620120_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ยอดหัวใจในการปฏิบัติของศาสนาพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1hcTolSrfBttBBJZhIWepoZ0JzCI9OufqdXZE665PA04/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1FEvc3pFna59yZiZWQMs4dlR-sWzyeiv3
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีศพของยายจันทร์เพ็ญ มาตั้งที่ศาลาเฮือนสูญศูนย์ เมื่อวานก็มีญาติธรรมที่เสียชีวิต คือคุณยายรจนา
การจัดงานศพของชาวอโศกเป็นงานศพที่เรียบง่ายและรวดเร็ว ไม่เสียเงินเสียทองเสียเวลา
พ่อครูว่า…ชาวอโศกประสบผลสำเร็จในคุณภาพที่วัดได้ ตรวจสอบวัดได้ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้ามีสัมมาอาชีพบริสุทธิ์ สะอาด พ้นมิจฉาชีพ 5 พ้นจากมิจฉากัมมันตะ 3 มีสัมมาวาจา พ้นจากมิจฉาวาจา 4 มีสัมมาสังกัปปะ พ้นจากมิจฉาสังกัปปะ 3
อาชีวะ 5 คือ
-
การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
-
การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
-
การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
-
การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
-
การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
เป็นคนรู้จักและทำสัมมาอาชีวะสัมมากัมมันตะสัมมาวาจา
เป็นคนรู้จักสังกัปปะ 7 ปฏิบัติรู้จักทำจิตให้ออกจากกาม พยาบาท และถึงขั้นออกจากวิหิงสา พยัญชนะเหล่านี้ ชาวอโศกปฏิบัติเข้าถึงสภาวะเหล่านี้ ไม่ใช่แค่มีบัญญัติภาษาเท่านั้น มีสภาวะที่ให้เป็นจริงได้ เข้าถึงเทวะ เข้าถึงความเป็น 2 มีทั้งรูปและนาม มีทั้งสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะ มีทั้งบัญญัติและสภาวะ พูดแม้เร็วก็ไม่งง เหมือนสิริมหามายามีมุทุภูตธาตุ นี่คือสัจจะที่ชาวอโศกบรรลุธรรมพวกนี้ได้ นี่คือสิ่งที่ยืนยันพิสูจน์
อ่าน sms ก่อน
SMS วันที่ 17-18 ม.ค. 2562
_3867กราบขอบพระคุณพ่อครูอ่านเราคิดอะไรให้ฟังให้คนไม่ได้รับหนังสือฯได้ฟังชดเชยสาธุ!ได้รู้เรื่องการบ้านไร้อบาย การเมืองปลอดทุจริต!เกษตรไร้สารเคมีกสิกรรมปลอดสารพิษ!ทุนนิยมไร้ผูกขาดปชธต.ปลอดคอรัปชั่นด้วยเราคิดอะไร?ให้เราคิดดีพูดดีทำดีด้วยใจบริสุทธิ์ต่อทุกสรรพสิ่งสาธุ
เราคิดอะไร?ฉบับที่พ่อครูอ่านเดือนมกราฯฤาเปล่า?ถ้าใช่?ทำไมผู้น้อยยังไม่ได้รับ?จนบัดนี้ฉบับธันวาปี61ที่ คุณใบแก้วบอกว่าส่งมาให้ 2-3 ครั้งก็ยังไม่ถึงผู้รับสักเล่มเดียว!ที่ได้รับเป็นฉบับพฤศจิกา61ซ้ำกัน!สมาชิก340
คิดถึงตอนคุณศีลสนิทเป็นผู้รับใช้บริการฯส่งเราคิดอะไร?ได้รับตรงเวลาช้าเร็วบ้าง แต่ก็สม่ำเสมอทุกเดือน! มีปัญหาอะไรติดต่อสอบถามก็ตอบรับทันทีบริการทันใจ!คุณศีลสนิทไปไหน ?
_7680 ผมเริ่มจะเห็นแล้วว่า “ปัญญา” ที่แท้นั้น มันจะเห็นความจริงตามที่เป็นจริงของมันเอง โดยไม่ต้องพยายามใช้สมองไปบีบเค้นหรือปั้นแต่งถ้อยคำสวย ๆ หรู ๆ ออกมาเลย ผมขอน้อมนำคำสอนพ่อครูที่จะปฏิบัติศีลให้แข็งแรงตั้งมั่นยิ่ง ๆ ขึ้น และมั่นใจว่าเราจะมีปัญญาเห็นสัจจะยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับเอง
พ่อครูว่า…ปัญญานี่เป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ ทีเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆแม้แต่ในชาวพุทธไม่ง่าย มันเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งกว่าสัญญา
1 มันเป็นธาตุรู้ที่เกิดจาก อัญญา
2 มันเป็นธาตุรู้ที่รู้รอบรู้ลึกซึ้งซับซ้อน รู้รอบถ้วน เป็นต้น มันรู้ทั้งรูปทั้งนาม หยาบ กลาง ละเอียด โดยเฉพาะมันรู้พร้อมทั้งภายนอกและภายใน สัญญาก็รู้ได้ภายใน ภายนอกจะไม่รู้ ภายนอกได้อย่างฉาบฉวย การกำหนดสัญญาเป็นเรื่องความเร็ว ปัญญาเป็นธาตุที่เร็วและรอบถ้วน ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่รู้ได้ยากมาก กว่าปัญญาจะเกิดได้อย่างไร
ปัญญาจะถือว่าเป็นปัญญาสมบูรณ์คือหลังจากต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 ครบ แล้วเกิดผล เกิดผลรู้รอบ รู้จนเป็นวิมุติญาณทัสนะเป็นต้น ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ แล้วถึงขั้นวิมุตติญาณทัสสนะ นี่คือคุณสมบัติของปัญญา
ปัญญามีส่วนสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ว่า จะเป็นปัญญาได้ต้องมี 2 ตัวนี้คือ 1 ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 2 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ พระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีองค์ธรรม 6 ปัญญาเจริญยิ่งเป็นปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์มีสัมมาทิฏฐิแล้วต้องเดินตามมรรคมีองค์ 8
ปัญญาที่ไม่ได้ปฏิบัติมรรคมีองค์แปดไม่ได้ มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ครบกระบวน และก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ หรือไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ความรู้ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะมีทิฐิที่ไม่สมบูรณ์
เช่นทำทาน ทำอย่างไรถึงจะมีผลต้องมีปัญญาตรวจสอบ ตรวจสอบจิตเจตสิกรูปนิพพาน ปรมัตถธรรม ว่าจิตเรามันเป็นอย่างไร สัมผัสแล้วทานแล้วมันจะเอาหรือเปล่า มันจะแลบเลียเป็นภพชาติหรือให้ไปแล้ว 0 ไม่มีภพชาติ จิตไม่มีสาเปกโขเลย
ต้องรู้ว่าจิตไม่มี สาเปกโขเป็นอย่างไร ไม่มีท่าทีต่อเนื่องจากการให้ให้แล้ว 0 สูญไปเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ตรงอย่างไม่มีโค้งไม่มีองศาโค้งเข้ามาหาตัวเอง นั่นคือการให้ที่มีคุณสมบัติเป็นผลสูงสุดไห้อย่างซื่อสัตย์สุจริต ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ให้ ไม่มีเอา ไม่มีโค้งมาเอานิดหนึ่งหรือมากก็ไม่มี
ปฏิบัติศีลพรตก็รู้ว่าปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดผล เป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระ เป็นการละกิเลสและตัวตน ต้องรู้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติให้ชัดเจน รู้ว่าจิตของตนได้รับผล ว่าเป็นผลที่จิตของเราได้ลดกิเลส ปฏิบัติและจิตใจลดกิเลสจริง ทาน ศีล สะอาดจากกิเลส ได้ผลเป็นหุตัง เกิดผลเจริญในจิตใจเกิดจาก สุกตทุกฏานัง ทุกกรรมได้บันทึกผลเป็นวิบาก นี่คือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 4
ข้อที่ 5 อยังโลโก ข้อที่ 6 ปโรโลโก รู้จักโลกที่หมุนเวียนไม่ไปหาโลกุตระ ชาวเทวนิยมจะวนอยู่ในโลกเก่าโลกียะ ไม่รู้จักโลกโลกุตตระคืออะไร ปฏิบัติธรรมและจิตของเราออกจากโลกเก่าบ้างไหม ปโรโลโก คือโลกอื่นโลกต่างจากโลกเก่านี่แหละ เป็นโลกที่แยกไปมีอัญญา อัญญะ หรือมีปรนิมิต อยู่ในโลกต่างดาวเราอยู่ในโลกโลกียคือโลกนี้ นี่พูดเป็นรูปธรรมไม่ใช่ว่ามีลูกโลกอีกโลกหนึ่ง แต่ก่อนอยู่ในโลกโลกียะเละเทะ เป็นลูกน้องให้เขาปั่นหัว พยายามจะเป็นนายทางโลกในโลกียะรวยในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สั่งสมวนเวียนในโลกีย์หลงว่าได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขยิ่งใหญ่ ชาติหน้าก็จะต้องยิ่งใหญ่
แต่นี่เรารู้ตัวแล้วไม่เอา เลิกทางนั้น มาปฏิบัติประพฤติเพื่อที่จะล้างกิเลสเก่าที่เราไปโลภมา เป็นโรคด้วยนะ อยู่ในโลกเก่าก็เป็นโรค เรามารักษาโรค ที่เป็นเชื้อโรคโลกีย์ จนเป็นอริยบุคคลเป็นโสดาบันสกทาคามีอนาคามีอรหันต์ อาตมาไม่มีพูดเล่นนะว่าพวกเรานี้เป็นอาหารกันหลายคน แต่ไม่รู้ตัววน เพราะมันไม่ชัด วน ได้แล้วสะอาดแล้วก็ทำเลอะใหม่ แม้ชาวอโศกนี้แหละมีเยอะ ไม่รู้ที่จบ ไม่รู้ที่สุดแล้ว ยังไม่แม่น
ขอยืนยันพวกเรานี้เป็นอรหันต์หลายคน แต่ไม่รู้ที่จบ ก็เลยเลอะ ไม่รู้ที่จบวนไปเลอะใหม่มาล้างใหม่ เรียกว่าไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ชัดเจน
ถ้าชัดเจนแล้วจะเป็นลำดับที่ราบลุ่มเหมือนฝั่งทะเล อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะพูดจริง ที่อื่นไม่มีเลยที่จะมารู้เรื่องอย่างนี้โสดาบันไม่มี มีแต่อรหันต์เก๊ อรหันต์เดา ไม่มีโสดาบันสกทาคามีอนาคามี เขาอาจจะพูดบ้าง เขาพูดถึงปุถุชนแล้วเป็นอรหันต์เลย เขาจะไม่รู้ลำดับไม่รู้ขั้นตอน นี่ไม่ได้ดูถูกเขานะมันพูดถูก คือเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันน่าเศร้าใจศาสนาพุทธมันเสื่อมจนกระทั่งมันไร้คุณธรรมไร้สาระของพุทธ ไร้ความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถ มีปัญญา กำหนดรู้ต่างๆได้ คำว่าปัญญานี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นโลกุตระที่แท้จริง ปัญญาคือความฉลาดที่เป็นโลกุตระที่แท้ ไม่ได้เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ที่เรียกว่า เฉกาหรือเฉโก เพราะบาลีสองคำนี้ เฉกาหรือปัญญา มันหมายถึงความฉลาด 2 ชนิด คำว่าปัญญาของพระพุทธเจ้าหมายถึงความฉลาดที่เป็นโลกุตระที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความฉลาดนั้น เป็นความรู้ที่ฉลาดออกจากโลกโลกีย์ แต่ชาวโลกีย์ทั้งหลายเทวนิยมทั้งหมด ไม่มีปัญญามีแต่ เฉโกอย่างเดียวมีแต่ความฉลาดทางโลกีย์อย่างเดียวไม่ได้ออกจากโลกโลกีย์ ถึงไม่มีปัญญา แต่ขโมยเอาพยัญชนะคำว่าปัญญาไปเรียกคำว่าฉลาด
ฉลาดโลกีย์ก็คำว่าปัญญาไปเรียก คำว่าปัญญาจึงถูกดึงไปใช้เลอะเทอะ แล้วไปยินดีในคำว่าปัญญาแต่คำว่า เฉโกหายไปหมด คนฉลาดเดี๋ยวนี้ไม่เรียกว่าคนมี เฉโก แต่ไปเรียกปัญญาหมด เพราะรู้คำว่า เฉโก เป็นคำไม่ดี มันไม่มีศักดิ์ศรี ส่วนปัญญานั้นมีศักดิ์ศรีก็เลยเอาปัญญานั้นไปใช้แทนหมด คนหลงพยัญชนะก็เอามาใช้เลอะเทอะหมด
คำว่าปัญญาจึงต้องมาเรียนดูให้ดีทำความสำคัญมั่นหมายให้ชัดให้ดี คนมีปัญญาจึงไม่ใช่คนธรรมดา เป็นอริยบุคคล เป็นโลกุตรบุคคล คนปุถุชน ฉลาดเป็นศาสดาก็ไม่สามารถที่จะเป็นผู้มีปัญญาได้ จะเป็นฉลาดอัจฉริยะขนาดไหน ไม่มีทาง ไปหาทางหลุดพ้นได้ คือไม่รู้จักเนื้อแท้ของสภาวะกิเลส จับตัวกิเลสไม่ได้ จะเอาจริงเอาจังทำให้กิเลสลดได้ เห็นกิเลสมันลดได้ วิราคานุปัสสี เห็นกิเลสมันดับนิโรธานุปัสสี จนกระทั่งทบทวนให้มันดับสนิทไม่ฟื้นได้ปฏินิสสัคคานุปัสสี มีญาณปัญญาเห็นความจริงตามความเป็นจริงที่กล่าวมานี้หมดแล้วทำได้จริง ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่จริง
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครู กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุเจ้าค่ะ (ขอแสดงความเสียใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องเนตรด้วยคะ)
พ่อครูว่า…จัดการฌาปนกิจไปแล้ววันนี้ก็จะฌาปนกิจโยมจันทร์เพ็ญ คนหนึ่งอายุ 13 อีกคนอายุ 79 ก็ว่าไป นี่ก็จะมาอีกคนรจนา ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลอยู่ จะเอามาทางนี้หรือไปทางโน้นก็แล้วแต่ญาติเขา
_หลำ มงคลอินทร์ · แค่ได้เห็นก็เป็นสุข ด้วยความจริงเป็นที่ตั้ง สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้พ่อท่าน จงแข็งแรงยิ่งๆขึ้น ค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ดีเห็นอาตมาแล้วเป็นสุขถ้าเห็นและเป็นทุกข์ก็คงจะแย่
_ถามแทนคนใหม่..1 การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธแท้ เราสามารถสะสมบุญได้หรือไม่ 2 การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลสามารถส่งถึงผู้ที่ล่วงลับได้หรือไม่
พ่อครูว่า…
_คุณคณิต..กระผมมีมานะทิฐิว่าตนได้พบธรรมะเอก และกระผมก็มุ่งหมายอยากจะให้เป็นพระเอกในโลกทีเดียว เทพีเสรีภาพ หวังสร้างให้มนุษยชาติมี อจินกรรมถึงธรรมะนี้ แล้วมนุษยชาติจะเจริญดุจกระผม กลับหลังที่จะทวนกระแสพระพุทธองค์
พ่อครูว่า..ตีความได้ว่าคนนี้ก็ยังรู้ตัวเองว่ามีมานะทิฐิถือดีไปหน่อย ได้พบธรรมะเอกแล้วอยากให้ทำมั้ยเอกเป็นเทพีเสรีภาพ
_คุณเฉลิมชัย ล้อลีลา พระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้ออะไรด้วยปัญญาอะไรชั้นปัญญาที่ตรัสรู้มีกระบวนการอะไรครับ เป็นเรื่องพุทธ- วิสัยอจินไตยใช่ไหมคะ ยังมีบทละครสมมติที่จิตวิญญาณเขียนขึ้นมาด้วย นี้คือธรรมะอนุตตรธรรมอยู่เหนือโลกุตตระส่วนกรรมเกิดทีหลัง ขอให้พ่อครูอธิบายด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…ถามลึกเกินไป อาตมาคงไม่อธิบาย ที่จริงอาตมาตอบได้หมด แต่มันถามแบบอมความไปทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้ออะไร อาตมาได้บอกไปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้อเรื่องสุขเรื่องทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เรื่องดีชั่ว เพราะดีชั่วนี้รู้กันมากก็รู้กันหมด เทวนิยมหรือว่าศาสนาทุกศาสนาสอนเรื่องดีเรื่องชั่วทั้งนั้น แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ แล้วให้เลิกจากความสุขความทุกข์ให้ได้ นี่คืออริยสัจของศาสนาพุทธ นี่คือหัวข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอะไร เป็นปัญญาโลกุตระ ปัญญาที่ไม่เหมือนคนในโลกที่ใครๆจะมี เพราะฉะนั้นในโลกนี้ไม่มีใครมีปัญญาเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าค้นพบอันนี้แล้วเลิกสุขเลิกทุกข์ เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่มีทางสิ้นความสุขสิ้นความทุกข์และจะหลงความสุขความทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะความสุขความทุกข์เป็น dualism
ความสุขความทุกข์เป็นเหมือนเหรียญสองด้านเหมือนคู่ที่แกะออกจากกันไม่ออก คนหลงความสุขแต่ความทุกข์นั้นมันก็ติดอยู่กับคนนั่นแหละ ด้วยคุณทำทีเป็นไม่รู้ มันแยกไม่ออก แต่เขาตีสองอันนี้ไม่แตกแยกอันนี้ก็ไม่ได้ ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ตีมันทิ้งหมดเลยทั้งสุขทั้งทุกข์ไม่เอาไว้ทั้งสอง
หมดทั้งสุขและทุกข์ก็จบ หมดทั้งสุขและทุกข์นี้คือหัวใจศาสนาพุทธ ตรัสรู้อะไรตรัสรู้ความสุขความทุกข์มีปัญญาอะไรปัญญารู้ความสุขความทุกข์ ชั้นปัญญาที่ใช้ตรัสรู้เป็นขั้นตอนอย่างไรคือธรรมะทั้งหมดของพระพุทธเจ้าใช่ทั้งนั้น กระบวนการทุกกระบวนการ เป็นเรื่องพุทธพิสัยเป็นเรื่องอจินไตยใช่ไหม ก็ใช่ เป็นเรื่องพุทธพิสัยเป็นเรื่องอาจินไตยที่เดาไม่ได้ แต่จะตามรู้เป็นลำดับไปได้เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย
ยังมีบทละครสมมติที่จิตวิญญาณเขียนขึ้นมาด้วย
_ของคนที่ถามแทนคนใหม่ การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธแท้เราสามารถสะสมบุญได้หรือไม่
พ่อครูว่า…ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเพี้ยนเสื่อมไปทั้งหมด กล่าวได้อย่างนั้น เอาคำว่าบุญเป็นตัวยืนยัน คำว่าบุญ ปุญญะ คำนี้รู้ได้ยากมากเลย ว่ามันคืออะไร เป็นอย่างไรมีคุณสมบัติแค่ไหน ยากมาก
ปุญญะเป็นพลังงาน ที่อาริยบุคคลสร้างขึ้นที่จิต สร้างพลังงานขึ้นมาในปัจจุบันนั้น บุญนอกปัจจุบันไม่มี บุญนอกจากปัจจุบันไม่มี บุญเกิดได้ในปัจจุบันเท่านั้น จบปัจจุบันในกาละใดไม่มีบุญอยู่ ถามว่าบุญจะสะสมได้ไหม…สะสมไม่ได้เลย คนที่ยังหลงสะสมบุญอยู่นั่นคือคนที่งมงายอยู่ตลอดกาล ยังเข้าใจบุญไหม เข้าใจบุญไม่ได้แล้วจะมาสร้างบุญได้อย่างไร..ก็ไม่ได้ ผู้ที่สร้างบุญให้เกิดได้ก็ต้องรู้จักบุญที่ถูกต้องแท้จริงว่า มันหมายถึงสภาวะทำอย่างไร หมายถึงสภาวะที่เกิดในจิตปัจจุบัน พลังงานที่สร้างขึ้นมาทำอะไรสร้างขึ้นมาล้างกิเลสกำจัดกิเลส บุญนี้เป็น one way Traffic บุญนั้นเดินทางเดียว ฆ่ากิเลสอย่างเดียว นอกจากอย่างอื่นไม่ทำเลย ไม่แวะทำเลยมีหน้าที่เดียว เอกังเสนะ หนึ่งเดียว เอกเดียว ฆ่ากิเลสหน้าที่เดียวไม่มีหน้าที่อื่นเลย
ผู้ใดสามารถประกอบพลังงานจิตขึ้นมาแล้วทำให้กิเลสลดได้กำจัดกิเลสออกได้ แม้จะลดไม่หมดได้เป็นส่วนบุญ ได้นี่คือเสีย กิเลสถูกฆ่าไป เช่นฆ่ากิเลสไป 10 ไม่ได้อะไรมาเลยนะ คำว่าส่วนบุญคำนี้เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่มันได้แต่ไม่ได้
ได้ทำสำเร็จ แต่ไม่ได้อะไรมา ได้อะไร…ได้กิเลสหายไป ได้กิเลสหมดไปจากจิต มันไม่ได้ แต่มันได้ผล เพราะผลเป็น 0 คือไม่ได้อะไร นั้นคือสภาวธรรมที่ใช้ภาษาไขให้ฟัง
ผู้ที่ทำบุญถูกต้องของความเป็นพุทธ ทุกวันนี้หาไม่ได้เลย แต่ทุกวันนี้เข้าใจบุญว่าคือกุศล กุศลคือสมบัติสะสมอาศัยไว้ดี พระพุทธเจ้าบอกว่าเราไม่สันโดษในกุศล เราหมดบุญ
ปุญปาปปริกขีโณ เราเป็นผู้หมดบุญหมดบาป มีพระพุทธเจ้าทำได้มีพระอรหันต์ทำได้ แต่ว่ากุศลไม่มีหมด ขนาดพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังไม่สันโดษในกุศล ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ยังไม่หยุดเลย
ถ้าเข้าใจคำว่าบาปและบุญถูกต้องทำให้ถูกต้องก็เป็นอรหันต์ได้ในชาติใดชาติหนึ่ง อาจจะในชาตินี้ก็ได้ถ้าถูกต้องสัมมาทิฎฐิ ก็เป็นพวกใกล้ต่อนิพพาน หากไม่สัมมาทิฏฐิก็จะไม่รู้อีกกี่ล้านชาติ แม้จะเป็นผู้รู้ทางศาสนาใช้ความรู้ทางศาสนาหากินอยู่ ที่จริงก็เป็นบาปทำให้ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นคนเข้าใจผิดไปจากสิ่งที่ถูกต้อง สอนให้คนพากันผิดก็เป็นบาป ทำให้ผิดไปจากสัจจะพระพุทธเจ้ามาน่าสงสารเขาไม่รู้ตัว อย่างเช่นธัมมชโย น่าสงสารมาก
เอาคำว่าบุญมาหลอกล่อตีความว่าจะต้องเป็นสมบัติวิมานเฟส 4 1234 หลอกให้คนตะกละอยากได้ภพชาติ กิเลสหนาเตอะเท่าไหร่ ยุคนี้คนโง่มากเลย ถูกธัมมชโยหลอกให้เป็นบริวารได้ คนไทยน่าสงสารทางธรรมะถูกธัมมชโยหลอก ทางโลกก็ถูกทักษิณหลอก เทียบกันไม่ได้เลยว่าสองคนนี้ใครจะมีนรกใหญ่กว่ากัน เขางมงายก็นึกว่าเขาได้สร้างสวรรค์ทั้งคู่ เขาก็เลยแข่งกันยังไม่ตัดสิน ยังวิ่งสร้างนรก- ต่อไป
พลังงานที่กำจัดกิเลสได้นั่นแหละบุญ กำจัดนิดหน่อยก็ได้ส่วนแห่งบุญ กำจัดหมดสิ้นอาสวะแล้วก็หมดบุญ พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทุกองค์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ผู้ใดไม่เข้าใจความหมายและสภาวะจริงของบุญ คนก็จะยิ่งอยากได้บุญ หาบุญมาใส่ตัว คนนั้นเป็นคนงมงายไม่รู้เรื่อง บุญเป็นเครื่องมือฆ่าแล้วเอามาไว้ทำไม ไม่ได้ฆ่าอะไรนอกจากฆ่ากิเลสแก่ตัวเอง แสดงว่าตนเองมีกิเลสอยู่จึงเอาเครื่องมือฆ่ามาไว้กับตัว ถ้าหากทำถูกวิธีกิเลสนั้นก็มาอยู่ในตัวคุณอีกแล้ว บุญมีลักษณะจริงที่ทำหน้าที่เสร็จแล้วก็จบกิจไม่มีอยู่
_การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลสามารถส่งถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้หรือไม่
พ่อครูว่า…อาตมาจะตอบง่ายๆสั้นๆก่อนว่า…การกรวดน้ำ คุณจะส่งอันหนึ่งให้ไปถึงวิญญาณอีกอันหนึ่ง คุณจะทำอย่างไร เราปลูกบล็อคเคอรี่หรือดอกกะหล่ำ อันนี้สวยจังเลย เอาไปต้มไปแกงก็ถวายพระ ไหว้เสร็จแล้วก็ส่งให้ผู้ตายด้วย ก็กรวดน้ำ ยะถาวาริวะหา ถามว่าดอกกะหล่ำหนีออกจากท้องพระไปแล้วก็ไปหา ย่าและยายที่ตายไปไหม เป็นอุจจาระเศษเหลือออกไปในส้วมเท่านั้น ไม่ไปเด็ดขาด
เอานี่เลย อาตมากินแกงดอกกะหล่ำแล้วเสร็จแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วมันจะเข้าท้องคุณไหมนี่สวดไปเลยร้อยจบ จะออกจากท้องอาตมาไปเข้าท้องคุณไหม พูดกันให้ถึงถึงอย่างนี้ ก็จะได้เลิกเชื่อสิ่งงมงายแล้วนี่เสียที กรวดน้ำไม่ใช่ของศาสนาพุทธ มันเป็นเดรัจฉานวิชาและงมงายอยู่ในศาสนาพุทธอยู่ได้ ใครทำอยู่ก็ยังงมงายอยู่ทั้งนั้น ใครเลิกได้มีความกล้าหาญมาก อาสโภ ไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับเรื่องไม่ได้เรื่องแล้วปล่อยให้นายทุนหากิน เอาวิธีการสร้างหลอกล่อล้วงกระเป๋าคุณอยู่นั่นแหละ ทำเป็นมีพิธีการอยู่ในสังคมหลอกล่อกันอยู่นั่นแหละ มันเป็นขายขี้หน้าพระพุทธองค์ ตัวเองโง่แล้วก็ยังบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าอีก
พระพุทธเจ้าสอนว่ากรรมเป็นของของตน คุณจะทำทาน จะเป็นแกงดอกกะหล่ำกับสับปะรดกล้วยอะไรก็แล้วแต่ คุณได้ทานสิ่งนี้ก็คือคุณจะได้สละให้ก็เป็นกุศลของคุณ แล้วการทานนั้นถ้าคุณมีสัมมาทิฏฐิ ทานแล้วก็ทำเป็นจิตว่างก็ไม่เอาอะไรคืนเลย ก็เป็นการชำระกิเลสของคุณ แต่ถ้าหากทำทานแล้วยังอยากจะได้ก็ไม่เป็นบุญ แต่มีส่วนกุศลเป็นความดี คุณเสียสละวัตถุข้าวของให้ ก็เป็นกุศล เป็นวิบากดีได้ แต่คุณทำจิตของคุณให้เป็นบุญได้ไหม การให้กับการเอามันไม่เหมือนกันเลย ตรงกันข้ามกันด้วย
สภาวะ คือการให้ แต่จะต้องเอา สภาวะคงงง ให้หรือเอากันแน่ สภาวะก็เลยงงเจ้าของที่ทำ การให้แต่จะเอา ก็ต้องตกลงกันว่าเจ้าของจะให้นะ
คำว่าให้กับเอาเป็นธรรมะ 2 คนตีธรรรมะ 2 ไม่แตก แค่นี้คือพวกเทวนิยม
ยิ่งสุข ยิ่งทุกข์ ยิ่งไม่รู้ พระพุทธเจ้าแยกความสุขความทุกข์ก่อน มันเป็นอุปาทาน สุขแบบหนึ่งก็หาย แต่ทุกข์นั้นสั่งสมใส่อนุสัย คุณจะเป็นอย่างนี้จะได้อย่างนี้จะมีอย่างนี้สั่งสมไป แล้วมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็แสวงหา จำไว้ให้ลึกเลยว่าไม่ลืมๆๆๆ ข้ามภพชาติไม่รู้กี่ชาติก็จำอยู่นั่นแหละจะเอาให้ได้เป็นตัวกูของกูไม่รู้จักวาง
ศาสนาพุทธจึงชัดเจนในเรื่องสภาวะธรรมโดยเฉพาะเรื่องธรรมะ 2 นี้ยิ่งใหญ่ที่สุด
มาต่อที่ อ่าน ข้อเขียน เราคิดอะไร
จากพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 ปหาราทสูตร พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงความสัมบูรณ์ได้สุดยอด ครบ ๘ ข้อใหญ่
พุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลาย ย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้
ปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่
พระพุทธเจ้า : มี 8 ประการ ปหาราทะ
8 ประการ เป็นไฉน?
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด(อนุปุพพนินโน) ลุ่ม(อนุปุพพโปโณ)ลึกลงไปโดยลำดับ(อนุปุพพปัพภาโร) หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่(นายตเกเนว ปปาโต) ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา(สิกขา)ไปตามลำดับ มีการกระทำ(กิริยา)ไปตามลำดับ มีการปฏิบัติ(ปฏิปทา)ไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ)
ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ(อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำไปตามลำดับ(อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปุพพปฏิปทา) มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ) นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ 1 (ปฐม อัจฉริโย อัพภุตธัมโม) ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
คำว่า ลาด ลุ่ม ลึก ไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว นั้นก็คือ ลำดับของการศึกษา(สิกขา)ก็ดี ลำดับของการประพฤติที่ได้ทำกันจริงๆ(กิริยา)ก็ดี และลำดับของวิธีการแห่งปฏิบัติทั้งหลาย(ปฏิปทา)ก็ดี ล้วนดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระดับราบรื่น เรียบ ร้อย ง่ายงาม ดีมาก ไม่สะดุดตะปุ่มตะป่ำ ไม่ขรุขระ ไม่อีโหลกโขลกเขลก ไม่กลับไปกลับมา ไม่ต่ำตกวูบแล้วก็พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด หกคะเมนตีลังกาอย่างไม่เป็นท่า หรืออะไรอย่างนั้น แต่เป็นระบบระเบียบเรียบราบดี ไม่วุ่นวนสับสนไปมา เดี๋ยวกลับหน้า เดี๋ยวกลับหลังนั่นคือ หลักเกณฑ์สำคัญหลักแรกยิ่งใหญ่คือ “ศีล-สมาธิ-ปัญญา” (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ส.ฟ้าไท แทรก
สมาธิของพระพุทธเจ้ายิ่งเร็วยิ่งแรงยิ่งนิ่งยิ่งสงบ คำว่าสมาธิจึงไม่ใช่ยิ่งเมายิ่งอ่อน ยิ่งแข่งยิ่งแน่นไม่ใช่ แต่สมาธิของพวกนั้นเป็นสมาธิที่มีพลังงานมหาศาล
“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้ จะปฏิบัติได้ผล“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา-อธิมุตโต”ไปตามลำดับ และเกิด“วิมุตติ”ไปเป็นขั้นๆ เป็นเรื่องๆ ๑.เมื่อผลของ“ศีล”นั้นทำให้“จิต”สะสมผลได้“อธิจิตตั้งมั่น”เข้าขั้น“สมาธิ”ครบรอบต้น “อธิปัญญา”ก็รู้แจ้งรู้จริงในผลที่สั่งสมตกผลึกเป็น“สมาธิ”รอบต้นนั้นไปตามลำดับ จนกระทั่ง “ศีล”ข้อนั้นปฏิบัติจนมีผลทำให้“จิต”สะอาดบางจางจากกิเลสไปเรื่อยๆ และควบแน่นเข้าๆ กระทั่ง“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นกลาง” และที่สุด“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นปลาย”เรียกว่า “วิมุตติ” ก็จะมี“อธิปัญญา” ตามรู้ใน“อธิ”ต่างๆทั้งหมดนั้นๆไปด้วยตลอด จนที่สุด อะไรจะมาหักล้างอีกไม่ได้เลย
ไม้ร่มส่งกวีมาแทรกว่า…
วันครูบุญ-คุณค่ามาแต่เหตุ
ให้น้องเนตร เปิดทางสว่างไสว
จันทร์เพ็ญเดินเจ็ดก้าวให้เข้าใจ
เป็นของใฝ่ของขวัญวันให้พ่อครู
ท่านเดินดินเปิดฟ้าตาวิเศษ
พ่อท่านเทศน์ลูกเทิดเปิดตาหู
อโศกสุดกิ่งเรียวเกี่ยวตาดู
อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับ
พ่อครูต่อ…กิเลสหมดเกลี้ยงก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า“กิเลสเกลี้ยง”ด้วย“อธิปัญญา”นั่นเอง เรียก“ผล”สุดท้ายนั้นว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ”ใน“สมาธิ”นั้น“ศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิมุติ-วิมุตติญาณทัสสนะ”นั้นคือ “กระบวนการ(process)”ที่เป็น “สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ)” สอดซ้อนสานกันไปอย่างเป็นระบบ ลาด ลุ่ม ลึก ละเอียดราบเรียบอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
ถ้าผู้ปฏิบัติมี“กระบวนทัศน์(paradigm)”ที่มี“ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย”และปฏิบัติเป็นลำดับเข้าขั้น“สัมมาทิฏฐิ”ตาม“ทฤษฎี”(ทิฏฐิ)ของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”พระพุทธเจ้า
ผู้ที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องมี 7 อย่างนี้ก่อน
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[135] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
พระอาทิตย์นั้นเปรียบเสมือนมรรคมีองค์ 8 คนจะเห็นพระอาทิตย์ได้ต้องเห็นแสงอรุณก่อน แสงอรุณนั้นก็คือ 7 ข้อสุริยเปยยาล
ถ้าไม่มี 7 ข้อนี้ถ้าปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็จะไม่สามารถเกิดได้ เพราะไม่สามารถทำใจในใจโยนิโสมนสิการได้ คุณต้องศึกษาทฤษฎีปริยัติจากผู้รู้ที่เป็นมิตรสหายดีเป็นสัตบุรุษของคุณ คุณกลับตาบอดเห็นสมณะที่เป็นสัตบุรุษ เป็นพวกนอกรีต ไปเห็นพวกอสัตบุรุษเป็นพวกมิตรดีสหายดี ไม่เจ๊งวันนี้แล้วจะไปเจ๊งวันไหน ศาสนาพุทธจึงน่าสงสาร ไปยินดีกับอสัตบุรุษ ไปปฏิบัติศีลพรตอย่างสีลัพพตปรามาส ศีลทุกวันนี้ก็ไม่มี มีแต่ศีล 227 ไม่มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีแต่เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด ไม่เป็นศาสนาพุทธเลย พูดแล้วน่าสังเวชใจทำไมเป็นอย่างนี้ ศาสนาพุทธถึงได้ล้มเหลว อาตมาจึงเหลือใจจริงๆ มันอัดอั้น จะพูดก็ไม่ออกได้แต่กรอกตา มันไม่เหลืออะไรอยู่ในใจ
หัวใจของศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธหัวใจของการปฏิบัติอยู่ที่สัมมาสังกัปปะ อยู่ที่การปฏิบัติสังกัปปะ 7 ถ้าไม่สามารถรู้จักสังกัปปะ 7 แล้วก็เรียนรู้แยกเวทนา 108 ไม่เป็น โดยเฉพาะ แยกเคหสิตเวทนา กับเนกขัมสิตเวทนา เป็นธรรมะ 2 ข้อสำคัญคู่เอก จิตของเราสัมผัสแล้วจับรู้ ในสัมผัสกับมันมี กามผสมไหม แขกจรตัวนี้ อาคันตุเก จับตัวกิเลสกามหรือพยาบาท แล้วทำออกเนกขัมมะได้ ทำให้กิเลสออกไปจากใจได้
พิจารณาให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนหรอก พูดภาษาเพราะนะง่าย แปลจากภาษาบาลีว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา แต่คุณจะเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสนี่มันก็ไม่เที่ยง จิตเองก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับ กิเลสมันก็เกิดดับเกิดดับแต่คนไปยึดถือให้มันอยู่ มันไม่เที่ยงก็ไปยึดถือให้มันเที่ยง มันไม่อยู่ก็เอามันอยู่ มันไม่ใช่ตัวตนก็เอามันมาเป็นตัวตน ทำไมมันถึงดื้อจริงนะคน เคยดื้อไหม เดี๋ยวนี้ยังดื้ออยู่หรือเปล่า แล่วกัน โอ้ย หัดลดลงบ้างหรือเปล่า ..ลด ก็ค่อยยังชั่ว แต่ก็ยังชั่วอยู่ดี
ที่พูดนี้มันดูง่ายๆ แต่ชัดขึ้นไหม ปฏิบัติแล้วเราต้องอ่านจิตของเรากระทบสัมผัสแล้วเราต้องอ่านจิตในจิต แล้วทำจิตในจิตของตน ให้จิตมีมุทุภูตธาตุ สัมผัสรู้แล้วแยกแยะได้เร็วมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เร็ว แยกกิเลสได้จัดการกิเลสทันที จัดการกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้กิเลสลดลงได้ด้วยปัญญา การกดข่มมันเป็นอัตโนมัติของแต่ละคนทุกคน ถ้าไม่กดข่มกิเลสรับรองเรี่ยราด ไม่ว่าขี้โลภอยากได้ราคะ หรือโกรธ มันออกมาประจานเต็ม คนกดข่มตามธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันไม่สงวนท่าทีก็เอาออกมาก็เรื่องของสัตว์ แต่คนยังมีองค์ประกอบต่างๆ ไม่ได้ปล่อยออกมาหมดหรอก ไม่ว่าจะเป็นความโกรธความโลภหรือราคะ
แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่เรียนรู้และกำจัดพวกนี้ มันก็มีแต่สะสมหนาขึ้นเรียกว่าปุถุชน คนที่ปุถุชนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองมีกิเลสหนาอยู่ทุกวินาที เติมราคะโทสะโมหะหนาไปเรื่อย เพราะเขาไม่ระมัดระวัง ขนาดเราระมัดระวังยังไม่ง่าย พวกที่ไม่ปฏิบัตินี่น่าสงสาร แล้วเขาไม่รู้ตัวสะสมความโลภสะสมราคะโทสะ อยู่ตลอดเวลาเลย เขาไม่รู้ น่าสงสารไหม นี่คุณเห็นใจโพธิสัตว์ไหม โพธิสัตว์รู้เห็นจริงๆมันน่าสงสาร อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะว่า อาตมาสงสารคนที่เป็นอย่างนี้ พูดอยู่ตลอดเวลา ที่ทำอยู่นี้ก็เหนื่อยนะ มันก็ยากด้วย แล้วทำไมมันถึงดื้อดึงจัง แต่มันก็ต้องทำเพราะไม่มีอะไรดีกว่านี้
ถ้าหากพระโพธิสัตว์ไม่เห็นใจแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แต่จะมาเห็นใจ โดยตั้งจิตว่าจะพยายามพากเพียร ถ้าเราพากเพียรขึ้นก็จะสะสมบารมีขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า ก็เอาเถอะคนเราเกิดมาเป็นคนนั้นสูงสุดได้สูงสุดเท่าพระพุทธเจ้า จะเสียชาติเกิด เราเกิดมาในชาตินี้เราเป็นคนให้ถึงสูงสุดเหมือนพระพุทธเจ้าให้ได้อยากเป็นกันไหม แล้วตั้งจิตกันไหม
เกิดมาชาติหนึ่งแล้ว ถ้าคนที่ได้ภูมิอรหันต์แล้ว คือคนที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้เลยแยกธาตุไปเป็นอุตุนิยามไม่เป็นจิตนิยามได้แล้ว แต่ยังไม่แยกจะทำต่อ นี่คือโพธิสัตว์ ซึ่งเถรวาทไม่รู้เรื่อง เขาตีทิ้งเป็นปุถุชนแล้วเอาโพธิไปใส่ไว้ตรงไหน โพธิคือความตรัสรู้ โพธิสัตว์ก็คือสัตว์ที่มีความตรัสรู้
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์จริงจึงรู้ลำดับนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ถึงระดับ 7 จึงได้รู้ลำดับดีพอสมควร แล้วลำดับที่อาตมาจะต้องไปอีกจึงรู้ล่วงหน้าพอสมควร
ที่ จะต้องยืนยันเพราะว่าคนถูกหลอกให้ไปเชื่อถืออรหันต์เก๊ไปหมด พูดนี้ไม่ได้หลงตัวหลงตนแต่ก็ต้องยืนยัน ถ้าคุณไม่เชื่อก็ต้องตามพิสูจน์ คุณไปพิสูจน์อรหันต์เก๊น่าเสียดายเวลาทุนรอนจะตาย คุณเอาเวลาแรงงานทุนรอนมาศึกษาอรหันต์จริงบ้างสิ แต่เขาไม่เอา ไปเสียเวลากับอรหันต์เก๊กัน เมื่อไหร่จะหยุดเสียที
เขาไม่รู้ว่าอรหันต์จริงคืออะไร อรหันต์จริงเขาสอนกันว่าจะต้องนิ่งใบ้ไม่นิคคัณเห ไม่ติมีแต่ชม แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการตำหนิ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด จะทำกับเธอเหมือนช่างปั้นหม้อที่ทำกับดินที่ยังเปียกอยู่ หรือความชั่วหรือกิเลสของเราเหมือนไฟที่ไหม้อยู่บนศีรษะควรรีบเอาออก ความดีมันก็อยู่กับเราไปมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นต้องรีบเอากิเลสหรือไฟที่ไหม้ศีรษะออก ต้องตำหนิแล้วตำหนิอีก กระนาบแล้วกระหน่ำอีก เรื่องดีนั้นยังชะลอไปได้ แต่เรื่องไม่ดีนี้ต้องรีบร้อน ท่านพูดและยกตัวอย่างอย่างนี้ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะทำยังไงอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะห้ามอาตมาไม่ให้ด่าคนนี้เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง
ซึ่งจะเกิดผลจากการปฏิบัติไปตามลำดับ ลาด ลุ่ม ลึก สนิทเนียน แนบแน่น(อัปปนา) แน่วแน่(พฺยัปปนา) ปักมั่น(เจตโส อภินิโรปนา)ไปตาม“กระบวนการ”ของ“สังกัปปะ ๗”
และการอบรมศึกษาฝึกฝนก็เป็นขั้นๆไปตาม“ศีล”ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือลงมือปฏิบัติศีล จากสำรวมทางกายกรรมภายนอก แล้วเกิดผลทางจิตเป็นอธิจิตไปตามศีล อันมีกำหนดขั้นตอน ข้อ 1-2-3-4-ฯลฯ…เป็นต้น
ศีลข้อที่ 1 นั้นสัตว์แต่ละตัวเขาก็มีวิบากของเขา เรามีหน้าที่ช่วยเขาในสิ่งที่ดี ถ้าเขาจะร้ายก็อย่าไปส่งเสริม บอกความร้ายในสิ่งที่เขามีแล้วให้เขาจัดการความร้ายเอาออกให้ได้ เมื่อพูดถึงความร้าย คนที่มีอัตตามานะก็จะโกรธ เมื่อยจริงๆไม่มีทางเลี่ยง ขี้บนน้ำบนบกก็ไม่ได้ขี้บนอากาศก็ตกมาบนบกอีก ผิดไปหมด
ต้องให้ปฏิบัติทีละคู่ เทวะ แยกรูปแยกนาม
รูปกับนามคือ 1 สิ่งที่เป็น object กับ 2สิ่งที่เป็น Subject
Subject คือตัวรู้ object คือตัวที่ถูกรู้หรือถูกกระทำจัดการ เราต้องจัดการกับจิตของเราเองแล้วเราก็เป็นธรรมะ 2 แต่ศาสนาเทวนิยมแยกเทวไม่ออกแยกธรรมะ 2 แยกรูปแยกนามไม่ออก โดยเฉพาะตนเองนั้นมีธรรมะ 2 แต่ไม่รู้ นิ่งเลย เอาตัว 2 นี้เป็นหนึ่งเดียว แต่ตีไม่แตกแยกไม่ออกก็เลยไม่รู้ว่ามันมีอะไรหลากหลายมากมายเยอะแยะ ทีละคู่แยกได้เป็นล้านๆคู่ คุณก็จะรู้ทุกอย่างเลย แต่เราก็รู้ทีละคู่จึงเรียกว่าเป็นลำดับอย่างราบลุ่ม แต่เทวนิยมตีไม่แตกจึงกลายเป็นเทวคู่ เป็นหนึ่ง แล้วก็ไม่เรียนรู้หนึ่งนี้เลย แล้วยกให้ 1 นี้เป็นยอดสูงสุดอยู่ไหนก็ไม่รู้บันทึกออกมาเรียกว่าตำราแล้วให้ประกาศก prophet ประกาศ แล้วอย่าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องเชื่ออันนี้หมด แยกแยะวิจัยไม่ได้ ทำตามทุกอย่างหมด ควบคุมอิสระเสรีภาพ ศาสนาเทวนิยมจึงเป็นศาสนาทาส100% เป็นทาสพระเจ้า คำสั่งพระเจ้าต้องทำตาม เป็นอาชญา command บังคับ ขออภัยพูดนี้ไม่ได้ว่าหรือดูแคลนแต่สาธยายวิชาการความจริง แต่ถึงเวลาแล้ว โลกกำลังแสวงหาความรู้มีอยู่ อเทวนิยมแยกตัวเองออกได้ ทำให้ตัวเองเป็นหนึ่งก็ได้ทำให้เป็น 0 ก็ได้ พระอรหันต์โพธิสัตว์ก็อยู่กับ 1 หรือ 0
1 คือบทบาทอาศัยให้มี ยังไม่สูญเป็นปรินิพพานปริโยสาน ก็ยังทำงาน เพื่อให้คนอื่นทำ 1 หรือ 0 ได้อีก เป็นผู้ที่สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้าไป ด้วยการให้อิสระให้สิทธิ์คิด ไม่ใช่ให้เชื่ออย่างเดียวโดยไม่มีวิจัยวิจาร เห็นต่างก็ได้สุดยอดประชาธิปไตย คนเชื่ออย่างนี้ก็พิสูจน์ของตัวเองไป ก็บอกว่าของเราถูก คุณก็บอกว่าของคุณถูก ต่างคนต่างพิสูจน์เป็นนานาสังวาสไม่มีการทะเลาะกันไม่ไปทำร้ายทำลายกัน เขาเชื่ออย่างนั้นก็ให้เขาทำอย่างนั้น แต่เราบอกว่ามันไม่ถูกนะ เราก็มีสิทธิ์ จริงใจ ก็บอกว่าอย่างนี้ถูกกว่า อย่างนั้นเราก็รู้แล้วพิสูจน์มาแล้ว จะแยกแยะ 2 ออกมาเป็น 1 จนกระทั่งทำ 0 ได้ ทำได้จนกระทั่งชำนาญ อย่างอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ชำนาญมาสอนอย่างนี้พูดไป ตกผลึกเป็นอเนญชา เป็นธาตุนิพพานที่สั่งสอน อเนญชา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ระดับ 7 นี้ก็แข็งแรงในคุณสมบัติ 5 อย่างนี้มากพอ ไม่มีอะไรทำลายได้แล้ว
เวทนาเป็นธรรมะสอง คือสุขกับทุกข์ หัวใจศาสนาพุทธสอนตรงนี้ไม่ใช่สอนที่ดีหรือชั่วที่เป็นสมมติ จะสุขหรือทุกข์นี้เป็นปรมัตถ์ ในการเรียนรู้ทุกข์เราจะรู้องค์ประกอบที่เป็นกระบวนการเกี่ยวข้องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆรวมกันหมดเลย
เมื่อเราสามารถวิจัยธรรมะ 2 นี้ออกแล้วก็ล้างตัวกิเลสที่เป็นตัวเลวร้ายมาก มันทำร้ายทั้ง ปรมัตถ์และสมมุติ มันไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ถ้าเรามาเรียนรู้สุขทุกข์และลดความสุขความทุกข์มันจะทำลายตัวกิเลส เพราะกิเลสทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์ เมื่อทำให้หมดสุขหมดทุกข์ก็จะทำให้ดีและชั่วดีขึ้นด้วย แต่จะไปทำร้ายแต่ดีแล้วชั่วนั้นไม่ถูก คุณไม่มีวันที่จะสามารถแก้ไขจิตวิญญาณได้สำเร็จสะอาดสมบูรณ์ เพราะ สุขทุกข์เป็นเวทนา ดีชั่วนั้นแล้วแต่เขาจะสมมติ ประเทศนี้ถือว่าดี อีกประเทศถือว่าชั่ว มันก็ไม่ตรงกันหรอก สมมุติคนละอย่างกัน ดีชั่วเป็นสมมติ แต่ในปรมัตถ์ ความสุขความทุกข์นั้นเหมือนกันหมด ที่เหมือนกันเพราะว่ามีการยึดถือ ภาษาสิริมหามายา คุณยึดถืออะไรเพราะคุณชอบ คุณได้ตามที่คุณยึดถือคุณก็มีความสุข เมื่อคุณยึดถืออะไรแล้วคุณไม่ชอบ คุณได้มาคุณก็ไม่สุข
เฉพาะบุคคลทุกคนไม่ว่าชาติไหนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแต่เรียกด้วยบัญญัติคนละอย่าง คนยึดถืออะไรว่าเป็นสิ่งที่คุณชอบได้มาสมใจก็เป็นสุข ถ้าได้มาไม่ตรงสเปค คุณก็เกิดทุกข์
เพราะฉะนั้นสุขทุกข์อยู่ที่อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ที่ยึดถือไว้ในกองอนุสัยอาสวะ เคลื่อนตัวมาให้รู้เป็นความยึดมั่นถือมั่น ตื้นขึ้นมาก็เป็นตัณหา ยึดมั่นถือมั่นว่ากูต้องได้อย่างนี้เปิดขึ้นมามีตา หู จมูก ลิ้น กายผสมกับลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็มี specification หมดแล้วว่ากูจะต้องได้อย่างนี้ ได้ลาภอย่างนี้ ได้ยศอย่างนี้ ยศตำรวจไม่เอาเอายศทหารหรือข้าราชการ เอายศแบบทางโลกแบบฆราวาสก็แล้วแต่ โดยไม่รู้รายละเอียดพรุ่งนี้ไม่ได้ศึกษา ถ้าหากรู้แล้วซะก็ไม่ต้องไปแย่ง เราทำความสุขความทุกข์ให้หมดไปจากจิตแล้ว มันจะรู้ดีรู้ชั่วไปในตัว เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดความสุขความทุกข์แล้วจะไม่ทำอะไรชั่ว จะทำแต่ดี เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ยึดถือในสุขและทุกข์จะรู้จักกรรมวิบาก ไม่สั่งสมโดยเฉพาะสุขทุกข์ก็ไม่สั่งสม ก็เรียนรู้อยู่กับสมมุติ พระอรหันต์มีชีวิตอยู่กับสมมติเท่านั้น หมดความสุขความทุกข์แล้ว ท่านก็อยู่กับสมมุติโลก อันนี้เขาสมมติว่าดี เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม เขาจะสมมติว่าอันนี้ชั่ว จะเห็นว่าดีก็แล้วแต่ หากไม่ทำตามเขา เขาก็ไล่ออกจากประเทศ เพราะวัฒนธรรมกฎหมายเขาก็เป็นอย่างนั้นไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ
อย่างคนชั่ว ขี้โกงอยู่ในประเทศไทยโกงสมบัติชาติในประเทศ เสร็จแล้วประเทศนี้ก็ประกาศไปให้ประเทศอื่นรู้ ประเทศอื่นก็ฟัง คนนี้มันไม่ดี มันไม่ดีจริงหรือเปล่ามันเป็นการเมืองหรือเปล่า เขาก็จะต้องพยายามทดสอบ เขารู้มันไม่ดีจริงๆเขาก็ไม่เอาด้วย ไม่ดีตรงกันนะไม่ดีเพราะอะไรมันโกงชาติโกงประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนคนโกงชาติโกงประเทศก็ถูกไล่ออกไปทั้งนั้น ตอนนี้คนโกงชาติโกงประเทศทางนี้ก็ประกาศไป ประเทศไหนๆเขาไม่ค่อยเชื่อ ยังไม่เชื่อทีเดียวว่ามันจะเป็นการเมืองหรือเปล่า จนกระทั่งความจริงปรากฏว่ามันใช่นะเป็นคนโกงชาติโกงประเทศ ตอนนี้ชาติอื่นที่เขาไม่ค่อยเชื่อ จะค่อยๆเชื่อและไม่ค่อยให้เข้าประเทศแล้ว แต่เขาก็มีอำนาจเงิน ประเทศที่จะต้องง้อเงินเขาอยู่ก็พูดไม่ออก ต้องยอม คนที่มันโกงเงินไปได้และใช้อำนาจเงิน จึงเชื่อถืออำนาจเงินมากเหลือเกิน แล้วมันก็ซับซ้อน เรียนอาชญาวิทยามาได้ก็เลยเก่ง เลยกองเอาไว้เยอะ ใส่แบงค์ไว้ เลยมีอำนาจใหญ่ เพราะลักษณะของทุนนิยมมันช่วย เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนมันก็ออกดอก นี่คือระบบทุนนิยมมันเก่งในโลกก็เลยใช้ระบบทุนนิยมนี้อยู่ได้สบาย ไปด้วยสัจจะนี้แล้วเขาทำกรรมชั่วและบาป โกงก็ยังไม่รู้ว่าโกงแล้วยังไปรุกรานจุกจิกวุ่นวาย
ถ้าหากทักษิณหยุดตอแยประเทศไทยทักษิณอยู่สบาย เขาไม่ว่าอะไรหรอก บาปใครบุญมันก็โง่ไปก็แล้วแต่ เขาก็จบ แต่นี่คุณตอแยเอง เพราะฉะนั้นลูกหลานของคุณก็อยู่ไม่สุขด้วยต่อไปในอนาคตขอบอก คุณเป็นคนหาเรื่องให้ลูกของคุณเดือดร้อนนะ ถ้าคุณหยุด ลูกคุณอยู่ในประเทศไทยสบาย ถ้าคุณไม่หยุดนะ หลานคุณอยู่ก็ไม่สบายในประเทศไทย บอกให้ ด้วยความปรารถนาดีนะคุณทักษิณ จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ศึกษาได้เลย เป็นปรากฏการณ์ที่มีจริงในโลกให้ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งศึกษา
ทุกวันนี้กำลังถึงโหมดเลือกตั้ง เอาล่ะสิไม่ยอมปล่อยมือ
ถ้าทักษิณปล่อยมือ พวกที่ยังอยู่ข้างทักษิณในนี้จะอ่อนแรงมากเลย บ้านเมืองจะสงบ ถ้าหากทักษิณปล่อยมือมา บ้านเมืองจะสงบอย่างเห็นๆ แต่กระนั้นก็ตาม เพราะฝีมือของประเทศไทยทำให้คนในประเทศเข้าใจตัวทักษิณได้มากขึ้นจึงวางจากทักษิณไปเยอะ โพลต่างๆก็ออกมา หมัดเล็นกำลังวิ่งออกไปหาที่เกาะใหม่ เพราะว่าน้ำยาทักษิณนี้น้ำยาชักหมดอายุแล้ว มันไม่มีฤทธิ์แรงมันอ่อนแรง มันมีเยอะก็ตามแต่มันจะหมดฤทธิ์ เพราะอะไร
เพราะสัจธรรมของประเทศไทยพิสูจน์ ประชาธิปไตยจริง พวกประชาธิปไตยเก๊บอกว่านี่เป็นเผด็จการ รัฐประหารทหารมาเผด็จการเอาไปบริหารอยู่ทุกวันนี้เป็นการบริหารของเผด็จการ แต่เขาเป็นประชาธิปไตยต้องเอาเลือกตั้ง อาตมาก็พูดตั้งไม่รู้เท่าไหร่ว่า ที่นี่คือประชาธิปไตย คุณประยุทธมาเป็นผู้บริหารไม่ใช่เผด็จการ แต่มาบริหารเพราะรับหน้าที่สืบทอดจากประชาชนได้ปฏิวัติ ปฏิวัติรัฐบาล 4 รัฐบาล รัฐบาลของสมัครสมชายยิ่งลักษณ์ ทักษิณ เรียบร้อยประชาชนเมืองไทยประชาชนปฏิวัติแต่เข้าใจได้ยาก ก็เป็นการปฏิบัติอย่างสากลไม่ใช้อาวุธใช้ความจริงเป็นตัวยืนยัน จนรัฐบาลพ่ายแพ้ไปจากความจริงอย่างเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามมาก เมืองไทยจึงเป็นเมืองประชาธิปไตยร้อยพันหมื่นแสนล้านเปอร์เซ็นต์ เหมือน psi ชัดล้านเปอร์เซ็นต์
ในปัจจุบันนี้เมืองไทยเป็นเมืองประชาธิปไตยล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วก็พัฒนา มาบริหาร 4 ปี จบ 1 เทอมแล้ว กำลังจะขึ้นเทอมที่ 2 อาตมาว่ารากฐานที่ได้บริหารมา 4 ปีนี้มีรากฐานที่ดีแล้ว ดำเนินต่อไป 4 ปีนี้จะเป็นเครื่องบอกว่าประเทศไทยคนไทยตาสว่างไหม คนที่เขาตะโกนหาว่าเขาเป็นประชาธิปไตย หาว่ารัฐบาลที่บริหารเป็นพวกเผด็จการ แต่ที่แท้เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนปฏิวัติมาแล้วให้พลเอกประยุทธ์เป็นผู้บริหารเป็นนายกรัฐมนตรี ทำงานไป ประชาชนก็ยังเห็นว่าทำงานเข้าตา ในจำนวนนายกฯ 29 คนผ่านมา นายกฯพลเอกประยุทธ์นี้เข้าตาประชาชนมากที่สุด โพลก็แสดงชัดเจน ต่างประเทศก็ยอมรับพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯประเทศไทย ไปที่ไหนก็ตามก็เป็นนายกฯประเทศไทย เท่าเทียมกับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิประธานาธิบดีหรือคอมมิวนิสต์ ยังเหลือประเทศเกาหลีเหนือ ยังไม่คิดอ่านจะไปไม่มีความจำเป็นต้องไปวุ่นวายกับเกาหลีเหนือ ให้อเมริกาเขาตอแยเอง อเมริกาต้องหาวิธีการ อาตมารู้วิธีการของเขา มันไม่ใช่เรื่องระเบิดนิวเคลียร์อย่างเดียวมันมีอะไรมากกว่านั้น ที่มาขึ้นก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ก็ทำไปตามประสาไม่รู้เรื่องอะไร
อาตมามีความจริงอย่างเดียวใครจะว่าอย่างไรอาตมาสู้ด้วยความจริง อาตมา เทกระบะความจริงออกมาให้หมดเท่านั้น สู้จนหมดหน้าตักความจริงก็จบ
สมณะฟ้าไทสรุป…จบ