620130_พบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี เจริญธรรม ดีมากที่ได้พบกัน พบกันอาตมาก็ไม่มีอะไรเลยเงินทองทรัพย์สมบัติไม่มี ให้ได้แต่ความเข้าใจ เท่าที่อาตมามีความเข้าใจเท่าไรก็ทำความเข้าใจที่อาตมามี อาตมาก็แบ่งความเข้าใจที่อาตมามีให้ได้
_ดร.พิชาย_ช่วยเล่าความเป็นมาของชุมชนให้ด้วยครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่มีฝีมือจะทำเลยแต่ว่าเกิดโดยอัตโนมัติก็คืออัตโนมัติ อาตมามีความเข้าใจไม่บังอาจเรียกว่าความรู้เท่าไหร่ เพราะที่อาตมามีความเข้าใจแต่ไหนแต่ไร พัฒนาความเข้าใจมาทุกวันนี้ก็พยายามพัฒนาความเข้าใจของตัวเองต่อไป คิดว่าจะต่อไปจนถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
ภาษาบัญญัติที่บอกว่าโพธิสัตว์คืออะไร โพธิคือความรู้ อาตมาก็สะสมความเข้าใจให้เป็นโพธิ จนเดี๋ยวนี้ก็คือรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับ 7 อย่างนี้เป็นต้น เป็นความจริงที่อาตมาพูดไปโดยไม่ได้ มังกุ ไม่ได้อุทธัจจะ ไม่ได้สะทกทะเทือนสะท้าน ใครจะเข้าใจยังไงก็ช่างเถอะแต่อาตมาพูดความจริงเต็มรูปให้ง่ายที่สุดชัดที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายมาก
ที่บอกว่าเป็นอะไรมาได้อย่างนี้ อาตมาก็ทำตามความเข้าใจของอาตมาว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้ก็ทำ มีเจตนารมณ์ก็ทำไปเท่าที่ตัวเองจะทำได้อย่างดีที่สุดบริสุทธิ์ที่สุดมีคุณค่าที่สุด เท่าที่จะมีปฏิภาณวิจารณญาณที่ทำได้อัตโนมัติ ถือกรรมการกระทำเป็นถึงความยิ่งใหญ่ แล้วจัดการกรรมการกระทำของเราให้มั่นใจที่สุด เท่าที่เรามีภูมิที่จะเข้าใจรู้ได้
อาตมาถึงจะเห็นผลที่เราทำตามความเข้าใจตามภูมิของเราก็มีผลออกมาดีเป็นที่น่าพอใจ อาตมาก็เลยทำอย่างนั้นมาตลอด ส่วน by product ผลที่ตามมา ก็ใช้ปฏิภาณตัวเองดูว่ามันก็ดี แต่มันก็ยังไม่ดี มันยังมีดีกว่านี้อีก ก็ต้องทำต่อไป ก็รู้สึกว่าทำดียังไม่พอก็ต้องทำดีให้มากต่อไป อาตมาก็เลยเป็นคนตะกละไม่พอ แต่ตะกละความดี
เช่น อาตมายืนยันว่าคนมาจนนี้ดีกว่ารวย อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้เล่นคารมภาษานะ เมื่อทำแล้วก็ได้ผลจริงซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนอื่นเขาเป็นกัน อาตมาอธิบายเศรษฐศาสตร์
เสฏฐะ หรือเศรษฐศาสตร์คือความเจริญ ภาษาอังกฤษก็คือประหยัดน้อยลงเท่าไหร่ได้อยู่ได้ดี อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แล้วยิ่งน้อยเราก็ยิ่งเห็นความเป็นคุณค่าของเรา เราเป็นผู้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้มากขึ้นมันก็ยิ่งชัด อาตมาก็ทำอย่างนี้ไม่ได้หยุด จนเกิดผลเป็นรูปธรรมเป็นเป็นชุมชนเป็นวัตถุ จนกลายเป็นอาณาจักรขึ้นมามีชุมชนชาวอโศกกระจายอยู่ทั่วไป 10 20 30 กลุ่มกระจายอยู่ในทั่วประเทศ เพราะมันมีทิฏฐิสามัญญตาศีลสามัญญตา มีความเป็นความเข้าใจตรงกันไม่ได้แยก ก็เลยเป็นองค์รวมที่เกิดผล มีอัตราการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
นี่คืออาตมาที่พออธิบายได้ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
สำคัญที่สุดคือโพธิ หรือความรู้ ซึ่งไม่ได้เป็นความรู้แบบโลกที่แบบโลกโลกีย์ส่วนใหญ่ก็เป็นมา เป็นความแตกต่าง นอกจากแตกต่างแล้วยังทวนกระแสที่เขาเป็นอีก คนเขาไปรวยเรามาจน เขามีมากเรามีน้อย คนเขาเสียสละได้ยากเราเสียสละได้มาก มันทวนกระแสทุกอย่าง คนเรามันไปกระแสที่ผิดพลาดจึงต้องทำขึ้นด้วยเรื่อยๆมาอย่างนี้มันเจริญขึ้น เห็นจริงๆตามที่อาตมามีภูมิปัญญาจะเห็น จึงทำอย่างมั่นใจ และให้ตรงอย่างแสนบริสุทธิ์ไม่มีอะไรแฝงปนเปื้อน ไม่มีอะไรที่จะเป็น hidden Agentaได้อยู่ ตรงที่สุด อาตมาจึงสรุป motto ว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
_ดร.พิชาย_เท่าที่ผมทราบมา ชุมชนชาวอโศกจะมี 3 ส่วนคือบ้านวัดโรงเรียน ใน 3 ส่วนนี้มีความสัมพันธ์กันในแง่มุมใดบ้าง
พ่อครูว่า…ที่พูดมาเมื่อกี้นี้ว่า ไม่ใช่ว่าอาตมาไปจัดการมีหลักเกณฑ์หมวดหมู่ขั้นตอนไม่ใช่ อาตมาไม่ได้เจตนาไม่ได้เก่งทั้งนั้นเลย แต่อาตมาตามรู้ทีหลังว่า สภาวะทุกอย่างนี่นะ ทุกวันนี้อาตมาแหม พูดแล้วก็ขออภัยที่ต้องพูดตรงนี้ อาตมาตีแตกตั้งแต่คำว่า 2 เทวธัมมา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60
คู่ที่เอามาแยกคือเวทนา จับคู่ของเวทนา แล้วเรียนรู้เวทนาคือความรู้สึกของมนุษยชาติ ความรู้สึกสุขทุกข์เป็น 2 แยกสุขแยกทุกข์ให้ออกให้ชัด แต่ที่จริงมันแยกไม่ได้ 2 ก็คือหนึ่งหนึ่งก็คือสองอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมเขาตี 2 ไม่แตก พระพุทธเจ้ามาตี 2 ให้แตกแยกเป็นหนึ่ง แล้วมันก็สลับไปสลับมา จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรู้ ยิ่งละเอียดยิ่งเร็วไปดูไม่ทัน ยิ่งละเอียดยิ่งรู้ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยกลายเป็นสภาพที่ ยิ่งละเอียดแล้วยิ่งไว ยิ่งเร็ว ยิ่งรู้ไม่ชัดรู้ไม่ทัน สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนนักเล่นกลนักมายากล แต่เป็นนักมายากลที่จริงไม่ใช่กลเลย แต่มันเร็วมันไวมันละเอียด วิธีรู้ทันว่ามันปรุงแต่งกันอยู่สังขารกันอยู่สังเคราะห์กันอยู่ ก็แยกได้ชัดเจนว่าอะไรคืออะไร คนที่รู้ว่าอะไรคืออะไรจะไม่สับสนทำงานกันอย่างชัดเจนไม่สับสน แต่คนที่ไม่รู้ แล้วมันอยู่ร่วมกันอย่างไร อยู่กันได้อย่างไร ยิ่งเห็นความต่าง ของสิ่งที่มันอยู่ด้วยกัน แล้วมันอยู่ด้วยกันได้อย่างไรเมื่อรวมอยู่ได้อย่างไร ใครจัดการในสามเส้า คือจะมี 1 เป็นประธาน 2 เป็นอีก สองสภาพบวกกับลบ อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ สองนี้ก็สภาพตลอดกาลที่มีประธานจัดการควบคุมได้ ควบคุมให้เป็นประโยชน์ได้อย่าให้มาทะเลาะกัน หรือแม้จะขัดแย้งกัน จะเป็นสภาพที่มีแรงทดมี resistance เกิดพลังงานขึ้นมาโดยคุณไม่รู้ตัวก็ตามก็ใช้คุณได้ คุณจะทะเลาะกันแต่เราเอาพลังงานของคุณมาใช้ประโยชน์ได้ โดยที่คุณจะทะเลาะกันก็ทะเลาะกันอย่างอย่าแตกแยกเลยทีเดียว ทะเลาะให้เกิดพลังงานปฏิกิริยาแล้วเราก็พลังงานนั้นมาใช้
นี่ คนที่สามารถรู้อย่างนี้แล้วทำอย่างนี้มันไม่มีทางจะแยกไปไหน แล้วได้ผลจากปฏิกิริยา Action Reaction + – อย่างนี้ ตลอดกาลนาน นี่คือ สิ่งที่สุดยอดที่ผู้รู้สามารถจะนำสิ่งนี้มาใช้ตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่พลังงานสสารวัตถุ หรือคน 2 คนขึ้นไปวัตถุ 2 ชิ้นขึ้นไปจนกระทั่งถึงนามธรรม จนกระทั่งถึงความคิดของคนสองคน เอามารวมกันผสมให้เป็นประโยชน์ให้ได้ นี่คือความสามารถ
_ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นสามารถรักษาวัฒนธรรม เช่น ใส่เสื้อม่อฮ่อม กับการขยายตัว แล้วก็มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ การใช้รถแบคโฮ เรื่องการทำงานด้านอื่น ให้ผู้ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ก็ไม่ได้ใช้ควาย แต่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ แล้วภูมิปัญญาพื้นบ้านกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ฉันอาจจะมีการใช้มือถือใช้รถแม็คโคร จะมีการบูรณาการเทคโนโลยีสองส่วนนี้ได้อย่างไร ระหว่างดั้งเดิมกับแบบสมัยใหม่
พ่อครูว่า..มันบอกไม่ได้เลยนะไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัดแต่มันเกิดโดยปฏิภาณ รู้ว่าสิ่งที่ควรสิ่งนี้ยังไม่ควร หรือบางทีสิ่งนี้ควรเอามาใช้แล้วควรได้แต่เราไม่มีทุนรอนบารมีเอามาใช้ได้ ก็เป็นหมาเห่าเครื่องบิน เราก็ใช้เท่าที่มี มันก็ได้เท่าที่เรามีบารมีมีสิ่งที่พอเป็นต่อไป ก็ได้ มันก็แหม อาตมาย่นย่อเข้าให้เห็นว่า คือคนเรานี่ อาตมาย่นย่อเป็นภาษาว่า คนเรามีเจตนา เข้าใจคำว่าเจตนาให้ได้ว่า เรามีขีดจิตที่มุ่งหมายเจตนา แต่อย่าอยาก
อาตมามีmotto อันหนึ่งว่า มีเจตนาแต่ใหญ่ๆ เจตนาคือเรารู้ทางเดินจิตที่มุ่งไปจะให้ทำอะไรเป็นอะไรเรารู้เรามีเจตนา แต่อย่าผลักดันด้วยความตะกละตะกราม อยากได้ คุณเรียนรู้ว่า แล้วคุณจะทำอย่างไรมันถึงจะได้คุณก็ต้องศึกษาเหตุ ศึกษาต้นทางแห่งการได้ แล้วผสมส่วนจัดการเหตุนี้ให้สมบูรณ์ ถ้ามันถูกสัดส่วนก็ได้ผล ศึกษาเหตุให้ดี อย่าไปคำนึงถึงผล เราอาจจะพอมีอนาคตตังสญาณ มีความรู้นำหน้าว่า ผล มันควรจะเป็นอย่างนี้นะ แล้วเราก็มารู้ว่าคนมันเป็นอย่างนี้มันจะมาจากเหตุอะไร พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุเรื่องผลอิทัปปัจจยตาปัจจยาการ ถ้าหากว่าเราดับเหตุทุกอย่างก็จบ มันจะเจริญหรือเสื่อมก็อยู่ที่ 2 อย่างนี้คือเหตุและผลเท่านั้น
เหตุและผลพระพุทธเจ้าย่นย่อที่อาริยสัจจะ อาตมาไม่ใช่อารยะ กับอริยะ ซึ่งเป็นคำที่เสียไปแล้ว
ขณะนี้อาตมาจบได้สูงสุดแล้วอาจจะมีสูงสุดกว่านี้อีกว่า ความสุขความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนมากคนจะเรียนรู้เรื่องความดีความชั่วแต่ไม่มาเรียนรู้เรื่องเวทนาคือความสุขความทุกข์พระพุทธเจ้าจับจุดตรงนี้ได้ให้มาแก้ไขความสุขความทุกข์
คนบำบัดสุข บำบัดทุกข์นี้ เข้มข้นด้วยสัจจะยิ่งกว่าดีชั่ว คนทุกวันนี้ยึดถือแต่ดีชั่วเป็นสมมติสัจจะ แต่ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่องที่จริงกว่า
มาเรียนรู้อาการอารมณ์ตรงนี้ให้ได้ ซึ่งมันยากมากที่จะแยกความสุขความทุกข์ให้ได้ ความสุขความทุกข์เป็นเหรียญคู่แยกกันไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงไม่ได้แยก ศาสนาพุทธจะเอาสุขมาทำลายจะเอาทุกข์มาทำลายก็ได้มันก็หายไป เพราะมันแยกกันไม่ได้ ความรู้กับความสุข ทำลายจะต้องทำลายมันทั้งคู่ ทำลายได้ก็คือหายไปทั้งสุขทั้งทุกข์ ศาสนาพุทธจึงไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อทุกขมสุข หรืออุเบกขา
คนจะมีความสุขความทุกข์อย่างไรก็เพราะอารมณ์ของคุณยึดเอง แค่ อย่างนี้ว่าสวย คนนี้บอกว่าสวยจัง อีกคนนึงบอกว่าไม่เอาไม่สวย แต่มันคืออันเดียวกันนะ แต่อารมณ์ของคนสองคนเขาทะเลาะกัน เราก็รู้ว่าคนทะเลาะกันแต่เราก็รู้ความจริงตามความจริงว่าอันนี้มันอันเดียวกัน แล้วคุณต่างคนที่ทะเลาะกันก็คือต่างคนต่างยึดถือ ต่างคนต่างเห็นว่าอันนี้ถึงจะใช่อันนี้ถึงไม่ใช่ คนก็เลยแยกเป็น 2 แต่ที่จริงอันนี้มันอันเดียวคุณกระทบสัมผัสอันนี้อันเดียวกัน คนร้อยคนสัมผัสก็อันนี้อันเดียวกันนั่นหนึ่งเดียวไม่มีสอง แต่คุณแยกไปได้เป็นอนันต์
เราก็ตามไปรู้ทันกับเขาไม่ได้หมดหรอก ที่เขาคิดกันมันหลายมุมเหลี่ยมเรียกว่าโลกจินตา เป็นความคิดแบบโลกอะไรก็คิดได้ไม่มีวันจบ คนที่เขาไปงมงายกับคำว่าศิลปะ เขาจะต้องมีแง่มุมที่แตกต่าง แล้วก็โปรโมท ความแตกต่างของเราว่าดีกว่าสูงกว่าแปลกกว่านี่คือศิลปินบ้าบอเลอะเทอะ คิดความแตกแยกอะไรออกเป็นอัตตาผู้เป็นเจ้าของ มีอัตตาในตัว มันแปลกไปจากความอื่น นี่คือความเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ศิลปะศิลปินทุกวันนี้เละเทะหมด หาสาระไม่ได้เลย จับจุดที่เป็นสาระไม่ได้ ศิลปะก็เลยกลายเป็น ศิลเปรอะเลย
อะไรที่เอามาพอใช้งานได้เป็นครั้งคราวเหมาะสมกับอันนี้ กาละนี้ เหตุปัจจัยนี้ status quo ปัจจุบันธรรมอันนี้ ปัจจุบันธรรมอะไรที่เล็กที่สุดน้อยที่สุดได้ประโยชน์มากที่สุดสูงสุดก็จบ
_ดร.พิชาย_ขออนุญาตถาม เกี่ยวกับสังคมไทย คือสงฆ์ไทยมีประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกเยอะแยะมุมของพ่อท่านมอง จะมีแนวทางที่ควรปฏิบัติหรือแก้ไขยังไง
พ่อครูว่า…อาตมาว่าอาตมาเห็นครบเท่าที่อาตมามีภูมิว่า ทุกวันนี้ศาสนาพุทธน่าสงสารมาก เพราะมันไปหลงเอาความผิดว่าเป็นความทุกข์ จะว่าหมดก็หมด เกือบหมด อาตมาเลยจำเป็นต้องยืนยันตนเองว่า ถูกมันอยู่ที่อาตมาคนเดียว เพราะมันเห็นว่าของคนอื่นเขาผิด ใครก็มีอัตตาว่าตัวเองก็แน่ตัวเองก็หนึ่ง หลายคนก็เรียนมาเกิดมาก่อนอาตมายึดถือนี้ครูบาอาจารย์ อาตมาโผล่มาบอกว่าครูบาอาจารย์ก็ไม่มีสำนักไหนก็ไม่มี แล้วเอามาจากไหน อาตมาบอกว่าเอามาจากของตัวเองชาติก่อนๆเท่าที่มีเอามาทำเอามาเปิดเผย ซึ่งมันก็ไม่เหมือนกับที่ท่านผิดไปหมดแล้ว อาตมาพูดแบบนี้บอกว่าถูกมันก็เลยต้องขัดแย้งอยู่ตลอด อาตมาก็เลยพิสูจน์ยืนยันจนมีผู้รู้มาเอาตามมาทำตามมาตายตาม อยู่ที่นี่ 30-40 ปีแล้ว
อาตมาก็ยืนยันว่า 1 ตรวจสอบเท่าที่มีหลักฐาน ในพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ ใช้อันนี้เป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้เกือบหมดอาจจะมี Error เล็กๆ แต่แท้ๆแล้วใช้ได้ ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ อาตมาทำงานมาก็ยิ่งเห็นผลว่ามีอัตราการก้าวหน้าพอใช้ได้ทีเดียว จนขณะนี้เท่าที่อาตมาใช้ปฏิภาณของอาตมาว่า กระแสความนิยม Trend ของความพอใจที่จะรับมาหาโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าเยอะขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระแสอะไรต่ออะไรที่กำลังเกิดนี้ เช่น กระแสอย่าง
อาตมายืนยันว่าในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์ท่านทรงพระจริยวัตรเป็นโลกุตรธรรมตลอดมา แต่คนเข้าใจไม่ได้บางคนก็เข้าใจได้ คนไม่เข้าใจก็ไม่ได้รังเกียจชัดเจน แต่คนที่เข้าใจได้ชัดเจนก็ลึกขึ้น โดยเฉพาะคนไทย
ที่อาตมาเรียกว่า ระเบิดรัก bomb of love ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต คนไทยรวมเป็นหนึ่งเขารักอะไร รักในตัวในหลวงหรือ เขารักความหล่อ ความรวย จะว่าความเก่งความสามารถก็ซ้อนคือ คุณธรรมความดี ลึกๆของชาวไทยมีธาตุตัวนี้ในจิต มีอยู่แล้วเป็นรากเหง้า อนุสัยอาสวะ คำว่าอนุสัยอาสวะนี้ไม่ได้เป็นคำเสียทีเดียว เป็นสิ่งที่ตกผลึกในก้นบึ้งของจิต มันแสดงตัวออกมาเมื่อมีการสัมผัสกระทบ มีปฏิกิริยาว่าอย่างนี้ใช่ จึงเกิดตื่นตัวเมื่อในหลวงสิ้น เขารู้ว่าเป็นคุณค่าที่สูงมากและหายากหาในใครไม่ค่อยได้ ได้ที่ในหลวง เช่น ท่านตรัสมาเป็นพยัญชนะว่า
ต้องบริหารประเทศแบบคนจน ต้องมาขาดทุนอย่าไปเอากำไร จะไปเอาเปรียบเรารัดต้องให้ต้องเสียสละ แต่ท่านเป็นนักปฏิบัตินักธรรมท่านไม่ใช่นักอธิบายแยกแยะขยายความ คนก็เลยเข้าใจแค่รูปธรรมเสียส่วนใหญ่ ไม่เป็นปฏิภาณความรู้พยัญชนะบัญญัติที่จะขยายต่อไป อาตมาเลยเป็นภาระที่จะมาขยายสิ่งเหล่านี้
อาตมายกอ้าง ว่า โพธิสัตว์มีใครบ้าง เช่นบอกว่าไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ คานธีเป็นโพธิสัตว์ ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ เป็นต้น อาตมาอ้างไปก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความรู้ทางโพธิภูมิ ก็ยังอธิบายเท่าที่ได้แต่ก็อ้างอิงยืนยันขยายความไปเรื่อยๆ มีหลักฐานที่ไอน์สไตน์เขียนจดหมายถึงลูกเรื่อง Bomb of love
ที่จริงแล้วอาตมาก็ไม่ชัดเจนว่า เห็นจดหมายของไอน์สไตน์ก่อนเกิดในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต แต่เมื่อเกิดพฤติกรรมสังคมมนุษยชาติ เป็น Bomb of love 13 ตุลาคม 59 อาตมาก็ชัดเจน ไอน์สไตน์ อาตมาก็เชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์ตามภูมาตามาคนก็จะงง โพธิสัตว์อะไร ยังไปทำที่วัตถุเท่านั้นไม่ได้มาเน้นนามธรรม อาตมาก็อธิบายไม่ค่อยออก ที่จัดเจน หลายอย่างที่ไอสไตน์รู้อาตมาก็รู้ บางอย่างอาตมาก็รู้ก่อน บางอย่างไอสไตน์ก็รู้ก่อน ก็เลยรู้ว่าเป็นคนตระกูลเดียวกัน อาตมาถึงบอกว่าไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์คนอื่นฟังก็จะงง
ในหลวงท่านทำอย่างเป็นรูปธรรมมหาศาล อาตมาทำอย่างเล็กเท่าขี้ฝอย แต่ทำทางนามธรรม ต้องขอบพระคุณในหลวงอย่างมากที่ท่านทำมาก่อนเป็นจริง ก็ต้องขยายต่อไปให้มีองค์ประกอบรูป และนาม เกิดจากจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง
สรุป รูปธรรมที่อาตมาสร้างด้วยนามธรรมที่สั่งให้อาตมาทำ ใช้เป็นพลังงานที่ทำอะไรต่ออะไร ก็ยังไม่เป็นหลักฐานรูปธรรมที่เพียงพอ อาตมาก็เลยคิดว่ายังตายไม่ได้ อาตมารู้ว่าอายุขันธ์อาตมา 72 ปี แต่ก็รู้ว่าตายไม่ได้นะ ต้องใช้ความรู้ที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า มาเสริมพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient เป็นพลังงานเสริมให้มีอัตราการก้าวหน้าในระดับคูณขึ้นไป ไม่ใช่แค่บวกนะ ต้องคูณหรือยกกำลัง ทำให้ได้ มันถึงจะเกิดพลังปฏิภาคทวีก้าวหน้าไปได้ ไม่อย่างนั้นถูกอันอื่นดึงไปไม่ออก เหมือนจรวดจะออกนอกโลกต้องมีพลังงานและตั้งทิศทางให้ถูกต้องจึงหลุดพ้นได้ เท่าที่ประมวลพลังงานในตนเองได้เท่าที่มีทวัตติงสาการ อาการ 32 นี้ไปได้
อาตมาทำมาได้จนถึงอายุ 84 ปี กึ่งหนึ่ง นักษัตร 12 ปีผ่านมาแล้วอาตมาถึงบอกว่าเอาเพิ่มอีก หากปฏิภาคทวีทับทวีไปก็จะมากขึ้นต้องทำ 12 ต่อไปอีกหลายทบ 151 ปีคือโกลของอาตมา
_ดร.พิชาย_วิธีการที่พ่อครูได้ใช้เพิ่มอัตราทวีคูณได้อย่างไร
พ่อครูว่า…ไม่เก่งอธิบาย เราไม้ได้ปิดบังความรู้นะ อาตมาทำอยู่นี่พวกเราทำความเข้าใจแล้วมาตามวิเคราะห์วิจัยร่วมกันสาธยายถกกันเพื่อให้แตกความรู้ มีการสื่อสารโทรทัศน์ช่องนี้ เราก็ไม่ได้นิ่ง เรารู้เราก็สาธยาย ถกกันวิจัยกันให้ร่วมแสดงออก
_ขอกราบเรียนถามว่าที่มีรูปพระนั่งในกะลาครอบ ที่จุดนิทรรศการ คือฤาษี
พ่อครูว่า…ก็หมายความว่าฤาษีทั้งหลายแหล่เทวนิยมทั้งหลายอยู่ในกะลาครอบ ยังไม่ออกมาจากกะลาครอบ เหล่าเทวนิยม เหล่าที่จะตีคู่สองไม่แตก ออกมาไม่ได้ ยึดอันนี้เป็นหนึ่ง ยึดแล้วห้ามใครแตะด้วยนะต้องเอาตามนี้ด้วยนะ command ศาสนาเทวนิยมเป็นศาสนาแห่งการบังคับ Command ก็เลยอยู่กับอันนี้ตายตัวนิรันดรตีไม่แตกเจตนาไม่ให้ใครตี เขายึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นตลอด ใครจะมาแตกแยกอย่างไร แล้วมันจะแยกได้จริงหรือ เขาก็ไม่ยอม ก็ต้องปล่อยเขาไปห้ามเขาไม่ได้ก็เขายึดถืออย่างนั้น ของใครก็ของใคร
ต้องมาเรียนทีละคู่ เทวะ นี่แหละ แล้วจะมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 มันเป็นอัตราการก้าวหน้าที่มี ปฏิภาคทวี ได้ลำดับอย่างสวยงามไม่ใช่ไม่เป็นลำดับ อาจจะมีมุมเหลี่ยมบ้างต่างๆนานาได้หลากหลาย แต่เหมือนดอกไม้งามที่ได้สัดส่วน
_น้องเขาขับรถตู้ผ่าน ศาลาเฮือนสุดชีวิต ก็เลยอยากรู้ว่า ชีวิตหลังความตายของสันติอโศกนั้นมีความเชื่ออย่างไร สมมุติว่าเราไม่ได้ไปถึงนิพพานทุกคน คนที่เหลือเขาจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า
พ่อครูว่า…อันนี้นี่นะ คนตายแล้ว เทวนิยมตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าไม่มีอะไรต่อ ยืนยันเองไม่ได้ยืนยันว่ามีสวรรค์กับนรกแล้วแยกแยะไม่ออกโยนให้กับพระเจ้ามีสิทธิองค์เดียว ท่านจะชี้นรกก็ของท่านเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าไปอยู่กับพระเจ้าก็ถือว่าไปสวรรค์ เป็นความโมเม ที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงอย่างไร
ต้องเอาสิ่งที่มนุษย์รับรู้ได้ร่วมกัน เรียกว่าความรู้สึก เราสามารถพูดให้ตรงกันได้รู้ร่วมกันได้ เช่น เห็นสีนี้ก็คือสีเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนไทย จีน ฝรั่ง แขก สัจจะมีหนึ่งเดียวแต่เห็นแตกแยกกันไปว่า อันนี้ชอบอันนี้ไม่ชอบอันนี้ชอบน้อยอันนี้ชอบปานกลาง นับระดับไม่ถ้วนความแตกต่าง เพราะฉะนั้นความจริงมันมีหนึ่งเดียว ทุกคนสัมผัสแล้ว
หนึ่ง แต่ ส่วนความเห็นแตกแยกนั้นมีเป็นล้าน เราประมาณไม่ได้ เราก็จะเอาหนึ่งเดียวเป็นหลัก ถ้าแยกกันแล้วอยู่ร่วมกันได้ก็อยู่ร่วมกันไป ศาสนาพุทธไม่ได้จบที่ตายแล้วสูญ ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าแล้วขยายอะไรไม่ออก พระเจ้าเท่านั้นจะสั่งจะบันดาล ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมีตายแล้วเกิด Rebirth นับชาติไม่ถ้วน เกิดจากการกระทำกรรมของแต่ละคน
กรรม ถ้าจะพูดกับชาวพุทธด้วยกันก็คือ กรรมนี้ยิ่งใหญ่กว่า God ภาวะกรรมเป็นการกระทำของมนุษยชาติ ส่วน God นั้นไม่รู้ว่ามีตัวตนหรือไม่อย่างไรแต่ก็ฝากคำสอนมากับปกาศก มาขยายความให้มนุษยชาติเท่าที่ประกาศกหรือพระบุตรนั้นมีความรู้หรือขยายได้ จริงๆแล้วพระบุตรนั่นแหละคือพระเจ้าเอง แต่พระบุตรไม่รู้ว่า ไอ้ ความรู้นี่คืออะไร
ความรู้นี่ก็คือสัญญาความจำความรู้ของตัวเอง แต่เมื่อเขาไม่รู้ไม่แน่ใจ ตัวเองรู้ขนาดนี้เชียวหรือ เพราะฉะนั้นจึงทำอะไรไม่สามารถเชื่อตัวเองได้อย่างเด็ดขาดแน่แท้ ในตัวพระบุตร และพระเจ้าก็อยู่ที่ไหนไม่รู้สมมุติเป็นนิรมาณกาย เป็นกายที่ทุกคนรู้ว่ามีอันใดอันหนึ่ง แล้วก็สร้างเอง พวกที่มีทัศนวิสัยตรงกันก็พูดกันรู้เรื่องว่าเป็นอย่างนี้หรือ รวมกันใหญ่เลยก็เลยกลายเป็นอุปาทานหมู่ รู้ร่วมกันตรงกันแต่เป็นของสมมติที่ต่างคนต่างไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้นะเห็นความจริงนี้ได้เลย ความเป็นกายที่มี นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นด้วยกัน ต่างคนต่างสร้างเป็นนิรมาณกาย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่อาตมากำลังขยายความ ขออภัยหลายคนมาฟังนี้คงไม่รู้เรื่องที่อาตมาพูดนี้ แต่อาตมาบอกบัญญัติตอนนี้อาตมาไม่ได้บัญญัติเอง เป็นของเดิมที่ท่านได้อธิบายมา
คนเราโดยรูปที่ต้องตายต้องมีที่เผา คือเฮือนสุดชีวิต ศาสนาพุทธมีที่เผาศพก็จะได้จบ บางคนบอกว่าเผาแล้วเหลือขี้เถ้าอาจยึดถืออยู่ก็เอาไปลอยน้ำทิ้งไปเลยให้หายไปไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น
ชีวิตหลังความตาย อยู่ที่วิบากกรรม กรรมของตนเองต้องเป็นของเรา กัมมัสกตา จะทำด้วยกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เล็กละเอียดเท่าใดก็ตามก็เป็นของคุณ คุณจะเอาไม่เอาก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ คือ พิสูจน์กันง่ายๆ คนคนนี้ตีหัวคนนี้ แล้วบอกว่า ไม่ดี คนอื่นเอาไปหน่อย แบ่งกรรมของการตีหัวคนไปให้หน่อย ถ้าคนเขาจับก็แบ่งให้ครึ่งนึง มันได้ที่ไหน กรรมของคนทำคนเดียวคนอื่นไม่ได้รู้ด้วยเลย แล้วจะยกให้ แม้จะรู้ร่วมเขาก็ไม่ได้ทำ เขารู้ว่าคุณทำแต่เขาก็ไม่ได้ทำ แค่กฎหมายเขาก็ไม่ได้เอาผิด นอกจากคุณเป็นคนสั่ง คนสั่งถือว่าเป็นต้นตอมากกว่าคนทำด้วย
สรุปแล้วกรรมเป็นของๆตน กัมมัสกตา ใครทำเป็นของของคนคนนั้น พ่อแม่ทำก็แบ่งให้ลูกไม่ได้ ลูกทำก็ยกให้พ่อแม่ไม่ได้ ไม่มีพินัยกรรมใดยกให้ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าละเอียดลออขนาดนี้ กรรมจึงสำคัญมาก ทุกอย่างไม่ใช่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สั่งให้เราทำเราเองต้องรับผิดชอบกรรมของเราเองทุกเม็ด หยาบกลางละเอียด บรรจุซองเท่าละอองธุลีอย่างไร แล้วไม่ระเหิดระเหยด้วย ไม่ขาดหกตกหล่น เป็นของเราทั้งสิ้น กรรมมีอิทธิพลต่ออัตภาพของเราทั้งสิ้น
คนตายแล้วก็แล้วแต่จะเชื่อ เชื่อว่าไปอยู่กับพระเจ้าก็คือโยนให้กับพระเจ้า ความจริงแล้วศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่ กรรมนี้ดำเนินไปตลอดนิรันดร คุณไม่สามารถรู้แจ้งจบได้จนไม่สามารถทำให้เหตุปัจจัยของกรรมทั้งหลาย ไม่มีผลต่อตัวเราอีกแล้ว คือมันไม่มีผลที่จะทำให้ตัวเราเองตกต่ำอีกแล้ว มีแต่ดี แล้วเราก็ไม่ยึดดีนี้เป็นของเราอันนี้สูงสุด ถ้าเรายังมี have เรานี่แหละเป็นเจ้าของมี Behavior ขึ้นมาเมื่อไหร่ของเราเองหมด เราทำเองเป็นของเราเอง ไม่มีใครได้แบ่งให้เราได้เลย นี่คือศาสนาพุทธ แล้วจะออกผลต่อคุณเองจนกระทั่งคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุ
คำว่าแยกธาตุ มีอุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ กรรมธาตุ ธรรมธาตุ โดยแยกเป็นนิยาม 5 หน่วยใหญ่นิยามใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้
อุตุคือดินน้ำไฟลมที่ไม่ใช่พีชะเลย เริ่มเป็นพีชะมันก็ไม่มีความรู้สึกยึดถือเจ็บปวด จองเวรจองกรรมไม่มีความรักความชังมันยังไม่มี มันจึงไม่มีเวรมีกรรมไม่มีวิบากอะไรต่อ มันมีแต่ตัวมันเกิดต่อชีวะมันได้ก็ต่อ หากต่อไม่ได้ก็สูญ แต่มาเป็นจิตนิยามนอกจากต่อทางวัตถุไม่ได้แต่มาต่อทางนามธรรม
แล้วจิตนิยามขึ้นอยู่กับกรรม จิตเป็นเจ้าของกรรม กรรมมันจะเกิดอะไรขึ้นมาจิตก็เป็นตัวแปรตามตัวกำหนด จิตหรือวิญญาณ จิตเป็นปัจจุบันที่ใช้งาน วิญญาณเป็นธาตุรู้ที่ครบถ้วนหมด เมื่อมาแยกเป็นจิตเจตสิก เป็นเจตสิก 52 อีก 89 อภิธรรมเรียนจนเฟ้อ ไม่เข้าหาสภาวะจริงก็เลยไม่ได้แก้ไขตนเองก็เลยหลงนิพพานเป็นพยัญชนะ อัตวาทุปาทาน
_ดร.พิชาย_ธรรมะคืออะไร?
พ่อครูว่า…ธรรมะคือสิ่งที่ทรงอยู่ทรงไว้ ส่วนที่ทรงอยู่นี้แจกเป็นจิต เป็นรูป เป็นนามได้อีก คำว่าจิตคือธาตุรู้ ส่วนธรรมะนั้นเป็นธาตุที่เป็นเองคือรูปธาตุ ส่วนนามธรรมคือ dynamic
_ดร.พิชาย_จิตตานุสสติ กับธัมมานุสสติคืออะไร?
เราพิจารณารูปนาม สิ่งที่ได้ในตัวเราเป็นแกนหลัก ให้แกนเคลื่อนแกนลบเป็นตัวที่ตรวจสอง ยิ่งแกนนิ่งยิ่งตรวจสอบได้ไว หากไม่นิ่งก็เป๋เลย ต้องได้สัดส่วน หากแกนตั้งไม่แข็งแรงพอก็เละ หากแกนตั้งแข็งเกินไปก็ไปไม่ออก มันแน่นเทอะทะ ไปด้วยกันไม่ได้
คู่ นามรูป บวกลบ ต้องได้สัดส่วนพอเหมาะจึงเจริญไปพร้อมกันก้าวหน้าได้สัดส่วนพอเหมาะตลอดไป
การพิจารณาจิตกับธรรม ถ้าแยกเป็นภาษา จิตมันเป็นองค์รวมของนาม ธรรมะเป็นองค์รวมของรูป ธรรมะคือ static จิต คือ dynamic
อาตมาอธิบายแยก ธรรมะ กับธาตุ คู่สุดท้าย พระเจ้ารู้จักแต่ธรรมไม่รู้จักธาตุ
ธรรมนี้แยกเป็นธาตุได้แยอะ แต่เทวะพระเจ้ามีแต่ธรรมะ แล้วอย่าให้ตีแตก เลยไม่กระดิกเลยเป็นคำตาย เหมือนบาลีที่เป็นภาษาที่ตายแล้ว
สรุปว่า พระเจ้ามีแต่พระธรรม พระเจ้าไม่มีพระธาตุ คนในศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักพระธาตุ แล้วกระดูกมาเป็นพระธาตุได้อย่างไร ทางเทวนิยมพระเจ้าไม่รู้เรื่อง ยิ่งเป็นนามธรรม
วิญญาณธาตุ กับวิญญาณธรรมต่างกันอย่างไร
วิญญาณธาตุคือ static วิญญาณธรรมคือ dynamic
_ถ้ากรรมเป็นของของเรา แล้วกุศลกรรมที่อุทิศไปให้คนอื่นจะได้หรือไม่ ให้คนที่ล่วงลับไปแล้วย่อมไม่ได้ หลายที่ๆสร้างกระบวนการทำบุญอุทิศให้นี้
พ่อครูว่า…คุณก็รู้อยู่ในที พูดออกมาตัวเองชักรู้ว่าพูดถูกแล้ว ก็เราเป็นคนทำก็คือกรรม คนอื่นไม่ได้ทำด้วย แล้วมันจะไปได้อย่างไร คุณก็ขี้ตู่เอาเท่านั้นเอง
ก็บอกแล้วเขาไม่ได้ร่วมทำกับคุณแล้วจะให้เขาแบ่งให้ได้อย่างไร
_ที่พระพุทธองค์บอกว่าให้แผ่เมตตา
พ่อครูว่า..แผ่เมตตาก็ต้องเข้าใจว่า แผ่คืออะไร เมตตาคืออะไร
เมตตาคือปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ปรารถนาให้เขามีสุข ก็เป็นความต้องการของ คุณแผ่เมตตา คุณอยากให้เขามีสุข คนอื่นก็ไม่ได้เกิดอาการนี้ทางจิตเขาเลยคุณจะไปยัดเยียดให้เขาได้อย่างไร คุณบอกให้เขาสงสารคน แต่เขาไม่สงสารคุณจะไปบังคับได้ไหม คนก็บอกว่าแผ่เอาความเห็นใจฉันมีเยอะเลย คนนั้นก็บอกว่าเรื่องอะไรฉันไม่ได้สงสารด้วย ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ถ้าคนบังคับก็ได้ แต่จิตใจของเขาทำเป็นไหม ทำให้เกิดความสงสาร ทำให้เกิดอาการสงสารนี้เขาทำเป็นไหม ถ้าเขาทำไม่เป็นเขาก็รับปากว่าสงสารก็สงสาร แล้วมันจะได้เรื่องอะไร ก็เขาทำจิตของเขาไม่เป็น
สรุปว่าแผ่เมตตาก็คือการเป็นพยัญชนะให้ทำทางรูปธรรม อย่างน้อยก็วจีกรรม พูดกันว่าทำอย่างนี้นะ สงสาร แต่จิตวิญญาณ ธาตุสงสาร สงสารนี้คือขยายความว่าต้องการให้เขาเกิดความไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์ยากไม่ลำบากให้เขาพ้นจากอันนี้ นี่คือความสงสาร
อาการจิตของคุณมี แต่คุณไปบอกว่าแผ่เมตตา คุณสงสารมีจิตใจต้องการให้เขาเป็นแบบนี้ต้องการให้เขาไม่ทุกข์แบบนี้ ให้เขาเป็นสุข แต่ถ้าเขาชังน้ำหน้าจะตายเขาก็ไม่ทำ แต่เขาอาจรับปากว่าแผ่ก็แผ่ แต่จิตทำไม่เป็นมันก็ไม่เกิด
_พวกเราศึกษาเรื่องการพัฒนาสังคม ส่วนทางพ่อท่านคิดเห็นเรื่องที่ศาสนาพุทธจะเกื้อกูลอย่างไรต่อการปกครองสังคมไทย
พ่อครูว่า…ขอพูดสั้นๆ อาตมาเป็นนักปกครองบริหาร ตั้งแต่เกิดมาทำงานศาสนาอาตมาไม่มีตัวตน บริหารให้มนุษย์ชาติเจริญขึ้น จะ 50 ปีแล้วได้ผล แค่ก็ยากมาก อาตมาใช้ทฤษฎีเอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ทั้งนั้นแหละ แล้วของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ของพระเจ้าที่อาตมาเอามาใช้เหมือนกับของในหลวงที่ท่านทำ อาตมาทั้งพาทำและอธิบาย ในหลวงท่านทำแล้วอธิบายคนเข้าใจไม่ได้มาก คนเลยทำตามไม่ค่อยได้แต่อาตมาอธิบายได้คนทำตามได้ แต่อาตมาไม่มีบารมีเท่าในหลวง ในหลวงพูดนิดหน่อยคนก็ทำตาม อาตมาพูดเป็นล้านครั้งคนถึงจะค่อยทำตามบ้าง อาตมาต้องพิสูจน์ตนเองจนคนเชื่อถือๆๆ จึงต้องพยายามอายุยืนยาวให้มากหน่อย คุณจะได้ Appreciate กับอาตมาบ้างในอนาคต
Post navigation