หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการดูแลญาติและคนในครอบครัว อย่างดีก็ตาม ช่วงเวลาต่อมาคนในครอบครัวก็ต้องคิดถึงนั้นก็ไม่พ้นเรื่องการจัดงานศพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการทำความดีเพื่อผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย เราชาวพุทธจะเตรียมตัวหลากหลายอย่างตามพิธีกรรมที่กระทำในสังคมทั่วๆไป ซึ่งทำให้เสียเวลา แรงงาน ทุนรอน บางคนก็มีประสบการณ์มาแล้ว บางครอบครัวต้องหมดเงินเพื่องานศพเป็นจำนวนมาก แทบจะล้มละลายกันทีเดียว นั่นก็คือเพียงหวังว่าจะจัดงานให้ดูดี สวยงาม มีดอกไม้มากๆหรูหรา ต่างๆนาๆ เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดกับผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม หรือให้สมเกียรติยศกับวงศ์ตระกูลของตนและพี่น้องต่างๆ แน่ใจแล้วหรือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องตามพุทธที่ควรจะเป็นในยุคปัจจุบัน
ชาวพุทธที่ปฏิบัติตามแนวพุทธศาสนาที่แท้จริง จัดงานศพไม่มีเครื่องผูกให้ทุกข์ใจตามมา ดังจะเห็นได้ว่า เป็นประเพณีที่ไม่ผิดศีล 5 เป็นอย่างตำ่ เช่น ไม่มีอบายมุข ยั่วยุ มอมเมา การจุดธูปจุดเทียน ดอกไม้ เหล้า บุหรี่ การทำบาปเพิ่มเช่น การฆ่าสัตว์ ไม่มีการเรี่ยไร ทำอย่างไรเราจะจัดพิธีกรรมแบบพุทธอย่างเรียบง่ายได้ โดยที่เราภาคภูมิใจแถมผู้มีชีวิตอยู่ พี่น้อง จะได้รับประโยชน์ทางจิตวิญญาณมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ได้แก่
1.ทำตามพุทธประเพณีตามที่บัญญัติในพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า
2.ตายเช้าเผาเย็น ไม่รอแม้ญาติที่อยู่ทางไกล
3.เรียบง่าย ประหยัดไม่เป็นหนี้ (คนตายขายคนเป็น)
4.ไม่มีการสวดแบบภาษาบาลี ควรกล่าวเป็น “ ภาษาพูด ” ธรรมดาๆตามสระกำกับไว้ ไม่ใช่ให้สวดด้วยเสียงอันยาว แบบใส่ทำนอง เอื้อนยาว เป็นจังหวะถ้าใส่ทำนองแบบมีจังหวะต่างๆ เป็นความผิดสวดเพื่อหากินเลี้ยงชีพ ไม่ตรงทิศทางพุทธผิดวินัยเป็นการกระทำบาป แต่ควรพูดถึงคุณความดีของ คนตาย ที่ขณะมีชีวิตอยู่
5.คนตายไปแล้วก็ไปตามกรรมวิบากของเขา แม้เราจะส่งอะไรไปให้ก็ไม่ถึง แต่ที่จะได้รับที่ชัดเจนคือผู้ส่งทำความดีทั้งกาย วาจา ใจ นั่นเองเป็นผู้มีผลบุญกุศล มีอาริยทรัพย์แท้ที่ติดตัวผู้นั้นไปอย่างแท้จริง
สังคมชาวอโศกเป็นสังคม”สาธารณโภคี” เป็นสังคม “คนจน” ที่เสียสละอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นระบบที่รวมความเป็นเผด็จการ–คอมมูนิสต์–สังคมนิยม–ประชาธิปไตย แม้แต่ความเป็น “พระเจ้า” มารวมไว้ในความเป็นโลกุตรภูมิไว้หมดสิ้น เพราะ “ธรรม” ของพระพุทธเจ้ามีความเป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกระบบ ทุกระบอบ ทุกระเบียบ ทุกระแบบ ทุกระบิล ฯลฯ ที่มีบริบูรณ์สัมบูรณ์แล้วทุกอย่าง พระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบเพราะมีอธิปัญญารอบถ้วนอย่างยิ่งว่า ความประเสริฐของความเป็นคนจนที่อิสระเสรีสุดๆนำพาเป็นคนวรรณะ 9 ได้สำเร็จจริงจึงเกิิดสังคมสาธารณโภคี พระองค์ไม่สะสมทรัพย์สินเป็นของตนเลย มีแต่กองกลางสงฆ์ ให้ฆราวาสทำหน้าที่ไวยาวัจกร เพียงเพื่อมีชีวิตอาศัยให้คนอื่นเลี้ยงไว้ตามที่จะอยู่จะเป็น สุดแท้แต่เขาจะอนุเคราะห์ไว้ แสดงให้เห็นถึงความเป็น วรรณะ 9 หรือตามกถาวัตถุ 10 หรือตามหลักธรรมวินัย 8 นั่นเอง