620123_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สีสันชีวิต การเมืองเรื่องของธรรมะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1_yzm3-xfLhBQr_H3xb208QDOkf3UwmohZbtW8fKErYM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ZwlUnjF6ANs4GkuQ_GqHp9wO3ldYrlwS
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธ 23 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมาแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะมีการหาเสียงได้ จะมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน มีการกำหนดให้วันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นวันที่มีการเลือกตั้ง ดูเหมือนว่าไม่กระทบงานพุทธาฯของเรา เราก็ยังกำหนดวันงานเราคือ 14-20 ก.พ. 2562 เริ่มวันวาเลนไทน์ จบเกือบวันมาฆบูชา คือ 19 ก.พ.
ในงานศพยายจันทร์เพ็ญ พ่อครูให้อนุสสติแก่พวกเราว่า ยังไม่มั่นใจว่าหมู่มวลของพวกเราจะสามารถยังให้ศาสนาไปจนถึง 5,000 ปี ถ้าย้อนไปดูธรรมะตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ พ่อครูลงรายละเอียดธรรมะมากยิ่งขึ้น อย่างเราฟังธรรมวินัยพระพุทธเจ้ามีความลาดลุ่มอันน่าอัศจรรย์ มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย
ศีลข้อที่ 1 แต่ก่อนเอาแค่ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ตอนนี้เพิ่มคือมีใจเอื้อเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ลดละความโกรธ หากเข้าใจและปฏิบัติเนื้อหาของศีลแล้วปฏิบัติไปตามลำดับ การเป็นอรหันต์ก็ไม่ยาก วันๆหนึ่งเรามีจิตเอื้อเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง
ศีลข้อที่ 2 จะลดความโลภ ศีลข้อที่ 3 ลดกามคุณ 5
ฟังธรรมมา 30 กว่าปี ตอนนี้พ่อครูพยายามทำให้ง่ายขึ้นมากเลย
พ่อครูว่า…มาอ่าน sms
_นพ พร …..จนสำเร็จแล้ว แล้วไปเป่านกหวีดทำไม ไหนบอกจนสำเร็จแล้วงัยมันไม่โกหกชาวบ้านหรือ หลักฐานมันคาหนังคาเขา ถ้ายังมีข้ออ้างอยู่แก้ตัวอยู่ ก็แสดงว่าโกหก ตามรู้ไม่เท่าทัน กิเลสที่อยู่ในใจตัวเอง ขอบคุณมากที่รับฟัง
พ่อครูว่า…ก็จนแล้วเป่านกหวีดไม่ได้หรืออย่างไร ไม่ได้แก้ตัวหรือโกหก เอาน่าติดตามดีๆ คุณก็เข้าใจพยัญชนะบัญญัติของคุณแล้วตีความตามแต่คุณคิด เช่นการเป่านกหวีดคุณก็ปั้นไปตามที่คุณมีโลกจินตา เราคิดตามคุณไม่ไหว ขอยอมไม่รู้ยอมโง่ เพราะอาตมาไม่มีอจินไตยตามคุณได้ ตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกจินตา
สมณะเดินดินว่า..เป่านกหวีดคงหมายความว่าไปเล่นการเมือง กับกปปส.
พ่อครูว่า…การเมืองใน Concept ของคุณกับอาตมามันไม่เหมือนกัน concept การเมืองของอาตมาคือการช่วยเหลือมนุษยชาติแต่เราจนสำเร็จ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความคิดของเธอกับความคิดของเรามันคนละอย่าง ก็จบ
_ชอง ไคยุน….ขออนุญาตแลกเปลี่ยน
-
ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณชาวทิเบต ยุ่งแต่กับการเมืองกับจีนทั้งชีวิต ทำไมทั้งโลกยกย่อง พระทิเบตชุมนุมประท้วงรัฐบาลเรียกร้องปกครองตนเอง ท่านมหาตะมะคานธีชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอังกฤษ ชุมนุมอย่างสันติอหิงสาแบบนี้ผิดหรือไม่ ถือว่าเป็นคนเลว? หรือท่านมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ที่ได้รับรางวัลสันติภาพเคเนดี รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ทั้งๆที่พาคนชุมนุมต่อต้านรัฐเรื่องการแบ่งแยกสีผิว ชุมนุมเรียกร้องต่างๆ
ดังนั้นอย่าเอาแค่คำว่า “การเมือง” ที่คนเข้าใจในแต่ภาพลบเพราะนักการเมืองเลว มายัดเหยียดว่าถ้าเกี่ยวข้องกับแบบนี้แล้วแสดงว่าเลวแบบเดียวกัน อย่างนี้มันตื้นเขินเกินไป เขาไปทำแบบสงบ อหิงสา นุ่มนวล ลองคิดดูถ้าในเครือข่ายที่ชุมนุมแต่ละครั้งไม่มีกลุ่มอโศก การชุมนุมส่วนใหญ่จะสงบเรียบร้อย ไม่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ไหม
-
แน่นอนในคราว กปปส. มันมีหลายกลุ่ม กลุ่มที่แจ้งวัฒนะที่มันรุนแรง เพราะพวกเขาไม่มีผู้นำที่เป็นอรหันต์จริงๆ เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามกระทำก่อน ผู้นำก็พากระทำรุนแรงตอบโต้ มันก็รุนแรง แต่มีไหมทางกลุ่มสันติอโศกที่ชุมนุมในทำเนียบ ถูกยิง M79 ร่วมๆ 4-5ครั้ง แล้วคุณเห็นเจ้าสำนักท่านนี้เดินนำหน้าพาลูกศิษย์ไปตอบโต้หรือเปล่า จากการไปสังเกตก็เห็นแต่บอกให้อดทน ให้สงบ
-
คุณฟังดีๆที่เขาพูด เขาต้องการทำการเมืองแบบสกปรกให้สะอาด บริสุทธิ์เพื่อทุกคน ไม่เช่นนั้นพระพม่าที่ออกมาประท้วงรัฐบาลทหารก็คงผิดหมดทั้งประเทศเพราะมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ในมุมมองแบบตี้นๆของคุณ
-
ถ้าคุณเปิดใจสักนิด ลองไปเปิดดูคลิปคำสอน(ในช่องนี้ก็ใส่ไว้มากมาย) วัตรปฏิบัติของชาวอโศก การใช้ชีวิตในชุมชน เรื่องพวกนี้คุณเคยเห็นในวัดทั่วไปไหม ไม่มีผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน ไม่จุดธูปเทียนกราบไหว้ต้นไม้ ก้อนหิน วัวออกลูกห้าขา ไม่มีตู้รับบริจาคเรี่ยไร ฯลฯ แล้วถามว่าเขาเอาเงินมาจากไหนสร้างโน่นนี่นั่นมากมาย ก็เพราะเขาสอนคนให้ลด ละ กิเลส จนบรรลุกันตามลำดับขั้นตอน จนละทางโลกๆ มาอยู่รวมกันเป็นชุมชน ถึงแม้ไม่ได้มีจำนวนมาก แต่เขาก็ทำงานแล้วนำเข้าเป็นกองกลาง น้อยมากที่จะเก็บส่วนตัว คุณลองนึกตามง่ายๆบริษัท ธุรกิจที่ไม่ต้องมีต้นทุนค่าแรง กำไรมันจะมากแค่ไหน เขาทำโรงงานปุ๋ยอินทรีย์จากเล็กๆวัตถุดิบบางส่วนก็มาจากชุมชนตัวเอง ขายถูกแต่ก็ยังมีกำไร เพราะคนงานทำงานฟรี(ไม่มีการบังคับแบบคอมมิวนิสต์ด้วย เพราะทุกคนเข้าใจ บรรลุแล้ว ไม่เก็บสะสมส่วนตนแล้ว มีแต่จะเสียสละช่วยเหลือสังคม) เขามีบริษัทขยะ เขามีร้านอาหารมังสวิรัต และลูกศิษย์ลูกหาที่บริจาคกันเยอะแยะ ก็เอาเงินมาทำส่วนกลาง อันนี้ก็เหมือนกับทุกวัด ต่างแต่ไม่เข้าบัญชีเจ้าอาวาสหรือพระ
-
คุณต้องลองเปิดใจ อย่ายึดติดคำว่า “การเมือง” แบบที่เคยเห็นแต่ภาพลบ แล้วก็เหมาเอาว่าใครก็ตามที่ยังยุ่งเกี่ยวถือว่าไม่ดี แต่ถ้าลองพิจารณาดีๆแบบไม่อคติลำเอียง การเมืองที่สะอาดอบริสุทธิ์มีแต่คนมีศีลมีธรรม(ถึงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์) อย่างน้อยๆมันก็จะทำให้บ้านเมืองพัฒนาขึ้น นักการเมืองเลวๆที่แอบแฝงหาผลประโยชน์ก็จะไม่กล้า เพราะรู้ว่าคำจับตามองอยู่ ไม่ใช่ประชาชนประเทศการเมืองเป็นเรื่องสกปรก ฉันบรรลุแล้วฉันจะไม่เอาตัวไปเกลือกกลั้ว ซึ่งยิ่งคิดแบบนี้ยิ่งผิดเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ คุณบรรลุแล้ว คุณแยกแยะถูกผิดได้แล้ว นั่นแหละคุณต้องเขาไปยุ่ง เข้าไปชี้นำว่าเฮ้ย! ทำอย่างนี้ผิดนะ ไม่ถูกนะ คนผิดมันก็จะเกรงกลัว ไม่ใช่บรรลุแล้วหนีไปนั่งหลับตาอยู่ในป่าในถ้ำ ศึกษาธรรมของพุทธให้ดีๆ เมื่อทำประโยชน์ตนแจ้งแล้วบรรลุแล้ว ไม่ถวิลหาสะสมเป็นของตนแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็เพียรทำกิจเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ท่าน เพื่ออุ้มชูจรรโลงสังคม ทำตัวอย่างให้สังคมได้เห็นว่าธรรมของพุทธเป็นอกาลิโก ไม่ว่ายุคไหน คนปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาก็บรรลุ โสดา สกิทา อรหันต์ พระปัญเจกฯ … ไปเรื่อยๆ ตามลำดับได้ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ในพระไตรปิฏกเท่านั้น
_คมสัน แสงศรี….
ไม่รับเงินเอาตังที่ใหนมาสร้างโน่นสร้างนี้มันต้องอยู่แบบสมถะ
พ่อครูว่า…พวกนี้พวกรูเดี่ยว เอาไปใส่ในรูอยู่คนเดียวเลย
_ชอง ไคยุน…เขาอยู่กันเป็นชุมชน คนที่ลด ละ กิเลสได้จนหมดตัวหมดตัว ก็ละทิ้งทางโลกมาอยู่ชุมชน แต่ยังไม่บรรลุระดับสูงถึงขั้นบวชได้ ก็เป็นฆราวาสถือศีล 5 ศีล 8 ตามลำดับ แล้วอยู่ในชุมชนก็ทำงานส่วนกลาง ทุกอย่างเข้าส่วนกลางหมด ไม่มีสังคมแบบไหนทำได้อย่างนี้ ขนาดคอมมิวนิสต์ยังพังเลยเพราะนั่นใช้ระบบบังคับกัน แต่นี่ใช้แนวทางพุทธ สอนให้คนเข้าใจชีวิต ลด ละ เลิกตัวตนได้หมด จึงมาอยู่รวมกันแบบเข้าใจ ไม่ได้ถูกบังคับ คนที่มาคือคนที่พร้อมละทางโลกแล้ว(ไม่สะสมส่วนตัว) พร้อมจะช่วยเหลือโลกแต่ถ่ายเดียว เขาสะสมและสร้างกันมา 30-40 ปี ไม่ใช่นายทุนใหญ่มาอุดหนุน และกฏเกณฑ์การบริจาคก็เคร่งครัด คนทั่วไปเขาไม่รับ ต้องคนที่มารู้จักเรียนรู้แนวทางของเขาก่อน ชุมชนเขาสร้างกันเอง ไปดูจริงๆหลายอย่างก็ทิ้งร้างเพราะค่อยๆสร้าง ตามกำลังที่มี แต่ส่วนใหญ่เขาทำเกษตรฯ เก็บขยะ ลองหาดูคลิปในช่องยูทูปบุญนิยมทีวี มีเยอะแยะไม่ได้ลึกลับอะไร ไม่เชื่อก็ไปดูด้วยตัวเองที่แต่ละชุมชน ลองคบคุ้นดูจะเข้าใจว่าพวกเขาเป็นอย่างไรโดยส่วนใหญ่
พ่อครูว่า…พวกเรานี้ไม่ต้องตกใจเลย เราเป็นได้ในทิศทางนี้ ทุกคนจะเจริญได้กว่านี้อีกไหม ..ได้ คุณจะจนลงไปกว่านี้ได้อีกไหม …ได้ คุณจะมีกำลังวังชาขยันหมั่นเพียรสร้างสรรมากกว่านี้ได้ไหม …ได้ เรามีแต่ทิศทางที่จะหมดศูนย์ได้มากกว่านี้และสร้างสรรได้มากกว่านี้ ภาษาบัญญัติว่าจน แต่สภาวะธรรมนั้นรวย พวกนี้จน แต่รวย เป็นภาษาสิริมหามายาภาษาเทวะ คนที่ไม่เข้าใจภาษาสิริมหามายาก็จะตีไม่แตก เขาจนจริงๆแต่เขามีมาก ต้องนิยามความจนคือเขามีไม่มาก ตัวเขาเองไม่เอาไว้มาก แต่เขาสร้างสรรไว้มากจึงเกิดผลผลิตเยอะแยะมากมาย และเขาก็ไม่เอาไว้ที่ตัวเองมากไม่ยึดถือ เขาก็สะพัดออก แต่พวกที่เอาแต่กอบโกยเข้าหาตัวเองคนนี้จนชิบหาย มีแสนล้านก็จนชิบหายคุณจะจนไปถึงไหนคนนี้ สงสัยตายคา ระวังรวยไม่กระจายเลย พวกนี้ตายคาความรวยเยอะ แล้วเขาก็เป็นหนี้ คนพวกนี้เป็นหนี้ ก็มีแต่เอาของคนอื่นเอาเปรียบคนอื่นด้วยแล้วไม่พยายามใช้หนี้ เขาก็เลยยิ่งเป็นหนี้หนักซับซ้อน ศึกษาให้ดีสัจจะมันซับซ้อนอย่างนี้
_คุณกวดวิชา ….. ผมได้ดูคลิปแล้ว ขอแสดงความคิดเห็นแบบนี้นะครับ…
“ยึดความไม่ยึด = ยึด ?”
จะรู้ได้งัย ?
ตนเท่านั้นที่รู้ ?
รบกวนผู้รู้ทุกท่าน…ช่วยไขประเด็นนี้ให้ผมหน่อยนะครับ ขอบคุณมาก
พ่อครูว่า…อาตมาไม่รู้นะว่าคุณกวดวิชาจะเข้าใจอย่างไร เพราะเข้าใจได้สองนัย ยึดความไม่ยึด=ยึด
ยึด คำหนึ่ง ความไม่ยึด อีกคำหนึ่ง
แล้วเอาความยึดคูณความไม่ยึด ถ้าเช่นว่า ความไม่ยึดอัน1 x 2 ก็=ความไม่ยึดนี้ทบลงไป 2 เท่า ก็เท่ากับยึดได้เก่ง ทีนี้ไขความว่าได้ยึดอะไร ก็ยึดความไม่ยึด เช่นยึด 0 เป็นต้น เขาก็จะยึดความ 0 ได้แน่นยิ่งกว่าเก่า ok ชัดไหม จบนะ
ถ้าเผื่อว่าคุณไม่ชัดเจนในความเป็นเทวะสับสนพยัญชนะกับสภาวะก็จะวน อาตมาพูดจนจบก็จบ พูดอีกก็วน แต่คนที่เข้าใจแล้วจะพูดไปอีกเท่าไหร่ก็จบได้ จะจบที่ความยึดหรือจบที่ความไม่ยึดก็ได้ทั้งนั้นเลยเชื่อไหมพวกเราไม่งง จบอะไร ก็ยึดในความไม่ยึด ยึดในความไม่ยึดให้ยิ่งขึ้น จะพูดไปอย่างไรก็ไม่งงเพราะมันชัดเจนในสภาวะ จะวนเป็นสิริมหามายาเกิดแล้วเกิดอีกกี่รอบ เหมือนนักมายากลอันนี้มีอันนี้ไม่มีอันนี้มี อันนี้ไม่มี อันนี้มา อันนี้ไม่มา อันนี้ไม่มา นี่มา จะสลับเร็วไวอย่างไรก็ทัน
สื
_กวดวิชา….ขอถามเพิ่มเติมนะครับ สมมุติวว่า นาย ก. กินกระเพราไก่แล้วรู้สึกอร่อย โดยนาย ก ถือความอร่อย ณ ขณะนั้น ตามประสบการณ์ของตน แต่ในขณะเดียวกันนาย ก ก็รู้ชัดว่าความอร่อยหรือไม่อร่อยไม่ได้มีอยู่จริง เพราะความอร่อยกำลังพึงพิงตัวกระเพราไก่ ซึ่งกระเพราไก่ก็เป็นเพียงของซึ่งถูกประกอบขึ้นจากองค์ประกอบต่างๆ ของมัน สรุปก็คือ ความอร่อยและไม่อร่อยเป็นเพียงผลพลอยได้ของการปรุ่งแต่ง แบบนี้ นาย ก เห็นตามความเป็นจริงมั้ยครับ…และความอร่อยของนาย ก จะเป็นโทษต่อนาย ก มั้ยครับ รบกวนตอบข้อสงสัยให้หน่อยนะครับ ขอบคุณครับผม
พ่อครูว่า…เห็น และความอร่อยก็เป็นโทษไหม คุณกวดวิชาเข้าใจชัดเจนแล้วถามซ้ำ อาตมาช่วยตัดสิน ตกลงนาย ก. รู้ว่าสองสิ่งนี้เกิดจากการปรุงแต่ง ผัดกะเพราไก่ มีกะเพราและไก่และบริวารอีกเยอะแยะ ปรุงเข้า เสร็จแล้ว มันก็เป็นกะเพราไก่ที่คุณทักมา คนกิน เข้าใจแล้วว่าเป็นกะเพราไก่ รสมันจะเป็นอย่างไร เจ๊กฝรั่งแขก ลิ้นไม่พิการก็เหมือนกันหมด ประสาทได้กลิ่น ลิ้นได้รสเหมือนกันหมด ใครแยกอร่อยไม่อร่อย เป็นอุปาทานส่วนตัว ความยึดถือว่าอร่อยหรือไม่อร่อยเป็น 2 แท้จริงคือรสกะเพราไก่อย่างเดียว คุณกินกะเพราไก่จานนี้มันก็อย่างนี้ ใครมากี่คนๆรสมันก็ยังเหลือ แต่ความเห็นนั่นแยก คุณยึดว่านี้ตรงกับสเปค อีกคนบอกว่าไม่ตรงกับสเปค คนนี้ก็เกิดความชอบคนนี้ก็เกิดความไม่ชอบ ไอ้นั่นต่างหากล่ะที่เป็นความเลอะเทอะ ยึดมั่นถือมั่นตาม specification ของคุณเอง ที่คุณยึดถือมั่นหมายว่าต้องได้แบบนี้ตามสเปคของคุณ ยึดถืออยู่ที่จิตของคุณ ยึดมั่นถือมั่นอยู่ที่จิตของคุณ แล้วมันก็ตรงกับที่คุณยึดมั่นถือมั่นคุณก็ชอบ ถ้าไม่ตรงคุณก็ไม่ชอบ ความชอบหรือไม่ชอบเป็นสองที่คุณตีไม่แตกเป็นเทวดาที่คุณตีไม่แตกแยกไม่ออกและคุณก็ไปยึดเอา 1 ใน 2 คุณก็ไม่เข้าใจ ว่าคุณเป็นคนไม่เข้าใจ 2 และเป็นคนไม่เข้าใจ 1
ถ้าคุณเข้าใจ 1 มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง 2 นี่คือจิตของคุณที่มีกิเลสแต่ละคน ต่างมีความยึดมั่นถือมั่นกันคนละอย่างก็เป็น 2 เป็น 4 เป็น 5 เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นแยกไปได้ ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ชอบมากไม่ชอบมาก ชอบน้อยไม่ชอบน้อย รายละเอียดต่างกันไป มีลำดับอะไรได้อีกเยอะแยะ
_ไอไลค์ คุณ…
ขอเตือนก่อน…
คลิปวิถีการดำเนินชีวิตของชาวชุมชนมีให้ดูในช่องยูทูบบุญนิยมทีวี
ลองศึกษาดู แล้วจะทราบว่าเงินทอง สิ่งก่อสร้างทั้งหลายใครอยู่เบื้องหลัง
รู้แล้วจะยิ่งสงสัยเข้าไปอีกว่าทำได้อย่างไร แล้วจะยิ่งค้นหาข้อมูลไปเรื่อยๆจนถึงบางอ้อ
รู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว หลายคนถูกสมณะรูปนี้ล้างสมองไปเรียบร้อย หลายคนถึงกับทิ้งอาชีพทางโลกไปใช้ชีวิตที่ชุมชนอโศก ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ บางคนอาจเคยได้ยินแต่ชุมชนหมู่บ้านพลัม ที่เมืองนอกของหลวงพ่อติชนัทฮัน ถ้าคุณยังรักความสนุกสนานทางโลก สะสม กักตุน รื่นเริงบันเทิงใจดีอยู่ ไม่มีความทุกข์เลย ขอจงอย่าได้หลงเข้าไปเรียนรู้เป็นอันเด็ดขาด เพราะท่านจะไม่เชื่อว่าสังคมแบบพุทธยังมีอยู่จริงๆในยุคสมัยนี้ ที่คนอยู่ร่วมกัน ทำงานเข้าส่วนกลางแบบไม่ต้องถูกบังคับอย่างคอมมิวนิสต์ ถือศีล 5 ทั้งชุมชน มันคนละขั้วกับสังคมทั่วไป จนคนเข้าใจได้ยาก จึงมองว่าพวกเขาบ้า หรือสุดโต่ง แต่กลับลืมมองชีวิตโลกๆ ปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ วนสนุกสนานกับการดื่มเสพ หมุนไปวนมาของตนเอง เราโดนมาแล้ว
_กช ชกร…ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ คนศึกษาคบคุ้นจริงถึงจะทราบข้อมูลจริงและศรัทธาจริง น่าสงสารคนส่วนมาก ที่ไม่รู้จริงในสิ่งที่เห็นกลับรีบกล่าวหาว่าไม่ดี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะวิบากของแต่ละคน ต้องมีซักวัน ซักชาติที่เขาเข้าใจ เริ่มจากเราตอนแรกรู้จักแค่หมอเขียว ศึกษาไปมารู้จักอาชัยรู้จักอาจารย์ไม้ร่ม รู้จักคุณโจนจันได ว่าอยู่ในสายกลุ่มเดียวๆกัน ซึ่งทุกท่านที่รู้จักในยูทูปล้วนเจตนารมณ์เดียวกัน แค่การสื่ออาจจะคนละแบบ และวันนี้พึ่งได้รู้จักได้เห็นพ่อครู เป็นบุญยิ่งนัก สาธุๆๆ
_NNNJ family ….สันติอโศก ลัทธิพุทธสุดโต่ง ประกาศตนเป็นอรหันต์ เอาพระไตรปิฎกมาบังหน้า ขาดความเข้าใจ ผู้หญิงหัวอ่อนเข้าวัดไหนก็หลงไหลวัดนั้นแหละ ผมเข้าใจ…ทางที่ดีจงพยายามศึกษาพระธรรมวินัยด้วยตัวเอง หมั่นเพียรในการใช้ปัญญา จะดีกว่ามาศรัทธาพวกปอกลอกศาสนาอย่างนี้…. พระสงฆ์ที่เป็นศากยบุตรจริงๆของพระพุทธเจ้าต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก สั่งสอนธรรมก็ต้องสอนให้ตรงตามหลักกาาร ตรงจุด คือเรื่อง ทุกข์ในโลก จะมาสร้างอาณาจักรลัทธิเหมือนธรรมกาย แล้วบอกทำตามพระพุทธเจ้า…มันน่าสมเพช แต่ก็ยังดี ที่สันติอโศก มันก็ยอมรับว่าเป็นลัทธิใหม่แนวพุทธ นั่นหมายถึง มันไม่ได้ทำตามหลักพระธรรมวินัยทุกอย่าง …อย่าสักแต่เชื่อ ศรัทธา มองความดีแบบโลกๆเลย ศาสนานี้พระพุทธเจ้าคือผู้นำทาง ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า พวกนี้ก็ไม่มีผ้ากาสาวะหากินหลอกลวงด้วยคำว่า กูบรรลุธรรม หรอก……
พ่อครูว่า…อาตมาขอยอมรับว่าอาตมากำลังปอกลอกศาสนาเพราะศาสนานั้นถูกขี้หมาทับถมหุ้มห่อเราก็มาลอกขี้หมาออก อาตมาไม่ได้ปอกลอกอย่างที่เขาปอกลอกกัน ตอนนี้เหลือแต่ของเน่าในศาสนาพุทธ ส่วนอาตมาก็ปอกลอกอีกชนิดหนึ่ง นี่คือธรรมะ 2 อธิบายคำว่าปอกลอก 2 นัยยะ
อาตมายึดถือพระไตรปิฎกในการสอน ให้ตรงตามหลักการพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง แต่แค่สันติอโศกกับธรรมกายต่างกันคุณยังไม่มีดวงตาเลย คุณยังมีแต่ตาบอดๆ สันติอโศกกับธรรมกายต่างกันคนละฟากฟ้ากับเหวคุณยังจับมารวมกันเลย น่าสังเวชหนอ
เราไม่แย้งไม่เถียงไม่ถกละ คนนี้น่าจะยังอีกนาน NNN น่าจะอ่านว่าหนาได้ ให้เขาติดตามศึกษาไปก่อน
_พันธ์ศักดิ์ นครศรี…สวัสดีครับ ผมศึกษาในสำนักวัดสามแยก อาจารย์เกษม ดวงแพงมาต เมื่อสึกแล้วท่านได้เล่าว่า ท่านหลงวิมุตเข้าใจว่าตัวเองเป็นอรหันต์ หลงในความสว่างจ้ากว่า 20 ปี เมื่อความสว่างจ้านั้นหมดอานุภาพ จึงรู้ตัวว่า ไม่ใช่ อรหันต์ จึงประกาศลาสิกขา และท่านบอกว่า ท่านเป็นแค่ปุถุชนธรรมดา และต่อเอาพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า นี่เป็นกรณีศึกษา อยากเล่าให้ฟังครับผม
พ่อครูว่า…ใช่ นี่เป็นกรณีศึกษาที่ยังไม่รู้ทาง แต่ก็ยังดี ตนเองหลงแสงสว่างจ้าก็รู้ตัว ถอนตัว แต่เข้าใจผิดไปอีกว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์แล้วจะไปเป็นพระพุทธเจ้าโดยที่เป็นปุถุชนธรรมดา เห็นเลยว่าน่าสงสารคนที่ยังเข้าใจผิดว่าตนเองเข้าใจว่าโพธิสัตว์คือสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ไม่เข้าใจว่าโพธิสัตว์คือสัตว์ที่มีความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นตามลำดับตั้งแต่ขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่เข้าใจว่าจะต้องมีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์อย่างนี้ เข้าใจว่าปุถุชนบำเพ็ญไปจนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเลย โดยไม่มีลำดับของโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ พระพุทธเจ้าสอนอยู่ตรงไหนนะธรรมะของท่านไม่มีลำดับ อยู่ก้นเหวแล้วบรรลุสู่ยอดฟ้าเลยเป็นไปได้อย่างไร ให้ศึกษาดีๆ
_นายคิด กะจิ๊ดรวย….จำสมัยเรียนพระพุทธศาสนาได้มั้ย มีบทหนึ่งท่านกล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงไปห้าม(ปรางห้ามญาติ)ศึกระหว่างเครือญาติของพระองค์ สมณะโพธิลักษณ์เลยถือเอาบทนั้นว่า”พระพุทธเจ้าทรงเล่นการเมือง” เลยเดินตาม โดยที่ไม่ศึกษาให้ละเอียดก่อนว่าเหตุที่พระองค์ทำอย่างนั้นเพราะเหตุไร คิดเพียงแต่ว่า”การเมือง
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้ถือคนเดียวคนอื่นถือมาก่อน อาตมาก็ขออธิบายนิดนึงว่า อาตมา เข้าใจว่าการเมืองคือการเมือง การเมืองไม่ใช่การป่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาพัฒนาคนเมือง ไม่ใช่ศาสนาป่าไปพัฒนาคนในป่า การปฏิบัติก็ปฏิบัติกับสังคมมนุษย์ แล้วก็ลืมตา สังคมมนุษย์สามัญไม่หนีจากมนุษย์ไม่เข้าไปในป่า ที่มีมนุษย์อยู่น้อย แล้วปฏิบัติลืมตาเกิดศีลสมาธิ ปัญญา วิมุติ ไม่ใช่หลับตาแล้วเกิดศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ โดยวิธีหลับตานั้นไม่ใช่ แต่ด้วยวิธีลืมตามีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ มีแสงสว่างจากพระอาทิตย์สะท้อนถึงเราเรียกว่าโลกที่มีแสงอาทิตย์ อาโลกะ เป็นความตรัสรู้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านตรัสว่าตถาคตปฏิบัติโดยมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชา อาโลกะ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีในรายละเอียดจะได้ไม่ตกหล่น
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์….เเล้วทำไมไปชุมนุมกับม็อบทุกครั้ง วิ่งหนี้เเก๊สน้ำตาละ นี้ขนาดคือโพธิสัตว์นะเนี้ย
พ่อครูว่า…คุณไปทำความเข้าใจว่าโพธิสัตว์คือสัตว์ไม่มีความรู้สึก โดนแก๊สน้ำตาแล้วเฉยๆคนก็ต้องไปศึกษาให้ดีก่อน โพธิสัตว์ก็มีความรู้สึกเพราะไม่ใช่พีชนิยาม อุตุนิยาม แล้วไม่ใช่คนสะกดจิตคนเก่งจนไม่รู้สึกอะไร อย่างพระเวียดนามที่นั่งให้คนเผานิ่งเลย อย่างนั้นก็เก่ง เราไม่เอาแบบนั้นเพราะเป็นเพียงพรหมลูกฟัก กลิ้งไปอย่างไรก็ได้ อย่างนี้พาซื่อไม่เอาศาสนาพุทธไม่ใช่อย่างนี้
_ชอง ไคยุน… คุณสุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ เอาที่ไหนมาบอกว่าถ้าเป็นโพธิสัตว์แล้วจะต้องไม่กลัวแก๊สน้ำตา… อย่าบอกนะว่าฟังเขามาว่าโพธิสัตว์ต้องหายตัวได้ เหาะได้ ดำดินได้ แบบที่ในพระอภิธรรมเปรียบเทียบเป็นบุคลาธิษฐาน ถ้าอ่านพระอภิธรรมแล้วเชื่อว่ายักษ์ มาร เทวดา สัตว์นรก เปรต มีจริง ก็คงไม่ต้องอธิบายแล้ว แต่ถ้าเข้าใจว่า เปรต สัตว์นรก เทวดา สิ่งเหล่านี้คือการเปรียบเทียบระดับชั้นความละเอียดของจิตใจ ถ้าอย่างนั้นพอจะคุยกันได้ เคยเห็นไหมคนที่มีจิตใจเป็นสัตว์นรก ก็ข่าวเร็วๆนี้ไงที่ยิงเมีย+ครอบครัวตาย 5 ศพ ฯลฯ คนที่มีใจเป็นเปรตก็มีเยอะแยะ พวกนี้เขาเรียกบุคลาธิษฐาน ถ้าอ่านพระไตรปิฎกฉบับพระอภิธรรมต้องตีให้แตก หรือเอาง่ายๆไปหาดูคลิปการ์ตูนเรื่องพระยามิลินจะพอเข้าใจธรรมะของพุทธแท้ๆ (ไม่ใช่พวกพระเกจิ สักยันต์ ทำน้ำมนต์ ฟันแทงไม่เข้า หนังเหนียวปืนยิงไม่ออก)
พ่อครูว่า…พูดไปจะไปกระทบพระเกจิที่เขากำลังจะเผาสรีระ ที่ไปทำเดรัจฉานวิชา แต่ก็ได้เงินมาบริจาคก็ดีอย่างนึง แต่ทำให้คนหลงเดรัจฉานวิชาคนนี้บาปซ้ำซ้อน อาตมาไม่ได้ว่าหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อทำ บาปย่อมตกอยู่กับหลวงพ่อ อาตมาอธิบายสัจธรรม โดยหลวงพ่อไม่เจตนาก็เป็นกรรมเป็นวิบาก ต้องศึกษาความรู้ในอีกเยอะชาตินี้ทำให้คนงมงายอีกเป็นล้าน โพธิรักษ์เทศน์ไปจะตาย คนก็ยังไม่เชื่อถือเท่าไหร่แต่คนนั้นพูดคนงมงายเยอะ พูดไปเดี๋ยวคนพวกนั้นก็จะไปเพ่งโทษอาตมา อาตมาไม่ค่อยไว้ใจเพราะเขาจิตใจไม่ค่อยสงบยึดติดแรง พูดมากๆเดี๋ยวต้องไปมีชีวิตใหม่ ชีวิตนี้อาตมายังแข็งแรงอยู่ อย่าเพิ่งเอาชีวิตอาตมาเลยนะ
_กระบี่ไร้ตา เมื่อคนไร้หัวใจ….
ใครเชื่อสันติอโศก เชื่อธรรมกาย พากันหลงทางละครับ สันติอโศกตั้งตนเป็นนักบวชตั้งตนเป็นพระเป็นสมณะขึ้นเองด้วยอัตตาและทิฏฐิมานะเต็มหัวใจ จริงไม่จริงลองตรองดูเถอะ
พ่อครูว่า…อาตมาแต่ก่อนเป็นพระ แต่เขาไม่ให้ใช้แล้ว ตกลงกันไปมาว่าจะให้ใช้คำไหนก็มีคุณจรวย เปรียญ9 ก็หามาให้ใช้คำว่า สมณพราหมณ์ พูดโทรศัพท์มากับอาตมาก็ได้คำนี้มา พระไม่ให้ใช้ก็ได้คำว่าสมณะก็ไม่ได้ตั้งเอง
คำว่า อัตตา คุณเข้าใจแค่ไหน แล้วทิฏฐิมานะ คุณไปศึกษาคำว่าอัตตาและทิฏฐิมานะให้ดีเถอะ
สิกขมาตุรินฟ้า สรุป
สมณะฟ้าไท
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า…คนที่พูดมา ที่ชื่อ chon Khyun คนออกความเห็นว่า น่าจะอ่านว่า จนขึ้น
เข้าท่านะ คือเขาพัฒนาการตนเองให้จนขึ้นเรื่อยๆ ที่จริงมันน่าจนลง รวยลง ไม่ค่อยเข้าท่า ต้องรวยขึ้น แต่จนน่าจะจนลง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิกับจักร 4 ปัญญาวุฑฒิ 4
_มีด.ญ.น้ำมนต์…ที่เป็นนักถามมือเอก..เขาชื่อใสกลางเพ็ญ โพธิ์ใบ ถามมาว่า สมาธิหลับตากับสมาธิลืมตาต่างกันอย่างไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า…เด็ก 6 ขวบของชาวอโศกถามกันอย่างนี้แล้วเด็ก 6 ขวบข้างนอกจะถามกันไหม ขยันถามจริงๆเด็กหญิงน้ำมนต์ เอ้าฟังนะด.ญ.น้ำมนต์
สมาธิหลับตาหมายความว่าเขาจะปฏิบัติให้จิตใจเขาเกิดสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น ในในการนั่งหลับตาแล้วก็สะกดจิตเข้าไป แล้วก็เกิดผล จิตเขาก็จะจดจ่อแข็งแรงชำนาญตั้งมั่นได้นานๆๆ จนข้ามชาติ ชาติหน้าก็ยังชำนาญติดอยู่ที่ตัวเองว่าเข้าใจธรรมะพุทธเจ้าแต่ล้างไม่ออกง่ายๆก็มีอีกเยอะ ในพวกเราก็ยังมี นี่คือสมาธิหลับตานั่งสะกดจิตหลับตาแล้วตกภพ ให้จิตเป็นหนึ่งไป แล้วก็เข้าใจผิดอีกว่า เมื่อหลับตาจิตเป็นหนึ่งแข็งแรงเรียกว่าสมาธิได้ที่แล้ว จะเกิดปัญญา โพล่งขึ้นมาเอง ตัวนั้นโดยพยัญชนะก็ไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นสัญญา
เขาแยกความเป็นสัญญากับปัญญา แยกกันไม่ได้ ปัญญาไม่มีในภวังค์ ปัญญาจะเกิดได้ต้องเป็นปัญญาที่มีจักษุปัญญา ญาณวิชชาแสงสว่าง (อาโลกะ) วิธีปฏิบัติต้องมีมรรคมีองค์ 8 มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีมรรคมีองค์ 8 แล้วมีสัมมาทิฏฐิโดยเฉพาะสัมมาทิฏฐิ 10 จะต้องปฏิบัติครบองค์ธรรมสามเส้านี้ จะเกิดได้เป็นปัญญาต้องมีมิตรดีสหายดีแนะนำโดยจะเกิด อัญญธาตุ โดยมีการสืบทอดจากผู้รู้ แต่ถ้าจะเกิดเองเป็นเองแล้วนี่ยากมาก มากจนกระทั่งเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะต้องไปคิดว่าจะต้องเกิดอัญญาเองหรืออัญญธาตุให้แก่ตนเองได้ ควรจะต้องฟังจากสัตบุรุษ ถ้าไม่ฟังจากสัตบุรุษรับรองว่าไม่ได้เกิดง่ายๆ
มีสูตรอยู่ 2 สูตรที่พอขยายความได้คือ จักร 4 กับ ปัญญาวุฒิ 4 มีสองอันนี้
จักร 4 นั้นคือ
-
ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) .
-
สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .
-
อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม) จะสามารถจัดการกับอัตตาของตนเองได้
-
ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย) (พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 31)
ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้ก็จะเกิดจักรที่หมุน แล้วก็กำจัดกิเลสฆ่ากิเลสได้ลดกิเลสได้ด้วยปุญญะ เกิดสั่งสมเป็นของเก่า ปุพเพ จักร 4 จะเกิดจากต้นทุนของเราที่มีอยู่บ้างเมื่อมาพบกับสัตบุรุษที่มีภูมิ ในถิ่นที่เหมาะควรนั้นมีสัตบุรุษและได้ศึกษาได้ฟังสัตบุรุษ คุณก็จะจัดการกับอัตตาของคุณได้ดีทำได้ถูกต้อง ลดละกิเลส แม้ที่สุดตนเองหมดกิเลสก็อาศัยอัตตาได้ดี
ส่วน ปัญญาวุฑฒิ 4 (ความเจริญด้วยปัญญา)
-
สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
-
สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม) เมื่อฟังสัตบุรุษแล้วคุณจะสามารถโยนิโสมนสิการ เป็นสุริยเปยยาลข้อที่ 7 จะสามารถทำใจในใจเป็น ได้ถ่องแท้ถูกต้องแก้ไขถึงเหตุ สัมภวะ ต้นเหตุกิเลสแล้วจัดการกิเลสถูกตัวมัน จึงเป็นผู้ที่จัดการใจในใจของตนทำใจในใจของตน อย่างถ่องแท้ลงไปถึงที่เกิดได้
-
โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
-
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) คุณก็จะเจริญด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นลำดับ อย่างลาดลุ่มน่าอัศจรรย์
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
การต่างกันของผู้ที่สามารถเกิดการเจริญต้องมีสัตบุรุษต้องมีปัญญา อย่างอาตมาเป็นสัตบุรุษพูดไปอย่างชัดเจนบอกว่ายังไม่ได้อวดตัวตนพูดไปด้วยความจริง อาตมาก็บอกให้มาลืมตาปฏิบัติแล้วจะเกิดปัญญา เพราะว่าปัญญาจะเกิดไม่ได้ในการหลับตาไม่มีจักษุ ไม่มีปัญญา ไม่มีญาณ ไม่มีวิชชา ไม่มีแสงสว่างอาโลก ลืมตามีแสงพระอาทิตย์ให้เห็นเกิดการผัสสะเกิดปัญญาอย่างแท้จริง ถ้าคุณไม่เข้าใจองค์ 5 แห่งปัญญาและมีครบ คุณจะต้องเปิดไม่ใช่ตาบอดต้องมีจักษุ คุณจะมีปัญญา แล้วจะเป็น ญาณ แล้วมีวิชชา คุณต้องลืมตาอยู่ในโลกที่มีแสงสว่าง อาโลก มีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่อย่างนี้ไม่ใช่หลับตา
คุณหลับตาก็ไปมืดอยู่ในภวังค์ มันย้อนแย้งจากคำสอนพระพุทธเจ้าหมดเลย อาตมาถึงบอกว่าใครไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมออกนอกเขตศาสนาพุทธตลอดกาล มันไม่มีในนัยยะของศาสนาพุทธเลย อาตมาพูดอย่างแรงพูดอย่างตัดขาด แต่ในยุคพระพุทธเจ้าต้องเห็นใจถ้าไปพูดแบบตัดขาดคนจะไม่ไปศึกษาของท่านเลย เพราะคนติดยึดเข้าป่าหมด ขนาดเป็นพระพุทธเจ้านะ ถ้าเป็นโพธิรักษ์คนก็เลิกหมด อาตมาไปแก้ไขเขาไม่ได้หรอกในยุคนั้น แต่ในยุคนี้คนมีความเป็นพุทธมีรากเหง้าเป็นพันปี ก็ยังเข็นไม่ค่อยไปเหมือนกับเข็นครกขึ้นเขา หรือเข็นเขาขึ้นครกด้วย
ถ้าเข็นครกขึ้นเขาก็ยังกระดิก แต่ยังถ้าเข็นเขาขึ้นครกยากแสนยากเลยก็ต้องทำ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสัจจะที่อาตมาขยายความไปเรื่อยๆฟังดีๆแล้วจะได้ปัญญาได้ความฉลาดในโลกุตระ
คำว่าปัญญานี้ก็เพี้ยนไปจนอาตมามารื้อฟื้น พยัญชนะตั้งแต่ อัญญะ อัญญา ปัญญะ ปัญญา
ดญ.น้ำมนต์ สมาธิลืมตาก็ทำอย่างที่หลวงปู่พาทำนี่แหละ
_อยากจะอ่านอันนี้ สีสันชีวิตที่เขามาสัมภาษณ์
สีสันชีวิต การเมืองเรื่องของธรรมะ
คุณใหม่เสมอ การเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ หลายพรรคเริ่มเปิดแนวคิด อุดมการณ์ นโยบายของแต่ละพรรคออกมาแล้ว เพื่อเสนอว่าสิ่งที่พรรคจะทำเพื่อประชาชนมีอะไรบ้าง และการโยกย้ายไปอยู่พรรคต่างๆของอดีตสส. อีกทั้งมีพรรคใหม่เกิดขึ้นมากมาย พ่อครูมีความเห็นอย่างไร
พ่อครู เหตุการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาของการแย่งชิงชัยชนะ ตามความคิดที่แต่ละคนยึดถือ ซึ่งจะเอาชนะได้นั้นเขาจะต้องมีอำนาจในการบริหารพรรคของตนเอง โดยใช้พลังยึดอำนาจมา ไม่ว่าจะเป็นจากคนจากสิ่งแวดล้อมหรือเหตุปัจจัยใดๆที่จะช่วยสนับสนุนให้มีอำนาจ เขาเอาทั้งนั้น แม้โกงอำนาจซื้ออำนาจ
พูดชัดๆก็คือ เขารู้ไม่ได้ว่านักการเมือง ไม่ใช่นักแย่งอำนาจ แต่คือ ผู้อภิบาลประชาชน ทำงานช่วยประชาชน มากกว่าบริหาร เพราะคำว่า“บริหาร”ไม่ชัดเจน เท่ากับคำว่า“อภิบาล” ซึ่งชัดเจนกว่าในนัยของการปกครองที่ชื่อว่าประชาธิปไตย ทำงานช่วยเหลืออุ้มชูประชาชน ให้เป็นสุขอยู่ดีกินดี มากกว่าการบริหารที่หมายถึงการจัดการและการควบคุม
นักการเมือง จึงคือนักอภิบาล ไม่ใช่นักแย่งอำนาจ เมื่อเข้าใจสัจจะนี้ผิดทั้งในภาษาทั้งในพฤติกรรมจริง เขาก็ต้องทำผิด แทนที่จะไปอภิบาลเขากลับไปล่าอำนาจให้ตัวเอง ไปแก่ง แย่ง เขาก็ฆ่าตัวเองนั่นแหละ นักการเมืองพวกนี้ฉลาดน้อย หรือแปลตรงๆก็โง่มาก แต่ถ้าเขาเข้าใจ เขาทำจริง เขา“ขยันรับใช้ประชาชน” และ“มีแต่ให้-ไม่มีอคติ” นี่เป็นหลักการใหญ่ แต่ถ้าไม่ได้ทำงานจริง ทำเล่นๆก็ดราม่ากันเท่านั้น คนจริงต้องทำงานจริง ยกตัวอย่างที่ซ้อนพฤติกรรมจริง อาตมากล้าพูดได้ว่า อย่างนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งทำงานอยู่ขณะนี้เป็นการบริหารอย่างอภิบาล ไม่ได้สร้างอำนาจ ใครจะเข้าใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของแต่ละคนนะ แต่อาตมาเห็นว่าพลเอกประยุทธ์คือ นักการเมืองที่ประพฤติการเมืองได้ถูกต้อง
แต่การที่คนยุคนี้สับสนระหว่าง“พยัญชนะ”กับ“พฤติกรรมจริง” เพราะถูกกิเลสพาไปทำสิ่งที่ผิดแล้วเห็นว่าถูกก็เลยพากันพัง ไม่เกิดผลดีต่อชาติและประชาชน เพราะฉะนั้นตอนนี้จะเรียกว่าการเมือง หรือหน้าที่ของประชาชนหรือผู้มีตำแหน่งที่ต้องประพฤติกันอยู่ในสังคมประเทศ แม้แต่สังคมของบ้านช่องเรือนชานก็ตาม ก็คือทุกคนมีสามัญสำนึก และพยายามกระทำตาม
“หน้าที่”เป็นสามัญธรรมดาอยู่แล้ว
เช่นบ้านนี้ คนเป็นพ่อเป็นแม่เราก็ไม่ต้องไปแต่งตั้ง เพราะเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว หน้าที่ของพ่อแม่ลูก หน้าที่ของคนใช้ หน้าที่คนทำงานด้านต่างๆก็ไม่ต้องแต่งตั้ง คนที่รู้สัจจะโดยภูมิปัญญาลึกๆเขาก็ประพฤติจริงตามที่เขารู้ การแสดงออกของแต่ละคนจึงคือความจริงของแต่ละคนทั้งนั้น เท่าที่อาตมาดูการเมืองไทยขณะนี้แล้วรู้สึกดี นายกประยุทธ์ ถ้าเปรียบเทียบนายกฯที่เรามีมา ๒๙ คน อาตมาว่านายกฯประยุทธ์บริหารแบบอภิบาล “ขยันรับใช้-มีแต่ให้-ไม่มีอคติ” คนที่ประพฤติอย่างนี้ เข้าตาอาตมา ใช้ได้ทีเดียว นายกฯคนอื่นๆที่ผ่านมาไม่ได้ขยันขนาดนี้ หรือขยันแต่ไมได้รับใช้จริง มาเป็น“นาย-ยก”เกินไป ไม่เป็น“นาย-ก.”ที่เหมือน“นาย-ข.นาย-ค.”ทั้งหลาย มันต่างกันมาก ลีลาต่างกัน สังเกตดูก็ได้ นายกฯที่ผ่านมาแต่ละคน ใครที่สนุกสนานกับประชาชนมากที่สุด มีอารมณ์ร่วม เป็นกันเอง ไม่ถือตัว นายกฯ ประยุทธ์ ขยันรับใช้จริงๆไม่เบ่งไม่ถือตัวมีแต่ทำงานร่วมประสานกันสนิทเนียน
นายกฯประยุทธ์มีแต่ให้ จนถูกตู่ว่า ใช้ประชานิยมหาเสียงเหมือนทักษิณ เอาใจประชาชนสารพัด คือเขาต้องบริหาร ก็ต้องกระจายทรัพยากร แบ่งเฉลี่ยให้ผู้ที่ยังขาดแคลน เขาทำถูกอยู่แล้ว เขาไม่ลำเอียง“ไม่อคติ-มีแต่ให้”และให้ได้ถูกต้อง คือ ให้ชนิดที่มุ่งให้เกิดคุณค่าประโยชน์ในการให้นั้น ให้อย่างไม่มีองศา ให้เป็นเส้นตรง จะเห็นว่า นายกฯประยุทธ์ ไม่มีใครครหานินทาว่านายกฯมาทำงานเพื่อเอา หรือมีร่องมีรอยว่าแสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ให้ตนเอง ให้พวกพ้อง ก็ยังไม่เห็น แต่แน่นอนทำงานอย่างมีคณะที่ต้อง“ร่วมมือกัน”ให้เป็น“พลังรวม”ที่มีประสิทธิภาพ อันนี้ลึกล้ำมากที่ต้องมีวิจารณาญาณกันจริงๆ
ตอนนี้ พลเอกประยุทธ์ไม่บอกว่าตนเองเข้าพรรคไหน พรรคไหนที่จะให้นายกประยุทธ์อยู่ก็ต้องทำให้พลเอกประยุทธ์ชอบ พลเอกประยุทธ์ก็ต้องใช้วิจารณญาณเอง ขอยืนยันว่าพรรคต่างๆต้องทำให้ตนเองดีมีความขยันรับใช้มีแต่ให้ไม่มีอคติคุณก็จะได้พลเอกประยุทธ์ไป ถ้าอยากเป็นนักคิดอย่างนี้ไม่ได้อันนี้ถูก ถ้าพลเอกประยุทธ์อยากจะเป็นนายกคิดอย่างนี้ไม่ออกหรอก จะได้รีบเข้าพรรคที่คะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุดเลย ง่ายๆอย่างนี้ ใครก็คิดออก แต่นายกประยุทธ์มีความคิดลึกซึ้งกว่านั้น
อาตมามองว่า นายกฯตู่มีการระมัดระวังรักษาตนเองสูงเหมือนกัน เขาเป็นทหารที่ไม่อยากด่างพร้อย อยากให้คนไม่เสีย“ความนับถือ”เป๊ะๆตามที่เขายึดถือฝึกฝนมา นัยยะนี้มันซ้อนลึกมาก ทำให้เขาระมัดระวังอยู่พอตัวซึ่งทำได้ดีมาก เทียบกับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ใครจะห้ามจะว่าจะด่าก็ไม่ฟังเสียงใคร ส่วนนายกฯประยุทธ์นิดหน่อยก็ไม่ให้ผิด ไม่ให้ถูกมองว่าเขาบกพร่องอะไร ซึ่งตรงข้ามกัน เขารับฟังเสียงประชาชนอย่างสำคัญทีเดียว
สรุปแล้วอาตมาว่า ประเทศไทยขณะนี้กำลังไปดี อย่าไปฟังเสียงโหวกเหวกว่า นายกฯตู่ เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มีเฟคนิวส์ทุกวัน โซเชี่ยลมีเดี่ยโจมตีทุกวัน มันก็เป็นวิธีการของพวกที่ต้องการดิสเครดิตนายกฯตู่ พวกที่อยากสร้างอำนาจให้ตน คนไม่รู้เรื่องประชาธิปไตยยังมาก รู้แต่“ประชาธิปไตยโลกีย์” ยังไม่รู้จัก“ประธิปไตยโลกุตระ” ยังไม่พ้นอัตตา คนอวิชชายังมีมาก กูถือฝ่าย กูก็ยึดฝ่าย คนฉลาดโลกีย์ก็หลอกได้เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสามัญทั่วโลก
ซึ่งทุกวันนี้คนไทยผ่านการสัมผัสประชาธิปไตยโลกุตระที่พระเจ้า อยู่หัวร. ๙ ทรงสร้างนำทางมาถึง ๗๐ ปี ได้รับเนื้อหาโลกุตระมากันถึง ๗๐ ปี ซึ่งเป็นเรื่อง“ทวนกระแสโลกีย์” เช่นท่านทรงประกาศให้ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ให้บริหารประเทศแบบคนจน โดยใช้พยัญชนะว่า“เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งล้วนเป็นภาษาโลกุตระของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น คนไทยส่วนใหญ่ได้รับเนื้อแท้ของโลกุตรธรรมจากการทรงงานหนักของพระองค์มาตลอด ๗๐ ปี จึงปรากฏผล“ความรัก”ของประชาชนคนไทยที่รัก“โลกุตรธรรม”ของพระองค์แล้วเกิด“ระเบิดรัก”ออกมาเมื่อพระองค์สวรรคต เป็นปรากฏการณ์ที่ยืนยันความจริงที่ไม่มีใครอาจหาญแสร้งสร้างขึ้นมาได้ มันเป็น“ความจริงอันยิ่งใหญ่”ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ยุคนี้ ประกาศ“พฤติกรรมวิเศษ”ที่รัก“ประ ชาธิปไตยโลกุตระ”นี้ขึ้นให้แก่โลกได้เห็นเป็นขวัญตาขวัญใจ ตามเป็นจริงที่ผ่านมาพ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น
คุณใหม่เสมอ พรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคใหญ่ในขณะนี้ก็มีนโยบายสนับสนุน นายกฯตู่ เป็น นายกรัฐมนตรี
พ่อครู สำหรับพรรคพลังประชารัฐ แต่แรกที่สร้างพรรคนี้ขึ้นมามีคนเข้าใจเอาเองว่าก็เพื่อเป็นฐานของ พลเอกประยุทธ์ ส่วนความจริงนายกฯตู่ จะได้ตกปากรับคำจากพรรคนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้จริงกันหรอก แต่นายกฯตู่ ก็ยังระวังตัวอยู่ คือไม่รับและไม่ปฏิเสธ จะเห็นได้ว่า นายกฯตู่ไม่ได้ผลีผลามอะไร เพราะฉะนั้น พรรคพลังประชารัฐ อาจจะเป็นมิตรดีสหายดีของนายกฯตู่ก็ได้ เราก็ยังไม่รู้ เพราะจริงๆนั้นกฎหมายยังลึกซึ้งในเรื่องนี้อยู่นะ
คุณใหม่เสมอ พรรคนี้ในอนาคต อาจจะเป็นพรรคใหญ่เป็นฐานเสียงให้ พลเอกประยุทธ์
พ่อครู ถ้าเป็นอาตมาเองนะ อาตมาไม่เข้าพรรคพลังประชารัฐ และไม่เข้าพรรคไหน เพราะรัฐธรรมนูญมีไว้แล้ว ให้มีนายกฯจากคนนอกพรรคการเมืองได้ คนไทยทุกวันนี้ก็มีภูมิโลกุตระพอประมาณแล้ว เมื่อเห็นว่าทางเลือกที่ดี น่าจะไม่ต้องไปเข้าพรรคไหน เราทำงานให้เป็น“ประชาธิปไตยโลกุตระ”ไปให้เต็มภูมิที่จริงที่สุดให้ได้เท่านั้น เราจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราได้เป็นนายกฯอีก ก็แสดงว่าเราเป็นนายกฯตัวจริง ถ้าเขาเลือกตั้งกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็มาโหวตกัน ให้นายกฯตู่ เป็น นายกรัฐมนตรี ก็แสดงว่า นายกฯตู่เป็นนายกฯจริง ก็จะทำงานสะดวกมากเลย มันได้อีก ๒ ชั้นเลย
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ ยิ่งเลือกตั้งแล้ว แต่ละพรรค เห็นว่าใครก็ไม่เหมาะสม ตกลงต้องคานอำนาจกันเอง แล้วก็มีคนเสนอ นายกฯตู่เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าแบบนี้ก็ยิ่งลอยลำ จะเป็นกี่ปีล่ะ แต่เส้นทางนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่เราคิด อาตมาว่าลึกๆแล้ว นายกฯตู่เป็นคนมองอะไรได้ลึก ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้จะดีกว่าไหม ตอนนี้มันยังไม่ชัดเจน ยังมีคนหาว่านายกฯตู่ยึดอำนาจมาก็ยังมีอยู่มากเลย ทั้งๆที่เมืองไทยมีประชาธิปไตยเจริญยอดเยี่ยมถึงขั้น“ประชาชนปฏิวัติหรือประชาชนทำรัฐประหาร”ได้สวยงามเหลือเกิน เรียบร้อย สงบ ไม่มีอาวุธ ปฏิวัติด้วยการเอา“ความจริง”เป็นอาวุธปราบ เอา“มวลประชาชน”จริงๆเป็นกำลัง จึงราบรื่นที่สุดในโลกจริงกันแท้ๆ เกิดจริงเป็นจริงแล้ว นักรัฐศาสตร์เรียนมาหัวผุหัวพังยังมอง“ความจริง”ของประชาธิปไตยบริบทนี้ไม่ออกกันเลย
แม้เห็นว่านายกฯตู่ทำงานมา ๔ ปี ก็ยังตะโกนโหวกเหวกๆว่าเป็นเผด็จการ อย่างนี้ก็เห็นกันอยู่ ใช่มั้ย? จริงๆแล้วนายกฯตู่ทำงานมา ๔ ปี นี่ก็ครบเทอมแล้ว ความเป็น“ประชาธิปไตย”ก็แสดงชัดยิ่งขึ้นๆ และในสังคมโลกประเทศต่างๆก็มีท่าทีดีมาก แสดงว่า“เข้าใจเนื้อแท้ของประชาธิปไตย”ได้ลึกซึ้งขึ้นๆแล้ว จึงยอมรับนายกฯตู่ ดังที่เห็นและเป็นอยู่ คนไทยส่วนใหญ่ก็แสดง ออกพอเห็นกันอยู่ว่ายังยอมรับนายกฯตู่ ในเมืองไทยทุกอย่างก็เจริญจริงอย่างเห็นๆ โดยเฉพาะใช้หนี้ที่คนในรัฐบาลก่อนๆ“ขี้กองโตไว้ ”ให้ต้องเช็ดล้าง ก็ทำได้ดีกันขนาดนี้แล้ว นั่นแสดงว่ามีฝีมืออยู่จริง ผู้มีปัญญาโลกุตระจะมองออก นายกฯคนนี้มีฝีมือขนาดนี้ เทียบกับ ๒๘ รัฐบาลมาก็ไตร่ตรองหาความจริงกันให้ลึกรอบ หาได้ง่ายนักหรือนายกฯที่มีฝีมือขนาดนี้ “กี่รัฐบาล”มาแล้ว กี่นายกฯมาแล้ว ๘๐กว่าปีแล้วนะที่มีประสพการณ์กันมา ถ้ายังไม่มีใครที่แสดงตัวออกมาให้เห็นชัดๆว่า“เหนือกว่านายกฯตู่” ก็ไม่น่าเสี่ยงน่า!!! จะเอาประเทศไทยเป็นหนูลองยาตัวแล้วตัวเล่ากันจนไม่มีปัญญาได้“ยา”มาใช้กันบ้างเลยหรือ?
อาตมาว่าคนไทยทุกวันนี้มีคน“โลกุตรธรรม”กันจริงๆแล้วนะ และไทยนี่แหละจะเป็นประเทศ“โลกุตระ”พาโลกไปสู่สุขสงบเป็น“คนจน”ที่ไม่มีหนี้ คนจนมหัศจรรย์ที่พออยู่พอกินอุดมสมบูรณ์มีเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้ เป็นอยู่สำราญเบิกบานใจกันจริงๆ
คุณใหม่เสมอ พรรคเพื่อไทย ถามว่าจะเลือกใคร ระหว่างคนที่ให้สิทธิ์ให้เสียงแก่ประชาชนในการที่จะหย่อนบัตรเลือกตั้ง อยากได้คนไหนเป็นนายกฯก็ผ่านทางสส.ในพรรคที่ท่านชอบ นี่คือ ประชาธิปไตยที่นานาชาติยอมรับ เพราะเป็นการบริหารประเทศผ่านตัวแทนของประชาชน หรือถ้ายังอยากอยู่ภายใต้เผด็จการภายใต้การนำของทหารที่ใช้อำนาจ ม.๔๔ กดขี่ประชาชนและนานาอารยประเทศก็ไม่ยอมรับ ประชาชนจะเลือกใครระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการทหาร
พ่อครู อาตมาเลือกเอาอย่างพลเอกประยุทธ์ ๑๐๐% และอาตมาว่า เลือกได้ดี ถูกต้อง พลเอกประยุทธ์ บริหารได้ดีกว่าพรรคที่ได้รับเลือกตั้งที่ผ่านมาด้วย อาตมาเห็นว่าประชาธิปไตยที่มีอยู่ในโลก ที่เอาการเลือกตั้งเป็นเรื่องหลัก ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีองค์ประกอบของข้อมูลหลักการอะไรๆที่จะเป็นประชาธิปไตยที่เป็น“ธรรมาธิปไตย”มาจากจิตใจของประชาชนเลยนั้น เป็นแค่วิธีการระเบียบแบบแผนที่พยายามให้ง่ายที่สุดเร็วที่สุดเท่านั้น มันผิวเผิน ตื้น ง่าย ไม่ลึกล้ำอะไรเลย วิธีการที่มีการเลือกตั้งโดยหาคนขึ้นมาบริหารแบบนี้นั้นมันเป็นวิธีสุดท้าย แต่เนื้อแท้ที่สำคัญกว่าคือ จิตใจของประชาชนสมาชิกของประเทศ เขายินดียอมรับจากการประพฤติการกระทำ ถ้าใครยังไม่ได้ประพฤติ ไม่ได้กระทำเราก็ไม่รู้ แต่อย่าง พลเอกประยุทธ์ท่านได้ทำแล้ว ประพฤติมาสี่ปี เทอมหนึ่งแล้ว เป็นเวลาไม่น้อย ท่านก็ได้แสดงออกแล้ว ผู้มี“ปัญญา”จริง โดยเฉพาะ“มีภูมิโลกุตระ”จะประจักษ์ชัด เห็นแจ้งได้ ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์กันไป
อาตมาก็จะดูว่า ประชาชนไทยจะมีปัญญารู้จักความเป็นประชาธิปไตยได้ดีอย่างที่อาตมาคาดไหม เพราะ ประชาธิปไตยของทั่วโลกกับประชาธิปไตย อย่างที่อาตมาว่านั้นมันต่างกันหลายอย่าง เพราะความเข้าใจของอาตมาเกี่ยวกับประชา ธิปไตยนั้น ไม่เป็นอย่างที่นักรัฐศาสตร์ทั่วไปเข้าใจ เช่น อาตมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยสุดยอด ประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร อาตมาก็ได้แต่สรุปภาษาว่า ประชาธิปไตยนั้นนายกต้องเป็นผู้ขยันรับใช้-มีแต่ให้-ไม่อคติ คือไม่เห็นแก่ตัว-ไม่เห็นแก่พรรคพวก-สร้างความอิสระให้แก่มนุษยชาติ-มีปัญญาขั้นโลกุตระจริง
ที่จริงก็มีอีกหลายหลักการ และสอง-สามหลักการนี้ก็ชี้สถานะของความจริงสามเส้าได้ชัดเจนอยู่แล้ว ตั้งแต่“ขยันรับใช้-มีแต่ให้-ไม่มีอคติ” หรือว่า การบริหารต้อง“มีอิสระ-ไม่มีอัตตาตัวตน และต้องมีภูมิปัญญาในการบริหารอย่างเพียงพอ” นี่คืออีกสามลักษณะที่อาตมาบัญญัติ คือเน้นสถานะของความจริงที่จะเป็นประชาธิปไตย โดยมีพฤติกรรม มีจิตวิญญาณ มีปัญญาว่าต้องเป็นอย่างนี้มันถึงจะเป็นคนอย่างนี้จริง จึงจะเกิดพลังสร้างสรรค์จริง และจะบริหารได้ดีจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้ เมื่อรวมหลักการสามเส้าทั้ง ๒ อย่างนี้ก็รวมเป็น ๖ คืออาตมาได้สรุปลักษณะแท้ของ ประชาธิปไตยคืออะไร กับพฤติกรรมจริงของคนที่สอดคล้องลงกันกับที่อาตมาเข้าใจ สรุปผลได้ว่า พลเอกประยุทธ์ทำได้เข้าหลักเกณฑ์ เป็นนักประชาธิปไตยทั้ง ๖ หลักการที่อาตมาว่ามาอย่างเป็นที่น่าพอใจ
การหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นเรื่องเล็กมาก เป็นประชาธิปไตยขั้นเด็กๆ เราต้องดูที่เนื้อใน ดูที่พฤติกรรมจริงของผู้ทำงานจริง ถ้ายังไม่ประพฤติ เราก็ไม่รู้ได้ว่าเขาเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน ทำจริงแค่ไหน เมื่อเราเห็นเนื้อแท้พฤติกรรมของเขา ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริง ผู้ที่มีหลักเกณฑ์หลักการของประชาธิปไตยก็จะรู้ได้ อย่างเดียวกันกับอาตมาที่รู้หลักการประชาธิปไตยที่มีหลั กสามเส้า สองหมวด นี้เป็นต้น แล้วยังมีหมวดอื่นๆอีกนะ
คุณใหม่เสมอ มีข้อมูลจากแหล่งข่าวทั้งที่น่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อถือว่า นายกฯตู่ ไม่มีความสามารถ บริหารเศรษฐกิจไม่ดี ปกครองแบบทหาร เป็นต้น
พ่อครู ที่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี คนทั้งโลกเข้าใจว่าเศรษฐกิจดี คือเราได้เปรียบคนโดยกอบโกยเอาทรัพย์สินให้ตัวเองมากๆ ได้เปรียบคนโดยได้กอบโกยดูดเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของเราได้มากแล้วถือว่าตน ครอบครัวและประเทศมีเศรษฐกิจดี คนที่มีความคิดเช่นนี้เป็นความคิดของคนชั่ว
ส่วนเศรษฐกิจดีที่แท้ คือผู้ที่ดำเนินชีวิตครอบครัวและบริหารประเทศ เป็นผู้สร้างสรรด้วยปัญญา กระทั่ง ๑.ไม่เป็นหนี้ ๒.พึ่งตนเองได้มีกินมีใช้ อุดมสมบูรณ์ ๓.ขยันทำให้มากจนเกินกินเกินใช้ ๔.และสะพัดให้คนอื่นได้ ตัวเองไม่ต้องกักตุนไว้ ไม่ต้องกอบโกย ตนเองไม่ต้องมีมาก ประมาณให้ดี ไม่ให้ติดขัด มีกินมีใช้อาศัยคล่องตัวสมดุล นี่คือ เศรษฐกิจดี ไม่เป็นภัยต่อคนอื่น ไม่เบียดเบียนใครเลย และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย
ถ้าเราเองยังสะสมมากอยู่ก็คือเรายังได้เปรียบอยู่ จนกระทั่งเกิดหลักเกณฑ์วิธีการของทุนนิยมสามานย์ คนเป็นนายทุนมีเงินเป็นก้อนโต มีแต่เพิ่ม ไม่มีจุด“พอ” สังคมโลกจึงฉิบหายตรงนี้ ความคิดผิดๆชั่วๆก็อย่างนี้แหละ คือผู้ทำลายเศรษฐกิจสังคมที่เลวร้าย
ส่วนความคิดดีๆ เก่งๆ มีสมรรถภาพพอสร้างสรรจิตใจหรือปัญญาของคน ไม่กินมากไม่ใช้มาก ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่สุรุ่ยสุร่าย รู้ปัจจัยชีวิต รู้จักกินใช้ตามควร ที่เหลือก็สะพัดแจกจ่ายแก่คนที่ควรเกื้อกูล อย่างนี้ จึงเป็นสัจจะแห่งความถูกต้อง แต่เพราะเข้าใจสัจจะแห่งความถูกต้องไม่ได้ ตนตกเป็นทาสความโลภ เห็นแก่ได้อยู่ มันจึงเละเทะเดือดร้อนวุ่นวายอยู่อย่างนี้
คุณใหม่เสมอ ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าเศรษฐกิจดีคือ เงินในกระเป๋าฉันมีมาก ฉันค้าขายอะไร ก็มีเงินเข้ามาเยอะแยะ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ค้าขายได้น้อยเงินในกระเป๋าน้อยลง ไปกู้เงินก็จ่ายดอกเบี้ยสูง และมองว่าไม่มีการใช้จ่ายจากประชาชนมาหมุนเวียน
พ่อครู ใครก็ตามถ้าอยากศึกษา เรื่องเศรษฐกิจที่ดี มาเอาสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงเลย ชาวอโศกดำเนินชีวิตตามเศรษฐ ศาสตร์แบบพระพุทธเจ้าถึงขั้นสาธารณโภคี ขั้นยอด คือทำงานฟรีจนพ้นมิจฉาชีพ ๕ ของพระพุทธเจ้า ใช้ของส่วนกลางซึ่งเลยขีดที่โลกเข้าใจ คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ สังคมนิยมก็สู้เราไม่ได้ ประชาธิปไตยก็สู้เราไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเผด้จการ ซึ่งเป็นระบอบเศรษฐกิจชั้นยอด อยู่สบาย ไม่แย่งไม่ชิง สร้างสรร เผื่อแผ่ เกื้อกูลเลี้ยงดูบำรุงกัน มีความสงบเรียบร้อยมีน้ำใจ เป็นพี่เป็นน้อง มีอิสรเสรีภาพ-ภราดรภาพ-มีสงบสันติ-มีสมรรถภาพ-มี บูรณภาพ-มีสุญญภาพ-มีสุนทรียภาพ
ชาวอโศกมีครบ ๗ ภาพ นี่คือสุดยอดแห่งสังคมที่พัฒนามาได้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอาระบบเศรษฐกิจที่ยังลงตัวไม่ได้สักที เพราะคุณไม่แน่ชัด คุณไม่มีเป้าไม่มียอด ไม่มีจุดจบ ไม่มีความเป็นไปได้ที่ลงตัว อย่างชาวอโศกนี่พอ พอที่ไหน พอที่ใจ ก็“ใจพอ”นี่แหละเป็นยอดที่ในหลวง ร.๙ ตรัสย้ำให้ “พอเพียง” เศรษฐกิจต้องให้พอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจตะกละที่ไม่เคยพอ อย่างที่คุณจะเอาแต่รวยๆ ต้องให้ประชาชนร่ำรวย ประเทศเราต้องร่ำรวยกว่าประเทศอื่น อะไรอย่างนี้ มันผิด มันเป็นไปไม่ได้ด้วย มันเป็นเพียง“สมบัติผลัดกันชม” แย่งกันไปแย่งกันมา ไม่รู้จบ ถ้าเรารู้จักพอ ทำตัวเองให้รู้จักพอ มีใจพอ สร้างสรร ขยัน เพียร แล้วก็เหลือกินเหลือใช้ สะพัดให้คนอื่นๆได้ ก็จบแล้ว
คนเราพึ่งตนเองรอด มีพอกินพอใช้ เหลือพอให้แจกจ่ายแบ่งปัน สร้างสรรแต่สื่งดีๆ เช่น อาหารไร้สารพิษ ไม่มีสิ่งมอมเมา เป็นต้น เน้นสร้างสิ่งดีๆ มันจบ มันถึงที่สุดของพฤติกรรมมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว
ทุกวันนี้อาตมาสบายใจที่อาตมาทำการเมืองคือสร้างสรรมนุษย์ให้เข้าใจทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้วมีคนจำนวนหนึ่ง เช่น ชาวอโศกเป็นต้น นำไปประพฤติไปทำ เกิดชุมชนหมู่บ้านที่แท้จริง คนเหล่านี้มาอย่างอิสรเสรี เขามาเอง มาเป็นสมาชิกชุมชน ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครหลอก ล่อลวงเขามา เราเพียงเสนอความจริง เขาเห็นดีเห็นงามเขาก็มาเอง เช่น เขาสมัครใจมาจน มาเสียสละ ไม่เอาเปรียบเอารัด สุดท้ายเขาก็ขยันสร้างสรรมีปัญญา สร้างแต่สิ่งที่มีคุณค่า ไม่มอมเมา อยู่ในศีลในธรรมเป็นต้น
คุณใหม่เสมอ พวกเราหลายคนไม่อยากให้พ่อครู เชียร์ พลเอกประยุทธ์ ขนาดนี้ เป็นห่วงว่าเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเชียร์คุณทักษิณ ชินวัตร
พ่อครู อาตมายึดถือปัจจุบัน อาตมาไม่กลัวหรอกถ้าในอนาคต พลเอกประยุทธ์จะขบถ ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ปัจจุบันนี้ เขาดีอยู่ แล้วอาตมาก็มั่นใจมากหน่อยว่าท่านจะยั่งยืนคงทน คนอื่นอาจจะกลัว แต่คุณจะไม่ให้เกียรติใครเลยหรือว่าคนๆนี้น่าจะยั่งยืนคงทนในความดี คุณจะไม่ให้เกียรติใครแล้วคุณจะไปหวังกับใครได้สักคนล่ะ อาตมาก็เอาปัจจุบันที่อาตมาสบายใจ ถ้าเขากบฏเมื่อไหร่อาตมาก็ไม่เอาด้วยแน่ อาตมาจะโง่ทำไม อาตมาก็เห็นอย่างที่คุณเห็น เขาขบถอาตมาก็ไม่เอา อาตมาไม่ใช่คนที่หลงบ้ายึดมั่นถือมั่นชนิดที่ไม่รู้จัก“กรรม” ไม่รู้จัก“กาล”
แรกๆ คุณทักษิณ อาตมาก็เชียร์ พอเขาขบถอาตมาก็กระหน่ำเขาเหมือนกัน อาตมาจะไปไว้ท่าทำไม ว่าแต่ก่อนเคยเชียร์เขา แล้วเดี๋ยวนี้มาถล่ม ก็เขาเปลี่ยนไป อาตมาก็ต้องเปลี่ยนด้วยตามสัจจะที่เป็นจริง คุณทำดีๆๆๆๆอยู่อาตมาก็เชียร์ๆๆๆ คุณทำเสีย เป็นขบถเมื่อไหร่อาตมาก็ถล่มคุณแหละ
คุณใหม่เสมอ พ่อครูเชียร์ท่านประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นไหมว่าลูกๆชาวอโศกต้องสนับสนุนตาม
พ่อครู ควรนะ เพราะอาตมาว่าลึกๆของคนไทยไม่ชอบเชียร์คนดี แต่ชอบด่าคนชั่ว และบางคนไปเลือกคนชั่ว นี่ก็โง่ซ้อน คนไทยไม่เหมือนคนต่างประเทศที่เขาเชียร์คนดี คนไทยจึงขาดการสนับสนุนคนดี อาตมาจึงพยายามเชียร์ให้มากเพราะมันขาด มันน้อย อาตมาก็เติมสิ่งที่ขาดให้แก่สังคม อาตมาผิดตรงไหน
อาตมาชัดเจน อาตมาแม่นยำว่าอันนี้ควรเชียร์ ก็เชียร์ เมื่อควรติอาตมาก็ติ อาตมาไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ว่ามันจะถาวร อาตมายืนยันอยู่ในฐานปัจจุบันมากสุด ตอนนี้ถ้าเขาดีอาตมาก็เชียร์ ถ้าเขาเสียอาตมาก็ตำหนิ อาตมาจะไว้หน้าตัวเองทำไม เราต้องไว้หน้าสัจจะ เขาเปลี่ยนไปแล้ว ก็ตามสัจจะเลย ใครจะว่า แต่ก่อนเชียร์ทำไมตอนนี้มาถล่ม ก็เขาไม่เหมือนเดิมก็ต้องถล่มซิ อาตมาจะเสียอะไร แต่คุณเข้าใจไม่ได้เพราะไปยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าเชียร์ใครแล้วว่าต้องเชียร์ให้ตลอดซิ อาตมาไม่ใช่คนแบบนั้น อาตมาเอาปัจจุบันเป็นหลัก นายกฯตู่ปัจจุบันยังเชียร์ได้อยู่ แต่อนาคต เฮ้ย…คุณกบฏแล้ว ชัดเจนแล้ว แน่นะ เราก็ถล่มเขาได้ เว้นแต่ถ้าเขาเป็นแค่เพียง“ขาแพลง”ชั่วคราว เราต้องระมัดระวังตรงนั้น ถ้าเขาแค่ขาแพลงก็อย่าเพิ่งถล่มก่อน เพราะซ่อมได้ แต่ถ้าเขาขบถจริงเราก็ต้องเปลี่ยน อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
คุณใหม่เสมอ มีโครงการล่าสุดที่สร้างความฮือฮา คือการช่วยเหลือของคณะรัฐมนตรีผ่านทางบัตรสวัสดิการหรือบัตรคนจนที่จัดงบก้อนโตให้ประชาชน กลุ่มนี้คนละ ๕๐๐ บาท เป็นของขวัญปีใหม่ และช่วยเหลือผู้สูงอายุในการเข้ารับการรักษาพยาบาล เป็นต้น
พ่อครู เหนือชั้นกว่า ๓๐ บาทรักษาทุกโรค พลเอกประยุทธ์ทำอย่างนี้ เป็นเรื่องดี ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้อยู่ในสถานะที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องช่วยประชาชน ส่วนคนร่ำรวยที่เอาเปรียบเอารัด จะไปช่วยทำไม นี่เขาก็กำลังจะออกกฎหมายขูดภาษีจากคนรวยๆมากๆมาใช้กับโครงการเหล่านี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารบ้านเมืองไม่ผิดหรอก อาตมาเห็นด้วยกับโครงการนี้
ถามจริงๆ คนจนเขาอยากจนมั้ย เขาอยากมีสมรรถภาพความสามารถมากมั้ย เขาอยากแน่นอน แต่เขาเป็นได้แค่นั้น ทั้งโอกาสทั้งสมรรถนะที่เขาอยากฉลาด อยากมีความสามารถแต่เขาได้แค่นั้น คนเรามีข้อจำกัดของแต่ละคนจริงๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อตอนนี้เขาเป็นอย่างนี้ คือเขายังจน และถ้าอาตมามีหน้าที่สร้างเศรษฐกิจให้ดีก็ต้องเฉลี่ยทรัพยากรให้มีทั่วถึงกัน นี่เป็นหลักประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ ก็ใช้หลักอันนี้แหละ ยกเว้นหลักของเผด็จการที่มุ่งจะกอบโกยเป็นของกูให้มากที่สุด แต่ประชาธิปไตยหรือ คอมมิวนิสต์ก็ตาม ใช้หลักเดียวกันคือพยายามเฉลี่ยให้เสมอภาคมากที่สุด เป็นหลักเกณฑ์สากล
คุณใหม่เสมอ แต่ใช้งบประมาณตั้งแปดหมื่นล้านบาท บางคนว่าการช่วยอย่างนี้ไม่ยั่งยืน เพราะหลังจากนั้น ประชาชนก็จะขอเงินเพิ่มอีกๆๆ
พ่อครู ก็รัฐจะแชร์ได้เท่าไหร่ก็แชร์ไปสิ ก็ของส่วนกลางจะกักจะตุนไว้ทำไม ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่าไปพูดว่ายั่งยืนไม่ยั่งยืน รัฐต้องสะพัดไปตามควร การพัฒนาประเทศนั้นเขาต้องสะพัดเงินออกมา ไม่กักตุนไว้ คนที่ไม่แชร์ออกมาจากกองกลาง กักตุนไว้ก็คือคนทำงานไม่เป็น เป็นคนกักตุน การกักตุนคือ การทำลายเศรษฐกิจ นี่คือ เศรษฐศาสตร์ขั้นอนุบาล
ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เงินที่เอามาใส่ลิ้นชักไว้เฉยๆ มันก็ไม่มีราคา ไม่ว่าจะเป็นเงินกี่ล้านก็ตาม มันเท่ากับเศษกระดาษ แต่ถ้ามันเดินสะพัดเป็นธนบัตรจะมีราคา เกิดค่าขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้น จึงต้องสะพัดให้ได้อย่างถูกต้องอย่างดี รัฐบาลเขาทำถูกแล้วตามหลักเศรษฐกิจ นี่เป็นเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเลย เคลื่อนที่เมื่อใดเมื่อนั้นแหละเกิดการสะพัด กระดาษเปล่าที่กำ หนดค่าไว้ก็มีค่าตามนั้นทันที แล้วคุณจะไปกักตุน แช่นิ่งไว้ทำไม
ข้อสำคัญคุณต้องแชร์ให้ถูกต้องและให้คนที่ควรให้ คนที่ไม่ควรให้ คุณก็อย่าไปให้เขา ถ้าให้คนที่ถูกต้องแล้วตามหลักบริหารสามัญ มันผิดอะไร คนจนเขาก็ได้รับบริการ ได้รับความช่วยเหลือก็เป็นวิธีการบริหารที่ถูกต้องแล้ว
คุณใหม่เสมอ ท่านนายกฯบอกว่าอย่ามองเป็นการโฆษณาหาเสียง งานนี้ได้ประชุมมาเป็นปีแล้ว แต่มันมาบรรจบลงช่วงนี้พอดี
พ่อครู ก็ถูกต้องแล้ว ไม่ได้หาเสียง แต่คุณไปมองในแง่ของการหาเสียงเอง จริงๆแล้วถ้าเขาหาเสียงที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง เราควรให้เสียงไหม ที่ว่าเขาหาเสียงก็คือคำพูด แต่ที่เขาทำอย่า งนี้คือการกระทำที่ควร ทีนี้การกระทำนี้ถูกต้องไหม และเขาควรได้เสียงมั้ยล่ะ ไปว่าเขาหาเสียง ไม่ต้องหามันได้เองก็ถูกต้อง คุณทำไม่ได้คุณริษยาเขาหรือ คุณไปหาเสียงไปซื้อคน แต่เขาไปให้คนจนที่ควร ไม่ใช่ไปซื้อเขาไว้ ใครหาเสียงมากกว่ากัน
คุณซื้อคนมาเป็นพรรคพวก กับคนนี้เอาไปแจกคนจนคนที่ควรได้ ใครถูกต้องกว่ากัน แจกคนยากจนถูกกว่าแน่ใช่ไหม เขาทำถูกแล้วแต่คุณเข้าใจไม่ได้ แล้วไปเชื่อคำโฆษณาตามความคิดของเขา คุณก็ไม่ฉลาด คุณถูกครอบงำทางความคิด เช่น เขาโฆษณาว่าพวกเขาเป็นประชาธิปไตย ๆ ทั้งๆที่เขาเผด็จการร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างว่า ประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้ง ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย นั่นมันตื้นที่สุด
คุณใหม่เสมอ สิ่งที่พ่อครูได้พยายามต่อสู้เรื่อง ๓ อาชีพกู้ชาติหรือสร้างชาติ ได้แก่ ปุ๋ยสะอาด กสิกรรมธรรมชาติและขยะวิทยา ณ ตอนนี้มีแนวโน้มในทางที่ดี มีคนว่ากสิกรรมไร้สารพิษจะเป็นทางออกของประเทศไทยและเป็นการช่วยประชาชนให้มีสุขภาพแข็งแรงด้วย
พ่อครู คำว่าปุ๋ยสะอาดก็มีคนเข้าใจมากขึ้น แต่ก่อนมีแต่ปุ๋ยเคมี เดี๋ยวนี้กระเตื้องขึ้นเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม จึงต้องเอาจุดเด่นจุดเอกของเราเป็นตัวสาระของประเทศ เราไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรม เราทำแค่พออาศัยพอเป็นไป เราไม่ต้องเด่นทางนั้นตามที่ในหลวง ร. ๙ ตรัสไว้ เราก็เอากสิกรรมของเราให้เป็นหนึ่ง ให้เป็นของดีราคาถูก ปริมาณมาก เกื้อกูล ขายถูก เรียกว่าแย่งตลาดโลกเลย ที่จริงไม่แย่งหรอก มันเป็นไปตามสัจธรรมเพราะของเรามากต้องรีบระบายออกรีบขายถูกให้คนได้เอาไปบริโภค จะปล่อยให้เน่าอยู่ทำไม ต้องเร่งทำ เขาก็ได้ของดีราคาถูกไปกินไปใช้ สิ่งเหล่านี้แหละที่เมืองไทยโชคดีมาก ไม่มีอะไรสำคัญเท่าอาหารเพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้นการผลิตอาหาร ปุ๋ยสะอาดกับกสิกรรมธรรมชาติก็คืออาหาร
คุณใหม่เสมอ ขณะนี้ทางราชการให้ความสำคัญเกี่ยวกับกสิกรรมไร้สารพิษถึงขั้นประกาศว่าอำเภอบางแห่ง และบางจังหวัดให้เป็นพื้นที่กสิกรรมไร้สารพิษ
พ่อครู ถูกต้อง ดีมาก สนับสนุน ๑๐๐% ให้คะแนนเต็ม แต่ละบวรของชาวอโศกนั้นมีผักไร้สารพิษ อาตมาว่าครบทุกหน่วย และได้สะพัดกระจายไปภาคต่างๆได้ครบ ผลิตให้เยอะ ให้เราพอกินพอใช้ พอเหลือก็กระจายออกไปที่ต่างๆ
คุณใหม่เสมอ สิ่งนี้สู้กับประเทศอุตสาหกรรมได้ไหม
พ่อครู ไม่สู้ เราแค่ทำจุดเด่นของเรา เราจะไปสู้กับอุตสาหกรรมเขาทำไม เราสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว พวกเขาต้องพึ่งกสิกรรมที่เราเด่น เราไม่ต้องสู้ แต่เราจะช่วยเขาเพราะเขาต้องมาพึ่งเรา เราอาศัยใช้เทคโนโลยีของเขาบ้าง เรารู้ว่าสู้เขาในเรื่องนั้นไม่ได้หรอก เราไม่สู้ แต่เราจะเกื้อกูลเขาช่วยเหลือเขาในส่วนที่เราเด่น แล้วเราก็มีอาหารคือปัจจัยของชีวิต อุตสาหกรรมทำเครื่องใช้แม้แต่อาวุธยุทธภัณฑ์ เราไม่แคร์หรอก ส่วนช้อนจานชาม ไม่มีของต่างประเทศมาเราก็สร้างมาใช้เองได้เป็นปัจจัยสำคัญ รถราเราไม่มีเราก็ทำเกวียนขึ้นมาใช้ก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องยนต์กลไกบ้าง ทุกวันนี้ก็มีความรู้กันแล้ว เมืองไทยเราก็มีความรู้ทางสร้างเครื่องยนต์กลไก วิศวะต่างๆ พออาศัยได้อยู่ ไม่จำเป็นต้องวิเศษวิเสโส ขณะนี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้วไม่ต้องไปข่มเบ่งแย่งตลาดเขา ที่แข่งกันทุกวันนี้ก็เพื่อจะรวย จะหาคนมาอุดหนุนสินค้าเรา แล้วเราจะรวย มันก็เท่านั้น แม้เราทำได้ดีแล้วแต่ไม่รวยก็ได้สะพัดมาให้คนได้อาศัยดำรงชีวิตตามความจำเป็นได้พอเหมาะพอดีแล้ว จะต้องไปเก่งไปโก้ไปรวยกว่าเขาทำไม
คุณใหม่เสมอ คนไทยควรใช้วิจารณญาณในการเลือกนักการเมืองอย่างไร
พ่อครู เอาสัจจะของตนเอง มีภูมิเท่าไหร่ล่ะ ที่เราจะรู้ว่าในหมู่ผู้ประกวด มีคนไหนที่ดีจริงๆ แต่ละคนก็ต้องใช้วิจารณญาณของตนเอง จะไปบังคับความฉลาดความรู้ของคนไม่ได้หรอก เราจะกำหนดไม่ได้หรอก คนยิ่งมีความรู้ความฉลาดเท่าไหร่ก็ใช้วิจารณญาณของตนเองตัดสิน นอกจากคนที่ยอมเป็นทาสให้เขาซื้อตัว ยอมให้เขาครอบงำแล้วไปเลือกเขา ก็ช่วยไม่ได้ คุณจะเป็นอิสระเสรีในตัวคุณเองหรือเปล่าหรือคุณจะกลายเป็นทาสให้เขาซื้อให้เขาบงการ ก็เลือกเอา