620213_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ หลักฐานว่าพ่อครูคือผู้สยังอภิญญา IF NOT HIM THEN WHO. IF NOT NOW THEN WHEN.
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1FStXldEo_1LlSXHGoeucaBlIb2KX5eDsVTIJuc4Cuas/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1JGR3xL0yOB5NrTsRNlRzWbNzycBq6Tns
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 9 ค่ำเดือน 3 ปีกุน เลข 13 เป็นเลข Lucky Number มีเหตุการณ์สำคัญในบ้านเมืองหลายเรื่อง เป็นวันที่กกต.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความยุบพรรคไทยรักษาชาติ อันนี้เป็นข่าวใหญ่ที่กลบข่าวแกนนำพันธมิตร ถูก ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุก 8 เดือนในคดียึดทำเนียบรัฐบาล มีหลายคนบอกว่า ลุงจำลองไม่น่าจะติดคุกตอนอายุเยอะเลยว่าจะเสียเกียรติประวัติ แต่เราดูแล้วว่าน่าจะเป็นเกียรติประวัติมากกว่า ดูจากชีวิตมหาตมะคานธี ก็ติดคุกเข้าออกคุก อยู่หลายครั้ง หนังชีวิต จบด้วยแกนนำแต่ละคนไปเป็นรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรี แบบนี้เป็นหนังไทยไม่มีอะไรจะต้องลุ้น แต่ถ้าจบด้วยการต่อสู้ด้วยการเสียสละ แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตที่ลุงได้ทำคุณงามความดีมาตลอด ตอนท้ายยังต้องเสียสละต่อไปอีก
บางคนบอกว่าระบอบทักษิณหมดไปแล้วก้าวข้ามไปได้แล้ว แต่เรื่องจริงคือเรายังต้องไปกันต่ออีก เมืองไทยยังคงไม่สามารถสงบต่อไปได้ ตราบใดที่กระบวนการบ่อนทำลายบ้านเมืองยังมี และจะมีผู้กล้าออกมาต่อสู้ยอมเสียสละแม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิต ก็ต้องรับผลในการต่อสู้นี้ คิดว่าสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประวัติศาสตร์
ชีวิตเคยนึกถึงตอนพ่อครูและพวกเราได้เข้าไปให้กำลังใจแกนนำอยู่ในทำเนียบรัฐบาล สมณะก็ไปนั่งล้อมแกนนำ คืนนั้นแกนนำก็มีเวลาคุยธรรมะกับพ่อครู นั่งกันจนสว่างรอตำรวจจะลุยเข้ามา ในยามวิกฤตอย่างนั้นเห็นได้อย่างหนึ่งว่า แต่ละคนก็มีปฏิภาณรู้ว่าไม่มีอะไรดีกว่าการคุยธรรมะ ในยามวิกฤตจริงๆของชีวิต มันก็ทำให้ทุกคนต้องหาทางออก ถ้าทุกคนสบายกันหมดคงไม่มีใครคิดหาทางออกเท่าไหร่ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจจะดีก็ได้ที่แต่ละคนต้องมาลุ้นว่าจะทำให้เราไม่ทุกข์ได้อย่างไร
พ่อครูบอกวิบากท่านดี ชาตินี้ท่านไม่เคยทำร้ายใครไม่เคยเตะใครสักคน พาพวกเราไปชุมนุมก็ไม่มีเรื่อง โดนคดีทางการเมืองนั้น ศาลชั้นต้นก็ยกฟ้องตอนที่เราไปผิดพระราชบัญญัติความมั่นคง ไปปิดถนน แต่ศาลชั้นต้นก็ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้องตามศาลชั้นต้นและไม่ให้ฏีกาอีก
ประวัติพ่อครูทานอาหารมังสวิรัติวันละมื้อตั้งแต่ทำงานโทรทัศน์ เป็นโฆษกโทรทัศน์ก็ทานอาหารมังสวิรัติวันละ 1 มื้อ เมื่อออกบวชแล้ว ขณะที่หนังกำลังดัง แฟนก็มี ตอนนั้นมีโลกธรรมมีแฟนแต่ก็มาออกบวช เมื่อออกบวชแล้วก็มาช่วยมนุษย์ เขาก็จะไปเทียบกับเกจิต่างๆว่า ต้องบำเพ็ญไม่ยุ่งกับใคร มันก็เป็นคนละภาวะ เขาเอาช่วงที่บำเพ็ญมาเทียบกับช่วงที่สลัดคืนมันก็ตรงกันข้ามกัน สิ่งที่พ่อครูพูด ไม่ว่าจะเป็นธรรมะก็ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของคนสามัญทั่วไป แม้แต่เรื่องประชาธิปไตย ท่านถิรจิตโตก็บอกว่า จะมีพ่อครูพูดคนเดียวหรือเปล่าว่าประชาธิปไตยไทยกำลังไปได้สวย นายกคนนี้ดีกว่านายกอีก 28คน อันนี้ก็ไม่มีใครพูด แม้แค่รูปธรรมของประชาธิปไตย ไม่ต้องพูดถึงโลกุตรธรรมเลย ก็จะไปกันคนละอย่าง พวกฝ่ายค้านบอกว่านายกฯควรหยุดพูดได้แล้วแต่นายกฯก็บอกว่า ต้องพูดต่อไปเพื่อทำความเข้าใจประชาชน พ่อครูก็คงต้องพูดต่อไปเช่นกัน เพราะเป็นเรื่องที่ยากมาก
พ่อครูว่า…การเมืองกับธรรมะเรื่องเดียวกัน คุณเป็นคน จะอยู่ในเมืองหรือจะอยู่ในป่าก็แล้วแต่ คุณก็ต้องมีธรรมะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นธรรมะกับการเมือง มันจะแยกกันไม่ได้ จริงๆก็แยกได้ถ้าคุณจะแยกไปแบบศาสนาเชน หนีเข้าป่าเลย เดี่ยวๆแก้ผ้าโทงๆ กินนอนขี้เยี่ยว เสร็จแล้วก็รอวันตาย อดทนไม่เอาอะไรสักอย่าง เป็นแต่เพียงว่าไม่กลั้นใจตายเท่านั้น ปล่อยให้ตายตามธรรมชาติ แหม ก็มีตัวอย่างของลัทธิแบบนี้สุดโต่ง
ชีวิตที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นชีวิตที่ประโยชน์สูงประหยัดสุด ประหยัดสุดก็ไม่ได้หมายความว่าสุดโต่งไปอย่างศาสนาเชนที่กล่าวไปแล้ว แต่ประหยัดยังได้สัดส่วน เหมือน หรม. ครน.ที่เขาคำนวณกันอย่างได้สัดส่วน แม้จะเป็นการคูณก็มีตัวคูณที่ร่วมน้อย แม้จะหารก็หารได้ แต่ก็พยายามให้ได้มาก ในความหมายของคณิตศาสตร์แท้ก็จำเพาะเอาแต่ตัวเลขตัวคูณร่วมน้อยตัวหารร่วมมาก แต่ในความหมายของสัจธรรมแล้ว หรม.กับครน.นี้มันลึกซึ้ง
คูณ หมายถึงการเพิ่มอัตราการก้าวหน้ามากกว่าบวก การคูณก็อย่าตะกละตะกราม คูณให้เป็น Coefficient สัมประสิทธิ์ที่ได้อัตราส่วนที่ไม่เร่งกันไป เรียกว่าคูณร่วมน้อย แต่ให้มันก้าวหน้าไปเป็นปฏิภาคทวี จนอะไรอะไรก็วิ่งไม่ทัน มีแต่อัตราส่วนที่จะคูณอะไรก็วิ่งไม่ทัน หนักเข้าก็ต้องมาเป็นยกกำลังมันก็จะเร็วเกินไป เพราะฉะนั้นในการเพิ่มต้องดูแลคนอื่นดูแลองค์รวมดูแลเพื่อนฝูงด้วยเป็นต้น
หาร หมายความว่าทำลายตัดออกตัดลง แต่ไม่ใช่ตัดออกมากเข้าเลยไม่ก้าวหน้าไม่มีเหลือเชื่ออะไรเลยศูนย์เลย อันนั้นก็หมายความว่าจะทำ 0 แต่ทีนี้เราไม่ได้ทำศูนย์แต่เราทำให้ได้สัดส่วนไปได้ดี หรือให้ไปยังมีการก้าวหน้าอย่างคูณร่วมน้อยหรือหารร่วมมากให้เป็นไปอย่างก้าวหน้าอย่างดี ทรง อยู่อย่างดีและนานได้สัดส่วนที่พอเหมาะอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นความหมายที่ขยายความจะทำให้พิสดารให้แตกต่าง
คณิตศาสตร์ก็เอาแต่ตัวเลขคูณหารไปใช้งานทางคณิตศาสตร์มิติเดียว แต่ความหมายทางธรรมนั้นมันลึกซึ้ง
_SMS วันที่ 11 ก.พ. 2562 (สำมะปี๋ชี๋วิต)
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูทำการบ้าน ในครอบครัว!ทำการเมืองในชุมชน!ทำการศาสนาในบวรสุขสงบพอเพียงด้วยธ.วรรณะ9ตามรอยคำสอนพ่อฯร .9ฯ ดับฝุ่นกิเลสควันอัตตาพ้นทุกขวิกฤติภัยรุนแรงลามโลกธ.สาธุ!คนโลกเงียบ!
พ่อครูว่า…ดีฟังแล้วก็สรุปผลมา
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพและศรัทธา ที่พึ่งทางใจของลูกนอกอโศก (ทั้งทางธรรมและทางโลก)หวังพึงพระบารมีในหลวง ร.๙ ร. ๑๐ พร้อมทั้งบารมีพ่อครู บารมีท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ บารมีในการบำเพ็ญศิลปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของญาติธรรมชาวอโศกทุกท่าน ปกป้องบ้านเมือง เจ้าค่ะ
_นรสิงห์ · มีกุศลวันหน้าจะ.ไปรวมกลุ่มชาว.. อโศกครับ
_ปิ๋ม สวีเดน คิดถึงพ่อท่านค่ะแต่ช่วงนี้ลำบากกับการทำมาหากินปลดหนี้ปลดสินเลยไม่ได้มีสมาธิในการเขียนข้อความมาร่วมรายการทางทีวีที่พ่อท่านแสดงธรรม
ดิฉันก็ลำบากสุดๆค่ะ ก็ไม่โทษใครหรอกค่ะ พยายามปลอบใจตัวเองว่าปัญหาเราสร้างขึ้นมาเองค่ะ เจออุปสรรคในการทำงานก็พยายามทำจิตทำใจให้สงบค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะพยายามตั้งใจเขียนข้อความมาถึงพ่อท่านค่ะซาบซึ้งในความกรุณาของพ่อท่านที่จะสอนคนให้เป็นคนดีและกอบกู้ศาสนาพุทธโดยการปฏิบัติอย่างเต็มจิตเต็มใจเป็นเวลา 48 ปี
_เอซุส เวสเกต (พระประสิทธิ์ พลจันทร์)
วันนี้กระผมว่าง กระผมขอโอกาสสนทนากับพ่อครูสัก ๒-๓ คำถามนะครับ
…เรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยและมองว่าท่านพ่อครูยังหลงสำคัญตนผิดอยู่นะครับ ก็คือ ที่ท่านบอกว่า พระหลายๆรูป มีเถระสมาคมบ้าง หลวงตามหาบัวบ้าง พุทธธาตุบ้าง หลวงพ่อคูณบ้าง เหล่านี้เป็นต้น เป็นพระเก๊ เป็นอรหันต์เก๊ ท่านพ่อครูเอาอะไรมาเป็นมาตฐานในการชี้วัดตัดสินว่า พระองค์ไหนเก๊ พระองค์ไหนแท้ครับ?
…และที่ท่านพ่อครูบอกว่าตัวท่านเองเป็นพระอรหันต์นั้น พ่อครูมีหลักฐานยืนยันในเป็นอรหันต์ของตนเองไหมครับ ยกตัวเอย่างเช่น …ถ้าทางโลกียธรรม =ก็อุปมาว่า เมื่อนักเรียนนักศึกษาที่เรียนจบหลักสูตรในสถาบันของตนๆแล้ว ทางคณะอาจารย์ในสถานับนั้นๆก็จะได้มอบใบประกาศนียบัตรเป็นเครื่องยืนยันว่านักเรียนนักศึกษาคนนี้จบจากสถาบันนั้นๆมาจริงๆ เมื่อนักเรียนนักศึกษาคนนั้นนำวุฒิการศึกษาคือใบประกาศนียบัตรไปยืนแสดงให้ผู้คนทั่วไปหรือบริษัทห้างร้างต่างๆดู เมื่อผู้คนทั่วไปหรือบริษัทห้างร้านต่างๆเหล่านั้นเขาตรวจสอบสืบค้นข้อมูลที่นักเรียนนักศึกษาเหล่านั้นนำมาแสดงแล้ว ปรากฏว่าจบมาจริงสามารถสืบกลับไปหาสถาบันต้นตอที่นักเรียนนักศึกษาเหล่ากล่าวอ้างมาในตอนยื่นใบสมัครงาน เขาจึงยอมรับนับถือและรับเข้าทำงาน อย่างนี้้ป็นต้นครับ…ถ้าทางโลกุตรธรรม=ก็ต้องมีครูบาอาจารย์รับรองให้ ผู้คนทั่วไปได้รับรู้ก็ให้การยอมรับนับถือ อย่างเช่นพระในสมัยพัทธกาลคือ พระอัญญาโกญฑัญญะที่ท่านได้ฟังธรรมจักรกัปปวัตสูตรจากพระโอฏฐ์พระพุทธเจ้าแล้วได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันแล้ว พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยปัญญาญาณ จึงทรงตรัสรับรองการบรรลุธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะนั้นว่าถูกต้องจริงในท้ายที่สุดแห่งพระธรรมเทศนาธรรมจักรกัปปวัตนสูตรนั้นในทันทีถึง ๒ ครั้งซ้อนว่า “อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติฯ เรื่องพระอัญญาโกณฑัญญนี้มีหลักฐานกล่าวไว้มากมายในหนังสือต่างๆทั้งหนังสือเรียนธรรมบทบาลี มนต์พิธี แม้พระไตรปิฎกก็กล่าวไว้ ซึ่งหนังสือเหล่านี้ชาวพุทธทั่วไปถึงทั่วโลกให้การยอมรับว่าเป็นหนังที่มีเนื้อหาสาระเมื่อปฏิบัติตามอย่างถูกขั้นตอนแล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง (แม้แต่องค์สมเด็จพระสังฆราชก็ยังให้การยอมรับในหนังสือเรียนเหล่านี้ถ้าไม่เชื่อกระผมถ้ามีเวลาว่างก็นิมนต์ลองเดินทางไปสอบถามท่านเองโดยตรงก็ได้ครับ เพราะว่าตอนนี้พระสังฆราชเป็นพระรูปเดียวในประเทศไทยที่พ่อครูยอมรับว่าเป็นพระดี) อย่างนี้เป็นต้นครับ …แล้วท่านพ่อครูมีใครเป็นผู้ให้การรับรองความเป็นอรหันต์ของท่าน เหมือนหรือคล้ายๆ กับพระพระอัญญาโกณฑัณญะ บ้างไหมครับ ช่วยแสดงหลักฐานเป็นพยานบุคคลที่สาธุชาวพุทธส่วนใหญ่ให้การยอมรับนับถือมาให้ดูสักคนหน่อยครับ เพื่อคนที่เขายังไม่รู้จะได้รู้ ร่วมถึงผมด้วย ถ้ามีหลักฐานพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือได้จริงมายืนยันกระผมคิดว่าจะมีผู้คนอีกมากหันไปศรัทธาและปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านครับ รวมถึงกระผมด้วยนะครับ
…วันนี้คงจะพอแค่นี้ก่อนนะครับโอกาสหน้าค่อยสนทนากันใหม่ครับ …ถ้าพ่อครูมีเวลาว่างก็ช่วยตอบให้กระผมและชาวพุทธทั้งหลายได้หายข้องใจในความเป็นอรหันต์แท้ของท่านด้วยครับ…กราบขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูงครับผม…หากมีถ้อยคำใดๆที่ไม่สุภาพจาบจ้วงลบหลู่ท่านพ่อครู ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ…กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับ
พ่อครูว่า…อ้อ อโหสิอยู่แล้ว คุณพูดสุภาพดีด้วยซ้ำไป คนพูดแรงอาตมาก็อโหสิทุกคนไม่ได้ติดใจถือสาพยาบาทใคร เพราะความพยาบาทไม่มีจริงๆ อาตมาหยุดพยาบาทเด็ดขาดมานานแล้ว เรื่องพยาบาทอาตมาไม่มี ก็สบาย
ประเด็นที่คุณเอซุส เวสเกตุ จับประเด็น คือ อาตมาเป็นอรหันต์ตามความรู้ของท่านประสิทธิ์ พลจันทร์ ว่า อรหันต์ต้องเป็น Concept อย่างที่ท่านเข้าใจ ซึ่งอาตมาก็ต้องขออธิบายตรงนี้ว่าความเข้าใจของท่านเรื่องพระอรหันต์นั้น ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ ยังมีความผิดเพี้ยนอยู่ในความเข้าใจเรื่องอรหันต์ มันเป็นเชิงเทวนิยม ออกนอกทิฐิออกนอกทฤษฎีออกนอกระบบ ออกนอกคำสอนพระพุทธเจ้า ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่น้อยจนถึงมาก และมันมากจนกระทั่งเกือบจะไม่เหลือเชื้อ อาตมาขอใช้คำว่าเกือบ ที่จริงมันไม่เหลือแล้วล่ะ มันมีแต่ในตำราว่ามีโลกุตรธรรม อาตมาก็มาฟื้นโลกุตรธรรมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ต่อไปโลกุตรธรรมจะหายไปจะเหลือแต่คำสอนที่ไพเราะเพราะพริ้งประโลมโลก เหมือนกับกลองที่แต่เดิมเรียกว่ากลองอานกะ แต่ว่า เมื่อเวลาผ่านไปกลองนั้นก็ไม่เหลือเนื้อเดิมอีกแล้วเป็นเนื้อใหม่เปลี่ยนไปหมดแต่ยังชื่อเรียกว่ากลองอานกะอยู่ อาตมาก็ต้องมาฟื้นคืนความรู้เก่าที่เคยหายไปแล้ว
ก่อนอื่นก็ลองวางเรื่องที่คุณเข้าใจมาแต่เดิมนั้นทิ้งไปเสีย ให้ศึกษาปฏิบัติตั้งแต่ศีลสมาธิปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ ที่อาตมาพยายามอธิบายให้ฟังไปเรื่อยๆ ก็จะทบทวนศีลสมาธิปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ และเรื่องพิสดารอีกเยอะแยะ และก็วนมาหาศีลอีกแต่ก็มีความลึกซึ้งเพิ่มขึ้นมีคนที่อธิบายไปตามลำดับก็ฟังคนอื่นด้วย ไม่ใช่ฟังแต่อาตมา
ประเด็นสำคัญคือ ขณะนี้ศาสนาพุทธผ่านมากว่าครึ่งแล้ว 2600 กว่าปี มันไม่เหลือเชื้อของศาสนาพุทธแท้จริงแล้วแม้แต่ทางเถรสมาคมท่านพุทธโฆษาจารย์
ท่านพุทธโฆษาจารย์ หรือ ท่านประยุทธ์ ปยุตโต คนเขาก็นับถือกัน แต่ก็มีเนื้อที่อาตมาบอกไปกับทั่วไปแล้วว่ามีเรื่องที่ท่านเข้าใจผิดอีกหลายอย่าง อันนี้ก็ไม่ได้รื้อฟื้นไม่ได้เตรียมตัวมาพูดถึงท่าน ประยุทธ์ ปยุตโต ตอนนี้ท่านเป็นสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ก็เหลืออีกตำแหน่งเดียวก็ขึ้นเป็นสังฆราชเท่านั้น แต่ก็มีธรรมเนียมเรียงตามอาวุโสอีก อาตมาก็ไม่ได้ไปวุ่นวายทางระบบเถรสมาคม ส่วนระบบของอาตมานั้นไม่มีใครขึ้นมาเป็นสังฆราช มีแต่พระธรรมดา อาตมาก็เป็นพระธรรมดาไม่มีสังฆราชไม่มีเจ้าคุณ ที่เขาเรียก พ่อครู ไม่ใช่ตำแหน่งชั้นพระครูนะ เขานับถือว่าเป็นพระหรือสมณะอายุมาก เป็นพ่อ แล้วมาสอนเป็นครูก็เลยเรียกพ่อครู
ประเด็นสำคัญคืออาตมา กว่าอาตมาจะประกาศตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ก็เป็นพศ. 2558 อาตมาทำงานมาแล้วตั้งแต่ 2513 จนถึง 2558 ก็ถึงได้ประกาศชัดเจน ส่วนข้างในก็พอรู้กัน ส่วนที่ประกาศเป็นสาธารณะนั้นก็คือมีนาคม 2558 ไม่ใช่ว่าอาตมาจะมาประกาศเล่นๆ ที่จะประกาศยังอยากอวดโอ่ แต่เพราะถึงเวลาวาระเท่านั้น แม้แต่อาตมาประกาศว่าตนเป็นสยังอภิญญา ที่ท่านพยากรณ์ไว้ ไม่ว่าในโลกยุคไหนหรือยุคนี้ที่คนอยู่มีศาสนาพุทธนี่แหละ คุณนับถือเป็นพุทธศาสนิกชน ทั้งโลกนี้คุณเป็นพุทธ คุณเห็นไหมในโลกนี้มีใครที่เป็น สยังอภิญญา แล้วมีอัตถิโลเก คือมีไหมที่เป็น เป็นสมณะพราหมณ์ผู้เป็น สยังอภิญญา มาประกาศโลกนี้ โลกหน้า อาตมาก็อธิบายหมด เรื่องโลกนี้ โลกหน้า เรื่องสัตว์เรื่องชีวะ ก็มีคนฟังแล้วก็เข้าใจปฏิบัติตามได้ผลอย่างแจ่มแจ้ง สัจฉิกัตวา อย่างแจ่มแจ้งรู้ยิ่ง ด้วยตน มาประกาศ ปเวเทนตีติ และก็ยังตั้งใจจะไม่ตายง่ายๆ พยายามหาวิชาหนังเหนียว จะอยู่ไปอีกเพื่ออธิบายต่อไป เพราะคนยังเข้าใจยังไม่ได้มาก ไม่ได้อยากอยู่ไปเพื่อได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เหนื่อย อยู่ต่อไปก็เหนื่อย ทำงาน แต่เพื่อประโยชน์ของผู้ที่เป็นมนุษยชาติทั้งหลายควรจะได้รู้ได้ปฏิบัติเอา ไม่ใช่เพื่อมาแลกลาภจากคุณ คุณได้ความรู้จากอาตมาแล้วก็จะได้มานับถืออาตมาต้องได้รับยศสรรเสริญหรือมายกย่องอาตมาไม่ใช่นะไม่มี อาตมาไม่ได้กำหนดเอาอย่างนี้ ส่วนใครจะกตัญญูกตเวทีรู้สึกว่าเป็นคุณค่า จะให้ความนับถือยกย่องตอบแทนบูชาก็แล้วแต่ จะไม่นับถือไม่บูชาก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ อาตมาไม่ได้ยึดติดไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด ส่วนใครที่จะให้สิ่งที่เหมาะสมดีและสมควรก็ไม่เป็นไรก็เป็นความดีของคุณ
กว่า อาตมาจะประกาศตัวเองว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา คนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีหลักฐานยืนยันในพระไตรปิฎก อยู่ในมหาจัตตารีสกสูตร อาตมาก็ขยาย จนทำมหาจัตตารีสกสูตร เป็นหนังสือเรื่องสมาธิพุทธเล่มต่อเท่านี้ ยังไม่ละเอียดด้วยซ้ำไปจะมีเล่ม 2 อีก แต่มันคงข้ามพ้นที่จะรวมเล่ม 2 แล้ว เพราะว่ามีเล่มอื่นที่ละเอียดกว่าสมาธิพูดอีก อาตมาพิมพ์หนังสือออกไปจำนวนเลยกว่าล้านเล่มแล้ว เลยร้อยเรื่องแล้ว ก็พิมพ์แจกไปเยอะแยะ หากรวมหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรก็คงถึงสองล้านเล่มแล้วกระมัง
ที่อาตมาพูดออกไปไม่อยากอวดตัวไม่ได้เบ่งตัวเองไม่ได้หลงตัวเอง แต่ต้องย้ำยืนยัน ก็ว่าศาสนาพุทธได้ถูกกลบเกลื่อน จนคนที่บรรลุธรรมบอกไม่ได้พูดไม่ได้ เดาเอา มันเป็นศาสนาอาริยะเดาหรืออรหันต์เดา มันเป็นอย่างนั้น เขาพูดไว้เลยว่าผู้ที่บรรลุแล้วมาบอกตัวเองว่าตนเองบรรลุก็คือผู้ไม่บรรลุ ซึ่ง เป็นคำพูดที่ขัดแย้งกับ โลหิจสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง” (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๕๘)
จึงเป็นเรื่องที่ต้องพูดความจริงยืนยันให้ชัดเจน ดีนะที่มีหลักฐานเหล่านี้ให้อาตมาอ้างอิงไม่อย่างนั้นอาตมาหนักมากเลย เป็นกุศลของอาตมา
ที่อาตมา จำเป็นจะต้องพูดเพราะว่า เขาไม่รู้ว่ามันมีจริงๆหรือคนที่จะบรรลุอรหันต์ คนบรรลุจริงๆมันเป็นอย่างไร แล้วทีนี้คนบรรลุมันก็ไม่ได้เป็นดัง Concept ของคนทั่วไปเข้าใจ ความคิดองค์รวมของคนทั่วไปเข้าใจเป็นมิจฉาทิฐิ เข้าใจว่าพระอรหันต์จะต้องนั่งบื้อแข็งไม่พูดไม่จา ของจริงต้องนิ่งใบ้ พูดได้ไม่ใช่ของจริง อะไรอย่างนี้ แล้วจะต้องนิ่งกระดุกกระดิกไม่ได้ อาตมาต้องเอาหลักฐานต่างๆนานามาอ้างอิงยืนยันว่าศาสนาพุทธนะ ยิ่งบรรลุ จิตยิ่งทำให้เกิดกาย เป็นกายที่คล่องแคล่วว่องไวรวดเร็ว จิตจะมีพลัง คนที่บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าจิตใจจะยิ่งทำให้กายคล่องแคล่วว่องไว จะเป็นกายของเวทนาก็ว่องไว สัญญาสังขารก็ว่องไว แน่นอนว่าวิญญาณก็เป็นชื่อรวมของเวทนาสัญญาสังขาร
เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมแล้วจิตใจจะคล่องแคล่วว่องไว พยัญชนะเรียกว่า กายปาคุญญตา
จะเป็นความคล่องแคล่วว่องไวของกาย เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ จะเป็น กายมุทุตา
กายจะมีประธานของจิตเรียกว่าจิตมุทุ คือจิตหัวอ่อน แต่ไม่ใช่อ่อนนิ่ม เป็นความอ่อนอย่างแข็งแรง ไม่มีภาษาไทยจะพูด แล้ว แต่เรียกว่าจิต มุทุ
จิตมี มุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต แต่เขาไปแปลกันว่าจิตอ่อน มันก็เลยไม่ตรงกับความเป็นจริง ในความเป็น มุทุจิต ซึ่งเป็นจิตที่แข็งแรงเพื่อป้องว่องไวมีประสิทธิภาพสูง สามารถมีความเร็วไวทั้งทางด้าน Static และ dynamic จิตมีความแข็งแรงมากจะวิ่งก็รวดเร็วคล่องแคล่ว มีทั้งพลังบวกและพลังลบที่ จัดเร็วไว แข็งแรงสุดยอด เพราะฉะนั้นจึงมีพลังงานที่ทำงานได้ดีมาก
คนไทยในศาสนาพุทธทุกวันนี้อธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ นี่ไม่ได้คุยตัวเองนะ พูดความจริงให้ฟังกัน ถ้าใครอธิบายได้ดีกว่าอาตมา พาให้อาตมาไปกราบเคารพหน่อย แล้วอาตมาจะได้เรียนรู้จากท่าน เป็นภันเตที่อาตมาต้องคารวะต้องเคารพ ก็จะได้อาราธนาท่านเชิญท่านช่วยอาตมาด้วย ก็ยิ่งดีสิ อาตมาก็ยิ่งสบาย มีผู้รู้ยิ่งกว่าอาตมา อาตมาก็ได้แต่ประกาศว่าใครเป็นผู้พี่ก็ประกาศตัวมามาอธิบายให้น้องฟังหน่อย อาตมาพูดไปหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นสรุปแล้วที่อาตมาต้องประกาศตัวเองเพื่อยืนยันให้รู้ว่า อาตมาอธิบายไม่ได้หรอก และไม่ทำท่าทางท่าทีลีลา ที่สมบูรณ์แบบ ที่เหมาะสมกับยุคสมัย
ก็ยาก เพราะอายุนี้มันต้องแสดงอย่างนี้แหละ ยิ่งกว่ายุค Hard Rock ต้องแสดง นัจจะ คีตะ วาทิตะ ท่านแปลนัจจะว่าแค่ท่าทางฟ้อนรำ คีตะคือเพลง วาทิตะคือคำกล่าวที่ตกแต่งประดิษฐ์ประดอย ซึ่งแต่อย่างนั้นก็ไม่ผิดแต่เป็นความตื้น แต่นัยยะลึกซึ้งของท่าทีลีลา นัจจะที่แรงหรือเบาที่สุภาพเรียบร้อยก็ได้
คีตะ สุ้มเสียงสำเนียง จะตกแต่งมากมายก็ได้หรือเป็นสุ้มเสียงสำเนียงที่ถูกต้อง มีรัสสระหรือทีฆสระให้ถูกต้อง อาจจะมีที่ต้องเน้นเสียงบ้าง แต่ก็ไม่ต้องเป็นเพลงอย่าง คีตะ
ทิตะคือ เฟ้นคำ ที่เหมาะสมมาใช้ บางคำเหมือนคำหยาบ แต่ไม่ใช่ เป็นคำที่เหมาะสมกับเหตุปัจจัยที่สื่อสารคำนี้แล้วมันจะรู้ได้ชัด เป็นประโยชน์ ไม่ได้มีความหยาบในหัวใจเลย แต่พยัญชนะคนที่ยึดถือใช้กันว่าเป็นคำหยาบ ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นก็เลยบอกว่าคุณอย่ามาใช้คำหยาบ เราก็บอกว่าเรามาใช้ในสภาวะที่แม้จะเป็นคำหยาบแต่มันไม่หยาบ นี่เป็นเรื่องของสิริมหามายาเป็นความสลับกันรวดเร็ว เหมือนกับการพูดกลับกันไปกลับกันมา อันนี้ยิ่งยากเลยในเรื่องสิริมหามายา อาตมาก็ขยายความจนพวกเราเข้าใจแล้ว และก็สร้างประโยชน์ทำประโยชน์อะไรได้แล้วศึกษาได้เป็นภาษาคำนี้สื่อว่าคืออะไร อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาพูดนี้ ไม่ได้เพื่อแก้ตัวโดยให้คนมาเคารพนับถือ แต่ขยายความให้มันลึกซึ้งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ยังไม่ได้ซึ้งก็จะได้ประโยชน์ แต่ผู้ใดที่เพ่งโทษมีอคติในใจก็ไม่มีปัญหาหรอกแน่นอนฟังไม่ขึ้นแน่นอนทำอะไรไม่ได้ แต่สำหรับผู้ที่ตั้งใจศึกษา สุสสูสังละภะเตปัญญัง ตั้งใจฟังด้วยดีจะเกิดความรู้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง
ก็ขอยืนยันอีกอันหนึ่งว่า ความเป็นอรหันต์ของอาตมานั้นที่พระประสิทธิ์สงสัยมา ตรงกับตำราไหม ก็ตรง ตรงที่สุด โดยเฉพาะรากฐานของตำรา ไม่ใช่คนยุคใหม่อรรถกถาจารย์เขียน ขยายความที่ผิดเพี้ยนไปเรื่อย จนกระทั่งกลายเป็นอรหันต์เก๊ ที่อาตมาใช้ศัพท์ เป็นอรหันต์เดา อรหันต์เก๊ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆอาตมาก็เลยสุดสงสารจึงต้องมายืนยันความจริง
อาตมาแสดงท่าทีลีลาออกไปตลอด กายวิญญัติ วจีวิญญัติ จากมโนเป็นประธาน ขอยืนยันว่าอาตมาผสมส่วนให้เป็น นัจจะคีตะวาทิตะ ที่ปรุงแต่งออกไปยังได้สัดส่วนจัดสรรองค์ประกอบดี เหมาะสมที่จะสื่อสารให้คนรับฟังแล้วเข้าใจทันที ได้มีความลึกและมากเท่าที่อาตมาจะเก่ง ไม่ต้องการอวดดีจะเห็นว่าเหมาะสมกับกาละเทศะทุกอย่าง ไม่ต้องการทำโชว์ว่าไอ้นี่เพราะไอ้นี่สวยไอ้นี่สุภาพไอ้นี่แรงดีให้ดีได้สัดส่วน ที่มันเป็นแบบนิยมสะใจแบบของคนโลกนับถือ ไม่ใช่ แต่ประมาณที่ทำออกไปทุกกายวิญญัติ วจีวิญญัติ จากมโนเป็นประธาน สื่อสารให้คนรับได้เข้าใจได้ดีที่สุดลึกที่สุดสมบูรณ์ เจตนาอย่างนี้ไม่มีอื่นเลย
เพราะฉะนั้นจะไปเอาท่าทีลีลาของอาตมานั้นก็อาจจะไม่ตรง แต่ไม่ผิดหรอก เพราะท่าที่ลีลาแรงก็ได้ แต่คุณจะไปเอาท่าทีลีลาของพระพุทธเจ้า มาเทียบกับอาตมามันคนละยุค พระพุทธเจ้าจะตรัสนั้นแต่ละคนนิ่งหมดเลยเพราะบารมีท่านเยอะ แต่อาตมาพูดอะไรคนไม่เชื่อเกือบทั้งนั้น ส่วนพระพุทธเจ้าตรัสอะไรคนเชื่อคนนิ่งหมดเลย ส่วนอาตมาพูดนั้น คนไม่เชื่อหมดเลยไม่นิ่งหมดเลย แกว่งเสี้ยนเลยไม่ได้เรื่องอย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็แสดงการส่ายหัวให้ดูด้วย ก็ดูเหมือนไม่สุภาพ แต่อาตมาก็สื่อสารให้เข้าใจเท่านั้นเอง จึงยากถ้าคุณจะถือด้วยอาการ แล้วเอาอาการนั้นมาตัดสินเป็นเครื่องประกอบตาม กาลามสูตร คุณไปยึดถือว่าถ้าเป็นอาการอย่างนี้มันไม่ใช่มันก็ผิดหมด มันคนละกาละเวลา
สรุปแล้วอาตมาจะทำให้รู้ความจริงว่าดูอาตมาให้นานๆให้ครบให้มาก จุดสำคัญก็คือ อาตมาไม่มีกิเลส ไม่มีความต้องการมาให้เป็นตัวตนเพื่อตัวตน
-
ไม่มีกิเลส 2. ไม่มีตัวตน 3. ไม่มีทิฏฐิลามกที่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนไม่มี เอาแค่ 3 ประเด็นนี้ก็พอ
3 ประเด็นนี้ถ้าคุณเข้าใจแล้วคุณติดตามศึกษาอาตมา อาตมาไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอาตมาไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เอาแค่ 3 ประเด็นนี้ คุณมาคอยตรวจสอบอาตมาเลยกี่วันกี่เดือนกี่ปีมา 3 ประเด็นนี้คุณให้เป็นอาริยะเป็นอรหันต์ได้ไหม สะอาดบริสุทธิ์ใน 3 ประเด็นนี้ เอาง่ายๆสั้นๆ ไม่มีตัวตนไม่มีกิเลส ไม่เพื่อลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเลย เอาแค่ 3 ประเด็นนี้อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่มี ไม่มีเพื่อลาภยศ ไม่มีที่ทำด้วยกิเลสไม่ได้ทำเพื่อตัวตน ถ้าไม่มีจริงๆบริสุทธิ์สะอาดแค่ 3 ประเด็นนี้คุณให้เป็นอรหันต์ได้ไหม
แต่อาตมาเขียนไว้ถึง 12 ประเด็น อาตมาเขียนจากของตัวเอง
คุณลักษณะ 12 ของ พระอรหันต์ผู้มีอิสระยิ่ง .
-
เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ)
-
เป็นคนไม่มีภัย
-
เป็นคนมีคุณค่า
-
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว
-
เป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
-
เป็นคนมีเมตตาจริง
-
เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้
-
เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว
-
เป็นคนทำแต่กุศล
10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว
-
เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน
-
เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์
อุเบกขามีองค์ธรรมคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธา เป็นจิตที่บริสุทธิ์จากโลกธรรมจากกิเลส
ปริโยทาตา บริสุทธิ์อย่างนั้นแหละแม้จะปรุงแต่งไปเปื้อนกับโลกจะมีผัสสะกับโลกกระทุ้งกระแทกกระเทือนอย่างไรจิตก็ยังบริสุทธิ์อยู่อย่างเดิมอย่างเดิม จะทำงานแปดเปื้อนขนาดไหนเราก็ประมาณของเราเองเราก็ยังสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสเหมือนเดิม
มุทุ จิตเร็วไวหัวอ่อนรู้ไว ง่ายต่อการดัด รวดเร็วคล่องแคล่ว มีความแข็งแรงปราดเปรียว
กัมมัญญา ท่านแปลว่า สละสลวย เหมาะควรแก่การงาน หมายความว่าเป็น อัญญา ซึ่งอัญญาคือ ปัญญาทางโลกุตระ เป็นการกระทำการงานที่ประกอบด้วยปัญญาโลกุตระ การงานของคนๆนี้จึงมีแต่โลกุตระไม่เป็นโลกียเลยและเป็นกุศลเท่านั้น ไม่เป็นบาปเป็นบุญด้วยสุดท้ายเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่มีบาปไม่มีบุญ
ปภัสสรา จะทำงานอยู่กับโลกอย่างไรจิตก็ไม่หม่นหมอง มีเเต่ผ่องแผ้วอยู่อย่างนั้นตลอดกาล
นี่เป็นคุณสมบัติ 5 ประการ ที่ อาตมามีของตนเองจึงมาพูดได้อย่างถนัดใจ เพราะมีของตัวเองอ่านจิตตัวเองออกมาพูดให้คนอื่นฟัง มันก็ถนัดใจสบายๆ ไม่ได้มาลอกเลียน
อาตมาเป็นคนไม่มีบุญ สิ้นบุญหมดแล้ว ตอนนี้ไม่ขยายเรื่องบุญ แต่งานนี้จะขยายเรื่องบุญอย่างสำคัญ
ส่วนกรรมใดก็ไม่มีอกุศลมีแต่กุศล บาปบุญนั้นสิ้นหมดแล้ว ทำแต่กุศล
อาตมามีประโยชน์ตนครบแล้วหมดแล้วประโยชน์ตนไม่มีอีกแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องทำให้ตนอีกแล้ว ประโยชน์ของตนเองไม่ต้องทำมีแต่ทำให้คนอื่นเท่านั้น
เป็นคนมีนิพพานสัมบูรณ์ Absolute อย่างนี้เป็นต้น นี่เขียนออกมาจากคุณลักษณะของตัวเอง และมาเป็นพระอรหันต์มีคุณค่าอย่างนี้ ถ้าคุณลักษณะอย่างนี้ คุณมาตรวจสอบเลยจะใช้เวลากี่ปีกี่เดือนก็ได้เชิญเลยไม่มีปัญหา เอหิปัสสิโกเชิญมาดูได้ ถ้าครบ 12 ข้อนี้คงจะอนุโลมได้ว่าเป็นอรหันต์ แต่ถ้ามีพิเศษอีกคนก็มาดูถ้าเห็นด้วยก็ใช่ ถ้าบอกว่าต้องไปนั่งหลับตา แสดงฤทธิ์เหาะได้อะไร อย่างนั้นไม่ใช่เครื่องแสดงอรหันต์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น จัดแสดงแบบฤาษีชีไพรแบบเทวนิยมอะไรต่างๆนานา อย่างที่เป็นกัน อย่างที่เก่งทางโลกียะ ไม่ใช่เก่งทางโลกุตระ อย่างนั้นก็ต้องมาพูดกันให้ถูกต้อง
นั่นคือความแสดงตัวเป็นอรหันต์ ที่สำคัญมาก คือแสดงตัวว่าเป็นอรหันต์แต่ไม่ใช่อรหันต์ธรรมดาแต่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นสยังอภิญญา
ผู้ที่จะเป็นสยังอภิญญา โพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 5 ยังไม่ใช่สยังอภิญญา ยังต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ แต่ในชาตินี้อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ก็ต้องขยายความ
ที่คุณบอกว่าจะต้องมีอาจารย์ต้องได้รับประกาศนียบัตรจากสำนักไหน แต่อาตมาไม่มี ชาตินี้ไม่มีใครให้ประกาศนียบัตรอาตมาได้ ขออภัยที่ต้องพูดคำนี้ ไม่มีใครสอนอาตมาได้ เพราะอาตมามีความรู้เหนือกว่าผู้ที่เขาจะมาสอนอาตมา เพราะฉะนั้นอาตมาในชาตินี้จึงไม่มีใครให้รางวัลอาตมาได้ ไม่มีใครให้รางวัลอาตมาได้ เพราะคนจะให้รางวัลก็ต้องมีความรู้ดีว่าอย่างนี้ควรให้รางวัล แต่ความรู้ที่อาตมามีเขาไม่รู้ และเขาจะมาให้อาตมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ตกอกตกใจไม่แปลกใจเลยว่าชาตินี้ไม่มีรางวัลเลยสักอันเดียว
คนอื่นทำงานมา 40 50 ปีเช่นท่านเสียงศีล องค์หนึ่งของพวกเราได้รับรางวัลมาตั้งเยอะแยะแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นเป็นลูกศิษย์อาตมาได้รางวัลเยอะแยะ แต่อาตมาไม่มีทางได้รางวัลหรอก เพราะเขาไม่มีปัญญาจะมาให้รางวัลเอาทำอะไรได้ อาตมาไม่ได้ตกใจไม่ได้แปลกใจเลยเพราะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วยืนยันความถูกต้องแล้ว ไม่มีใครให้รางวัลอาตมาได้เป็นอันขาด แต่พวกคุณจะให้ อาตมาจะเอาไปทำไม ก็คุณมาให้อาตมา อาตมาเก็บไม่ไหวหรอก มีร้อยคนพันคนหมื่นคนแสนคนก็แล้วแต่อาตมาจะไปหอบเอามาทำไม
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเป็นคนที่ไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีลูกศิษย์ร่วมสำนัก เมื่อไม่มีครูบาอาจารย์ก็ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง อาตมาก็เป็นอาจารย์เองสอนคนอื่นด้วย อาตมามีแต่ลูกศิษย์ไม่มีครูบาอาจารย์ มันพูดเหมือนผยองมากเหมือนหน้าหมั่นไส้จริง อาตมาเข้าใจและเห็นใจเหมือนกัน แต่ต่อมาจำเป็นต้องพูดต้องเปิดเผย
ไม่ได้เปิดเผยง่ายๆ หลายสิบปีจนกว่าจะประกาศว่าตนเองเป็น สยังอภิญญา เป็นคนผู้นี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาตมาเป็นคนลำดับที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ 10 ก็แค่นี้ก็แล้วกัน
ถ้าอาตมาเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
ถ้าอาตมาเป็นผู้ที่เป็นข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะอธิบายอีก 9 ข้อได้
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ทานแล้วต้องทำใจในใจอย่างไร โยนิโสมนสิการอย่างไร ซึ่งคำว่าโยนิโสมนสิการนี้คนเขาก็ไปแปลแค่ว่าทำใจให้แยบคาย แต่อาตมาแปลว่า การทำใจในใจอย่างมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติให้เกิดมรรคผล และให้ถึงที่เกิด คือโยนิโส เป็นความรู้ความเห็นที่แยกแยะละเอียดลออถูกต้องของแท้ลงไปถึงที่เกิด โยนิโสฯ คำว่า โยนิโสมนสิการนี้อาตมาก็ต้องตามไปขยายความ ในสัมมาทิฏฐิ 2 ในอวิชชาสูตร 10 เป็นต้น คำว่าโยนิโสมนสิการเขาก็เข้าใจไม่ถูกต้องได้ง่ายๆ
คุณจะโยนิโสมนสิการเป็น ขยายความคำว่าโยนิโสมนสิการเป็นถูกต้องและทำเป็นทำได้ผล ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แม้แต่ในสุริยเปยยาลสูตร(ว่าด้วยแสงอรุณทั้ง 7) โยนิโสมนสิการก็เป็นตั้งข้อที่ 7
คุณโยนิโสมนสิการเป็นตั้งแต่แสงเงินแสงทองทั้ง 7 คุณต้องทำให้ได้ก่อนจึงจะมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้ได้ผล ถ้าคุณทำอันนี้ไม่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ คนมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก่อนจะพบแสงเงินแสงทองทั้ง 7 ประการนี้
แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน สุริยเปยยาล (เล่ม 19 ข.129 – 136)
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
ตั้งแต่มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีอย่างชาวอโศกนี้ และก็มีศีลสัมปทา ชาวอโศกนี้มีแสงเงินแสงทองทั้งนั้น มีศีลสัมปทาปฏิบัติศีลให้เกิดเป็นมรรคเป็นทางปฏิบัติไปตลอด ทุกชุมชนชาวอโศกต้องปฏิบัติศีลทุกคน
มีฉันทสัมปทา ทุกคนที่มาที่นี่มีความยินดีมาทั้งนั้นไม่ยินดีอย่ามา แม้คุณยินดีไม่เท่าไหร่จะมาทดสอบสุดท้ายคุณก็ยินดีที่จะอยู่ได้ แม้คุณไม่ยินดีเท่าไหร่ คุณมาทดสอบศึกษาแล้วไม่ยินดีคุณก็ต้องออกไปแน่ ฉันทะ คุณไม่เกิดไม่มีทางอยู่ได้ เพราะฉะนั้นฉันทะจึงสำคัญ ถ้าหากฉันทะตัวนี้ไม่มี คุณปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 อย่างไรให้ตายก็ไม่เกิดมรรคผล
อัตตสัมปทา ต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องอัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา
คือตั้งแต่ภายนอกหยาบใหญ่ ทำได้แล้วก็ทำ มโนมยอัตตา แต่ไม่ได้ทำอย่างหลับตาเลยทำอย่างอื่น มีจักษุญาณปัญญาวิชชาแสงสว่าง อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้าขยายความอ้างอิงยืนยันทุกกระบวนการ
เมื่อรู้เข้าใจอัตตา 3 ดีก็มาดับอัตตา 3 คุณเกิดเป็นพระอรหันต์ ต้องเข้าใจอัตตาให้ดีเป็นแสงเงินแสงทองก่อนแล้วจึงจะมีทิฏฐิสัมปทา มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น
คุณต้องมีกระบวนการวิธีทิฏฐิความเข้าใจ สัมปทาคือวิธีการ ต้องเป็นวิธีการที่ถูกต้อง หรือจะเรียกว่าพ้นสีลัพพตุปาทาน พ้นทิฏฐิความรู้ความเห็นเข้าใจที่เป็น อุปาทาน แค่ทิฏฐุปาทาน ต้องพ้นอุปาทานพวกนั้นมา นอกจากกามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทานแล้วต้องพ้น อัตตวาทุปาทาน
ทุกวันนี้ส่วนใหญ่คนเป็นอัตตวาทุปาทาน ยังไม่เข้าถึงอัตตาเลย ปฏิบัติได้แค่ภาษาวาจา เรียกว่าอัตตาเป็นบัญญัติเท่านั้นเอง ยังไม่เข้าถึงตัวสภาวะธรรม
เทวะ มีสภาวะกับพยัญชนะ เขายังอยู่แค่พยัญชนะหรือบัญญัติส่วนใหญ่เลยยังเข้าถึงสภาวะของอัตตาจริง เทวะสองนี่ ยังไม่ค่อยได้กันเลย ยังไม่ค่อยเป็นกันเลยอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ แม่คุณจะรู้หมดแล้วถึง 4 5 ข้อแล้ว แต่ข้อที่ 6
ถ้าคุณยังประมาทอยู่ คุณรู้แล้วแต่ยังรอและประมาทไม่เอาจริงเอาจัง จ้างคุณก็ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ ต้องมีความพากเพียรเพียงพอเอาใจใส่เพียงพอ ตั้งอกตั้งใจศึกษาปฏิบัติ ไม่ประมาท พ้นจากความประมาท อัปปมาทสัมปทา และสำคัญที่ข้อ 7
โยนิโสมนสิการ อาตมาใช้ศัพท์ง่ายๆ ต้องโยนิโสมนสิการเป็น หาก โยนิโสมนสิการเป็น คุณยังเข้าใจไม่ถูกต้องเลยทำไม่เป็น คุณไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 เท่าไหร่ให้ตายก็ไม่ได้ และการปฏิบัติมรรคมีองค์๘ก็ไม่ได้ปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิด้วย นี่ก็อีก ปฏิบัติมรรค
ทั้งเจ็ดองค์แล้วจึงจะเกิดข้อที่ 7 เป็นสมาสมาธิ นี่ก็ต้องอธิบายอีกยาวนาน
นี่เขาก็ขึ้นตัวหนังสือในจอว่า ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐินั้นจะต้องมี
-
ปรโต จ โฆโส จ (การได้ฟังสัจจะมุมอื่นจากผู้รู้อื่นๆ หรือจากบัณฑิตอื่น จะไม่ติดยึดแต่ภูมิรู้เดิมๆ ของตน)
-
โยนิโส จ . มนสิกาโร (ปรับใจ ปฏิบัติกระทำใจให้ละเหตุแห่งการเกิดกิเลสที่ใจ กระทำใจละให้เป็น ให้ถ่องแท้ ให้หยั่งลงไปถึงแดนเกิด คือ สมุทัย ที่ใจ) . . .
สัมมาทิฐิย่อมมีเจโตวิมุติ มีปัญญาวิมุติเป็นผล และเป็นอานิสงส์ โดยมีองค์ 5 คือ สัมมาทิฐิอันมีศีลอนุเคราะห์แล้ว สุตะอนุเคราะห์ สากัจฉาอนุเคราะห์ สมถะอนุเคราะห์ และ วิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว (พตปฎ. เล่ม 12 ข้อ 497)
การฟังคนอื่นนั้นไม่ใช่ฟังแบบอาบน้ำกลัวเปียก เป็นชาล้นถ้วย เทชาเข้าไปอย่างไรก็ไม่เข้า ต้องตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสังละภะเตปัญญัง วางความรู้เก่าๆ คุณจึงจะฟังของใหม่จนกระทั่งเข้าใจ จึงจะทำการโยนิโสมนสิการเป็น เข้าใจมีทิฏฐิที่ถูกต้องดีเลย เข้าใจถูกต้องแน่จึงจะเอาไปปฏิบัติได้เป็นอาหาร ในอวิชชา 10 ประการ
-
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ แต่ถ้าไปคบอสัตบุรุษก็ไม่สามารถได้ฟังสัทธรรมก็จะไปทำขั้นต่อไปไม่ถูก
-
การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
-
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
-
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
-
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
-
สุจริต๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน๔ บริบูรณ์
-
สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ .
-
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
ในตัณหาสูตร …
-
การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
-
การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ..ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
-
ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
4.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .
-
ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น)เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
-
การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ..ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
-
ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5
-
นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา
-
อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62)
อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่อาตมาเป็นสยังอภิญญาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ในยุคนี้ ถ้ามีใครยิ่งกว่าจะมา อาตมาไม่ได้ท้าทายอวดดีอยากแข่ง อาตมาก็อยากพบ อาตมาไม่ได้ปิดทางว่าอาตมายิ่งใหญ่ในยุคนี้ แต่มันก็เป็นอย่างนั้น อาตมาพูดไป ก็ไม่ได้ปิด แต่ก็พูดความจริงว่าเพื่อนในยุคนี้มีคนยิ่งใหญ่กว่าอาตมาอีกก็มาแสดงตัวสิ แล้วมาร่วมกัน ถ้าคนที่เข้าใจตรงกันสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติเป็นความเข้าใจอันนี้เดียวกัน เป็นธรรมะพุทธเจ้าอันเดียวกันมันจะไปขัดแย้งทำไมกันมันก็จะดีใจ จะไม่ริษยากันหรอก สัจธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมอาริยะไม่ริษยากัน เป็นสิ่งที่ดีก็จะมาช่วยกันทำงาน ช่วยกันสร้างสรรทำประโยชน์แก่มนุษยชาติจะไม่เกี่ยงในความใหญ่โต ก็ยอมรับว่าท่านเป็นพี่เราเป็นน้อง ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราเป็นพี่ พูดเป็นน้องก็ต้องรู้ว่าตนเองเป็นน้องมันก็เป็นสัจจะ มันมีปัญญาเป็นสัตว์จะไม่มีอัตตามานะมีกิเลสเข้ามาแข่งกันแข่งดีแข่งเด่น อย่างนั้นมันไม่ใช่อยู่แล้ว จะมีหนึ่งเดียวกันจะลงตัวกันไม่ขัดแย้งกัน ถ้ายังขัดแย้งกันอยู่เถียงกันอยู่ไม่ใช่สัจจะ
แม้ที่สุด ถ้ามี 2 คนใดคนหนึ่งยังยืนหยัดยืนยันว่าของตนเองถูก คนผู้ที่เป็นผู้ถูกแท้จะยอมแพ้คนนี้ เพื่อความสงบเรียบร้อยเพื่อปล่อยให้เขาเป็น อัตตาไปเลย จะไปบังคับได้อย่างไรว่าเขาไม่มีความรู้ มีแต่จะตกลงอนุโลมให้แก่เขาไป หนักเข้า เมื่อต่างคนต่างทำประสานกันไม่ได้เข้ากันไม่ได้ก็อยู่กันอย่างนานาสังวาสก็จบ ไม่ต้องทะเลาะกันไม่ต้องตีกันอยู่ตามกฎระเบียบตามแบบที่เรายึดถือ อย่างอาตมาอยู่กับเถรสมาคมอยู่กับธรรมกายอยู่กับธรรมยุตอาตมาก็อยู่สบาย เป็นพุทธเดียวกัน อะไรที่เป็นความผิดอาตมาก็ต้องยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ผิดอาตมาไปบิดเบี้ยวความผิดความถูกไม่ได้ต้องพูดความตรง ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้เปิดเผยความจริงสัจจะ
สรุป
-
อาตมาเป็นอรหันต์มีหลักฐานต่างๆ การยืนยันปฏิบัติมีหลักสิบสองอย่าง และให้คนมาปฏิบัติจนคนก็ชัดเจนไม่ได้งมงายหลงผิดได้เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีพวกเราที่เป็นฐานรับรอง ไม่ใช่เอาประกาศนียบัตรไม่ใช่เอาอาจารย์มารับรอง ไม่เอาครูสำนักเก๊ อาจารย์เก๊ ที่ไม่จริงมาออกปริญญา ที่นี่ไม่มีใบปริญญาบัตร แต่เรามีของจริงเป็นอาริยบุคคลจริงเป็นเมืองอาริยบุคคลจริง คนก็มาพิสูจน์ได้เป็นมวลเป็นหมู่เป็นหนึ่งเดียวกัน
แม้แต่หลักธรรมอื่นที่เป็นสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มีวรรณะ 9 สิ่งต่างๆพวกนี้อาตมาหยิบมายืนยันเยอะแยะ แม้แต่ซะมันพูดกันไปทุกคนก็พูดกันไปอย่างมักน้อยสันโดษมาจนกัน กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
หรือ เอาหลักธรรมวินัย ตามหลักตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ
-
เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)
-
เป็นไปเพื่อความพรากสัตว์ออก (วิสังโยคะ) . . .
-
เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ) . .
-
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ) .
-
เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)
-
เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ) .
-
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ) .
-
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)
นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา
(สังขิตตสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 143)
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ปฏิบัติ ให้เกิด ศีลเคร่ง องค์แห่งธูตะ อย่างพวกเรา ปฏิบัติจนมีศีลเพ่งไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ใช้เงินทองอย่างนี้เป็นต้น แต่พวกเราปฏิบัติแล้วไม่ได้เคร่งอะไรปฏิบัติได้แล้วก็สบาย ผู้มีปัญญาจึงจะเริ่มใส่ใจอาการของพวกเรา พวกไม่มีปัญญาจะบอกว่าไม่ใช่ ผู้มีปัญญาจะบอกว่าอย่างนี้เป็นความจริงใจ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอย่างนี้เป็นจริงใจ สะอาดบริสุทธิ์ จะเห็นอาการที่น่าเลื่อมใส
เป็นคนขยันอยู่เสมอไม่มีคนขี้เกียจ หาคนขี้เกียจยาก(กุสีตะ โกสัชชะ) คนที่อยู่ที่นี่ถ้าขี้เกียจจะถูกเหล่ คนขี้เกียจเป็นคนตกต่ำเป็นอบายมุข พวกเราก็จะช่วยกันให้พัฒนาขึ้น
สรุปแล้ว ต้องศึกษาให้ดี คุณไปเอาอรหันต์ที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่มา
-
คุณยังไม่มั่นใจว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา สำหรับคุณ เอซุส เวสเกตุ
สมณะเดินดินว่า…แล้วพ่อครูจะหาอาจารย์ที่ไหนมารับรอง
พ่อครูว่า…ก็ไม่มี เพราะมีของเก่ามาแต่ชาติก่อนเป็นสัจจะจากพระพุทธเจ้า จริงๆแล้วอาตมาอวดหนัก เป็นคนชื่อนั้นชื่อนี้ในยุคพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไปอาตมาไม่อยากพูดมาก พูดแล้วคนไม่นับถือหรือจะหมั่นไส้ก็เลยไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่ก็คงจะต้องพูดในอนาคตถ้าจำเป็นหรือสมควร แต่ตอนนี้ยังไม่พูดหรอก เคยพูดไปแล้วก็สะเทือนเลื่อนลั่น อะไรต่างๆนานา
อาตมาจริงๆก็พูดยากด้วย เพราะว่าอาตมาจำความเป็นชาติเก่าอันนั้น จนจะซอกแซกมีในตำนานถามอาตมาตั้งชื่ออยู่ในตำนานอาตมาก็จำไม่ได้ อาตมาจะอธิบายได้ถูกอย่างไร สิ่งที่จำได้ก็คือเนื้อหาสาระมันตรงกันไหมล่ะ มันตรงถูกต้องอะไรก็ได้
สมณะเดินดินว่า สยังอภิญญาคือต้องไม่มีคนอื่นรับรอง
พ่อครูว่า…สยังอภิญญาต้องไปมีคนอื่นรับรอง อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบไม่มีคนอื่นรับรอง สยังอภิญญา มาเกิดในชาติใดไม่มีคนรับรองหรอก สยัง ชื่อของตัวเอง อภิญญาคือความรู้ยิ่ง คุณไม่เชื่อว่ามีชาติก่อน คุณก็พูดกันไม่รู้เรื่องเพราะคุณไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณเชื่อว่ามีบารมีที่สั่งสมกันมาแต่ก่อนชาติต่อๆกันมา แล้วอาตมากว่าจะสะสมมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นั้นมาเป็น ล้านๆชาติ แต่จะมาจำเรื่องล้านชาติมันไม่ได้
สมณะเดินดินว่า..ก็มีพวกเรารับรองได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ก็มีพวกเรามีหลักฐานใดพระไตรปิฎกรับรองว่าข้อนั้นข้อนี้ตรงกันไหม คนจะรับรองอาตมาต้องมีภูมิรู้เหนือกว่าอาตมา หรือว่ารู้จักอาตมาจริงๆจึงรับรองอาตมา หรือจะให้พวกคุณออกใบอะไรให้อาตมา คุณก็ออกได้ใช่ไหม
หมู่สงฆ์ของอาตมาก็รับรองให้อาตมาเป็นอรหันต์มีสติวินัยแล้ว ซาวเสียงหมู่สงฆ์ก็ยกให้ ไม่มีคนแย้ง หมู่สงฆ์ก็ยกให้โดยเอกฉันท์ไม่มีใครขัดแย้งอาตมาเลย ขออภัยที่เปิดเผยเป็นเรื่องวินัยเป็นเรื่องของสัจจะ เราทำตามพระวินัยหมดทุกอย่างไม่ได้พูดเล่น อาตมาไม่มีอาบัติแล้วเพราะว่ามีสติวินัยหมู่สงฆ์ ยกให้แล้ว นอกจากอาตมาจะใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ที่อนุโลมปฏิโลมอยู่ เหมือนกับแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก จะทำอย่างไรเหมือนกับลูก แล้วจะเอาเรื่องเลอะเทอะเหล่านั้นมาตีราคาต่อมาว่าเป็นแม่ที่เหมือนกับเด็กอยู่ไม่ได้ คุณก็ต้องดูเหตุปัจจัยประกอบ
สมณะเดินดินว่า…ในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่า สยังอภิญญา ต้องเป็นผู้ที่อธิบายรายละเอียดโลกนี้โลกหน้าได้
พ่อครูว่า…อาตมาก็อธิบายโลกหน้าโลกนี้ โลกหน้าที่เป็นโลกของภูมิธรรม ผู้ที่มีคุณธรรมในระดับที่เข้ากระแส โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ถ้าหากว่าพูดกันไม่รู้เรื่องก็มีหลักฐานเหล่านี้มาขยายความไปให้ติดตามดู
สมณะเดินดินว่า…ถ้าเขาหาสยัมภูมาพบพ่อครูได้ก็ยิ่งดี
พ่อครูว่า…ถ้าได้สยัมภูก็ยิ่งดี แต่ว่ามันเป็นไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไม่มีพระพุทธเจ้าที่จะมาเกิดใกล้กันในยุคแค่สองพันห้าพันปี ก็มีแต่พระโพธิสัตว์นี่แหละที่จะมาสืบสานศาสนาต่อหรือโพธิสัตว์องค์อื่นก็แล้วแต่
สมณะเดินดินว่า…ก็เขาติดใจว่า จะมีอาจารย์ที่ไหนมารับรอง
พ่อครูว่า…อาตมาเป็นสยังอภิญญา จะมีใครรับรองได้ล่ะ ก็ต้องไม่มีใครรับรอง คนจะรับรองอาตมาก็ต้องเป็นสยัมภู หรือเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะคือท่านมีภูมิที่เป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ท่านไม่ประกาศทำงานสร้างศาสนา ท่านจึงไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ติดทำเนียบในโลก แต่ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณ เท่ากันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ท่านไม่ได้สร้างศาสนาของท่านเลย คนเข้าใจไม่ได้ไปแปลว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธะว่าคือผู้ที่สอนคนไม่ได้ ก็แม้แต่พระโสดาบันก็ยังสอนคนได้ คนที่ต่ำกว่าโสดาบันก็ยังสอนผิดเพี้ยนมีเยอะแยะ ศาสนาพุทธนั้นต้องสอน ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธคือศาสนาคนใบ้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนานักสอน เป็นศาสนาที่มีพระอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อนุสาสนีแปลว่าคำสอน อ้างทั้งพยัญชนะและทุกอย่างแล้ว จะต้องอ้างไปอีกเยอะ อ้างอิงนะไม่ใช่อ้างอวด
พระประสิทธิ์ก็พอขนาดนี้ก็แล้วกัน ติดตามไปอาตมาขออนุโมทนาสาธุ คุณตั้งใจฟังก็ได้รับปัญญาไปเรื่อยๆ
_Apple Apple ผู้ใดด่าหลวงพ่อแสดงว่ากำลังฟังหลวงพ่อเทศอีกหน่อยก็เชื่อหลวงพ่อและฉลาดขึ้น
พ่อครูว่า…คนนี้ตัดสินแล้วว่าดีแล้ว เขาด่าอาตมา ก็คือเขากำลังฟังเทศน์อาตมาอยู่ นอกจากคนตีทิ้งไม่ฟังเลยก็จบ แต่ถ้าคุณยังฟังอยู่ๆๆ ก็ดี ให้ขยันฟังก็แล้วกัน
ด่าถูกแปลว่ายังฟังอยู่ แต่ถ้าด่าผิด ยกเมฆมาด่า ถ้าอย่างนั้นสำนวนไทยเรียกว่าด่าอย่างสาดเสียเทเสีย เอาอะไรมาสาด อาตมาก็สาดต่อเท่านั้นเอง ด่าอย่างมีหลักฐานอ้างอิงก็ไม่มีปัญหา
_นาโพนกลางสวน …อรหันต์หรือไม่ คุณลองปฏิบัติดู เอาให้จบสักเรื่อง ถ้าคุณเป็นปุถุขนคนโลกๆทั่วไป ก็ลองลดความอ้วนดูนะครับ ลองอาหารแคลอลี่สูงรับประทานอาหารมีประโยชน์งดทานอาหารมื้อเย็น ง่ายๆแค่นี้ แล้วคุณจะเห็นกิเลสหิวข้าวตอนเย็นอยากโน้นอยากนี่ คุณจะเห็น คุณลองทำ ง่ายๆแค่งดอาหารเย็นทำได้ไหม ถ้าทำได้ทำซ้ำและทำตลอดไปเพื่อสุขภาพ ทำได้ข้อหนึ่งแล้วก็เอาอย่างอื่นมาปฏิบัติ เลิกบุหรี่ เลิกเหล้า เลิกแต่เนื้อแต่งตัว เลิกไปเรื่อยๆเลิกสิ่งที่ไม่ดีที่ผิดศิลทำได้แล้วทำซ้ำให้มั่นคงแข็งแรงตลอดไปตลอดชีวิต แล้วคุณจะรู้เห็นดิเลสมันเป็นของยากมากที่จะชนะ ชนะกามคุณได้ไหม ยากมากๆวิญูชนเท่านั้นที่จะรู้จะเห็น ใครไม่เคยฝึก อย่าพึ่งมาเพ่งโทษชาวอโศกเลย มันเป็นบาปต่อตัวคุณเอง ชาวอโศก=วิญญูชน สาธุๆ
_อภิรัตน์ ปัญญามีปัญหามากๆครับ..พระพุทธเจ้าอนุญาติให้สงฆ์รับผ้าตามบารมีของตัว..พระพุทธเจ้าก๊ทรงรับผ้าเนื้อดีจากพระนางปชาบดีโคตมีน่ะ..ส่วนผ้าแย่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตก็คือผ้าห่อศพหรือผ้าบังสกุลน่ะ…เฮ้ออนุญาติต่ำสุด..เพราะบารมีทางโลกน้อย..ไอ้พวกเคร่งไปทางเทวทัตกับพวกนักบวชชีเปลือย…พวกเดียร์ถี..กลับเอาภาวะต่ำสุดมาบังคับเป็นมาตรฐาน..ตัวเองโง่ปฎิบัติก็ยังเป็นจริต..แต่ชอบโกยบาปไปติเตียนคนอื่น…เสริมอีกนิด พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าถ้าดูรวยจน. คนนั้นจะไม่นับถือพระพุทธเจ้า..เพราะปัจจัยสี่ กษัตริย์ต่อแถวถวาย…แต่ถ้าคนนั้นดูการประพฤติปฎิบัติ..และการเผยแผ่ธรรม สองข้อนี้คนๆนั้นถึงจะนับถือว่าพระพุทธเจ้าทำสองข้อนี้ได้ดีสุด..อย่ามาอวดว่าเป็นพระดีโดยแค่ใส่จีวรเก่าๆ ผุๆพังๆเลยครับ. ปัญญาอ่อนมันหลอกได้แต่คนโง่..เท่านั้น
พ่อครูว่า…อ้าว ติดตามไปหน่อย อดทนติดตามไปมากๆนะ อาตมาไม่ขยายความหรอกตอนนี้
_บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่มีการดำรงชีวิตอย่างพึ่งพาอาศัยกัน แต่นิสัยสันดานของมนุษย์ คืออุปสรรค ด้วยมีเหตุปัจจัยแวดล้อมตามธรรมชาติอันเป็นโลกียธรรมที่แตกต่าง อีกทั้งความต่างของประสบการณ์ที่หลากหลาย มนุษย์จึงไม่เหมือนกัน
ส่วนสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ที่มีเหมือนกันนั้น กลับสร้างความร้าวฉานยิ่งกว่า
เพราะได้วิวัฒนาการเป็นความเห็นแก่ตัว ทำให้มนุษย์หันมาเอาเปรียบกัน
การกดขี่แย่งชิง ได้สร้างความขัดแย้งให้ร้อนรุ่มไปทั่วทุกหัวระแหง เกิดเป็นสงครามที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ความทุกข์ยากที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน มันแสนสาหัสกว่าภัยธรรมชาติมากนัก
ศาสดาเอกทั้งหลายของโลก ต่างถือกำเนิดขึ้นมา ภายใต้สภาวการณ์ของทุกขภาวะเช่นเดียวกันนี้
นั่นชี้ให้เห็นว่า ศาสนาเข้ามามีบทบาท ช่วยแก้ปัญหาตรงไหน?…….ให้แก่มนุษย์และสังคม
เนื่องจากเล็งเห็นถึงต้นตอของปัญหา ที่เกิดจาก การมีอิสรเสรีภาพมากเกินไปอย่างไร้ขอบเขตของมนุษย์ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่อิสรเสรีภาพที่แท้จริง….
แต่คือการเป็นทาสของเทวะ ซึ่งมีสภาวะจิต ๒ ชนิด ที่ครอบงำ บงการจิตใจของมนุษย์อยู่โดยไม่รู้ตัว คือ…สุขในสวรรค์โดยพระเจ้า และ ทุกข์ในนรกจากซาตาน
ศาสดาจึงได้บัญญัติข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐาน เพื่อควบคุมความประพฤติ ทางกาย วาจา และใจ ให้ตั้งอยู่ในความดีงาม
เป็นกติกาข้อห้ามที่ใช้แก้ปัญหาขั้นพื้นฐานหลักๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความสงบสุข และ ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกันในสังคม
บทบัญญัติได้กลายเป็นศีลธรรมประจำใจ เตือนสติมนุษย์ ให้เกิดการยับยั้งชั่งใจ ให้มีอิสรภาพอยู่ในขอบเขตโดยไม่ละเมิดผู้อื่น สังคมจึงได้บรรเทาความทุกข์ร้อนลงได้
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคิดบูชาไฟเช่นมนุษย์ในยุคหิน… ได้เปลี่ยนศาสดาผู้ล่วงลับทั้งหลายให้กลายเป็นผู้วิเศษที่ทรงอิทธิฤทธิ์ ลืมเลือนตำนานของยอดคน ที่มีเลือดเนื้อเช่นคนทั่วไป ผู้นำพามนุษย์ให้พบกับอิสรเสรีภาพที่แท้ ผู้ปลดแอกมนุษย์ให้พ้นความเป็นทาส จากทั้งโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตย
เมื่อความดีงามในศีลธรรมถูกละเลย ความเป็นเหตุเป็นผลของศาสนา จึงต้องพ่าย แก่รากเหง้าแห่งอวิชชา ทำให้ศาสนากลายเป็นเพียงอาภรณ์ของ ผู้มิจฉาทิฏฐิ ที่มุ่งสงบนิ่งอย่างมืดบอด… ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่ออกว่าจะมีประโยชน์กับตน…ไม่ขัดเกลากิเลสลดอัตตา… กลับสะสมบุญ สนองตัณหา ถึงกับแสวงหาโลกธรรมเพาะสร้างปรมาตมันขึ้นเป็นอัตตา ไม่สนพหุชนหิตายะ ไม่รู้จักโลกกานุกัมปายะอีกต่อไป ศาสนาจึงกลับกลายเป็นเทวะอย่างเต็มรูปแบบ พระเจ้า..อยู่เหนือเหตุและผลอีกครั้ง… สวรรค์นรกจึงถูกสร้างขึ้นใหม่
“ความกลัว” ถูกใช้เป็นอาวุธอันทรงพลังที่สุดของพระเจ้าอีกเช่นเคย
การเพิ่มบุญ หรือลดบาป ได้ตกเป็นภารกิจที่ “Agent ของพระเจ้า” เท่านั้นจะบันดาลให้ได้ ผูกขาดสวรรค์นรกไว้เพียงแค่ ในศาสนจักร
ความกลัวตกนรก และกลัวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ จึงกลายมาเป็นหัวใจของศาสนา ซึ่งคอยกักขังอิสรเสรีภาพ ที่ศาสดาเคยมอบไว้ให้แก่มนุษย์
ระเบิดพลีชีพ, การเหยียดผิว หรือแม้แต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ….จึงเกิดขึ้นในนามของพระเจ้า
เมื่อความกลัว…ทำให้ข้ออ้างกลายเป็นเหตุผล ดีชั่วจึงเป็นเพียงสมมุติ ที่ถูกกำหนดโดยผู้สร้างนรกสวรรค์
อย่างที่ศาสนจักรในยุคมืด เคยยึดครองยุโรปทั้งทวีปในยุคกลางมาแล้ว
ทุนนิยมจึงลงขัน สร้างนรกสวรรค์เพื่อครองโลก แล้วสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของพระเจ้าก็ถือกำเนิดขึ้นที่ Hollywood เป็นสถาบันอันทรงอิทธิพลสูงสุดในโลก มีโรงงานสร้างเวทนาเทียม ที่แจกรางวัล Academy Award กันทุกปี ๙๐กว่าปี ที่ Hollywood พยายามควบคุมบงการกำหนดหมายของมนุษย์ จนกำหนดดีชั่วในโลกปัจจุบันได้สำเร็จ เป็นผู้อำนวยการสร้างนรกสวรรค์แก่มนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ กำหนดสุขทุกข์ครบวงจรแก่มนุษย์บนโลก ให้ปรุงแต่ง ให้ยึดตาม โดยมีผลประโยชน์มหาศาลทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มีทั้งผู้สนับสนุนอย่างเปิดเผย และแอบกอบโกยอย่างซ่อนแฝง โยงใยกันทั้งโลก
การจะกอบกู้อิสรเสรีภาพที่แท้จริงคืนแก่มนุษย์ ในแบบที่ศาสดาได้เคยทำ… โดยให้มนุษย์พึ่งตนเอง มีจิตใจเข้มแข็ง ต่อต้านสิ่งชั่วร้ายในตนเองได้ เพื่อให้มนุษย์พ้นทุกข์ ให้หมดสุขแบบโลกีย์ หยุดเบียดเบียนไม่เห็นแก่ตัวให้สังคมสุขเย็น มีพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ เป็นโลกานุกัมปายะ ได้นั้น จำต้องทำลายเทวะ!!!
แล้วผู้ที่จะทำลายเทวะได้นั้น ต้องมีวิชาแท้ สามารถนำคำสอนตามสูตรต้นตำรับของพระพุทธองค์ มาอธิบายได้อย่างที่มี รูปและนามตรงกัน
เป็นดั่งบุคคลในสัมมาทิฏฐิ 10… พ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้มีสยังอภิญญา ผู้มากอบกู้พุทธศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ ในยุคที่ภูเขาแห่งความเสื่อม ใหญ่เกินกว่าเส้นผมจะบังได้
แต่ยังมีผู้ที่กังขา ต่างก็ทอดตาควานหาทั่วแผ่นดิน งมหาเข็มในมหาสมุทร แต่ที่แท้ปักอยู่ยอกอกของตัวเอง
ฉะนั้นลองนั่งนิ่งๆ หลับตาแบบที่ถนัด แล้วถามใจตัวเองอย่างยุติธรรมจริงๆว่า “ถ้าไม่ใช่พ่อท่าน แล้วจะเป็นใคร?”!!!
แต่การจะให้สัมมาทิฏฐิ แก่มนุษย์ที่ยึดเทวะ จะทำพหุชนอัตถายะ ให้เห็นอนิจจัง เข้าใจอนัตตา
แล้วดับ สวรรค์นรก ทำสัจจะให้เป็น ๑ เดียว ตรงกันทั้งสมมุติสัจจะ และปรมัติสัจจะ
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับคนอายุยาว….วัย 85 ปี จะแบกไหว….ถ้าไม่มี ผู้ช่วย
เพราะต้องสู้กับ Hollywood เจ้าแห่งโลกมายา ที่คุม Fashion ของโลกทั้งใบ
ความช่วยเหลือในตอนนี้จึงมีค่ามากกว่า น้ำตาที่จะหลั่งตอนพ่อท่านไม่อยู่แล้ว
“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะมาเมื่อไหร่?”!!!
ทำอะไรกันอยู่… ถ้าวางก่อนได้… มาร่วมแรงร่วมใจกันก่อนได้มั้ย?
มาช่วยพ่อท่านสร้าง bomb of love ลูกที่ ๒ ให้สำเร็จ… เพื่ออีก 66 ปีข้างหน้า….
ศรัทธาจะได้ขจรขจาย นำพาศีลธรรมกลับมาสู่มวลมนุษย์
พ่อครูว่า…งานพุทธาภิเษกฯ ปลุกเสกฯ 2 งานใหญ่ของเรา เป็นการสรุปรวบรวมเหมือนสอบไล่ใหญ่ของเรา 2 ครั้ง แต่ละปีๆ ผู้ใดที่พยายามมาได้ วางไม้วางมือจากงานธุรกิจ งานประจำตัวของตัวเองบ้าง จริงนะ อาตมาพูดแล้วเหมือนกับอาตมาคลั่งไคล้ Crazy ศาสนา Crazy เรื่องของธรรมะมากเกิน จริงๆแล้วไม่ใช่ อาตมาไม่ใช่ Crazy คลั่งไคล้หลงใหลอะไรหรอก อาตมาเห็นว่ามันเป็นสัจจะจริงๆว่าธรรมะนี่แหละเป็นที่พึ่งได้
ทำหน้าที่เป็นโลกุตรธรรมเป็นที่พึ่งได้ของตน แล้วเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้อย่างดีวิเศษที่สุด จริง มาปฏิบัติให้บรรลุธรรมได้มรรคผลที่แท้จริงเถอะ อย่างที่เราทำสำเร็จแล้วเป็นขั้นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6
-
เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
-
เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา – มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี)
-
มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)
-
มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย(ทิฏฐิสามัญญตา) (ล.22 ข. 282-283)
พวกเราพิสูจน์สาราณียธรรม 6 ได้สำเร็จ มีวรรณะ 9
จะมีสาราณียธรรม 6 ต้องมีจิต
-
สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) ถึงว่าจะไปช่วยเหลือกันอย่างไร ไม่ใช่อยู่ที่ตัวคนเดียวใครจะเป็นอย่างไรช่างหัว กูสบายกูสุขแล้วคนเดียว อย่างนั้นเป็นการเห็นแก่ตัวสุดๆ หากตนมีแรงงานพลังงานก็ระลึกถึงไปช่วยคนอื่น
-
ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
-
ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
-
สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) สังคหะนี่ยิ่งใหญ่ที่สุด
-
อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) ชาวอโศก 30-40 ปีแล้วไม่ได้ทะเลาะวิวาทกัน
-
สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
-
เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) ตีแตกยาก