620210_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอบปัญหาประชาธิปไตยจนกว่าจะไร้อัตตา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1vKN0u1HRccYoiiCQMGlEsBaz-Li3hk_brlvw5UR45BM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=12heL5nSZVt13oNP3LlbFQSUKUqXmgxR6
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก งานพุทธาภิเษกฯปีนี้จะมีกิจกรรมเปลี่ยนแปลงจากเดิมหลายอย่าง รวมถึงอากาศที่มีความเปลี่ยนแปลงได้สูง ซึ่ง การเมืองไทยตอนนี้ก็มีเหตุการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงมากเช่นกัน
พ่อครูว่า…มาฟัง sms ก่อน ก็คงได้ใช้ sms นี่แหละเป็น guide นำการเทศน์
SMS วันที่ 8 ก.พ. 2562
_3867พ่อครูคงยินดีที่ลุงตู่ตอนรับแคนดิเคตเป็นนายกให้พ.การเมืองใหม่!แต่คงทำใจโยนิโสมนสิการไปด้วยแหงม!กลับไปวังวนเลือกตั้งอีกแหล๊ว!นมัสการ สาธุ!กบสิ้นโศก
พ่อครูว่า…คำว่าวังวนเลือกตั้ง มันเป็นวังวน เรื่องการเลือกตั้งเรื่องของการเมืองไทยตอนนี้ เป็นการเมืองที่สวยงามที่สุดแล้ว เป็นการบริหารด้วยความเป็นประชาธิปไตย อาตมาเป็นคนให้คะแนนเอง การบริหารที่เป็นประชาธิปไตยสวยงามมากที่สุดเท่าที่รัฐบาลที่มีนายกมา 29 คน คนนี้บริหารเป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุด
วังวนการเมือง เป็นสมบัติผลัดกันชมระหว่างผู้ที่แจ้งอำนาจมาบริหาร ประชาธิปไตยนั้นประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วไปลงคะแนนให้คนไปทำหน้าที่แทน ตอนนี้มีโพลที่ออกมา ก็ใช้โพลนี่แหละ โพลของประชาชนก็เจตนาเก็บคะแนนเสียงของกลุ่มประชาชน ขณะนี้มีโพลตั้งหลายเจ้า ได้คะแนนเสียงนายกตู่ชนะทิ้งห่างคนอื่นทั้งนั้นเลย นี่ก็เป็นประชาธิปไตยแล้วไม่ต้องไปลงคะแนนเสียงก็ได้ ประชาชนมีมันสมอง ประชาธิปไตยที่ให้คนไปลงคะแนนเสียงนั้นก็คือประชาชนในประเทศไม่มีมันสมอง ก็เลยต้องไปเอาคะแนนเสียงจากประชาชนทุกคน คนที่ไปลงคะแนนเสียงนั้นมีที่ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก มันถูกนายทุนเจ้าอำนาจหาวิธีที่จะซื้อเสียง อิทธิพลเพื่อที่จะได้เสียงให้แก่ตัวเองคลุมไว้หมดแล้ว สร้างเครือข่ายวิธีการไว้หมดแล้ว อเมริกาเองเป็นตัวดีเลยที่เห็นชัด มีนายทุนมาบงการ พวกนายทุนก็เอาทุนไปจ้างคนทำแบบนี้ไว้ตลอดเวลา ได้โอกาสดีก็ขึ้นมาสมัครเป็นอันนี้ ถึงขั้นสูงสุดก็มาสมัครเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นกลวิถีเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องของจิตวิญญาณตัวจริง ประชาชนไม่ได้ใช้อิสระเสรีภาพความรู้ความสามารถตามความเห็นของเขาจริงๆ มันไม่ใช่ มันตกอยู่ใต้อำนาจเงินทองและอำนาจที่เขาสร้างองค์ประกอบไว้ ขณะนี้ทักษิณได้ทำอำนาจนั้นไปทั้งอำนาจเงินและอำนาจอื่น เขาจบทางด้านอาชญวิทยามา เก่งจริง ก็เลยกลายเป็นตัวอาชญากรตัวสำคัญ เพราะเขาเก่งทางอาชญากรรมเขาเรียนดอกเตอร์ทางนี้มาก็เลยเอามาใช้ซะเอง เลยเป็นอาชญากรเลย ทุกวันนี้ก็เป็นอาชญากรเข้าประเทศก็ไม่ได้ เขาทำสำเร็จ ตามที่เขาเองไปเรียนมาแล้วก็เอามาใช้ แทนที่จะเอามาปราบอาชญากรก็เลยสร้างตัวเองเป็นอาชญากรเองของโลกเลย
การเลือกตั้งเป็นเรื่องวนเวียนของสังคมประเทศนั้นที่ประชาชนไม่มีปัญญาพอที่จะใช้กระแสความรู้สึกร่วมกันแล้วรู้แล้วว่าคนไหนควรจะมาเป็นผู้บริหารที่จะเป็นนายก ขณะนี้ประเทศไทยใช้วิจารณญาณใช้สามัญสำนึกใช้พฤติกรรมทางกายวาจาใจ เห็นร่วมกันว่าพลเอกประยุทธ์เป็นคนเหมาะสม ก็ถูกแล้ว ประเทศไทยขณะนี้เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้วโดยสัจธรรมของมันเอง คนนี้ก็บอกว่ากลับไปวังวนการเลือกตั้งอีกแล้วก็ใช่ วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไปเรียกร้องกับพวก งากๆๆ พวกนั้น เป็นพวกที่กระหายจะได้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่เท่านั้นเอง มันไม่ใช่ประชาธิปไตยอะไรหรอก แล้วหลงตัวเองว่าประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้ง ไม่มีเลือกตั้งเป็นเผด็จการไม่ได้รู้ในรายละเอียดของสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอะไรต่างๆที่เป็นองค์ประกอบ ไม่รู้เลย รู้แต่เลือกตั้ง…ไม่ใช่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย พวกนี้ Go to hell ดิ่งหัวลงนรกอย่างเดียว
เราเองอาตมาถึงบอกว่าไม่ต้องเลือกตั้งหรอก บริหารไปก็ยังดีอยู่ ประเทศไทยขณะนี้สงบเรียบร้อย การเมืองก็ไปได้ดี มีแต่พวกลิ่วล้อที่ร้องจ๊ากๆๆอยู่เท่านั้นเอง ไม่ใช่พวกปากหอยปากปูด้วย แต่ปากฝุ่นละอองธุลี อาตมาพูดความจริงไม่ใช่ประชดประชัน คือมันเสียเวลา บ้านเมืองจะไปได้ดีอยู่แล้ว ก็วางRoadmap ไปเถอะ เพราะฉะนั้นถ้าจะไม่ต้องเลือกตั้งเลยก็เลื่อนไปเรื่อยๆก็แล้วกัน ไม่ต้องไปเลือกตั้งหรอก บริหารไป เขาจะร้องก็ร้องไป สักวันคงหมดเสียงร้อง คือเขาจะเอาแต่อำนาจตนเองไม่ดูพฤติกรรมสังคม พฤติบทที่ได้ผลออกมา
_3867 พ่อครูไม่สงสัยกับคำติคำด่าคำวิจารณ์ของคนช่างสารพัดอคติเลยฤา? พวกนั้นเก่งจริงทำให้พ่อครูสาละวนอยู่กับคำอคติแตกต่างต่อต้านอโศกได้เต็มรายการ!จนข้ามเหตุบ้านการเมืองงานศาสนาสำคัญๆกับปย.สุขปวงชนไปได้ทุกรายการ!
พ่อครูว่า…อาตมาต้องให้ประโยชน์เขาบ้าง อย่าปล่อยทิ้งเขาเลยมันใจดำ เพราะเขาโง่เขาไม่รู้ความจริง ก็ต้องให้รู้ความจริงบ้าง ไปเข้าใจว่าเขาทำถูกแล้วหรือว่าอาตมาไม่รู้เรื่องอะไร เป็นพวกลัชชี เป็นพวกหน้าด้านตำหนิไปแล้วก็เฉย อาตมาก็ไม่ใช่พวกอลัชชี ติมาก็ไม่รู้ว่าเขาด่าว่า ดีไม่ดีด่าแรง ด่าหยาบขนาดนี้ยังหน้าหนา ไม่รู้อีกก็เสียคน ก็ต้องตอบรับเขาบ้าง ไม่ตอบรับเขาเราก็เสีย ไม่ตอบรับเขาเราก็ใจดำไม่มีเมตตาที่จะศึกษาอะไรเลย
จริง เสียเวลาไปกับพวกนี้ คุณจะเอาแต่ประโยชน์ของคุณได้อย่างไรก็ต้องให้เขาบ้าง ไม่ตอบรับอะไรเขาเลยก็ไม่ได้ก็ต้องต่อไปบ้าง ตอบรับคุณก็ตอบรับอยู่แล้วก็ตอบรับเขาบ้างสิ
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง ยิ่งได้ฟังคนที่แสดงภูมิมาต่อว่าพ่อครู มันชั่งน่าสงสารนัก ครับเขาเข้าใจไม่ได้จริงๆ พระที่แท้ที่ดีในความรู้สึกของพวกเขาคือ พระที่มีหน้าที่แค่ตื่นขึ้นกวาดลานวัด แล้วบิณฑบาต ฉันเสร็จก็จำวัดหรือไม่ก็ไปนั่งทำจิตให้สงบ คนมานิมนต์ก็ไปสวดรับซองเงินกลับวัด เงินไม่พอไช้ก็ต้องออกไปเรี่ยไร ทำกฐิณผ้าป่า ให้ศีลให้พรเป็นภาษาต่างประเทศ เวลาอยากได้บุญก็ไปไหว้พระ 9วัดเอาทองไปปิดพระเอาเงินไปชื้อบุญจากพระเท่านี้เพียงเท่านั้นพอ ส่วนพระที่สอนแยกดีชั่วถูกผิด ที่จำเป็นจ้องตำหนิสิ่งที่ไม่ถูกเขาจะไม่เชื่อเลย เพราะเขาถูกครอบงำความดิดได้สำเร็จแล้ว ว่าพระดีต้องไม่อวดตัวไม่ตำหนิไม่ว่าไครๆครับ
พ่อครูว่า…สุขทุกข์เป็นเรื่องยอดของศาสนาพุทธ เรื่องดีเรื่องชั่วเป็นเรื่องสมมติสัจจะ ศาสนาทั้งหลายก็แยกความดีความชั่วได้
ความดีความชั่วไม่เที่ยง ชนหมู่นี้นับอันนี้ว่าดี ว่าชั่ว ไม่เที่ยง อีกหมู่หนึ่งก็นับอีกอย่างหนึ่ง แต่ส่วนความสุขความทุกข์นั้นเป็นความยึดถือของคนว่าเที่ยงทั้งนั้น คนที่เรียนรู้สุขทุกข์แล้วเลิกความสุขความทุกข์ได้หมด ก็คือโลกุตรธรรม ดีชั่วยังเป็นโลกียธรรม ส่วนสุขทุกข์นั้นเป็นโลกุตรธรรม ฟังความรู้นี้เพิ่มเติมไว้ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธไม่มีปัญหาเรื่องดีเรื่องชั่ว ความรู้แบบโลกๆก็รู้ แต่ความสุขความทุกข์นั้นต้องใช้ความรู้ขั้นปัญญาโลกุตระ เพราะฉะนั้นความรู้ความฉลาดทุกวันนี้ จะหาความรู้จักความสุขความทุกข์และเห็นว่าความสุขความทุกข์เป็นเรื่องหลอกเป็นเรื่องอุปาทาน เป็นเรื่องไม่มีจริง อนิจจังทุกขังอนัตตา มันไม่ใช่สุขหรอกมันอัลลิกะของหลอก แต่ความทุกข์จึงเป็นอริยสัจ ความรู้ที่ประเสริฐจึงจะรู้จักทุกข์แล้วล้างเหตุแห่งทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องคู่กันเป็นเรื่องเทวะ ศาสนาพุทธนั้นรู้จักสุขรู้จักทุกข์แล้วดับหมดเลยทั้งสุขและทุกข์ หายไปเลยเลิกสูญหมดจึงไม่มีเทวะ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนา อเทวะ ด้วยประการฉะนี้
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพและศรัทธาเจ้าค่ะ(ลูกเป็นห่วงบ้านเมือง)
พ่อครูว่า…การปฏิบัติธรรมที่ไม่สนใจบ้านเมืองเลย อาศัยแผ่นดินอยู่แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลือแผ่นดินเลย กินอยู่ให้รอดชีวิตไปจนตายก็พอแล้ว คุณเป็นคนเห็นแก่ตัวจัดที่สุดเลย มีแต่ตัวกูของกู ใครจะเป็นอย่างไรกูอยู่รอดของกูคนเดียว พวกนี้พวกเดียวกับพวกเชน ศาสนาที่อยู่แบบมักน้อยไม่เบียดเบียนใคร แต่อยู่ตัวคนเดียว มักน้อยสันโดษอยู่ไปตามธรรมชาติเบียดเบียนธรรมชาติเท่านั้น แน่จริงไม่ต้องเบียดเบียนแม้แต่ธรรมชาติสิ คุณก็ต้องพึ่งพาธรรมชาติอยู่ดี อาตมาก็ต้องอธิบายให้ถึง ขยายความให้ชัด
_พระวุฒิชัย ปภาโส …พ่อท่านครับ ถ้าในเมืองไทยพระทั่วประเทศสึกเพราะว่าพ่อท่านว่าปฎิบัติผิดไม่ถูกต้อง วัดร้างทั่วประเทศญาติโยมเขาจะอยู่กันยังไงครับ พุทธศาสนาจะเป็นยังไงต่อไป พ่อท่านเองคิดแค่ว่าคนศัทธาแต่อโศกเหรอคับ คนที่เกลียดชังอโศกก็มีนะคับ เพราะตัวพ่อท่านเองไปยุ้งกับการเมือง ถ้าท่านว่าพระสำนักอื่นผิด ผมก็จะว่าท่านผิดเหมือนกัน
พ่อครูว่า…คือคิดเรื่อง impossible เป็นไปไม่ได้ แต่แสนรู้ว่าคนเกลียดชังอโศกก็มี ล้านรู้ก็ได้ แต่เขาชังอาตมาเพราะว่าอาตมาไปยุ่งกับการเมือง แต่ความเห็นความรู้มันต่างกันความรู้ของคุณกับความรู้ของอาตมามันคนละความเห็นคนละความรู้ มันก็ต้องไม่ตรงกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ปรมาณู 2 หน่วยเกิดขึ้นมามันก็มีความแตกต่าง มันไม่มีอะไรเหมือนกันเปี๊ยบ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาหรอกคุณเห็นต่างก็เป็นธรรมดา คุณก็ย่อมเห็นต่างได้ คุณจะไปเห็นตรงกันกับอาตมาครบนี่สิยาก เพราะมีนัยะละเอียดอีกเยอะ
_คาย เดอะ สกาย ผมฟังคลิปมาได้ครึ่งคลิปก็ได้เห็นและได้ฟังพระรูปนี้พูดปดไปเยอะแล้ว อดไม่ได้ที่จะตอบเม้นท่านสักหน่อยต่อให้ท่านเป็นพระอาวุโสโอเคมาจากไหนก็เถอะเมื่อมีการจาบจ้างล้วงเกินพระศาสนาที่เป็นพุทธมหานิกายของประเทศไทยก็ตอ้งขอตำหนิติชมท่านสักนิด
-
เรื่องประเพณีการถวายผ้าป่าทอดกฐินนั้นเป็นประเพณีเก่าที่สืนสันดานมาจากพุทธกาล ผ่านมาจนวันนี้ก็25สตวรรษ ย่อมมีการหลุดร่วงเปลือกในออกไปบ้างแต่ประเพณีก็ยังดำรงอยู่..
(พ่อครูว่า…ไม่ใช่ประเพณีที่ดีที่สืบทอดกันมาอย่างถูกต้องเลยทำกันได้บาปทั้งนั้น ประเพณีที่เน่าแล้วไม่ควรดำรงอยู่ไว้เลย ผ้าทุกวันนี้มีมากเฟ้อไปแล้ว ต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ว่าไม่ควรแล้ว ไม่ควรมีแล้ว เลิกได้ เพราะฉะนั้นคนที่งมงายก็งมงายไป ส่วนพวกอาตมาเลิกงมงายแล้วเป็นพวกมีปัญญาส่วนพวกไม่มีปัญญาก็งมงายต่อไป) เพื่อเป็นการดำรงพระศาสนาไว้เป็นการดีมิใช่หรือ (พ่อครูว่า…ไม่ใช่เป็นการดำรงศาสนาแต่เป็นประเพณีออกนอกรีตเน่าเฟะไปหมดแล้ว ขออภัยที่พูดตรงๆอย่าไปยึดติดกันจนงมงายกลายเป็นพูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เป็นการดำรงศาสนาเลย ฟังให้ดีจะได้ปัญญา) ท่านก็พูดถูกว่าสมัยก่อนมันหาผ้ามาทำยากกว่าสมัยนี้ สมัยนี้มันหาง่ายก็เลยใช้เงินตราเข้ามาแทนเพื่อการง่าย วันก่อนยังเห็นท่านไปบิณฑบาตรรับซองปัจจัยมาใส่อังษะตัวเองเลย (พ่อครูว่า…ถูกอาตมารับมาแต่ไม่ได้รับมาเอามาใช้เพื่อตัวเองเลย แม้แต่จะเอาไปซื้อยาเพื่อรักษาตัวเองก็ไม่ซื้อ แม้หิวใกล้จะตายแล้วจะต้องเอาเงินไปซื้ออาหารมากินก็จะไม่ซื้อไม่ทำแบบนั้น อาตมารู้ว่าทำนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวกูของกู ทุกวันนี้จำนนอยู่ว่าต้องใช้เงินในการสร้างศาสนวัตถุ พิธีการศาสนาอะไรต่างๆก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ยิ่งอาตมาทำสาธารณโภคีต้องรวมเงินไว้กองกลางเพื่อให้เป็นสังคมสาธารณโภคี ที่อยู่กันอย่างสวยสุด เป็นสังคมสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าที่สวยสด มันมีสาราณียธรรม 6 เพราะจิตใจมีพุทธพจน์ 7 อาตมาพูดอย่างมีอ้างอิงธรรมะ ไม่ได้พูดลอยๆตามความเห็นตัวเอง ศึกษาให้ดีแล้วจะได้ความจริง) แล้วอย่างนี้ท่านผิดใหม่ละ (พ่อครูว่า…อาตมารับเงินมานี้ไม่มีอาบัติไม่ผิดไม่เสียหาย) ในซองนั้นคงไม่ใส่ 50สตางค์หรอกนะ (พ่อครูว่า…บางทีเป็นหมื่นเป็นแสน) ต้องเกินบาทหนึ่งอยู่แล้ว ท่านก็ต้องอาบัติมิใช่หรือ พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้มีอาบัติ ขออภัยพูดให้สุดเลย ดีไม่ดี หมู่สงฆ์อาตมายกสติวินัยให้อาตมาแล้วด้วย อาตมาเป็นพระอรหันต์ อาตมามีความจริงใจซื่อสัตย์เพียงพอ พูดไปนี้คุณจะพอรู้เรื่องไหมตามหลักธรรมะพระพุทธเจ้าเลยนะ อาตมาทำอย่างสูงสุดตามหลักธรรมะพระพุทธเจ้าเลยนะ คุณจะเข้าใจได้ไหม หากคุณยังไม่เข้าใจก็ฟังไว้อาตมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม) หรือว่าวัดท่านทำได้วันอื่นทำผิดพระวินัยหมดทั่วประเทศ พ่อครูว่า…มันมีนัยยะมิติที่ต่างกันนะ แล้วท่านว่าวัดทั่วประเทศไทยรับเงินปราชิกหมด (พ่อครูว่า…อาตมาว่าเอากันจริงๆ ปาราชิก เพราะว่าทำผิด นอกจากพระบางรูปท่านไม่ยุ่งเรื่องเงิน องค์ที่ยุ่งกับเงินส่วนใหญ่ปาราชิกทั้งนั้น แค่ 5 มาสก แค่บาทหนึ่งปาราชิกแล้ว) ท่านไปเรียนพระธรรมวินัยเล่มไหนมา (พ่อครูว่า… 8 เล่ม) ว่าการรับเงินเกิน1บาทขึ้นไปปราชิก ในปราชิก4มันมีว่าด้วยเรื่องการรับเงินด้วยหรอท่าน ท่านว่าพระธรรมกายผิดแล้ววัดท่านหละใหญ่โตเป็นพันๆไร่ (พ่อครูว่า…อาณาจักรธรรมกายแค่ที่ไม่เอาเข้าเป็นส่วนกลางเป็นมูลนิธิให้เป็นของรัฐ แล้วเขาก็บริหารเป็นส่วนตัวเป็นมูลนิธิควบคุมประธานมูลนิธิทั้งหมดมันซ้อนอยู่ ไปดูรายละเอียดสิ ส่วนของอโศกพวกเราเอาเข้าเป็นมูลนิธิเป็นสมาคมทุกอย่างเป็นของรัฐหมด แต่ที่ของธรรมกายหรือที่ดินธรรมกายนั้นเป็นของส่วนตัวโดยเป็นของมูลนิธิที่มีคนควบคุมใช้เป็นส่วนตัวทั้งหมด) พระวินัยเล่มไหนสอนท่านหรือท่านอาศัยศาสนาพุทธแล้วฉีกแขนขาพระพุทธเจ้าออกมาหากินเป็นลัทธิตัวเอง ให้พระประกอบอาชีพเยี่ยงฆราวาส พ่อครูว่า…ที่ไหน คุณมาดูที่นี่ คุณพูดตื้นว่า ถ้าประกอบอาชีพเยี่ยงฆราวาส แต่ฆราวาสที่นี่ประกอบอาชีพเยี่ยงพระเลย คือพ้นมิจฉาชีพ 5 ได้เลย ฆราวาสประกอบอาชีพเยี่ยงพระ แต่คุณไม่รู้เรื่องเลยมาบอกว่าฆราวาสประกอบอาชีพเยี่ยงพระ คุณเข้าใจผิด เอาหัวเดินต่างตีนไปเลย) ทำธุระกิจเปิดโรงงานใหญ่โต พ่อครูว่า…โรงงานที่เปิดมีฆราวาสเป็นตัวหลัก พระที่ไปช่วยงานไม่ได้เป็นตัวหลัก ยกตัวอย่างไปขุดดินฟันหญ้า พระท่านก็รู้ว่าพระวินัยไม่ให้ทำ แต่ท่านก็ไปเป็นเรี่ยวแรง ท่านไม่ได้ไปขุดทำอย่างที่คุณว่า มีบางครั้งพระบางองค์ก็ไปช่วยโดยจำนนเป็นครั้งคราวไม่อย่างนั้นปล่อยไปก็เสียของ เสร็จแล้วท่านก็รู้ด้วยเจตนาโดยสติท่านก็ไปปลงอาบัติเพราะสุดวินัย มีบ้าง บางครั้งคราว แต่ไม่ใช่ทำอย่างไม่รู้วินัยเละเทะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง error เล็กน้อยเกินวินัยเหลือวิสัยก็ช่วยบ้าง) มีวิหารก่อสร้างไม่ต่างจากวังหลวง ท่านกล้ากล่าวโทษพระรูปอื่นว่าอาบัติแต่มองไม่เห็นความผิดตัวเองแม้เส้นผมบังก็ยังไม่มีตามองเห็นตัวเอง..ผมฟังมาหลายคลิปดูจริยาวัตรพระรูปนี้มาหลายคลิปไม่มีความน่าเลื่อมใสเลย ทั้งคำเทศสอน การเดินบิณฑบาตร ไม่เหมือนพระอาวุโสเกจิที่รู้ธรรมปฏิบัติธรรม เป็นแต่เพียงพระหลวงตาธรรมดาที่นอนในห้องแอร์จิบกาแฟนั่งขาไขว้ห้าง (พ่อครูว่า…อาตมานั่งไขว่ห้าง ทุกอย่างบรรยายความจริงเปิดเผยหมดถ่ายให้คุณดูไม่มีอะไรปิดบัง ที่อาตมาจิบนี้ไม่ใช่กาแฟนะแต่เป็นปัสสาวะ พออาตมานั่งแล้วเขาก็เอาปัสสาวะหนึ่งแก้วให้จิบ นานๆทีมีคนเอากาแฟมาถวาย เป็นคนจรไม่รู้เรื่องนานๆที แต่ว่าทุกวันที่ดื่มคือน้ำเยี่ยว ที่อาตมาดื่มทุกวัน แค่นี้คุณก็ไม่รู้เรื่องรายละเอียดขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแก แต่ขอนั่งไขว่ห้างหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร มีบ้าง แต่น้อย ส่วนมากนั่งขัดสมาธิ แค่นี้ก็ไม่ได้ ขอหน่อย) แล้วกล่าวจาบจ้วงพระรูปอื่นที่ไม่ใช่ลัทธิของตน (พ่อครูว่า…ไม่ได้จาบจ้วง แต่เจตนากล่าวตำหนิเพราะมันควรตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิก็ควรตำหนิตามคำสอนพระพุทธเจ้า ที่จะขนาบแล้วขนาบอีกตำหนิแล้วตำหนิอีกตามคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาทำหน้าที่ตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง เพราะลัทธิที่ทำกันมันผิดเลยต้องตำหนิ แต่ใช้ชื่อศาสนาพุทธเขาก็ใช้เหมือนกับเรา ถ้าคนมาใช้ชื่อศาสนาพุทธเหมือนกับเรา เราก็ต้องตำหนิ เพราะปลาตัวเดียวเน่าก็เน่าทั้งข้อง อาตมาก็ต้องรักษา)พระที่มีธรรมสูงเขาไม่พูดปดเพ้อเจ้อหรอกท่าน พ่อครูว่า…คุณไปหลงคำเพ้อเจ้อเป็นเรื่องจริงแต่อาตมาไม่มีการพูดปดไม่มีเพ้อเจ้อ แต่คุณก็ไปหลงคำที่เขาพูดปดที่เพ้อเจ้อว่าเป็นคำจริง) ที่พระบางรูปต้องการให้ญาติโยมบริจาคเงินนั้นก็เป็นการสงเคราะห์ชาวโลก(พ่อครูว่า…ใช่ อาตมาคงเปิดโอกาสให้ญาติโยมบริจาคเงินเพื่อสังเคราะห์ชาวโลก) นอกเหนือจากบำเพ็ญธรรมแล้ว เช่นหลวงพ่อคูณ หลวงตามหาบัวเป็นต้น (พ่อครูว่า…คุณก็ไปมองรูปหยาบเท่านั้นเพราะอาตมาไม่ได้ไปสร้างภาพแบบมหาบัวอย่างหลวงตาคูณอาตมาทำอย่างไม่หยาบเท่านั้นเลยทำอย่างละเอียดแต่คุณก็เห็นเป็นเรื่องหยาบ จริงๆแล้วไม่ผิด หลวงพ่อคูณได้เงินมาแล้วก็เอาไปสร้างการกุศลทางวัตถุช่วยชาติ แต่อาตมาไม่ได้ทำใหญ่ทำมากมาย แล้วเอารูปใหญ่ๆอย่างนั้นมาประกอบอลังการของตัวเองเพื่อโชว์ออฟ ว่าฉันยิ่งใหญ่ หาเงินเข้าคลังอย่างมหาบัว ไม่ได้ขายพระเครื่องหลอกให้คนงมงายเยอะแล้วเอาเงินมาบริจาคอะไรต่ออะไร ซึ่งมันเป็นการโชว์ความฉลาดเฉโก แบบโลกๆที่เอามาสร้างภาพให้แก่ตัวเอง อาตมาข้ามพ้นจากการสร้างภาพให้แก่ตัวเองแล้ว มีแต่เรื่องตำหนิสิ่งผิดบอกสิ่งถูกเรื่องการสร้างภาพอาตมารังเกียจ เลิกมานานแล้ว คุณเข้าใจอาตมาไม่ถูกต้อง ไม่งั้นคุณต้องหลงผิดอย่างนี้ไปอีกนาน) แต่ท่านเหล่านี้ก็ไม่เคยยึดมั่นในทรัพย์ ไม่ยึดในวัตุถุทาน (พ่อครูว่า…ก็เป็นความดีของมหาบัวของหลวงพ่อคูณที่ไม่ยึดมั่น แต่รู้ไหมว่า มหาบัวหรือหลวงพ่อคูณทำทานแล้วไม่ได้ขาดจิตจากสาเปกโข ยังมีความหวังที่เป็นภพชาติ มหาบัว หลวงพ่อคูณจะรู้จักอาการจิตที่เป็นสาเปกโขไหม ท่านจะทำทานแล้วสูญ มันจะมีไหม เอามาคุยเขื่องตลอด แม้ไม่คุยเองลูกศิษย์ลูกหาก็เอามาคุย คือมีลีลาที่จะให้ตัวเองเด่นให้ตัวเองดี รักษาท่าทางลีลา นัจจะคีตะวาทิตะให้ตนเองเด่นอีกเยอะ ส่วนอาตมาไม่รักษา ส่งเสียงสำเนียงภาษาเพื่อให้ตัวเองเด่นตัวเองโก้ อาตมาไม่มีตัวตน ใครจะว่าดีหรือไม่ดีอาตมาก็หลุดพ้น อาตมาไม่มีตัวตน เข้าใจให้ดี อาตมาเป็นพระที่ไม่มีตัวตนก็ไม่แคร์หรอกว่าคุณจะว่าอาตมา ด่างพร้อยอย่างไร อาตมาพ้นแล้วจากสิ่งเหล่านี้อาตมาพูดความจริง ก็ศึกษาให้ดีๆ) ท่านเป็นแต่เพียงสะพานบุญเพื่อยังประโยชน์แก่ชาวโลกเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติอย่างนี้คือ (พ่อครูว่า…อาตมาก็ปฏิบัติอย่างนี้อย่างพระพุทธเจ้า แต่อาตมาว่ายังหลวงตาบัว หลวงพ่อคูณไม่ใกล้เคียงอาตมา อาตมาใกล้เคียงพระพุทธเจ้ามากกว่าหลวงพ่อคูณ คุณเทียบมีส่วนจะว่าหลวงพ่อคูณมหาบัวสะพัดออก แต่นัยยะที่จะละเอียดถึงขั้นจิตวิญญาณถึงขั้นที่จะหมดภพชาตินั้นศึกษาดู)
-
เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็เสร็จกิจทางธรรมเรียกว่าโลกุตตระธรรมล้วงไปแล้ว
2.บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกเพื่อโปรดชาวโลก เช่นการเทศ การสอนให้ถวายทาน ละความตระหนี่ การบริจาคเพือ่ส่วนรวมเป็นการช่วยเหลื่อเพื่อนมนุษย์ …แต่พระรูปนี้กลับทำเพื่อลัทธิตัวเองทั้งนั้น หามาเพื่อพวกพ้องตัวเอง (พ่อครูว่า… ถามว่าใครได้เงินเบี้ยบาทจากอาตมาบ้าง…ก็ไม่มี คนจะมาบริจาคให้ชาวอโศกนั้นไม่ใช่คนทั่วไปจะมาบริจาคได้ง่าย ต้องมีกติกาที่จะมาบริจาคได้ จึงเป็นผู้ที่ต้องเป็นสมาชิกมาบริจาค จึงมีเงินมาบริจาคไม่มากแล้วก็ใช้เงินนี่แหละบริหารในระบบสาธารณโภคี จะเข้าใจแล้วคนแต่ละคนต้องศึกษาให้ดี ให้เกิดจิตวิญญาณที่มีอัญญธาตุหรือมีปัญญา แล้วจะเข้าใจสิ่งที่อาตมาพาทำนี้ได้) แถมยังกำหนดกฏเกณฑ์บ้าๆของการบริจาคทาน สมัยพระพุทธเจ้าแค่คิดจะให้ก็ได้บุญแล้ว แต่วัดท่านต้องอ่านหนังสือเจ็ดเล่มบ้าบออะไร นี่ถ้าลูกศิษย์โดนรถชนใกล้ตายจะขอบริจาคเลือดคงไม่ต้องมาปฏิบัติตามกฏเกณฑ์บ้าบออะไรแบบนี้คนเจ็บตายก่อนพอดี..ตัวท่านเองนั่นแหละมีปัญหา(พ่อครูว่า…คนก็ไปตรวจสอบปัญญาของคุณให้ดีว่าปัญญาของคุณมีปัญหาหรือเปล่า หรือว่าปัญญาของอาตมาเป็นปัญหา) ความคิดท่านนั่นแหละขวางโลกขวางธรรม (พ่อครูว่า…ใช่อาตมาของโลกจะมาขวางธรรมะที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ) มองสิ่งธรรมดาไม่ออก มองความเป็นจริงไม่เป็น(พ่อครูว่า…คุณดูถูกอาตมามาก อาตมานี่แหละนักมองความจริงเป็นและมองความจริงออกและถูกต้อง) จึงนึกมโนเอาเอง อ่านหนังสือเอาเอง(พ่อครูว่า…แล้วอาตมาจะเอาตาคนอื่นมาได้อย่างไร) แล้วก็ถือปฏิบัติแบบผิดๆสอนแบบผิดๆ มายึดมั่นกับสิ่งที่ตนคิดหรือทิฏฐิ ตัวนี้แหละที่ท่านยึดมั่นไม่ปล่อย(พ่อครูว่า…เอ้า มันต้องสรุปตรงที่ว่าความเห็นของคุณกับความเห็นอาตมามันต่างกันแล้ว)
…คำพูดใดก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม คำพูดนั่นย่อมไม่ดี (พ่อครูว่า…ใช่คำพูดใดที่ทำให้สังคมแตกแยกไม่ดี แต่ถ้าคำพูดที่วินิจฉัยว่าทำให้คนรู้ว่าอันนี้ดีอันนี้ชั่ว ให้คนเขารู้จักเข้าใจชัดเจนถูกต้อง อันนี้เป็นความแยกดีแยกชั่ว แยกถูกต้องไม่ถูกต้องอย่างชัดเจน จึงเป็นคำพูดที่ดีมาก ส่วนคนที่พูดให้เกิดความแตกแยกนั้นใช่ พูดโดยไม่ถูกต้อง แต่คนที่รู้แล้วทำให้ถูกต้องผู้นั้นย่อมมีดีมากๆ)
ถ้าเป็นความคิดของผู้ใด ผู้นั้นย่อมเป็นคนไม่ดี
#มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่พูดไม่ดีแล้วบอกอ้างว่าตนคิดดีหวังดี (พ่อครูว่า…เอ๊ะใครหว่าคุณหรืออาตมา คุณเอง ยังไม่กล้ายืนยันมั่นใจเองว่าคุณพูดถูกคุณพูดดีคุณยังไม่กล้าเต็มที่เลย แต่อาตมากล้า อาตมาจะไม่พูดผิด จะไม่เอาคำผิดสิ่งผิดมาพูด เอาแต่ความสุข แม้แต่ความผิดที่ผิดก็ว่าผิด เหมือนว่าคุณผิดก็ว่าผิดไม่ปนเป คุณต้องเรียนรู้ความเป็นเทว ความเป็น 2 นี่เอง ความสุขความผิดนี้มันเร็วเป็นสิริมหามายา รวมทั้งสมมุติและปรมัตถ์ เมื่อไหร่ จะเอาที่สมมุติจะเอาที่ปรมัตถ์มันลึกซึ้ง)
_Dtvn Fybn แล้วที่ออกไปเดินม็อบ นกหวีด มันคือ อะไร ห่อผ้าอยู่แท้ๆ อายผ้าที่ใส่บ้าง อย่าไปว่าวัดอื่นเขา เอาแค่ตัวเองให้มันดีก่อน ความรู้ท่าน ผมเคารพ แต่การกระทำ มันไม่ใช่
พ่อครูว่า…คุณต้องศึกษาอีกเยอะเลยว่าศาสนาพุทธเป็นไปเพื่อมนุษยชาติ ก็ต้องช่วยคน อาตมาภาคภูมิใจที่ได้ช่วยสำเร็จโดยไล่รัฐบาลที่เป็นทรราชออกไปสำเร็จถึง 4 รัฐบาล และ รัฐบาลที่ 5 ที่ยังวกเวียนไปมาว่าตนเองจะเป็นทรราชหรือไม่ คือประชาธิปัตย์ ก็ไปไล่ถึง 5 รัฐบาลช่วยประเทศไทยเอาไว้รอดพ้นมาได้จริง ด้วยความสงบ ไม่มีอาวุธถูกต้องตามทำทุกอย่าง นี่เป็นบันทึกประวัติศาสตร์หรือศาสนาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เรียบร้อยดีมากเลยไม่อย่างนั้นจะเกิดกลียุคเกิดการฆ่าแกงกัน แล้วอาตมาภาคภูมิใจที่เห็นประสิทธิภาพของความสงบมันสยบความรุนแรงได้ ซึ่งอันนี้แหละคนไม่มีภูมิปัญญาพอจะมองออก ว่านี่คือสุดยอดอาวุธวิเศษของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเมืองไทยใช้สำเร็จเมืองอื่นใช้ไม่ได้เอาความสงบสยบลูกปืนไม่ได้ มีเมืองไทยเท่านั้นทำได้ จึงเป็นประชาธิปไตยที่สูงสุดยอดแล้ว
มีมวลประชาชนแล้วไม่มากเท่าไหร่ด้วยนะ เข้าไปแสดงความสงบสยบความรุนแรงได้ยืนยันอยู่แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย ไปนอนไปกินกลางถนนอยู่เป็นปี ซึ่งสุดยอดเลย ศึกษาให้ดีแล้วคุณจะรู้จักรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์การเมืองที่เยี่ยมยอด
คนมาหาว่าอาตมาหอบผ้าอยู่แท้ๆคงหมายถึงผ้าจีวรบอกว่าอายผ้าที่ใส่บ้าง แล้วอาตมาจะไปอายทำไมเมื่อจะมาทำสิ่งที่ประเสริฐทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม คุณน่ะไปว่าพระที่ไปห่อหุ้มไปเอาโน่น คุณไม่มีความรู้จะไปว่าพระผิดแต่ไปว่าพระถูกอีก ศึกษาให้ดีก่อน
_นอน นาม …ฌานไม่ใช่ตัวที่บรรลุมรรคผลได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ใช้เป็นแค่อุบายธรรมล่อจิตให้สงบเป็นสมาธิเท่านั้นตามพระธรรมคำสอนของพระศาสดา
พ่อครูว่า…คุณพูดว่าฌานไม่ใช่ตัวบรรลุมรรคผลนั้นถูกต้อง แต่ไปบอกว่าใช้เป็นอุบายเครื่องล่อ ให้สงบ เป็นสมาธิเท่านั้น แล้วมาขี้ตู่คำสอนพระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นตามพระธรรมคำสอนพระศาสดา พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเช่นนี้
ฌานคือพลังงานไฟ ไม่ใช่ตัวล่อแต่เป็นตัวประหารเลย ฌานเป็นตัวที่มาก่อนบุญ
ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายให้ดีอาตมาเอาทั้งรูปและนามมาอธิบาย
พลังงานฌาน หรือพลังงานที่มีประสิทธิภาพถึงกับบุญ บุญเป็นพลังงานสุดยอดเหมือนปรมาณู ที่ระเบิดตูม พลังงานปรมาณูก็จัดการทำลาย สิ่งที่จะทำลายคือกิเลส เมื่อบุญทำลายกิเลส ระเบิดมันก็ทำลายกิเลสได้ส่วนหนึ่งก็ตามได้ 2 ส่วนก็ตามหรือได้หมดก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของประสิทธิภาพของบุญ ส่วนฌานคือพลังงานที่รวมกัน แต่ละคนสร้างฌาน สมณะนักบวชสร้างพลังงานจิตให้เป็นพลังงานฌานที่จะมีพลังงานมีประสิทธิภาพไปสลายกิเลส มันต้องมีความรู้เลือกเฟ้นเอาตัวกิเลสมาทำลายนะ ให้มีประสิทธิภาพแปลงเป็นพลังงานไฟ ฌานเป็นพลังงานไฟที่เป็นไฟที่สูงกว่าไฟราคะโทสะโมหะ มีประสิทธิภาพสลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ขอยืนยันว่าไม่มีอาจารย์คนไหนตอนนี้มาอธิบายเหมือนกับอาตมา
อาตมาอาจพูดแรงเหมือนอวดตัวตน ขออภัย แต่ต้องยืนยัน เพราะไม่มีใครมาช่วยอาตมาอธิบายเลย อาตมาอธิบายจนเมื่อย
ฌาน ไม่ใช่ตัวที่บรรลุมรรคผลได้ถูกต้อง แต่เป็นการใช้เป็นเครื่องอุบายล่อจิตนั้นไม่ถูกต้อง นี่คือความไม่รู้แล้วใช้ภาษา อาตมาก็เข้าใจตามที่คุณเขียนมา มันไม่ใช่เครื่องล่อจิตให้สงบ แต่ฌานและบุญเป็นตัวกำจัดกิเลส จิตที่ตายจากกิเลสแล้วก็สงบสะอาดตกผลึกลงเป็นสมาธิ ไม่ใช่อุบายเครื่องล่อมาให้สงบ ล่อออกมามันจะสงบได้อย่างไรออกมาเฉยๆ
คุณไปเอาจิตของคุณ เอาตัวจิตคุณไปหยุดพลังงาน แต่พลังงานมันจะต้องเคลื่อนไหว พลังงานมันมีพลังงานตัวยึดกับตัวเคลื่อน เป็นพลังงานธรรมชาติที่เรียกว่า รูปมันก็หยุด นามมันก็เคลื่อนไหว สองตัวนี้คุณต้องแยกให้ออก พลังงานหยุดก็เป็นตัวแกนพลังงานตัวที่เคลื่อนไหวก็เป็นตัววิ่ง พลังงานสูงสุดก็ต้องมีอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ธาตุอุเบกขานี้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส แม้จะทำงานกระทบสัมผัสอย่างไรก็ยังบริสุทธิ์ ปริโยทาตา มุทุ เป็นพลังงานที่เร็วไว รักษาตัวเองได้ แล้วสามารถขจัดสิ่งที่เป็นพิษภัยอีกได้ด้วยมุทุภูตธาตุ จึงเป็นพลังงานที่กัมมัญญา ทำงานได้ดีเหมาะควรที่สุด ทำงานแล้วก็ยังประภัสสรอยู่
นี่คือคุณสมบัติของอุเบกขา 5 ประการ ที่อาตมาอธิบายด้วยภาษาไทยไม่มีใครมาขยายความอย่างอาตมานี้ดอก คุณมองอาตมาอย่าดูถูกอาตมา เปิดใจรับฟังอาตมาบ้าง อาตมาเป็นสัตบุรุษพูดตรงๆไม่ได้อวดตัวอวดตนยกตัวยกตนอะไร อาตมาเป็นผู้รู้ธรรมะจริง เป็นผู้ที่สืบทอดรับอาสาสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า พูดไปหลายครั้งหลายคราวแล้ว อาตมาพูดไปอย่างไม่มีจิตอยากอวด สาเฐยจิต พูดไปด้วยจิตบริสุทธิ์ จะหาคนที่ดีสะอาดบริสุทธิ์ในยุคนี้เท่าอาตมาไม่ได้หรอก ขออภัยพูดใหญ่โตแต่อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ได้ขนาดนี้แหละ
แต่ในยุคนี้มันมีแต่อาตมาเป็นสยังอภิญญาคนเดียว ใครก็ไม่กล้าพูดหรอกว่าเขาเป็น สยังอภิญญา ถ้าเขาไม่จริงอาตมาจริงจึงกล้าพูด คุณว่าไม่จริงก็เอาพระไตรปิฎกมาตรวจกันเลยว่าตรงไหนที่มันผิดเพี้ยน ยืนยันกันที่พระไตรปิฎก ไม่เช่นนั้นไม่มีอะไรเป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยันใช่ไหม จะไปยืนยันกับพระเจ้าตัดสินก็ไม่ได้เพราะอาตมาเป็นศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาพระเจ้า ต้องมีสิ่งยืนยันได้
สมถะเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น วิปัสสนากรรมฐานเป็นแนวทางฝึกให้เกิดปัญญาบรรลุมรรคผล พิจารณารูปนามในตัวเองก็คือสติปัฏฐาน 4 ที่พระศาสดาตั้งไว้ดีแล้ว ตั้งสติไว้ที่กายดูที่กาย พอเวทนาเกิดขึ้นมาตั้งสติไว้ที่เวทนา (ตรงนี้ต้องมีอานิสงฆ์จากการฝึกสมถะกรรมฐานถึงจะมีกำลังผ่านไปได้) ตั้งสติไว้ที่เวทนา จนเห็นจิตขึ้นมาตั้งสติไว้ที่จิต จนเห็นธรรมขึ้นมาตั้งสติไว้ที่ธรรม พิจารณารณาดูจนรู้แจ้งจนเกิดปัญญารู้แจ้งทำลายกิเลส
พ่อครูว่า…คุณบอกว่าสมถะเป็นเพียงทางผ่าน ครูบาอาจารย์ที่เขาปฏิบัติการเป็นแค่สงบอย่างสมถะ คุณต้องเข้าใจให้ได้ระหว่างคำว่าสมถะกับปัสสัทธิ ความสงบด้วยสมถะนั้นเป็นธรรมชาติ คนเราทุกคนก็มีพลังงานกดข่ม คุณต้องมาเรียนรู้ ปหาน 5 ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีรายละเอียดที่ครบถ้วนได้ ผู้ที่มีวิปัสสนาเต็มที่แล้วไม่ต้องใช้สมถะก็ได้ คุณก็พอรู้มีอะไรที่ถูกต้องบางส่วน
จะต้องรู้สภาวะของกายคืออะไร กายถ้าไม่มีจิตร่วมด้วยไม่ได้เลย เป็นแค่อุตุนิยามไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ แม้แต่เป็น พีชนิยาม ต้องรู้ว่ากายที่ไม่ใช่กาย แต่เป็นอุตุนิยาม เป็นธาตุดิน น้ำไฟ ลมแล้ว คุณต้องแยกกายแยกจิตให้ได้ในมูลกรรมฐาน 5 อธิบายแยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ก็ไม่ออกแล้วจึงทำ กรรมนิยาม ธรรมนิยามไม่ได้ เพราะแยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ในกรรมฐาน 5 นั้นอุปัชฌาย์ต้องให้กรรมฐาน 5 ตอนบวช แต่เมื่อพิจารณาไม่ถูกก็ไปพิจารณา ก้าวหนอย่างหนอ การเคลื่อนไหวของกายวาจาใจ ไปเข้าใจผิดอย่างนั้นไม่ใช่เป็นการแยกธาตุ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม เดี๋ยวนี้ไม่มีไม่พูดถึงด้วย ซึ่งมันจะหมดแล้วศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าน่าสงสาร
การจะไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม หากว่ากายคุณก็ไม่รู้แล้วก็จะเป็นปฏิบัติอย่างไร เวทนาก็ไม่รู้อีก แล้วไม่เรียนรู้เวทนา 108 จึงไม่เรียนรู้เวทนาเป็นกรรมฐาน แล้วไปสอนกรรมฐานเป็นกสิณ 40 ก็เป็นการอยู่กับสมถะแค่นั้นเป็นเทวนิยม Meditation ไม่ได้เกิดเป็น Supra Concentration สมาธิแบบของพุทธไม่มีแล้ว
กายนั้นไม่ใช่แค่ดูอย่างเดียวแต่ให้แยกแยะธรรมะสองในนั้นด้วย อะไรผิดอะไรถูกอะไรควรอาศัยอะไรควรเอาอะไรไม่ควรเอา ก็ควรเอาสิ่งที่ไม่ดีออก อาศัยสิ่งที่ควร แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวเราของเราเราอาศัยแค่นั้นไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราตัวเราแต่เราต้องอาศัยพ่อเรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตชีวาเป็นเหตุยังเป็นโลกสมุทัยอยู่ ยังไม่ใช่โลกนิโรธเสียทีเดียว
ตรงนี้ต้องมีอานิสงฆ์จากการฝึกสมถะกรรมฐานถึงจะมีกำลังผ่านไปได้ …อันนี้คุณพูดภาษามา โก้ แต่จะเข้าใจได้ถึงขนาดไหน คุณกล่าวว่านั้นไม่ได้มี โพชฌงค์ 7 ในการพิจารณาเลย เอาแต่ตั้งใจแล้วมันก็จะได้อย่างนั้นมันไม่ได้หรอก ต้องมี สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ไปตามลำดับ
_สาย บุญ นานาสังวาส คือสังวาสไม่เสมอกันใช้ไหม คือศีลไม่เสมอกันใช้ไหม
และธรรมยุตกับมหานิกาย ศีลเสมอกันไหมแล้วสังวาสมันต่างกันตรงไหน
ท่านผู้รู้ ชี้แจงด้วย
พ่อครูว่า…สังวาส แปลว่าร่วมกันอยู่ นานา แปลว่าแตกต่าง
ต่างกันกับคำว่านิกายก็คือแยกกันอยู่เลยคนละนิกายแล้ว ไม่ร่วมกันเลย นี่คือแยกนิกาย
ส่วน นานาสังวาสนั้นไม่ได้แยกขาดนิกาย
อาตมาประกาศนานาสังวาสตั้งแต่พ.ศ 2518 เพราะอยู่ด้วยมา 5 ปีไม่ไหว มันต่างกัน อาตมาไม่ได้แยกนิกาย แต่ผู้ใดมาต่อว่าจะมาแยกในกายผู้นั้นได้อนันตริยกรรมเอง อาตมาไม่ทำนิกาย
นานาสังวาสนั้นมันไม่เหมือนกันทีเดียว ลงกันเป๊ะไม่ได้ ศีลไม่เสมอกัน
นานาสังวาสนั้นจะมี 1. ศีลไม่เสมอกัน 2. ข้อปฏิบัติคนละอย่างกัน เช่น เราไม่กินเนื้อสัตว์แต่คุณกินเนื้อสัตว์ เราไม่ใช้เงินแต่เขาต้องใช้เงิน อย่างนี้เป็นต้น อะไรอีกหลายอย่างที่ต่างกันมาก 3. ความเข้าใจความเห็นความรู้ การอธิบายธรรมะคนละอย่าง เราอธิบายอย่างนึงเขาอธิบายอย่างนึง อย่างนี้คือนานาสังวาส
แม้แต่ ธรรมยุตกับมหานิกาย ในหลวงรัชกาลที่ 4 ท่านก็ประกาศนานาสังวาส ศีลไม่เสมอกัน แล้วนานาสังวาส ก็คือพุทธร่วมกันแต่มีความต่างคือนานา แต่ถ้าไปแยกจนกลายเป็นนิกายก็มีอนันตริยกรรม
เพราะฉะนั้นไม่ควรจะเรียกธรรมยุติกนิกาย หรือมหานิกาย เอาคำว่านิกายมาใส่มันก็เป็นอนันตริยกรรม แต่ทุกวันนี้เขาก็พยายามปรับพฤติกรรมให้เข้ากันได้ แต่มันก็เข้ากันได้ในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าที่แยกไว้เป็นนานาสังวาส ลงสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้ แต่ร่วมกันในส่วนที่ร่วมกันได้มันก็มีอยู่ ที่พระพุทธเจ้าอธิบายไว้นานาสังวาสมีเยอะ อันไหนร่วมกันได้เราก็ร่วมกัน แต่ส่วนการทำสังฆกรรมนั้นร่วมกันไม่ได้
มีสังฆกรรมที่รวมกันไม่ได้เช่นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ คนนี้ยังมีเงินยังไม่สละออก ก็จะร่วมลงปาฏิโมกข์ที่เป็นสังฆกรรมกับเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระข้างนอกมา พระองค์นี้สละออกไปแล้วไม่ใช่แค่สละเอาไว้เฉยๆนะ แต่ให้คนอื่นไปเลยคุณไม่มีแล้ว ไม่ยึดถือว่าอันนี้เป็นเราเป็นของเรา ไม่ใช่ฝากเอาไว้อย่างนี้ยังไม่ได้ ต้องให้ไปเลยไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา สละออกไปเลย อย่างนี้คุณถึงจะมาร่วมปาติโมกข์กับเราได้เป็นต้น
_เอซุส เวสเกต
…กราบขอบพระคุณท่านพ่อครูและลูกศิษย์ท่านพ่อครูมากครับที่เมตตาสนทนาตอบกลับมา ซึ่งทำใหผมได้เข้าใจในปฏิปทาของท่านพ่อครูขึ้นอีกมากครับ เป็นพระคุณอย่างสูงครับที่ท่านอนุเคราะห์กลับมา…ก่อนอื่นกระผมอยากจะขอขมาขออโหสิกรรมจากพ่อครูอีกสักรอบก่อนนะครับเพื่อความสะบายใจ กราบขออภัยจริงๆครับสำหรับวาจาคำหยาบที่กระผมได้ล่วงเกินท่านพ่อครูไป …ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะครับกระผมเป็นพระบวชใหม่ มีความเข้าในพระพุทธศาสนาน้อยอยู่มาก การปฏิบัติก็มีเพียงพื้นฐานคือการรักษาศีล ด้านสมาธิและปัญญากระผมยังมีน้อยอยู่มากครับ เมื่อเทียบกับสิ่งที่พ่อครูได้ตอบกลับมาแล้วนั้นผมนี้รู้ตัวเลยครับว่าผมยังห่างไกลจากท่านพ่อครูอีกมากมายหลายชั้นนักครับ นับว่าเป็นบุญวาสนาของผมมากครับที่ได้มีโอกาสสนทนากับท่านแล้วท่านได้เมตตาสนทนาตอบกลับผมมา กระผมได้ลองอ่านดูแล้วครับรอบนึ่ง …รู้สึกยินดีและไม่ยินดี และรู้สึกเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในคำตอบของท่านพ่อครูอยู่หลายข้อหลายจุดอยู่เหมือนกันครับ …ถ้ามีโอกาสมีเวลาอีกกระผมก็อยากจะขอสนทนากับท่านพ่อครูอีกได้ไหมครับ …เฟสบุคผมชื่อ “ประสิทธิ์ พลจันทร์ “ครับ ถ้ามีเวลาก็ลองแอดเพื่อนมาสนทนาธรรมกันได้นะครับ กราบขอบพระคุณในความเมตตาอีกครั้งนะครับ
พ่อครูว่า…อาตมาพูดไปนี้ก็คงมีคนไปตอบแน่นอน อาตมาไม่เป็นแอด ก็ขอพูดกับคุณนิดนึงว่า ผมกำลังศึกษาศีล พื้นฐานคือการรักษาศีล แต่คุณว่า ด้านสมาธิกับปัญญายังมีน้อยอยู่ก็ดีมาก
เดี๋ยวจะอธิบายเรื่องศีล เพราะว่า ศีล สมาธิ ปัญญา คืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
มีศีลต้องปฏิบัติศีลให้เกิดอธิขึ้นมาเป็นสมาธิเสมอๆ จนอธิจิตนี้ทำให้กิเลสลดกิเลสดับได้ แล้วจิตก็ตกผลึกลงเป็นสมาธิ ตั้งมั่นขึ้นไปเรื่อยๆ ปัญญานั้นเป็นยาดำ ปัญญาจะรู้ในการช่วยให้ศีลให้จิต ให้เกิดผล ปัญญาเหมือนพ่อศีลเหมือนแม่ อธิจิตเหมือนลูกเป็นสัตว์โอปปาติกะ
แม่ พ่อ สัตว์โอปปาติกะ คือ ศีล จิต ปัญญา นี้ ทำให้จิตบริสุทธิ์ตกผลึกเป็นสมาธิ คุณก็มีรู้จักมีปัญญาวิมุติไปได้เรื่อยๆ นี่คือกระบวนการของธรรมะ
สิ่งที่คุณศึกษาอยู่นั้นคืออะไร ศีล คือหัวข้อแต่ละข้อ ที่ผู้ศึกษาก็จะต้องใช้ศีลนั้นขัดเกลากิเลส เช่น ศีลข้อที่ 1 ก็ดี ศีลข้อที่ 2 ก็ดี ศีลข้อที่ 3 ก็ดี ศีลข้อที่ 4 ข้อที่ 5
ปฏิบัติศีลต้องมีผัสสะ มากระทบ ปฏิบัติศีลไม่ใช่ชำระแค่กายวาจาแต่ต้องชำระให้ถึงจิตที่สำคัญ ถึงจะเกิดอธิ คุณไปชำระแต่กายวาจาจะไม่เกิดอธิจิต ศีลทำให้เกิดอธิจิต มีปัญญา มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์แยกแยะเอากิเลสออกไป เพราะพิจารณาด้วยความเป็นจริงว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนอะไร
พลังงานของปัญญาหรือพลังงานของบุญก็จะสลายกิเลสความยึดมั่นถือมั่นไปได้เรื่อยๆ จนเกิดมรรคผลไปตามลำดับ ศีล ทำให้เกิดอะไร
ศีล ทำให้เกิดอธิจิตอธิปัญญาจนเกิดอธิวิมุต จนเกิดวิมุตติญาณทัสสนะไปตามลำดับอยู่อย่างนี้ตลอดกาล ถ้าไม่มีศีลคุณก็ทำมั่ว ไปทำสมาธิเลย ไม่มีปฏิบัติตามลำดับที่เป็นธรรมะ 2 หนักเข้าก็แยกเอาศีลไปปฏิบัติต่างหาก สมาธิเข้าไปนั่งหลับตาเอา ปัญญาก็ไปเรียนเปรียญ 9 ไปเรียน ดร. ไปเรียนธรรมะตรีโทเอก มันคนละเรื่องกันเลย มันไม่เป็นกระบวนการไม่เป็นเรื่องที่ช่วยกัน เหมือนล้างเท้าด้วยเท้าเหมือนล้างมือด้วยมือ ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย นี่คือมันได้ผิดเพี้ยนไปจากธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนก็เลยไม่ได้ผลไม่รู้เรื่อง
เพราะฉะนั้นอาตมาขอเจาะเข้าไปถึงเรื่องศีลแม้จะซ้ำซากน่าเบื่อก็ตาม
ศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราไม่ฆ่าสัตว์ ละ เว้น จากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอายมีความเอ็นดูมีกรุณามีความหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
ในการปฏิบัติศีลข้อที่ 1 นั้น คุณก็มีตากระทบกับสัตว์สัมผัสกับสัตว์แล้วคุณก็ไม่ฆ่า ละการฆ่า เว้นการฆ่า จะอ้างว่าฆ่ามากิน ฆ่ามาทำประโยชน์ ฆ่าเพราะทำให้เกิดพิษภัยอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้นไม่ฆ่าสัตว์ให้ปล่อยไปตามวิบากของเขา ละการฆ่า วางเครื่องมืออาวุธศาสตรา วางจิต
ถ้าจะไปเบียดเบียนสัตว์ด้วยวิธีใดๆโดยเฉพาะการฆ่านั้นแน่นอนหยาบและแรงให้มันตาย เราก็ไม่ฆ่าไม่ทำให้เกิดแบบไม่ทำให้เกิดการเบียดเบียน แม้จิต ถ้าคิดจะไปทำร้ายอะไรเขา เช่นในชีวกสูตร ว่าไว้ ว่า การกล่าวว่า ไปเอาไก่โต้งไปเอาควายตัวนั้นมา คุณกล่าวโดยมีเจตนาในจิตว่า สัตว์เหล่านี้คุณจะมีเจตนาให้เขาไปจับแล้วฆ่า ฆ่าเสร็จแล้วคุณก็จะไปถวายภิกษุ หรือพระพุทธเจ้า แก้ขวย แล้วยังมีความลามกอีกว่า อยากให้พระพุทธเจ้าอยากให้ภิกษุยินดีเป็นกัปปิยะในอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์อีก อันนี้ก็บ้าไม่รู้จักว่าเป็นความบาปซับซ้อน นี่คือในชีวกสูตร 5 เป็นเรื่องที่เป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย ในการฆ่าสัตว์แล้วเอาไปถวายภิกษุหรือพระพุทธเจ้าฉัน
แค่บอกว่า ไปจับสัตว์ตัวนั้นมา มีจิตใจมุ่งไป อุทิศ คือมุ่งหมายไป ไปจับมาเพื่ออะไร คุณบาปตั้งแต่ตั้งต้น
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60