมมสนญาณ ญาณรู้เห็นรูป-นามของกิเลสตัณหา ซึ่งยังวนๆ อยู่อย่างเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่เที่ยง
-
(1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ
-
(2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย .
-
(3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป
-
(4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย
-
(5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย . .
-
(6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา) .
-
(7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง . การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้ ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น .
-
(8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย . . .
-
(9)สัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย โดยใช้ สัปปุริสธรรม ๗. ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ
-
โคตรภูญาณ ญาณรู้หัวต่อ ตัดโคตรขึ้นสู่อาริยภูมิ. .
-
มัคคญาณ ญาณรู้ภาวะของอริยมรรคแต่ละขั้นๆ
-
ผลญาณ ญาณรู้ผลสำเร็จแห่งการเป็นพระอาริยะ
-
ปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ทบทวนตรวจสอบ มรรคผล และบริบทแห่งความสำเร็จทุกอย่าง .
พตปฎ. ล.31 ข.1 ปฏิสัมปภิทามรรค
ขุ.ปฏิ.31/มาติกา/1-2 และ วิสุทธิ.3/206-328
อาตมาพูดนี้ รู้สภาวะหมดทั้ง 16 ญาณ แต่ว่าจำพยัญชนะไม่ได้เท่านั้น ญาณ 16 ก็มาจาก ญาณ 72 ที่เทศน์ลึกซึ้งมาก ไปแค่ 16 อย่างก็เป็นอรหันต์ได้ไม่มีปัญหา
_สิริมา..มีเพื่อนของดิฉันที่เป็นนักวิชาการขอหนังสือคนจนที่มีแบบดิฉันก็ส่งไปให้ ขอถามว่าถ้าจะมีชื่อผู้แต่งอยู่ที่ปกหลังได้หรือไม่ ถ้าเวลาพิมพ์หนังสือครั้งต่อไปให้มีชื่อผู้แต่งอยู่ที่ปกหลังด้วยได้ไหม
พ่อครูว่า…ได้ แต่พวกเราไม่ค่อยสำคัญมั่นหมายเท่าไหร่
_สิริมาว่า ทุกครั้งที่หมอเขียวจะแสดงธรรมก็กราบนมัสการไหว้ครูถึงพ่อครูทุกครั้ง
พ่อครูว่า..หมอเขียวก็ชัดเจนไม่ได้เสแสร้งอะไรหรอกที่จริงมันก็คือความจริงที่คนเข้าใจได้ยาก หมอเขียวเขาก็เป็นของเขาจริงของเขาแต่คนเข้าใจได้ยากแม้ว่าชาวอโศกก็ยังไม่ยกให้เรายังติดใจว่าไม่ใช่ ความจริงเขาก็เป็นของเขาไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่พวกเราก็ อย่างว่าแหละ ตัวตนมันมีอัตตามานะของแต่ละคนอยู่บ้าง
ในโลกก็มีสัจจะของมันเยอะที่อธิบายหรือชี้บอก อย่างอาตมาบอกอาตมาเป็นโพธิสัตว์นั้นไม่ง่าย อาตมาก็จำเป็นที่ต้องพูด นอกจากพูดถึงว่าเป็นโพธิสัตว์แล้ว ทางสายกระแสหลักเขาก็ไม่ประหลาดใจ เขาไม่ติดใจอะไรมากเพราะเขาว่าโพธิสัตว์คือปุถุชนไม่ได้เป็นอาริยะ แต่เมื่อประกาศเป็นอรหันต์เขาจะถือ อาตมาก็ต้องพูดให้ชัดให้ครบ อธิบายไปแล้วว่าถ้าจะเป็นโพธิสัตว์นั้นจะต้องเป็นอรหันต์มาก่อน ถ้าไม่มีเชื้อโพธิมาก่อนจะมาเป็นโพธิไม่ได้ ต้องตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป ถ้าไม่มีอคติจะเข้าใจ อาตมาอธิบายไปหมดแล้ว อธิบายเป็นลำดับ เป็นเนื้อหาเชื่อมต่อกัน ขยายความลึกซึ้งไปวนไปวนมาสารพัด ก็น่าจะเข้าใจได้แต่เขาก็เข้าใจไม่ได้ ก็แล้วแต่
_วันก่อนพ่อครูไปเยี่ยมแม่ค้าที่เฮือน บวร เดินถึงร้าน ชาคาฮารี พ่อครูเดินแล้วมองหน้าเจ้าของร้าน ก็คิดในใจว่า อาหารไม่ได้มอมเมา ราคาก็เอาตามจิตอาสามาแนะนำ ให้ได้บรรลุธรรมอาริยสมบัติเป็นโลกุตระเสียก่อนแล้วมีรูปแบบเป็นชายก่อนด้วยจึงจะโปรดผู้อื่นได้ เห็นว่าคนยุคนี้เป็นคนยุคนรกแตกมาเกิดคงทำไม่ได้ ยกให้โพธิสัตว์องค์นี้ก็แล้วกัน เพราะเห็นว่าโลกมนุษย์คือแดนคนตาย สัตว์ตาย เกิดเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้น ความตายมันไม่ได้ยินดีในการสร้างอะไรที่มากเกิน
สิ่งทำไม่ได้คือพูดดีทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร สิ่งที่พูดไม่คิดทำให้มิตรกลายเป็นศัตรู
_อธรรมคืออะไร
พ่อครูว่า…ธรรมะแปลว่าสิ่งที่ทรงไว้ สิ่งที่มีอยู่แล้วก็ทรงไว้ในจิต ถ้าไม่มีจิตวิญญาณก็ไม่มีธรรมะ แล้วคุณจะเป็นสิ่งที่ดีด้วยที่ทรงไว้ ธรรมะจึงหมายถึงสิ่งที่ดีที่ทรงไว้ในจิตมนุษย์ ดีเป็นระดับเท่าที่คนจะสามารถรู้ได้ว่าอันนั้นคือธรรมะ อธรรมคือสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ควรทรงไว้
อาตมาอธิบายลึกไปอีกว่า สิ่งที่ทรงไว้นั้นคือธรรมะ สิ่งที่ไม่ได้ทรงไว้นั่นคืออธรรม ก็หมายถึง 0 คือไม่มีอะไร
_หลวงปู่บอกข้อด้อยของหลวงปู่ได้ไหมคะ 10 ข้อ
พ่อครูว่า….“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ
อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร …. เช่น
1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน
2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง
3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น
4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง
5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่
6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่ เป็นพวก เป็นบริวาร
7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง
8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ
9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน
-
เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง คือตำหนิคนที่ควรติ จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า
และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง
_หลวงปู่จะเขียนหนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม 2 อีกกี่หน้าคะ
พ่อครูว่า….ก็คิดว่าจะจบแต่ได้แต่คิดแต่เขียนแล้วเจาะลึกวนไปวนมา บางทีพูดซ้ำซากแต่ความซ้ำซากนั้นไม่ได้เท่าเดิมมีความเจาะลึกขยายในนั้น อันนี้ยากจะรู้ คนจะรู้เข้าใจตามได้ยาก ก็เลยตอบไม่ได้ว่าเขียนอีกกี่หน้า
_หลวงปู่ช่วยเขียนให้มันสนุกนิดหน่อยนะคะ(อ่านแล้วง่วงนอน)
พ่อครูว่า…ต้องเอาวิญญาณเชิญยิ้มมกจ๊กมาสิงกระมัง ก็รับไว้พิจารณา
_น้ำมนต์…วรรณะ 9 กับ อวรรณะ 6 แตกต่างกันอย่างไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า…วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ในหลวงร.9 เอาคำว่า ใจพอมาใช้ เป็นเศรษฐกิจพอเพียง คือเศรษฐกิจใจพอเศรษฐกิจมีความพอ ทุกวันนี้ใจคนพอไม่เป็นไม่มีความพอ มีแต่ความตรรกะได้มากเท่าไหร่ก็เอา ยิ่งจะหลงระเริงได้มากๆๆ ไม่เคยพอ เช่น เราหาเงินได้ ยังเหลืออีกเท่านี้พอแล้ว ถ้าเราทำได้มากกว่านี้ก็ทำ แต่สะพัดออกไป ถ้าคนทำเช่นนี้ได้เศรษฐกิจเจริญ ชาวอโศกเป็นคนพัฒนาเศรษฐกิจได้มาก แล้วทำตนช่วยประเทศชาติให้มีเศรษฐกิจดีที่สุดเพราะมาเป็นคนจนมาเป็นคนไม่สะสมเป็นคนใจพอ มีน้อยๆก็พอ จนกระทั่งในชาวอโศก 0 บาทก็พอทำงานฟรีไม่ต้องมีรายได้เลยอยู่สบาย มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งที่สูงส่ง ในสังคมในความเป็นมนุษย์โลกแล้วมันเป็นไปได้ไม่ได้พูด โก้ๆ พูดสัจธรรมพูดความจริงว่าคนมาทำเช่นนี้ได้ยาก
สันโดษ เป็นคนใจพอแล้วเป็นคนขัดเกลาสัลเลขะขัดเกลา กายกรรมที่ไม่ดี มันบกพร่อง วจีกรรมตนเอง ปรับปรุง จิตตนเองไม่ดีก็ขัดเกลา ธูตะด้วยศีล ด้วยข้อกำหนดที่พระพุทธเจ้ากำหนดมาเป็นลำดับ ศีลที่ปฏิบัติได้แล้วไม่เคร่ง ศีลที่ยังปฏิบัติไม่ได้แล้วตั้งใจปฏิบัติให้เคร่ง ศีลข้อที่ 1 คนทำไม่ไหวก็เคร่ง ศีลข้อที่ 2 คนทำไม่ไหวก็จะเคร่ง แต่เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็ไม่เคร่ง คือธูตะ ทำให้ศีลเป็นสามัญปกติทำตนเองบรรลุธรรม
ปาสาทิกะคือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติแล้วขัดเกลากายวาจาใจได้ดีแล้วพัฒนาดีแล้ว มันถึงมีอาการที่น่าเลื่อมใส อาการทางกายวจี โดยเฉพาะที่ใจก็น่าเลื่อมใส อย่างเช่นอาตมา คนเลื่อมใสเพราะอาการทางใจอาตมาน่าเลื่อมใสมาก แต่คนไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไม่ค่อยเลื่อมใสเพราะไม่เข้าใจอาตมาไม่รู้ใจอาตมา เข้าใจใจอาตมาไม่ได้ กายกรรมของอาตมาอาจจะบกพร่องมีข้อด้อยเยอะ แต่ใจสูงส่ง พูดเหมือนยกตน แต่ไม่ได้มีจิตอยากอวดโอ่สาเฐยจิตอยากอวดโอ่ ไม่มี นี่พูดความจริงเป็นสัจจะ อาตมารู้ว่ากิเลสนี้คืออะไรแล้วอาตมาไม่มีอย่างแข็งแรงด้วย คนที่ฟังอย่างมีปัญญาดีจะเข้าใจได้รับประโยชน์ เป็นคนมีธูตะ ปาสาทิกะ
ไม่สะสมเงินทองกองกิเลสไม่สะสมอะไรอีกแล้ว ข้าวของข้างนอกไม่สะสมภายในก็ไม่สะสมกิเลสอีกแล้วหมด 0 เป็นอปจยะ และเป็นคนยอดขยันวิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ใครเห็นก็เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรตลอดเวลาไม่เป็นคนเฉื่อยแฉะ ไม่เป็นคนที่ปล่อยเวลาเปล่าแต่เป็นคนที่ปรารภความเพียรขยันหมั่นเพียรทำงานเสมอ ไม่ทรมานตนด้วย รู้จักการเพียรรู้จักการพัก นี่เป็นวรรณะ 9
ส่วน อวรรณะ 6 มี
-
เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
-
บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
-
มักมาก (มหัปปิจฉะ)
-
ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
-
เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
-
คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
สังคนิกะคือคลุกคลีกับสวรรค์ พยัญชนะตรง แต่เขาไปแปลว่า ไปคลุกคลีกับคณะ สังสัคคะหรือสังคณิกะ คือแทนกันได้ไวยพจน์กัน คือไม่ปรุงแต่งสวรรค์ไม่ปรุงแต่งกับคณะคือกองกิเลส สัคคะคือสวรรค์ ผู้ที่ไม่มีสวรรค์ไม่เอาสวรรค์ ไม่ปรุงแต่งสวรรค์คืออะไร อรหันต์ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ผู้ที่ยังมีสวรรค์ก็ต้องมีนรก เพราะสวรรค์กับนรกเป็น dualism สวรรค์นรกคือเหรียญสองด้านคือคู่หู สวรรค์นรกคือ เทวะ แยกกันไม่ได้
ชาวเทวนิยมคือผู้ที่ตีเทวไม่แตก แต่ศาสนาพุทธนั้นตีแตกสวรรค์นรก ตีแตกธรรมะ 2 ไม่ยึดติดธรรมะ 2 ทำให้เป็นธรรมะ 1 ธรรมะศูนย์ได้จึงมีนิพพาน แล้วก็อนุโลมอยู่กับธรรมะ 2 อยู่กับธรรมะ 1 อยู่กับธรรมะ 3 4 5 6 7 8 9 จนถึง Infinity ได้ เพราะยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ เป็นเรื่องสูงสุดทางด้านจิตวิญญาณ
แต่เขาไปแปลว่าไปคลุกคลีกับหมู่คน เขาก็ไม่ให้คลุกคลี ปลีกเดี่ยวไป แต่เขาเข้าใจเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ของพุทธนั้น ไม่ว่าจะคลุกคลีอยู่กับหมู่ชนแต่จิตของคุณไม่มีกิเลสไม่มีเพื่อน 2 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคมเป็นศาสนาไม่ปลีกเดี่ยว การปลีกเดี่ยวนั้นไม่ทำให้เป็นอรหันต์ได้หรอก พยัญชนะกับสภาวะนี้เป็นสภาพสิริมหามายา ก็ยืนยัน ไม่มีอะไรดีเท่าเอาอย่างอาตมานี่แหละ เป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์เป็นผู้ยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง อยู่กับหมู่คณะนี้โดยไม่หนีจากคณะ แต่จิตอสังคณิกะ คือจิตอาตมาอิสระเสรีโดดเดี่ยวไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดกิเลสในจิตได้ ให้เกิดความเลอะเทอะในจิตได้ อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
_น้อมยอดธรรม…วันที่เรามาสอบว.บบบ. ก่อนมาดิฉันว่าจนแล้ว แต่พออยู่ไป ไม่รู้กิเลสก็เลยยังหวง เวลาเราค้าขาย ปากเราให้แต่ใจเราไม่ให้แต่ ปัจจุบันนี้ ฟังพ่อครูรู้เรื่อง ทุกวันนี้เราขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ ได้แล้ว ทุกวันนี้จิตดิฉันก็ยิ่งรวยใครจะมาเอาอะไรเอาได้เลย พอไปทำงานฐานไหนก็ตาม
พ่อครูว่า…คนที่พอ เรามีห้าบาทเราก็พอแล้ว แต่เราไม่ขี้เกียจมันก็จะมีแต่เพิ่มขึ้น แต่คนขี้เกียจไม่รู้จักพอมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีเป็นร้อยล้านแสนล้านก็ไม่พอ พวกนี้มันจนไม่จบสิ้น ก็ไม่รู้จักพอ รวยไม่รู้จักรวย พวกที่จนแต่รู้จักพอ อยู่รวมกันก็มีการเฉลี่ยแบ่งแจกกันอย่างดี พูดไปแล้วก็ชื่นชมกับสังคมอโศก ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าสอนได้มรรคผล เป็นเรื่องสุดยอดจริงๆ ทางเถรสมาคมเขาก็น่าจะชัดเจนเขาก็ศึกษา แต่เขาก็ทำบาปให้แก่ตัวเองคือมาด่าออกมาปฏิเสธอโศกเอาไว้ แล้วคาคอตนเอง ก็จะมารับก็ได้ แต่ไม่เป็นไรไม่เสียหน้าหรอกมาทางนี้เถอะไม่เสียหน้าอะไร เราไม่ได้ติดใจว่ามารับทางนี้แล้วเราจะผยอง แต่ไม่มา รับรองเราเข้าไปของเราได้อย่างนี้
พวกที่ต่อต้าน ตอนนี้ก็ตายไปเสียส่วนใหญ่ เหตุการณ์ผ่านไปหลายสิบปีคนรุ่นหลังก็ไม่รู้หรอก ว่าทางเถรสมาคมเขากระทืบอโศกไว้ แต่ปรากฏว่ามีคุณธรรมของพระโมคคัลลานะฆ่าไม่ตาย ฆ่าอย่างไรก็ฟื้นได้ไม่ตาย อันนี้พูดสัจธรรมแท้ เป็นอมตบุคคล สัจธรรมฆ่าไม่ตายก็เลยยืนหยัดมา และบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
อาตมาจะไปสวดธรรมะพระพุทธเจ้าอมตะบุคคลไม่มีใครทำลายได้ อาตมาจะยืนยันไปจะอยู่ให้ยาวนานหน่อย สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆเกิดขึ้นในไทย เป็นแต่เพียงจะรอดูว่าต่างประเทศจะมารับรองหรือมายอมรับอโศกก่อน หรือ กระแสหลักในประเทศจะไม่ยอมรับก่อน
_เมฆทิพย์…ทำไมพ่อครูยังนอนไม่สนิท
พ่อครูว่า…อาตมาฝึกตื่นทุกชั่วโมงมานานเป็นสิบปี การตื่นทุกชั่วโมงไม่เสียหาย แต่คนทั้งหลายบอกว่าคงนอนไม่พอ อาตมาตื่นทุกชั่วโมงนั้นอาตมาพักได้พอเพราะว่าฝึกมาตื่นก็เป็นตื่นหลับก็เป็นหลับได้อย่างรวดเร็ว เวลาหลับแล้วก็ปล่อยวางได้ เราก็ตื่นได้รวดเร็วเพราะไม่ติดหลับ แต่คนที่ตื่นแล้วหลับก็ไม่ค่อยลงได้ง่ายๆอันนี้เสียแน่นอน แต่คนที่ฝึกแล้วตื่นหลับหลับตื่นสบายมาก คนที่ติดในความหลับก็เป็นคนหลงรสของความหลับคือ รสสะลึมสะลือมันอร่อย คุณไปรักษาความสะลึมสะลือเอาไว้ทำไม อย่าไปเกรงใจมัน ตื่นแล้วสดใสเลยอย่าไปเกรงใจมัน อร่อยๆขี้หมาเป็นอุปาทานมันไม่มีความจริงหรอก ฝึกได้ ใส่ทิ้งตัวสะลึมสะลือได้ก็จะตื่นแล้วก็เป็นตื่นหลับก็เป็นหลับ ความสะลึมสะลือมันหายไปก็คือการกำจัดถีนมิทธะ
แต่ก่อนอาตมาฝึกตีกังสดาลทุกชั่วโมงแต่ตอนหลังเขาริบไป อาตมาไม่มีปัญหาจะหลับก็หลับได้
_แก้วบุญ….หลวงปู่อายุเท่าไหร่
พ่อครูว่า…อายุ 85 หยกๆจะ 86 หย่อนๆแล้ว
_การอยู่ที่นี่ยากเป็นเพราะอะไร เหตุผลระหว่าง กิเลสกับสิ่งแวดล้อมแรงกดดันต่างๆ
พ่อครูว่า…เหตุปัจจัยหลักก็คือกิเลส มันเรียกร้องอะไรต่างๆนานาสารพัด แต่อยู่ที่นี่จะได้ขัดเกลากิเลส คนที่ไม่เจตนาอยู่ที่นี่ไม่ยินดีอยู่ที่นี่ ไม่เห็นว่าที่นี่ดี จะไม่ทนอยู่หรอก เพราะฉะนั้นเด็กๆที่มาอยู่ที่นี่ พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ให้มาอยู่เรียนที่นี่ ก็เห็นว่าที่นี่ดี เด็กก็จะค่อยๆเข้าใจเพราะเห็นว่า มันดี 1.พ่อแม่ก็ให้มาอยู่ จำนน 2.อยู่ไปก็มีส่วนดี จนมีบางคนว่าที่นี่ดีก็ไม่มีปัญหาต่อสู้กับกิเลสตนเองเท่านั้นก็สบาย ผู้ใดรู้ว่าที่นี่ดี วางใจได้เลยต่อสู้กับกิเลสตัวเองให้ได้ ไม่ต้องไปกังวลอะไร ที่นี่ดีแต่ถ่ายเดียว ไม่เลวลงเลย
อยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นั้นมีอิสระเสรีภาพมากกว่า แต่เด็กจะมีผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ส่งมา เท่านั้นเอง เขาเองยังเด็กอยู่ ก็เป็นหน้าที่ผู้ใหญ่ที่จะต้องจัดสรร ผู้ใหญ่เป็นอิสระเสรีจะมาหรือจะไป ก็ตัวใครตัวมัน
ไม่ต้องไปขยายความถึงเหตุที่มีแรงกดดัน มีการบังคับอะไรมันก็เป็นการมอง กิเลสมันเป็นกิเลสทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ทำใจว่า ที่นี่มีความปรารถนาดี จริงนะไม่ได้ พูดเล่น เป็นความปรารถนาดี อาจจะเป็นว่าบางคนเป็นครูบาอาจารย์มีหน้าที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน อาจจะยังไม่มีภูมิธรรมสูง ไม่ได้มีการอบรมสั่งสอนที่อบรมอย่างสมบูรณ์แบบบ้างมีการบกพร่อง ถ้ามีอะไรที่เรารู้สึกว่ามากไปก็บอกผู้ใหญ่ บอกสมณะบอกสิกขมาตุ บอกว่าอาการที่มีอย่างนี้อาจจะบอกชื่อหรือไม่บอกชื่อก็ได้ ทางด้านผู้ดูแลสมณะสิกขมาตุ ก็จะไปจัดการต่อ มันเป็นธรรมดาของสนามรบที่เรียกว่าสรณะ
ส คือการประกอบ รณะ แปลว่ารบ สรณะแปลว่าที่พึ่งอาศัย ที่นี่เป็นสนามรบจริง สนามรบกับกิเลสจริง
_ดินดอน…ในหมู่บ้านเรามีความเป็นพี่เป็นน้องสูง แต่เมื่อคนมากขึ้นก็จะมีความแตกต่างกันมากขึ้นก็เลยอาจประมาณผิดไป วันนี้ผมกับนักเรียนชาย ม.1เอาข้าวสารไปให้เทศบาล เวลาขากลับ ขับรถแล้วได้พบเห็นแกนนำที่เคยเป็นปัญหากับเรา ผมก็คิดว่า เป็นโอกาสดีที่น่าจะได้ให้ข้าวสารกับเขา หาโอกาสผูกมิตรยาก เราก็คุยกับนร.ว่าดีจะไปผูกมิตรกับเขาแต่เอาไปให้แล้วมีภาพที่สะดุดคือ เขาว่า เขาอยากกลับมาทำนาในที่สาธารณะ ซึ่งมันก็ไม่เชื่อมกับความเป็นมิตรเท่าไหร่ ผมคิดว่ามันเลยขั้นตอนไปหน่อย เราน่าจะผูกมิตรก่อนแล้วค่อยลงมือทำ รู้สึกว่าผมพลาดไปในการเอาข้าวไปให้ ประมาณไม่ได้
พ่อครูว่า…ก็ต้องฝึก สัปปุริสธรรม 7 ให้มากขึ้น เป็นธรรมดาธรรมชาติที่เขาต้องการ แต่ในเรื่องที่ศาลพิพากษาไปแล้ว คุณก็เลยไม่ได้ทำจะทำอย่างไรได้ เราพูดไม่ได้มาก
ที่สาธารณะอันนี้อยู่ในขอบเขตของราชธานีอโศกด้วย คุณเองอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาละลาบละล้วงในหมู่บ้านนี้ได้อย่างไร
_ถ้าเราถูกขโมยของไปแล้วเราไปเจอของที่ถูกขโมยแล้วเราขโมยกลับ จะผิดศีลหรือไม่
พ่อครูว่า…ถ้าแน่ใจว่าของๆเรามีเครื่องหมายมีชื่อของเราจริงเราก็ขอยึดกลับได้ถ้าเราไปเจอ ไม่ได้ผิดศีลอะไรเพราะเป็นของของเรา หรือจะบอกผู้ใหญ่ให้เอาคืนก็ได้
_ไพศาล ศรีอำนวยไชย: พระอรหันต์แบบพ่อครู ยากที่คนทั่วไปเข้าถึง แม้แต่กระผมก้อไม่เชื่อจึงมาปฏิบัติตามสิ่งที่พ่อพาทำ ไม่ใช่เรื่องพูดสนุก พ่อครูเป็นอรหันต์หรือโพธิ์สัตว์ หรือไม่ ผมไม่มีประเด็นเชื่อมั่น ไม่ท้าทาย ครับ
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องของปัจจัตตังส่วนบุคคล บางทีก็บรรยายของตัวเองออกมาให้ชัดได้ยาก อาตมาก็พูดแล้วพูดอีกอาตมาไม่มีปัญหาเรื่องที่ใครจะรู้สึกอย่างไรเป็นเรื่องส่วนบุคคล อาตมามีหน้าที่จะยืนยันความจริงให้คนรู้ จึงรวมว่ามายืนยันความจริงอธิบายความจริงแล้วพยายามจะให้คนรู้ อธิบายความจริงให้เป็นความรู้ที่คนจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจึงมีคนที่ดูได้อย่างพวกคุณปฏิบัติไปก็ได้มรรคผล ค่อยทยอยกันมา
อาตมาว่า หมู่บ้านนี้จะมีพลเมืองสัก 1000 คนก็จะเจริญมาก ประกาศมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึง 500 คนหมู่บ้านนี้ ถ้าหากนับนักเรียนด้วยก็ 400 กว่าคน
เด็กที่อยากมาเรียนที่นี่ก็มี แต่ผู้ใหญ่อยากจะให้เรียนข้างนอก แต่ก็อยากจะเรียนข้างในนี้ จนผู้ใหญ่บอกว่าที่นี่มีอะไรดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เลยยอมให้อยู่ต่อไป แต่ถ้าคนบังคับลูกมากก็แน่นอนต้องเอาออกไป เราก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นแหละ ยินดีต้อนรับ
อาตมาทำงานอาตมาก็ช่วยประเทศชาติ ให้การศึกษาแก่เยาวชนก็เอามาใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้บกพร่องของกระทรวง ออกไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้เกียรตินิยมก็มี พิสูจน์มาแล้วเป็นสามสิบปี ออกไปแล้วไม่รู้กี่รุ่นไม่มีปัญหา
แต่เราเห็นข้อบกพร่อง เห็นการเรียนการศึกษาทั่วโลกแยกเด็กออกจากสังคม ไปเรียนในกล่อง เช้าขึ้นไปก็เข้าห้องเรียน จบกลับบ้านก็ทำการบ้าน เช้าก็ไปโรงเรียน ตั้งแต่อนุบาล จนกระทั่งจบปริญญาเอก การศึกษาของเขาจึงไม่รู้จักสังคม เราจึงมาแก้ให้เป็นการศึกษาแบบบวร ให้รู้จักว่าสังคมที่ควรอยู่เป็นอย่างไร มนุษยชาติเป็นอย่างไร เราก็มีสิ่งที่ให้เรียนตามหลักสูตร สังคมมนุษยชาติเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคุณธรรม เราจึงครบพร้อมเลยในโรงเรียน เรามี บ้าน วัด โรงเรียน คุณธรรมคือวัด บ้านก็คือสังคม โรงเรียนคือการศึกษา ให้อยู่ในนี้ซึมซับกัน ออสโมซิส กัน แล้วก็อยู่ร่วมกัน มีชีวิตในสังคมทำงานไปเด็กกับผู้ใหญ่ทำงานอย่างคู่เคียงกัน บางอย่างที่เด็กทำได้ก็ให้ทำ ผู้ใหญ่ทำบางอย่างที่เด็กทำได้ก็ให้ทำเด็กของเราจึงแข็งแกร่ง จบแล้วจึงได้ทั้งความรู้ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา
ศีลธรรมก็มี งานก็ทำเป็น วิชาการก็ได้อย่างของเขา ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา เราจึงเห็นว่าการศึกษาเป็นเช่นนี้ เดี๋ยวนี้กระแสทางกระทรวงศึกษาธิการก็รู้สึกว่าจะเปิดรับแต่เขาทำไม่ได้มาก เช่น ครูที่มีศีล 5 เป็นต้นไปเขาก็จำนนเลย ข้อนี้ข้อเดียวเขาก็ทำไม่ได้แล้ว แต่ของเราคุณครูมีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล ทำไงได้ พวกเราทำได้ ก็ทำไปเรื่อยๆ
_บุญเลี่ยง พันธ์เจริญ · คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นคนไม่ได้ศึกษามายากที่จะเข้าใจได้ ทั้งที่ธรรมทั้งหมดอยู่ตัวเราเท่านั้น
_วางสุข จึงสิ้นทุกข์ · เพราะมีคนกิเลสหนาปัญญาทราม จึงต้องมีพระพุทธเจ้า จึงต้องมีพระโพธิสัตย์ จึงต้องมีพ่อท่าน
พ่อครูว่า…คุณมีสุขอยู่ก็มีทุกข์อยู่ คุณมีทุกข์อยู่ก็มีสุขอยู่ คุณหมดสุขหมดทุกข์จึงจะไม่มีทุกข์มีสุข แต่ศาสนาเทวนิยมยอมจำนนบอกว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ไม่ได้เรียนรู้ว่าอาการสุขทุกข์คืออะไร ก็คือเวทนาคือเจตสิกของจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเหตุที่ทำให้สุขให้ทุกข์ ก็คือกิเลส กำจัดกิเลสได้ก็หมดสุขทุกข์ เป็นพระอรหันต์
พระอรหันต์ทำทุกอย่างเป็นกุศลไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้วจิตใจว่างสบาย โลกจะเป็นอย่างไรก็รู้โลกเขาได้ เขาจะสุขทุกข์อย่างไรก็มีปัญหา ท่านมีจิตใจที่อยู่เหนือยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้อย่างสูงสุด
_รักธรรม สรหงษ์ · ใครจะว่าอย่างไรก็ว่ากันไป ปัญญาของคนเราไม่เท่ากัน บุญบารมีก็ไม่เท่ากัน จึงมองเห็นสิ่งเดียวกันแตกต่างกัน
_เฉลิมชัย ล้อลีลา จิตอะไรเป็นประธานควรกล่าวให้ชัดเจน ครับ
พ่อครูว่า… สมาธิเป็นประมุข
สมาธิมีความคล่องแคล่วปราดเปรียว ยิ่งกว่าลูกข่างนอนวันแล้วนิ่งด้วย เร็วมากด้วยแล้วยิ่งนิ่งมากด้วย นั่นคือจิตมีสมาธิ ทุกวันนี้คนเข้าใจสมาธิไม่ได้ เข้าใจว่าสมาธิต้องไม่พูดแรง แต่สมาธินั้นมีอำนาจมีอธิปไตยอยู่เหนือจะทำให้เร็วให้แรงจะให้ช้าอย่างไรก็ได้ อาตมาเป็นเจ้าของสมาธิ แล้วใช้สติกับปัญญาเป็นประธานอยู่ทุกวันนี้ อาตมาต้องเอาตัวเองเป็นหลักเพราะเปิดเผยไปหมดแล้วไม่ได้อำพราง ใครไม่เชื่อเขาก็ไม่ฟังอาตมาหรอก ไม่เชื่อแต่มาฟังอาตมาก็พอจะรู้เรื่อง ถ้าหากดูภาพเดียวแล้วบรรยายก็ยังได้ แต่อันนี้ภาพเคลื่อนไหวด้วยจะรู้ละเอียดซับซ้อนอีก มีความเป็นสิริมหามายากลับไปกลับมาพยัญชนะกับสภาวะมันสลับกัน พูดอย่างนี้หมายถึงอันนี้พูดอันนี้หมายถึงอันนี้ พูดคำว่าใช่หมายถึงไม่ใช่ พูดคำว่าไม่ใช่หมายถึงคำว่าใช่ คุณจะทันสิ่งเหล่านี้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
ถามว่าอะไรเป็นประธาน ประมุขก็คือประธานอยู่แล้วมีสมาธิเป็นประมุข ตั้งแต่เริ่มต้นจะต้องมีสมาธิที่เป็นประธาน สัมมาทิฏฐิก็เป็นประธาน เมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว ครบสัมมาทิฏฐิ 10 ถึงจะมีจิตที่สะอาดปราศจากกิเลสตกผลึกตั้งมั่น ถึงจะเรียกว่าสมาธิ
อะไรเป็นประธาน ประธานคือจิตที่เป็นสมาธิเป็นประมุขเริ่มต้นปฏิบัติจะต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานมีความรู้อีก 9 ข้อ ใน 10 ข้อของสัมมาทิฏฐิ แล้วเป็นประธานที่จะรู้ว่า
-
ทานทำอย่างไรจึงจะทำให้จิตเข้าสู่มรรคผล
-
ปฏิบัติเห็นโทษอย่างไรจึงทำให้จิตเข้ามรรคผล
-
ปฏิบัติทานกับศีลแล้วจิตใจจะได้มรรคผลอย่างไรบ้าง
-
จะปฏิบัติทานหรือศีลก็เกิดจากกรรมทั้งนั้น
-
รู้จักโลกนี้คือโลกโลกียะ โลกเก่าที่เคยเป็น
-
รู้จักโลกหน้าคือโลกโลกุตระ
-
จะมีแม่
-
จะมีพ่อ
-
ทำให้เกิดโอปปาติกะ จิตใจเกิดบรรลุผลที่เกิดจากพ่อแม่ทำให้เกิดโลกุตรจิต ศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ อธิศีล อธิปัญญาทำให้เกิดอธิจิตเจริญขึ้นไป เป็นปัจจัยที่มีวิมุติ คุณจะต้องเข้าใจกระบวนการของสิ่งเหล่านี้