620304_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 41
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1AGeQt6SCqHR4FNdix5MhaHyg6WeVgRToFFB4_l1OvXM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1_7Ii6Z2bdtMbKPKZWICXvLJSg4Rjhpsh
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562 ที่บวรปฐมอโศก
วันนี้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏจังหวัดนครสวรรค์มานั่งฟังด้วย สาขาการพัฒนาชุมชน
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ศึกษาอะไรเลย ท่านเน้นการศึกษามนุษย์กับสังคม เท่านั้น แล้วรู้หมดโลกเลย เพราะโลกทั้งโลกมีมนุษย์เป็นตัวสำคัญ ช้างตัวใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้โลกยุ่ง ปลาวาฬว่าใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้โลกยุ่ง ต่อให้ไดโนเสาร์มาเกิดก็ไม่ได้ทำให้โลกยุ่ง แต่มนุษย์นี่แหละทำให้โลกยุ่ง และทำลายหมด ไดโนเสาร์ขนาดว่าใหญ่ยังสูญพันธุ์ไปเองเลย แต่มนุษย์นี่พลเมืองลดลงหรือพลเมืองเพิ่มขึ้นในโลก พลเมืองเพิ่มขึ้น จนสักวันหนึ่งโลกจะอ้ารับมนุษย์นี้ไม่ไหว นอกจากจะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วยังทำลายด้วย ยังสร้างความร้อนสร้างความเย็นสร้างความวิปริตทำลาย ทำให้ดินทำให้ธรรมชาติไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้น้ำจะเป็นตามธรรมชาติของน้ำก็ไม่ได้ ทำให้ลมจะเป็นไปตามธรรมชาติของลมก็ไม่ได้ เพราะฝีมือมนุษย์ทั้งนั้นเลย แปรปรวนหมด
ย่นย่อให้เห็นง่ายๆอย่างในกรุงเทพ ลมพัดมาตามธรรมชาติแล้วจะไปตามธรรมชาติไม่ได้เลย ลมงงเลยจะไปทางไหน พัดไปก็โดนตึก ส่วนน้ำก็ตามน้ำก็ตามไปไม่ออก น้ำก็งง คือดินน้ำไฟลม หมดท่าเลยว่างั้นเถอะ หมดท่าของธรรมชาติ ถูกคนทำลาย ร่องน้ำร่องลมหมดนี่ก็ฝีมือคน ขนาดบรรยากาศเรือนกระจก ยังกล้าไปเปลี่ยนแปลง บรรยากาศทะลุ แทนที่มันจะไปตามธรรมชาติ เขาใช้ศัพท์ว่าเรือนกระจกทะลุ ฝีมือคนทั้งนั้น แต่ที่ลึกๆนะ ตอนนี้แผ่นดินไหวก็ดี สึนามิ ก็ดี คนยังไม่สามารถไปทำลายเส้นทางของแผ่นดินไหว เส้นทางของสึนามิ เพราะมันอยู่ลึก สึนามิก็มาจากพลังงานของแกนโลก กับสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่ระเบิดหนักภูเขาไฟใหญ่ๆ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน ส่ิงเหล่านี้อย่างไรๆ คนก็เหนือสิ่งเหล่านี้ แต่ขนาดนั้นธรรมชาติที่อยู่ลึกๆ สึนามิหรือแผ่นดินไหวคนก็ยังไปไม่ถึง คนก็ยังคำนวณไม่ได้ แต่พอเริ่มเกิดหรือใกล้เกิดก็พอได้
_ด.ญ.ว่านน้ำ…กราบนมัสการหลวงปู่
พ่อครูว่า….พรุ่งนี้ พระเอกซีรีย์พระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยมสันติอโศก เวลาประมาณ 10 โมง ใครจะไปรอ พระเอกที่แสดงเป็นพระพุทธเจ้าเลย ตัวสูงใหญ่สูงกว่าท่านจันทร์ ออกตัววิ่งที่ช่องบุญนิยม ผู้แสดงเป็นคนอินเดีย
_รอ คสช. ออกอากาศเสร็จค่อยเริ่ม
พ่อครูว่า…ตอนนี้ก็ถึงวาระของรายการสำมะปี๋ซี่วิต ยินดีต้อนรับ นักศึกษาราชภัฏนครสวรรค์ สาขาพัฒนาชุมชน สวรรค์แปลภาษา ฟ้า มาจากเมืองฟ้าเชียวนะ มาเยี่ยมเยียนปฐมอโศกก็ยินดีต้อนรับ มาอยู่ 2 วันแล้วพรุ่งนี้ก็จะเดินทางกลับ ก็ยินดีที่นักศึกษาหนุ่มสาวเข้ามาศึกษามาสัมผัสดู ว่าคนกลุ่มนี้มนุษย์พันธุ์นี้ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ชาวอโศกเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เป็นมนุษย์พันธุ์โลกุตระมนุษย์พันธุ์แปลกๆ แปลกๆซึ่งไม่เหมือนกับโลกเขาทีเดียว โลกเขาชอบแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขต่างๆ มนุษย์กลุ่มนี้ชาวอโศกไม่ไปแย่ง ให้เขาได้ไปเลย พวกเรามาเรียนรู้ตามพระพุทธเจ้า มาลด ลดความติดยึดในโลกที่เขาแย่งกัน โลกแย่งกันอยากได้อยากมีอยากเป็นแย่งกันถึงขั้นฆ่าแกงกัน เดี๋ยวนี้ก็ยังฆ่าแกงกันไม่หยุด แต่ว่าชาวอโศกเป็นลูกพระพุทธเจ้ารู้แล้ว ว่ามันก็เป็นเรื่องขี้โลภเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เสร็จแล้วก็ไม่คุ้ม เพราะแย่งกันไปแล้วก็ยิ่งอยากได้อยากเอาชนะคะคาน เอามาสะสมได้มากก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่ เป็นเรื่องของความรู้สึกความยึดถือแบบนี้ มันเป็นเรื่องทำลายความเป็นอยู่สุขความสงบสุข มันเป็นเรื่องทำลายอย่างร้ายแรง หวงแหนความเป็นของตัวของตน ยึดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสวัตถุ ยึดอารมณ์ความรู้สึก สูงสุด ยึดความรู้สึก ภาษาบาลีเรียกว่าเวทนา ภาษาไทยก็คือความรู้สึก หรืออารมณ์ อารมณ์กึ่งภาษาไทยภาษาบาลี อารัมยะ อารมณ์นี่ มันเป็นความรู้สึกของจิต ที่ขณะ
อารมณ์นี่ คือเวทนาหรือความรู้สึกในขณะที่มีปัจจุบัน เป็นกาละปัจจุบันและเป็นกาละที่ตาหูจมูกลิ้นกายของคน เปิดลืมตา หูก็รับเสียง จมูกก็รับกลิ่น ลิ้นรับรสกายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็รู้ตัวดีแล้วก็มีความรู้สึกต่อสัมผัส เป็นปกติสามัญของคนตื่น ไม่ใช่คนหลับ
เวทนาไม่ได้อยู่ที่คนหลับ คนหลับตาไปแล้วไม่มีเวทนานะ มีแต่ความรู้ของสัญญา คือความจำ เป็นความรู้สึกในขณะนั้นมันเป็นความจำที่จำได้และดึงขึ้นมา และเป็นความคิดฟุ้งซ่านไปในอนาคต อยากได้อยากมีอยากเป็นก็ปั้นรูปร่างไปในอนาคต ดีไม่ดีหลงปั้นอนาคตว่าอยากได้แล้วเอาไปจำไว้ในความจำ แล้วก็ไม่รู้ว่าที่เราจำอยากได้อยากมีอยากเป็นซึ่งไม่เคยได้ หรือได้ก็ไม่เต็มใจหรือได้มาก็จำได้แล้วอยากได้อีก ซ้อนอยู่อย่างนี้ เป็นเรื่องอนาคต ซ้อนลงเป็นอดีต สรุปแล้วมีแต่อดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน
ปัจจุบันต้องมีการครบทั้งภายนอกภายใน และประสาทสัมผัสรู้สึกตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสในปัจจุบันนั้นด้วยครบ จึงเรียกว่าเวทนาถ้าไม่ครบอย่างนี้ไม่เรียกว่าเวทนา เรียกว่าสัญญาเรียกว่าความรู้ในระดับความจำ แม้จะจำไปจากอดีตปั้นในอนาคตก็ตาม อาจจะเป็นความเข้าใจหรือความรู้ที่ยากหน่อย แต่ก็ขออธิบายไว้หน่อย
พ่อครูว่า…ต่อไปจะตอบปัญหาพวกคุณที่มาวันนี้ จะถามสดก็ได้ ปัญหาแห้งเยอะ รับรองว่าตอบไม่หมด
_คำสอน ของที่นี่ ต่างจากคำสอนของพระสงฆ์ทั่วไปหรือไม่
พ่อครูว่า…แค่ถามนี่ก็คงน่าจะมีปฏิภาณปัญญาพอรู้ในตัวอยู่แล้วว่ามันต่างกันแน่นอน พอจะมีรู้ว่าต่าง แต่เชื่อว่ายังไม่ชัดเจนหรืออยากได้ความรู้อธิบายว่าจะต่างกันอย่างสำคัญอย่างไร อยากจะรู้ชัด ก็ขออธิบายคร่าวๆ ที่นี่ต่างแน่นอน ต่างจากสงฆ์หมู่ใหญ่
ตั้งแต่รูปธรรม ที่นี่ไม่ได้นุ่งห่มสีเหลือง รูปธรรมที่นี่ไม่โกนคิ้วก็ต่างแล้ว รูปธรรมของที่นี่ จะปฏิบัติประพฤติกายกรรม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ตบยุงไม่ทำอะไรผิดศีลอย่างเคร่งครัด จะอยู่กับศีล จะเคร่งครัดกับศีลมากกว่าทางเถรสมาคมเยอะ ศีลของพระพุทธเจ้านั้น ก็ขอบอกคร่าวๆว่ามีศีลหลัก เรียกว่าธรรมนูญเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติตั้งแต่สร้างศาสนาของท่าน
มีจุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ
รวมแล้วเป็น 43 ข้อ เป็นศีลธรรมนูญ ที่นี่นับถือศีล 43 ข้อ ถ้าถามว่าที่นี่นับถือศีลเท่าไหร่ก็นับถือศีล 43 ข้อ และมีพระวินัย 227 ข้อด้วย
วินัย 227 เหมือนกับ สงฆ์หมู่ใหญ่ แต่ศีล 43 นั้นสงฆ์หมู่ใหญ่ไม่นับถือแล้ว
ถ้าถามว่าพระถือศีลเท่าไหร่จะตอบว่าอย่างไร … ในประเทศไทยเขาจะตอบว่า 227 ทั้งนั้น ซึ่งนั่นมันเป็นพระวินัยไม่ใช่ศีล ศีลมี 43 ข้อ จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ
แค่ศีลกับวินัยเท่านี้ก็เข้าใจไม่ได้แล้ว สงฆ์หมู่ใหญ่ ไม่นับถือศีล 43 ข้อมีแต่พระวินัย 227 ข้อ สรุปคือศาสนาพุทธกระแสหลักในเมืองไทยไม่มีศีลแล้วมีแต่วินัย 227 ข้อ โอ้โหฟังแล้วเจ็บปวดไหม
ศีลต่างจากวินัยอย่างไร ศีลคือธรรมนูญของศาสนาไม่มีบทลงโทษใครปฏิบัติได้ถูกต้องก็จะเดินเอง เหมือนกันกับรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายหลักกฎหมายใหญ่ แต่ไม่มีบทลงโทษ เมื่อมาเป็นกฎหมายย่อยเป็นกฎหมายลูกจึงจะมีบทลงโทษ เรียกว่ากฎหมายแพ่งกฎหมายอาญา ก็มีบทลงโทษ ส่วนธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ เหมือนกับศีล ไม่มีบทลงโทษนี่คือรายละเอียดศึกษากันให้ดี ๆ สิ่งเหล่านี้
เมื่อคนไม่นับถือ ศีล หรือธรรมนูญ กับกฏหมายย่อย อันไหนใหญ่กว่ากัน ก็ต้องธรรมนูญใหญ่กว่า ศีลใหญ่กว่า แต่เสร็จแล้วเขาก็ยึดถือเหลือแค่พระวินัยคือกฎหมายย่อย แต่กฎหมายใหญ่ไม่มีทิ้งไปเลย นี่เหมือนกันเลยในสังคมหมู่ใหญ่ รัฐธรรมนูญก็ไม่ค่อยรู้เรื่องไม่เอาใจใส่ ก็มาระมัดระวังแต่กฎหมายย่อย เพราะว่ากฎหมายย่อยมันมีบทลงโทษกฎหมายใหญ่มันไม่มีบทลงโทษ แต่ถ้าคุณละเมิดกฎหมายใหญ่นั้นมันเป็นวิบากกรรมหนักกว่ากฎหมายย่อย
ยังมีความต่างในเรื่องศีล ยังมีความต่างในเรื่องสมาธิ ในเรื่องของปัญญาอีก ต่างกันหมดในเรื่องของศีลสมาธิปัญญา สมาธิของสงฆ์หมู่ใหญ่นั้นได้ขณะหลับตา และตื่นขึ้นมาก็ไม่มีสมาธิ อธิบายไม่เป็นอธิบายไม่ออก สมาธิลืมตา จะใช้ภาษาอังกฤษ สมาธิของพระพุทธเจ้าเรียกว่า Supra Concentration แต่สมาธิหลับตาหรือหมู่ใหญ่ทำนั้น เป็นสมาธิแบบ Meditation นั่งหลับตาสะกดจิตอยู่ข้างใน ก็ต่างกันอย่างนี้เป็นต้น สมาธิก็คนละแบบ สมาธิอย่างหลับตานั้นอธิบายง่ายฝึกเอา ง่ายกว่า แต่ยากสำหรับคนไม่มีฉันทะพากเพียร ส่วนสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา เข้าใจได้ยากกว่า แต่ปฏิบัติได้ง่ายกว่า สมาธิที่หลับตานั้นปฏิบัติได้ยากกว่า เข้าใจได้ยากด้วย หรือเข้าใจได้ง่ายไม่ยากเท่าไหร่ บอกว่าหลับตาสะกดจิตเข้าใจได้เลย แต่เขาก็มี นัยลึกของเขา ส่วนดวงตานั้นเป็นสมาธิที่เป็นลำดับ เป็นการ concentrate คือธรรมดาสามัญ คนทุกคนก็อาศัย อ่านหนังสือคุณก็ต้องมีสมาธิอย่างนี้เป็นต้น ทำงานก็ต้องมีสมาธิ ต้องมีสติไม่เลอะ ถ้ามีการจดจ่อ ว่าเรากำลังทำอะไร คุณชำนาญจนหลับตาทำเป็นอัตโนมัติได้ อันนี้ก็แล้วไปเป็น แนบแน่นแน่วแน่แล้ว มีรายละเอียด
สรุปแล้วสมาธิก็ไม่เหมือนกัน ปัญญาก็ไม่เหมือนกัน ทางโลกีย์และทางโลกทั้งโลกไม่มีความฉลาดที่เรียกว่าปัญญา ในโลกไม่มีความฉลาดที่เรียกโดยพยัญชนะของพระพุทธเจ้าว่าปัญญา เขามีความฉลาดแค่ เฉโก เป็นความเฉลียวฉลาดของโลกีย์ อยู่ในกรอบของโลกีย์ออกนอกกรอบโลกีย์ ไม่ได้ เหมือนกับการออกนอกโลกมันจะมีแรงดึงดูดของโลก จะออกไม่ได้ถ้าไม่มีพลังงานพิเศษ ที่จะสูงเกินกว่าจึงออกไปนอกโลกได้
ความรู้ของโลกุตระที่ดีกว่าปัญญาจึงมีพลังงานเหนือกว่าโลกีย์ เช่นคุณจะแพ้ไปติดยึดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ต้องได้ต้องมีต้องเป็นก็ถูกครอบงำด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่ผู้ที่มีโลกุตรธรรมมีปัญญามีภูมิรู้ ก็รู้ว่าอ๋อ อันนั้นมันคนชั้นต่ำ คนชั้นสูงไม่ต้องไปนั่งแย่งลาภยศ คนยังไปแย่งลาภยศอยู่นั้นยังไม่เจริญ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปแย่งใคร แต่สามารถมีความรู้มีความสร้างสรรค์สิ่งที่จะเกิดขึ้นอันควรสร้างนั้นได้เยอะแยะ เรียกว่ามีลาภ ที่ทำได้เองแล้ว โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร ดีไม่ดีสร้างให้เกินจนเหลือไปแบ่งแจกคนอื่นได้ นี่คือชาวโลกุตระ จึงเป็นคนที่มีเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจสูงส่ง ไม่เบียดเบียนใครมีแต่เป็นผู้ที่มีประโยชน์เผื่อแผ่ผู้อื่นนี่คือคนมีเศรษฐกิจสูง เศรษฐกิจไม่ทำลายผู้อื่น ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น นี่สูงสุด
คําสอนของศาสนาพุทธนี้ ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี จึงเป็นความรู้ที่เหนือชั้นกว่าโลกคนสามัญโลกิที่เขามีความฉลาดที่เรียกว่า เฉโกหรือเฉกะ พหูพจน์คือเฉกา
ความฉลาด เฉโกนี้ไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้ว่าตัวเองตะกละตะกลามจะเห็นแก่ลาภยศ จนกระทั่งมารู้แล้วว่าการแย่งลาภยศนี้เป็นการทำชั้นต่ำ เราไม่ต้องแย่งเลยแต่สร้างให้ได้เหนือกว่าเขามากกว่าเขาเราก็เป็นผู้ที่มีประโยชน์ นี่คือความเจริญสูงสุด ผู้หลุดพ้นจากโลกโลกีย์เรียกว่าวิมุติ
_จะทำไง เด็กไทยให้หันมาถือศีลมากขึ้น
ตอบ…ทำอย่างชาวอโศกเรียนรู้อย่างชาวอโศกให้มีความรู้ความฉลาดอย่างชาวอโศกเรียกว่ามีปัญญาแล้วเด็กจะมาสนใจศีล สนใจธรรมะพวกชาวอโศกเขา เขารู้ว่าเขาควรจะมาเรียนเขาก็มาเองไม่มีใครบังคับ อิสระเสรีภาพ ไม่มีใครไปหาเสียงโฆษณา เขารู้ของเขาเองและเขาก็มา ที่นี่จะมีกฎเกณฑ์ว่าเด็กจะมาเรียนที่นี่ต้องสมัครใจ ผู้ปกครองต้องยินดีสมัครใจ ถ้าผู้ปกครองไม่สมัครใจเด็กก็ไม่สมัครใจอย่ามาสมัครเรียนที่นี่เลย จะมาสมัครเรียนต้องสมัครใจโดยเฉพาะตัวเด็กเอง ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่รอด ถ้าไม่เข้าใจไม่สมัครใจจะมาเรียน เพราะที่นี่เราไม่ปิดบังที่นี่เรามาลดละกิเลสเรามาขัดเกลา เรามาเป็นคนหมดเนื้อหมดตัวหมดตัวหมดตนนะ ต้องเป็นคนเสียสละไม่เอาเปรียบคนอื่น ชัดเจน ต้องมีความรู้ในโลกุตระ ชัดเจนว่าต้องมาลดละมาเสียสละต้องมารับใช้ผู้อื่น เด็กจะมีปัญญาเช่นนี้จึงเต็มใจมาเรียนที่นี่ หรือมาเรียนแล้วหากไม่เข้าใจลึกซึ้งอย่างที่กล่าว เด็กมาเรียนที่นี่จะออกกลางครันเยอะ ถ้าเด็กเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วเขาจะอดทนจนกระทั่งจบม.6
_อยากให้คนไทยทุกคนใช้ความดีแข่งกันมากกว่าเงินทองและหน้าตาที่ชวนให้คารม หลง
พ่อครูว่า…คนเขียนมีปัญญาแล้วคุณทำได้อย่างนี้หรือยังถ้าทำได้ดีแล้วแล้วชวนให้คนอื่นทำตาม
_ชุมชนบวรเริ่มต้นมาจากอะไร
พ่อครูว่า…อาตมาตอนต้นไม่ได้ใช้คำว่าบวร แต่มาเน้นภายใน ไม่ถึง 10 ปีหลังนี้ บวรคือบ้านวัดโรงเรียน บ้านก็คือสังคมทั้งหมดรวมกัน องค์รวมทั้งหมดอยู่รวมกัน วัดคือคุณธรรมคือธรรมะ โรงเรียนปีการศึกษา ทั้งภายนอกภายใน ต้องรู้เขารู้เรา เพราะฉะนั้นจะต้องมีทั้งบ้าน ความสัมพันธ์อยู่ร่วมกันที่ยิ่งใหญ่ บ้านอยู่ร่วมกันช่วยกันไม่ขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของสังคมที่เราอยู่ร่วมเรียกว่าบ้าน เสร็จแล้วก็จะต้องมีการศึกษาทางธรรมะเรียกว่าวัด และเป็นธรรมะที่เป็นศาสนาพุทธระดับโลกุตระ จะให้ความรู้อันนั้นเรียกว่าวัด
นักเรียนที่นี่เรียนก็เรียนร่วมกันกับชาวบ้านของชาวอโศกในสังคม เรียนร่วมกันฟังธรรมร่วมกัน ทำอะไรต่ออะไรด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมือนกับชาวโลก นักเรียนที่นี่ เรียนก็จะรู้เหมือนกับชาวบ้าน เรียนรู้เหมือนกับ
เด็กเล็ก คนใหญ่คนโตคนหนุ่มคนสาวเฉลี่ยให้รู้ร่วมกันเสมอสมาน แต่การศึกษาของโลกนั้น การศึกษาของโลกเป็นการศึกษาทำลายคน แยกคนไปจากสังคม การศึกษาทางโลกแยกคนไปจากสังคม แยกคืออะไร จับเด็กไปเข้ากล่อง จับเด็กตั้งแต่เรียนอนุบาลไปเข้าโรงเรียน ตอนเย็นก็กลับบ้านอาบน้ำกินข้าวเข้านอน ไม่รู้จักสังคมที่ตนเองอยู่ โรงเรียนก็อยู่ไกลจากบ้าน ดีไม่ดีส่งไปต่างประเทศ เสร็จแล้วจบแล้วก็มาอยู่เมืองไทย แล้วเขาไม่ได้รู้เมืองไทย เขาไม่รู้สังคมคนไทย เขาไม่ได้อยู่ร่วมกับคนไทยเลย ไปอยู่กับสังคมต่างประเทศแล้วก็เลยเอาความเป็นวัฒนธรรมความเป็นยืดถือ อะไรก็แล้วแต่ แม้แต่ความรู้ก็แบบ โลกๆข้างนอก เอามายัดเยียดใส่ในคนไทยสังคมไทย บ้านไทย พ่อแม่ที่เป็นคนไทย ในบ้านที่เป็นรากเหง้า มันก็เลยวิตถารไป
เอาง่ายๆว่าการศึกษาระบบระเบียบวิธี เช้าไปโรงเรียน ดีไม่ดีไกลไป 50 กิโลเมตร สรุปแล้วก็คืออยู่ในห้องเรียนนั่นแหละ ไม่ได้มาสัมผัสสัมพันธ์กันอย่างเนียนสนิทอย่างชาวอโศก ชาวอโศกเด็กนักเรียนนั้นมีงานนั้นงานนี้ก็ไปช่วยกัน เวลาจะเรียนในตำราวิชาการก็เป็นชั่วโมงไป บางทีตีห้าหกโมง เข้าห้องเรียนแล้ว ถ้าเวลาเขามีเขาก็มาเรียน ไม่ได้เป็นกำหนดกฎเกณฑ์ต้องเรียน เรียนตามวิชาการก็มีเป็นชั่วโมง แต่ส่วนมากอยู่กับสังคมส่วนกลางทำงานทำการ ประสานสัมพันธ์กับคน ที่ต่างที่มาช่วยกันทำงานเป็นหลักด้วย มีหลักเกณฑ์อยู่ที่ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ศีลก็คือหลักเกณฑ์ทางศาสนาหรือธรรมะ เป็นงานต้องทำงานเป็น เป็นงานตั้งแต่พื้นฐานจนถึงงานอาชีพเลี้ยงตนเอง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม การกระทำในการงานเรียนร่วมกันไปกับสังคมที่มนุษย์จำเป็นพึ่งมี ชาญวิชา ต้องประกอบด้วยความรู้ ต้องรู้ทั้งความรู้ในชีวิตจริงกับชีวิตที่สัมพันธ์กับโลกเขา อย่างนี้เป็นต้น นี่คือนักเรียนที่นี่กับนักเรียนข้างนอกต่างกัน
_ทำไมไม่สวดมนต์เป็นทำนอง
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าไม่ให้สวดมนต์มีทำนองมีในพระวินัยเป็นอาบัติ การสวดมนต์ในสังคมสงฆ์ทุกวันนี้เป็นอาบัติและเป็นวิบากบาป ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ง่ายๆ
-
อย่าลากเสียงอันยาว หมายความว่าพระพุทธเจ้าท่านให้พูดคำพูดออกมา คำที่จะเป็นคำธรรมะก็ตาม เอาบทธรรมะธรรมบท ของพระพุทธเจ้ามาพูดก็ต้องพูดให้ตรงตามคำ เรียกว่า สรภัญญา สระคือสระ ภัญญะคือคำกล่าว คือมีคำพูดกับสระ ก็ให้กล่าวตรงคำพูดที่เป็นสระ สระมีอย่างไรก็คือสระเสียงสั้นสระเสียงยาว เรียกว่า รัสสสระ กับทีฆสระ
อะ กับ อา คำไหนสั้นคำไหนยาว อะ สั้น อา ยาว อิ อี อิสั้นอียาว อุ อู อุสั้นอูยาว ก็ออกเสียงให้ตรง กุ ขุ คุ ฆุ กะ ขะ คะ ฆะ งะ กา คา ฆา งา เป็นต้นก็ออกเส่ียงให้ตรงตามนั้นไม่ต้องลากเสียงยาว ให้ตรงตามสระสั้นสระยาวเรียกว่าสวดตามสารภัญญะ
แต่สวด นาาาาามัวววววว ทั้งมีการลากเสียงยาวและใส่ทำนอง เลยผิดไปจากศาสนาพระพุทธเจ้าหมด เละเทะหมดเลย
เริ่มต้นก็เท่านี้แล้ว ยังเอาไปสวดหากิน สวดแล้วทำให้คนเข้าใจผิด สวดแล้วจะได้วิมาน มีพระเจ้ามาบันดาลอย่างโน้นอย่างนี้ อ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลอะไรอีก ไปกันใหญ่เลย ก็ฝากไว้แค่นี้ก่อน มันออกนอกรีตศาสนาพุทธเต็มไปด้วยอุปาทาน เต็มไปด้วยเรื่องของวิมานเท็จ อำนาจประหลาดๆอำนาจบ้าๆบอๆที่ไม่เป็นจริงเลย ถ้าให้อธิบายเฉพาะประเด็นนี้ 2 ชั่วโมงก็ไม่พอหรอก ก็ขอพอไม่ต่อ
_หลักธรรมที่ชาวอโศกยึดถือปฏิบัติมีอะไรบ้าง
พ่อครูว่า…ก็ตอบสั้นไปตามลำดับ หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอนชาวพุทธทั้งหลาย
หนึ่งเรียกว่าพระสูตร 2 เรียกว่าพระวินัย แล้วในพระสูตรพระวินัยนี่แหละ จะมีคำความที่เป็นปรมัตถ์ เรียกว่าคำที่ลึกซึ้ง เรียกว่าพระอภิธรรม เพราะฉะนั้นคำที่ลึกซึ้งก็คือพระอภิธรรม ก็เลยมี 3 อย่างใหญ่ๆ
พระสูตรก็คือการเล่าเรื่องราวความหมายมีเยอะแยะ แล้วเรียนรู้ตามเรื่องราวพระสูตร อะไรดีอะไรชั่วอะไรถูกอะไรผิดมีเยอะแยะมากมาย อะไรควรอะไรไม่ควร เป็นเรื่องราวที่มาก ต้องเรียนรู้ร่วมกันทั้งหมด
พระวินัยนั้นเป็นหลัก อย่าปฏิบัติผิด ศีลก็เป็นหลักแต่ไม่มีการลงโทษ เรียนไปตามลำดับ เรียนได้ก็ทำให้จิตใจของเราเจริญจิตใจเรามีปัญญาพ้นจากโลกีย์ เรียกว่า ศีล สมาธิปัญญาวิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะ วิมุตติญาณทัสสนะคือมีปัญญารู้จักความเป็นวิมุต วิมุติ ศีลสมาธิปัญญาทำให้หลุดพ้นจากโลกีย์
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสามเส้า ก็ต้องเรียนรู้ไปเป็นลำดับ
ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ เมื่อใช้อาวุธไม่ทำร้ายคนอื่น วางอาวุธ แล้วก็มีความกรุณาเมตตาเอ็นดู สุดท้าย มีความรู้กับสัตว์ทั้งปวงเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันเป็นเพื่อนทุกข์ มีความปรารถนาดี มีความหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่างนี้เป็นต้น เป็นความละเอียดลึกซึ้งต่อจิตวิญญาณอย่างมาก
ถ้าเราเข้าใจ สัตว์เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสัตว์เขาเกิดมาตั้งเป็นสัตว์เซลล์เดียว เขาก็จะพัฒนาชีวิตของเขาไปจนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า สัตว์บางตัวไม่ใช่เยอะนะ จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้นมีน้อย เขาก็จะพัฒนาตัวให้สูงขึ้นไปเราก็อย่าไปทำลายชีวิตเขาเกิดมาในแต่ละชาติ เกิดมาได้เป็นสัตว์เป็นจิตนิยาม ในร่างกายได้ชีวิตอะไรมาครบแล้ว แต่ละครั้งไม่ง่าย ยิ่งได้เกิดเป็นคน ยิ่งยากอีก ยิ่งได้เกิดเป็นคนแล้วพบพระพุทธศาสนายิ่งยากเข้าไปอีก ได้พบพระพุทธศาสนาเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิปฏิบัติได้หลุดพ้นยิ่งยากเข้าไปอีก ก็เป็นขั้นตอนไป สรุปแล้วสัตว์แต่ละตัวก็มีวิบากของเขา ถ้าเราไปร่วมวิบากก็จะเสียเวลาไปมีวิบากกรรมแต่ละสัตว์ เพราะฉะนั้นเราสัมพันธ์มีวิบากร่วมกันกับสัตว์ที่น้อยตัวก็ดีแล้ว ยิ่งสัตว์ที่เกิดมาเป็นคนพร้อมในกาละนี้ในพ.ศ. 2500 มาถึง 2600 ก็ 100 ปี เราก็เกิดในช่วง 100 ปีก็มีสัตว์โดยเฉพาะคนนี้เกิดมา ที่เคยมีวิบากร่วมกันแค่นี้ก็เหลือหนักแล้ว อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์มากกว่านี้เลย เพราะฉะนั้นสัตว์แต่ละตัวนี่ ปล่อยให้เขาเกิดไปตามกรรมวิบากของเขา แม้แต่เราเองคนด้วยกัน ก็ยังมีวิบากร่วมกัน รับมือกับคนที่จะมาร่วมกับเราวิบากร่วมกับเรานี้ก็หนักแล้ว อย่าไปหาเรื่องที่จะต้องไปสร้างวิบากกับคนใหม่คนนั้นคนนี้อีกให้มันมากเลย
คนที่เกี่ยวข้องกันในชีวิตนี้ เราก็ศึกษา สิ่งที่รวมกันได้เป็นกุศลเป็นผลดี 1. ไม่ทำร้ายกัน 2. ไม่ติดยึดผูกพันกัน ร่วมกันทำงานได้ ถ้าหากติดยึดผูกพันก็มี 2 นัย ถ้าเราสัมพันธ์กันโดยไม่ติดยึดเราก็ทำงานร่วมกันไปได้ แต่ถ้าเราสำคัญในการติดยึด ยิ่งติดยึดในเรื่องของการในเรื่องของคู่มันจะเห็นแก่ตัวจัด เพราะฉะนั้นรวมกันเป็นมวลที่ไม่ต้องเป็นคู่เท่านั้น 2. ไม่ต้องไปสัมพันธ์เชื่อมโยงติดต่อกันแม้กระทั่งเป็นสายเลือดสายสัมพันธ์ จะต้องไปร่วมสร้างตระกูลสร้างลูกเต้าเหล่าหลาน มันก็จะเป็นวิบากเชื่อมโยงไปอีกมาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนตั้งตนเป็นคนโสดนี่แหละบัณฑิตแท้ ผู้ใดที่ฝักใฝ่ในเมถุนคือมีคู่จะต้องมีคู่ คนนั้นแม้ชาตินี้ไม่เศร้าหมอง ชาติหน้าก็จะเศร้าหมอง จะต้องโศกสลด ต้องทุกข์ต่อไปอีกเพราะจะมีวิบากอีกเยอะ เพราะฉะนั้นใครตัดได้คนนั้นก็ตัดให้สั้นเข้า เพราะแต่ละคนมีคู่วิบากไม่ใช่แค่คนเดียว คู่วิบากมีเป็นล้านคน แต่ละคนเกิดมานี่ ยังไม่รู้ว่าเกิดมาอีกกี่ล้านชาติ เพราะฉะนั้นคู่วิบากของเราที่เกิดมาในยุคนี้สัก 100 ปี แค่นี้ก็มีคนเกิดมาเป็นคู่วิบากจะมีหรือไม่มีก็ไม่รู้ บางคนก็ไม่มีคู่วิบากก็เป็นกุศลของคุณแล้วเกิดมาในชาตินี้ไม่มีคู่วิบาก ปฏิบัติให้หลุดพ้นเลยเป็นอรหันต์ให้ได้ในชาติที่ไม่มีคู่วิบากมาเกิดร่วมนี่แหละ มันเป็นกุศลหนักหนาที่เกิดมาไม่มีคู่วิบาก ถ้าคนที่เกิดมาในชาตินี้ 1. ขี้เหร่ไม่มีคนมาจีบ 2. ไม่สวยไม่มีคนมาจีบอย่าน้อยใจ ให้ดีใจเลย ไม่มีคนมาจีบแต่เราไปจีบเขานั้นซวยคุณเองนะ เป็นการรนหาที่เอง สุขแล้วสบายแล้วเป็นโสดดีแล้ว เพราะฉะนั้นนี่แหละมันลึกซึ้ง
สรุปแล้วอโศกศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักการใหญ่เป็นไตรสิกขา เป็นหลักการศึกษาสาม ศีล สมาธิ ปัญญาครอบคลุมทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นต้องมาศึกษาให้ดีว่าศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร ถ้ารู้รายละเอียดเรานี้ทั้งนั้นคุณจะมีวิมุติ ถ้าเข้าใจศีลสมาธิปัญญาไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ถูกต้องคุณจะปนกันเละ ยกตัวอย่างง่ายๆผู้ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีศีล
ยกตัวอย่างศีลข้อที่ 1 ก็เรียนรู้ในการทำศีลข้อ 1 ทำสมาธิในศีลข้อ 1 ทำปัญญาในศีลข้อ 1 มีวิมุตในศีลข้อที่ 1 เป็นลำดับ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติเป็นลำดับก็จะเละไปหมดเลย
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของกับพืช ของก็คือวัตถุที่ไม่มีชีวิต ส่วนพืชนั้นเป็นวัตถุที่มีชีวิต แต่อยู่ในระดับพืช ของจึงจัดอยู่ในพวกของ เพราะพืชนั้นไม่มีวิบากบาปหรือบุญ เราจะฆ่าพืชก็ไม่มีวิบาก รักกพืชฆ่าพืชไม่มีวิบากทั้งคู่ แต่ตัวเราแม้รักพืชรักวัตถุก็มีวิบาก เราโง่เองที่ไปยึดถือในเพชรนิลจินดาค่าของ ยึดถือในดินน้ำลมไฟ ก็เรายึดถือเอง
พืชไม่เหมือนคนไม่เหมือนสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์คน แค่พืชกับวัตถุ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรอาศัยใช้ได้ทำรายได้ไม่มีวิบากบาป แต่เมื่อเริ่มเป็นสัตว์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ไปจนถึงสัตว์หลายเซลล์มันยิ่งมีการจองเวรจองกรรม ยุบยิบเยอะแยะ สั่งสมวิบากบาปต่อไปอีกเพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับสัตว์ ไปยุ่งกับพืชกับสัตว์ได้จะเป็นอีกกี่ล้านชาติก็ไม่เป็นภาระ ส่วนสัตว์นั้นปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ไปปรารถนาดีกับสัตว์แม้แต่สัตว์เซลล์เดียว มีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งปวงหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งหลายอยู่เป็นต้น
ขยายความศีลสมาธิปัญญาแค่นี้ก่อน ซึ่งมีความลึกซึ้ง แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธกระแสหลักแม้แต่ศีลก็ไม่รู้แล้ว วินัยก็ไม่ให้ผิด เพื่อไม่ให้ได้รับโทษ พระวินัยมีโทษแต่ศีลไม่มีโทษ แต่ศีลนั้นมันใหญ่กว่าวินัย ภาวะสลับไปสลับมานี้ยาก ภาวะสองเรียกเทวะ หรือสลับไปมาเรียกว่าสิริมหามายา
_ทำไมจึงตั้งชุมชนปฐมอโศกขึ้นมา
พ่อครูว่า…ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกที่ตั้งขึ้นมา ของชาวอโศก อาตมาทำงานศาสนาตั้งแต่แรกไปรวมตัวกันที่ได้แดนอโศกกำแพงแสน มีสมณะมีภิกษุมีฆราวาสไม่มาก จนกระทั่งมีหมู่กลุ่มมากขึ้นมีฆราวาสมากขึ้นก็รวมกันเป็นสังคม ก็เลยเริ่มต้นหาที่ ที่จะต้องสร้างเป็นชุมชนเป็นสังคม ก็เลยมาได้ที่ตรงนี้ ซื้อที่เขา 40 กว่าไร่ รวมเงินกันไปซื้อ แล้วก็เริ่มต้นเป็นปฐมอโศก ชุมชนแรกของชาวอโศกเป็นกิจจะลักษณะ ตั้งแต่ตอนแรกตั้งก็เป็นชุมชนสาธารณโภคี มาตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งที่ตอนนั้นอาตมายังไม่ประสีประสากับสาธารณโภคี แต่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วมันเข้าเกณฑ์จึงเป็นสาธารณโภคีได้ ซึ่งเป็นเศรษฐศาสตร์สูงสุดในโลก บุคคลศึกษาเศรษฐศาสตร์ให้ดีแล้วจะรู้ว่าสาธารณโภคีเป็นสุดยอดของเศรษฐศาสตร์แล้ว คอมมิวนิสต์ก็เป็นสุดยอดประชาธิปไตยก็เป็นสุดยอดเผด็จการก็เป็นสุดยอดสำหรับเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี ทิ้งให้ไว้ไปศึกษาต่อแค่นี้
_ที่นี่ทุกวันพระมีการทำบุญแบบไหนอย่างไร
พ่อครูว่า…คำว่าบุญคำนี้เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นไม่มีคำว่าบุญ ไม่รู้จักบุญตามความหมายอันลึกซึ้งของศาสนาพุทธ ผิดเพี้ยนไปหมดไปเข้าใจบุญคือกุศล คุณคือความดีงามแบบโลกๆ ส่วนบุญนี้ บุญคืออาวุธประหาร มีหน้าที่เท่านั้น บุญคืออาวุธประหารคือระเบิดนิวเคลียร์คือกิโยตินตัดคอขาด หรือเครื่องประหารหัวหมาของเปาบุ้นจิ้น คืออาวุธฆ่าอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่อื่นเลยไม่ใช่กุศลที่มีหน้าที่สะสม ว่าใครยังมีบุญคนนั้นอย่างชั่วคนนั้นยังมีกิเลส คนนั้นจะต้องใช้บุญฆ่ากิเลส เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เป็นคนไม่มีบุญ อรหันต์เป็นคนหมดบุญ ไม่ต้องใช้บุญอีกแล้ว ภาษาบาลีบอกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ ปริขีโณ แปลว่าสิ้นหมดแล้ว เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป
บุญนี้ฆ่าบาป เสร็จจบบาปก็หมด ฆ่าได้ไปทีละส่วนก็นึกว่าส่วนแห่งบุญ ส่วนบุญคือส่วนที่ข้าอกุศลฆ่าบาปได้ทิ้งไปแล้วมันไม่มีมันตายแล้ว บุญคือสิ่งที่ทำให้บาปตาย ไม่สามารถทำให้อย่างอื่นตายได้เลย บุญจะต้องมีความเฉลียวฉลาดมากมีปัญญามาก ต้องรู้ว่าจิตวิญญาณอาการไหนเป็นอาการบาปแล้วก็ฆ่าให้ถูกเฉพาะบาป ไม่ให้ไปถูกพลังงานอื่นที่ไม่ใช่บาป ฆ่าเฉพาะบาป แม้ไม่ได้ฆ่าเต็มตัวบาป บาปมีร้อยฆ่าไม่ได้หมด ก็ฆ่าได้ทีละส่วน ฆ่าได้ทีละ 20 ฆ่าได้ทีละ 80 ฆ่าได้เต็มรูป 100 หมดเลย ก็หมดบาป อย่างนี้เป็นต้น ต้องมีปัญญารู้อย่างละเอียดลออมาก
เป็นตัวอย่างของชาวสังคมมนุษยชาติที่มีศาสนาพุทธเป็นทฤษฎีหลักทฤษฎีใหญ่
_เมื่อพ.ศ. 2532 เกิดเหตุการณ์อะไรกับปฐมอโศก ทำไมสมณะต้องห่มจีวรขาว
พ่อครูว่า…เพราะว่าเถรสมาคมเกิดไปกินยาผิดอะไรก็ไม่รู้ก็เลยเล่นงาน เขามีอำนาจบาตรใหญ่ในสังคมก็เลยกลับมาเล่นงานชาวอโศก จะมาทำลายอโศกให้สูญ สิ้นเชื้อไปจากโลกสังคม เขาก็จะมาจัดการ ก็จัดการด้วยกฎหมายทางโลก แต่เราเป็นผู้น้อย เขามีอำนาจ ก็เลยชนะกฎหมาย เราก็ยอม ทั้งที่เราไม่ผิดเรามั่นใจว่าเราไม่ผิดแต่เราก็ยอมแพ้ เขาก็ลงโทษทัณฑ์ทางกฎหมาย ให้เราแพ้ โดยจำคุก แต่กฎหมายก็ปรานี กฎหมายก็เห็นใจ ก็ต้องขอบคุณทางกฎหมาย ให้รอลงอาญา 2 ปี เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องติดคุก 2 ปี แต่ไม่ได้เข้าคุก อยู่นอกคุก 2 ปี ปล่อยให้เราถูกคุมประพฤติ เขาก็จะต้องมาคุมประพฤติของเรา แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เจ้าพนักงานมาคุมประพฤติเรา มาแค่ครั้งสองครั้งก็บอกว่า ขออย่าให้ผมมีบาปกรรมเลยครับ ผมจะไม่มาอีกแล้วผมจะบันทึกส่งเอง ผมมั่นใจแล้ว จากวันนั้นเขาก็ไม่คุมประพฤติอีกเลยมา 2 ครั้งแล้วเขาก็ไม่มาอีก จนกระทั่งหมดเวลาอายุ 2 ปี ก็จบ
พอจบแล้ว ถ้ากฎหมายก็สิ้นสุด ทางด้านธรรมะ เขาก็พยายามรื้อฟื้น ทั้งที่เขาทำผิดพระธรรมวินัยรื้อฟื้นไม่ได้ ถ้าเราถูกต้องตั้งแต่เราประกาศแยกนานาสังวาส ตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทางโน้นจะมาละลาบละล้วงไม่ได้ เขาทำผิดวินัยมาตลอดจะต้องได้รับวิบากไป ไม่ใช่ว่าจะมาลงโทษแต่กรรมวิบากเป็นของจริงเมื่อเขาทำผิดสัจธรรม ผิดกรรม เป็นกรรมที่ผิดโดยสัจจะ โดยสัจจะไม่ใช่อาตมาไปตราไว้ มันเป็นสัจจะของกรรม เขาทำผิดพระวินัยก็ต้องมีกรรมวิบากของเขา เขาทำเอง เอาล่ะรื้อฟื้นไปจะยาว สรุปแล้วทางโน้นกินยาผิดก็เลยมาเล่นงานเรา แต่พอยาหมดฤทธิ์ ก็เพลา เหมือนคนบ้า ภาษาอีสานเรียกว่ามันป่วง มาเล่นงานเรา เล่นงานเราก็ไม่ได้ เพราะว่าธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธัมโมหะเวรักขะติธัมมะจาริง เราก็ยอมทุกอย่างแต่สุดท้ายก็รอดมาด้วยได้ธรรม จนกระทั่งทุกวันนี้เขาก็เห็นธรรมฤทธิ์ ก็เลยไม่กล้ามาอีก อโศกนี่มันตัวจริง เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง คนก็ค่อยๆรู้เรื่องเพิ่มขึ้น แล้วจะรู้มากขึ้นรุ่นพวกคุณจะรู้มากขึ้น รุ่นผู้ใหญ่ทุกวันนี้ที่ไม่รู้แล้วตายไปก็เยอะแล้วก็เหลืออยู่บ้างไม่เท่าไหร่ ก็ยังนึกว่าพวกเรานี้ผิดอยู่ดีแต่น้อยลงก็เลยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไหร่ ส่วนพวกที่เข้าใจแล้วแต่ออกมาไม่ได้เพราะจมและตกกระไดพลอยโจนอยู่ในหมู่ใหญ่แล้วเข้ามาร่วมในหมู่นี้ไม่ได้ชีวิตนี้เขาก็เลยจำนน อันนี้แหละ ทำให้ชาวอโศกเราอยู่สบาย เพราะว่ามีผู้มีปัญญาอยู่ในเถรสมาคมท่านรู้ว่าอโศกนี้ถูกต้อง ดีแล้ว ท่านก็เลยไม่อยากจะมาวุ่นวายให้เป็นวิบากของท่าน ท่านก็มีปัญญา มีภูมิเราก็อยู่รอดได้ด้วยธรรมะอันนี้แหละ ธัมโมหะเวรักขะติธัมมะจาริง
_ทำไมนักบวชอโศกต้องสละทุกสิ่งในชีวิตเพราะอะไร
พ่อครูว่า…เพราะมีปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างยึดมั่นถือมั่นเป็นของตนไม่ได้เราก็มาอาศัยเท่านั้น เราทิ้งไปก่อนแล้วก็มีระบบวิธีของพระพุทธเจ้ามาอยู่ร่วมกันมีทรัพย์ส่วนกลาง มีสมบัติส่วนกลางอาศัยร่วมกัน ชั่วชีวิต ตายไปแล้ว เกิดมาจะมาตู่เอาก็ไม่ได้ แต่คุณมาร่วมส่วนกลางก็ได้ แต่จะมาตู่เอาว่าของเราก็ไม่ได้ ได้แต่ชาตินี้ว่าฉันทำ ชาติหน้าจำไม่ได้หรอก แต่ไปนึกยึดถือว่าเป็นของฉัน ทั้งที่บางทีไม่ใช่ของฉันแต่ไปขี้โกงมาปล้นจี้มา ยิ่งจะเป็นวิบากหนาหนักมากมาย ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจะรู้ว่าไม่มีอะไรเป็นของของตนหรอกเราเกิดมาอาศัยเท่านั้นไม่เราจะมีสิทธิเราสร้างด้วยมือด้วยความรู้ สร้างด้วยความสามารถ สร้างขึ้นมาเราก็อาศัยอยู่ในนี้แล้วแบ่งให้คนอื่นใช้ เราจะได้เป็นเจ้าหนี้ แล้วก็สบาย คนอื่นก็อาศัยเราด้วยซ้ำไป เป็นสัจจะ แต่เราไม่ใช่เจ้าของเป็นเจ้าหนี้เลย แล้วไปปล้นจี้ขี้โกงโลภโมโทสันสันมาเป็นของเรา มันก็ซับซ้อนมันก็หนักหนาสาหัสสิ คุณเองคุณก็มีวิบากบาปซับซ้อนไปทางนั้น นี่เป็นความรู้ที่พูดคร่าวๆของศาสนาพุทธ
เพราะตนเองกินน้อยใช้น้อยไม่ติดยึดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่ติดความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายเรียกว่ากามคุณ 5 เราก็ลดละเราไม่ติดยึด เราก็สบายไม่ต้องไปแย่ง รูปรสกลิ่นเสียง สรรเสริญ ไม่ต้องไปแย่งอะไรมาจากเขาก็สบายชีวิต เบาง่าย ไม่เดือดไม่ร้อนมาก จึงเป็นชีวิตที่สะดวกสบายเบาง่าย เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย สุภระ สุโปสะ เป็นคนมีน้อยไม่ต้องมีมาก อัปปิจฉะ มีเท่าที่มีนี้ก็พอแล้วสันโดษเป็นคนใจพอ อะไรที่เรายังติดยึดก็ขัดเกลาออกไปเรียกว่ามีสัลเลขธรรม เป็นคนรู้จักศีลไปตามลำดับจนมีศีลเคร่งขึ้นสูงขึ้นไปตามลำดับ ธูตะ แล้วก็บรรลุธรรมมีอาการกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ดีเป็นที่น่าเลื่อมใส ไม่เป็นพิษภัยต่อใครมีแต่ประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่นเรียกว่าปาสาทิโก และเป็นผู้ไม่สะสม อปจยะ ชีวิตไม่สะสมเลยนี้สบาย ชีวิตที่ต้องสะสมนี่หนัก
ผู้ที่หลุดพ้นถึงขั้นไม่ต้องออมทรัพย์นี้จบ ผู้ที่ยังต้องออมทรัพย์อยู่นี้อย่างยาก ผู้ที่หลุดพ้นมาถึงขั้นไม่ต้องออมทรัพย์นี้สุดยอด มีชีวิตอยู่กับหมู่กลุ่มอยู่กับส่วนกลางไม่ดิ้นรนเกินกว่านี้ เป็นความสุขสำราญเบิกบานใจแล้วมีจิตใจที่พอเพียง แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องออมทรัพย์ไม่ต้องสะสม อปจยะ ไม่ต้องสะสม เพราะฉะนั้นเกินขอบเขตของคนที่จะต้องออมทรัพย์อยู่ คนที่วิบากยังเยอะคุณต้องออมทรัพย์ก็ต้องออมไป คุณยังเข้าข่ายโลกุตระหรือ ดูคุณจะยังออมทรัพย์มีนิสัยสะสมแล้วไม่รู้จักพอ สะสมได้มากขึ้นเท่าไหร่ พอสมควรคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้ คุณจะหอบหวง ทรัพย์สมบัตินี้ออกไปข้างนอกเลย ก็จะอยู่ร่วมในที่นี่ไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้มากด้วย ขอยืนยันคุณจะสะสมอยู่ที่นี่ 100 ล้านแล้วค่อยออกไม่ได้หรอก 10 ล้านก็ยังไม่ได้เลย คุณจะมาแอบสะสมที่นี่ให้ได้เงิน 10 ล้านนอกจากจะโกง โกงจะได้สิบล้าน แต่ถ้าแอบสะสมโดยสุจริต ออมไป โดยสุจริต คงไม่ถึง 10 ล้านหรอก ถ้าได้จริงเกิน 10 ล้านคุณอยู่ไม่ได้หรอก ผลกรรมคุณจะอยู่ไม่รอด ถ้ามีเงิน 10 ล้านคุณจะร้อนคุณจะต้องเอาออกไปใช้ เพราะเป็นกรรมชั้นต่ำ มี 10 ล้านจะต้องไปเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เสพอัตตาบำเรอตน เพราะยังมีภูมิที่ต่ำ ถ้ามีภูมิที่สูงขึ้นจะไม่สะสมเป็น 10 ล้าน จะละอาย
คนที่อยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศกมีเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน จะ guilty ทั้งนั้นเลยจะไม่ค่อยสบายใจ 1 ดีแล้วล่ะมาอยู่ที่นี่ คนที่มีเงินถึงร้อยล้าน หรือเกิน 100 ล้านมาอยู่ที่นี่ จะไม่กล้าเอาเปรียบคนที่นี่ เพราะจะรู้สึกละอาย guilty มันรู้สึกผิดในตัวเอง จะไม่อยากเอาเปรียบใคร เพราะที่นี่เขาไม่มีไม่สะสมเลย แต่เรานี่ยังงก มีเงินเป็นร้อยล้านจะไม่กล้า มันเป็นธรรมะที่จะขัดเกลาตัวเองอยู่ในนี้ เอาล่ะ
_ชุมชนสันติอโศก เป็นการจำลองรูปธรรมของแนวคิดสังคมนิยม หรือลัทธิอุดมการณ์ ใช่ไหม
พ่อครูว่า…ชุมชนชาวอโศกเป็นปู่ทวดของสังคมนิยม สังคมนิยมนั้นยังชั้นต่ำ สังคมนิยมคือการพยายามจะให้เกิดองค์รวมของสังคม แล้วก็บริหารเพื่อผลของสังคม ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ตัว มันยังเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ใช่เห็นแก่ตัวไม่ใช่เพื่อตัวเองต้องเพื่อสังคม แปลอย่างตรงๆเลยว่าสังคมนิยมคือ ทำเพื่อสังคมนะอย่าทำเพื่อตัวเอง นั่นแค่นั้นเอง แต่สันติอโศกนี้เป็นสาธารณโภคี เรื่องที่เพื่อตัวเองนั้น เขาเลยสูงไปก่อนไปไหนๆต้องมาทำเพื่อสังคม แล้วมาเพื่อหนึ่งเดียว คำว่าหนึ่งเดียวนี้สูงกว่าคำว่าสังคม สังคมจะมีการเผื่อแผ่คนนั้นคนนี้กองนั้นกองนี้ ส่วนหนึ่งเดียวนี้จบเลย เพราะฉะนั้นชาวอโศก สังคมชุมชนชาวอโศกสาธารณโภคีทุกคน ทำงานแล้วเสียภาษีให้ส่วนกลาง 100% ทุกคนทำแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมดคือเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ยักไว้ให้แก่ตัวเอง นี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเขาลอกเลียนแบบได้ยาก แต่เขาจะต้องรู้ผู้มีปัญญาจะรู้ดีว่านี่คือสุดยอด เพราะฉะนั้นในอนาคตไม่ต้องห่วงหรอก ชุมชนอโศกสาธารณโภคี ทั้งโลกจะต้องมาเรียนรู้อันนี้ ทำอย่างไรถึงทำอย่างนี้ได้
อาตมาบอกแล้วว่านี่คือปู่ทวดของสังคมนิยม เพราะฉะนั้นชั้นลูกหลานยังไม่สูงส่ง ขอพูดในที่นี้ว่า ไม่มีเศรษฐศาสตร์ธุรกิจบทใดสูงเกินกว่าสาธารณโภคีได้อีก สาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์สูงสุดแล้วในความเป็นมนุษยชาติ อาศัยจิตวิญญาณที่ไม่มีตัวตน และเป็นคนมักน้อยสันโดษไม่ผลาญพร่า ไม่มีตัวตนไม่สะสมเป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษกินน้อยใช้น้อยแต่ทำงานขยันมากมาย มีความรู้ความสามารถมาก ทำทั้งของดีและได้มาก ทั้งคุณภาพและปริมาณมีได้เยอะดี จึงเป็นคนมีประโยชน์คุณค่าในสังคมมาก และไม่ต้องไปเรียกร้อง เราทำได้ทำดีไม่ต้องไปเรียกร้องใครมานับถือ คนมีตามีภูมิปัญญาเขาจะมานับถือเอง เขาจะยอมรับยกย่องให้เอง
_คนที่ย้ายจากศาสนาพุทธไปศาสนาอื่น เขาจะตกนรกไหม
พ่อครูว่า…แม้แต่ในศาสนาอื่นก็ตก นรกกับสวรรค์มันเป็นเรื่องจริง ที่ความรู้มันไม่พอก็ไปสร้างกรรมวิบาก คนก็ต้องตกนรก และก็ไปหลงสวรรค์ สวรรค์เป็นของเก๊ ภาษาบาลีท่านเรียกว่า สุขัลลิกะ เป็นสุขเก๊สุขเท็จ ศาสนาพุทธจึงไม่เอาสุขเก๊ๆสุขเพราะสุขกับทุกข์ก็คือของคู่กันเป็นคู่แฝดที่แยกกันไม่ได้คุณไปเอาสุขก็ต้องมีทุกข์ อันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่อาตมากำลังขยายผล คือ เทวะ เพราะฉะนั้น ศาสนาหรือลัทธิที่มีภูมิความรู้แค่เทวะ แตกแยกความเป็น 2 ไม่ได้คือสุขกับทุกข์ หรือสวรรค์กับนรก เขาก็หลงแต่ว่าสวรรค์เป็นเรื่องจริง เขาไม่รู้ว่าเขาเอาสวรรค์แต่ได้นรกไปด้วยกัน
นรกเป็นต้นทางของสวรรค์ด้วยซ้ำไป นรกคือความเห็นแก่ตัว นรกคือความเสพติด เพราะฉะนั้นคุณยังเสพติดอยู่ เสพติดอะไร ก็เสพติดในความสุขเสพติดในยศสรรเสริญ เสพติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณยังเสพติดอยู่ตราบใดก็คุณยังมีนรกสวรรค์อยู่ตราบนั้น ต้องหมดการเสพติดจึงหมดนรกสวรรค์
ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเสพติด ก็ต้องมาอ่านอาการจิตใจ อาการติดใจมันเสพติดอย่างใดอย่างนี้ดีอย่างนี้อร่อยอย่างนี้น่าชื่นใจอย่างนี้สนุกสนาน พวกนี้น่าได้น่ามีน่าเป็น มันจะหลงพวกนี้ เพราะฉะนั้นต้องมาศึกษาอารมณ์ศึกษาความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนา มันจะติดอยู่อย่างนี้ ล้างอารมณ์เวทนาจนไม่ติดยึดไม่เสพไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ยินดีไม่ยินร้าย อุเบกขา ความรู้สึกกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ยินดียินร้ายไม่ผลักไม่ดูด มีปัญญารู้ความจริงอันนี้จึงจะรู้ว่าอันนี้แหละคือฐานของความหลุดพ้นคืออุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุข ถ้าหากยังพบยังสุขอยู่ยังไม่ใช่ฐานทานนิพพาน จุดสำคัญของอารมณ์นิพพานคืออารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์
ศาสนาเทวนิยม ศาสนาไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็ไปหลงไม่สุขไม่ทุกข์เหมือนกัน แต่ไม่สุขไม่ทุกข์ไปกดข่มไม่ให้สุขทุกข์ มีทฤษฎีมีวิธีการ เพื่อไม่ให้สุขไม่ให้ทุกข์แต่ไม่ได้เรียนรู้ล้างกิเลส หยาบกลางละเอียดไม่รู้จัก เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่รู้จัก กิเลสหยาบ กิเลสกามกิเลสขั้นละเอียดก็ไม่รู้ ศาสนาพุทธต้องล้างกิเลสไปเป็นลำดับ หมดหยาบ ไปกลาง ไปน้อย หมดไปตลอดกาลนิรันดรเลย
_ทำไมถึงตั้งปฐมอโศกที่นี่แล้วทำไมถึงเรียกอโศก
พ่อครูว่า…ไม่ได้เจตนาตั้ง แต่ทว่าต้องมารวมกันก็เลยเกิดเป็นกลุ่มนี้ เป็นสาธารณโภคีมาตั้งแต่ต้น เดี๋ยวนี้ก็แข็งแรงยิ่งขึ้น ปฐมอโศกเป็นชุมชนที่เป็นชุมชนพอเพียงพึ่งพาตนเองรอดมีส่วนเกินส่วนเหลือแล้วก็เอาไปช่วยเหลือน้องๆ ได้ อาตมารับจากปฐมอโศกเดือนหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน แล้วก็เอาไปเลี้ยงลูก แต่ก็ไม่พอหรอก เดือนหนึ่งอาตมาเป็นพ่อใหญ่ก็ดูแลสะพัด ตัวเองอาตมาไม่ได้ใช้เงินเพื่อตัวเองเลย เงินที่ได้ไปจะไปซื้อท้อฟฟี่มาอมจะไปซื้ออะไรมากินไม่เคยทำ อาตมามีปณิธานเด็ดขาด ชีวิตนี้จะไม่ใช้เงินที่ใครบริจาค ไม่ใช้เพื่อตัวเองแม้แต่ตัวเองกำลังจะตาย จะต้องใช้เงินนี้ไปรักษาตัวเอง ถ้าไม่จ่ายเงินนี้ จะต้องตาย ก็ยอมตาย แม้แต่หิวข้าว ถ้าไม่กินข้าวนี้แล้วจะต้องตาย มีเงินนี่แหละ เขาบริจาคมาให้ เอาเงินนี้มาซื้อกินแล้วก็ไม่ตายก็ไม่เอา ถ้าไม่มีใครหาข้าวมาให้กิน ไม่หามาบริจาคให้กิน ตายก็ตายโดยที่จะไม่ใช้เงินนี้ นี่คือปณิธานที่อาตมาทำแล้วก็ทำได้สำเร็จมาจนถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อมืออาตมา ว่าเงินที่ให้อาตมามาจะไม่เพื่อตัวเองเลย แม้จะตาย เพื่อผู้อื่นเท่านั้น ก็เลยได้รับความยอมรับนับถือมาก ฟังแล้วเหมือนเท่ชะมัด แต่ทำจริงนะ ศาสนาพุทธทำได้อย่างนี้ แล้วอาตมาก็ภาคภูมิใจ ชาตินี้อาตมาทำงานศาสนามาไม่เคยเรี่ยไร ไม่เคยโฆษณาหาเงินไม่เคยทำ แล้วจะไม่ทำด้วย จะได้มาด้วยบารมี อาตมาภูมิใจมากเลยตายเป็นตาย ไม่มีเงินทำไม่มีอะไรทำทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ก็ยังไปรอด เกือบ 50 ปีแล้ว ตอนนี้ 48-49 ปีแล้ว เมื่อปีพศ. 2563 อาตมาทำงานมาตั้งแต่พ.ศ 2513 ปีหน้า ปี 2563 ก็เป็น 50 ปี อย่างนี้เป็นต้น ครึ่งทศวรรษ ครึ่งร้อยแล้ว อาตมาพยายามทำงานอยู่จะยังรักษาชีวิตให้ยืนยาวต่อไปอีก 66 ปี เป็น 151 ปี จะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ อาตมาจะพยายาม try and try ใช้หลักธรรมะพระพุทธเจ้าที่จะให้ชีวิตยืนยาว โดยใช้ทางวิทยาศาสตร์ขยายออกมาเป็น 8 อ มาศึกษาให้ดีมันมียาอายุวัฒนะให้ชีวิตยืนยาวนะ ต่อไปในอนาคตจะเห็นว่า อยากจะดูคนอายุเกินร้อยก็มาดูที่กลุ่มชาวอโศก จะได้อย่างนี้จริงๆอาตมามั่นใจ ยิ่งอยู่มาแต่เล็กๆก็จะยืนยาวได้มากกว่ารุ่นแก่เฒ่าแล้ว
_หลักธรรมคําสอนของพุทธสถานอโศกในประเทศไทยมีอะไรบ้าง
พ่อครูว่า…ก็ศีลสมาธิปัญญาเป็นหลักใหญ่ หรือ จรณะ 15 วิชชา 8 ก็อันเดียวกัน ต้องมีศีลต้องมีสิ่งที่ทำให้เกิดจิตเจริญ แล้วก็มีปัญญาเป็นยาดำ ปัญญาร่วม อันนี้ 3 บทใหญ่ เพราะฉะนั้นจะเอาหลักธรรมอันอื่นมาสังเคราะห์เข้าไปหาการศึกษา 3 นี้ได้หมด ถ้าศาสนาใดไม่มีศีลเป็นเบื้องต้น เช่นไปนั่งหลับตาสมาธิ ไม่ได้เกิดจากศีลเป็นตัวหลักไม่ใช่ศาสนาพุทธ อาตมาพูดมาจนปากเปียกปากแฉะ เขาก็ยังงมงายหลับตากันอยู่ มันไม่ใช่พุทธ ต้องมาเริ่มต้นตั้งแต่ศีลแล้วจะได้สมาธิแบบลืมตาตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ก็เป็นสมาธิของศีลข้อที่ 1 มีปัญญากับศีลข้อที่ 1 มีวิมุติกับศีลข้อที่ 1 จนกระทั่งมีวิมุตติญาณทัสสนะกับศีลข้อที่ 1
ศีลข้อที่ 2 คือของกับพืช ก็ต้องมาปฏิบัติให้เกิดสมาธิในศีลข้อที่ 2 เกิดปัญญาในศีลข้อที่ 2 เกิดวิมุติในศีลข้อที่ 2
ในศีลข้อที่ 3 เกิดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ต้องมาศึกษาสิ่งเหล่านี้ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จะเป็นแกน ไปยืนยันกับความเป็นสัตว์หรือความเป็นบุคคล ความเป็นพืชความเป็นวัตถุมันก็จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่ในพืชอยู่ในวัตถุด้วย มันจะซ้อนลึกซึ้งอยู่อย่างนี้
กระบวนทำหรือกระบวนการ Process ของสามหลักใหญ่นี้
ฟังให้ดีจะได้เข้าใจเป็นกระบวนทัศน์ Paradigm เป็นความรู้ กระบวนการของความรู้ด้วยว่ากระบวนทัศน์เป็นความเห็นความเข้าใจเป็นทฤษฎี Paradigm แล้วก็มาปฏิบัติโดยมีกระบวนการ process จากนั้นก็จะออกมาโดยมีเหตุมาเป็นต้นทาง เรียกว่าอินพุต แล้วก็มันเป็นพิเศษ มีผลเป็น output แล้วก็เป็นoutcome แล้วก็มาเป็น Impact ผลยอด นี่คือคือหลักเกณฑ์ของ System analysis ของพุทธเจ้านั้นมีมาก่อนแล้ว
_ความหมายของคำว่าเพื่อนของท่านพระครูคืออะไรคะ แล้วในทางธรรม มิตรสหายควรเป็นในรูปแบบไหน และทางโลก
พ่อครูว่า…ถามมานี่คลุมหมด ถามว่า มิตรดีสังคมดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีคืออะไร รวมทั้งหมดนี้มาศึกษา คำว่าเพื่อนในภาษาบาลีเรียกว่า กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก ท่านไปแปลว่ามีมิตรดีมีเพื่อนดีแล้วก็มีเพื่อนดี วนอย่างนี้ อาตมาว่าไม่ได้แคบอย่างนั้น มิตรหมายถึงจิตวิญญาณ เพื่อนสหายยะ แปลว่าผู้ร่วมประโยชน์ สห แปลว่าร่วม อายะ แปลว่าประโยชน์ คือผู้ร่วมประโยชน์กัน
สัมปวังโก คือรวมทั้งหมดเป็นวัฏฏะเป็นองค์รวมทั้งหมด กัลยาณสัมปวังโก รวมกันอยู่รวมกันทั้งหมดเลย นี่ก็เป็นความเข้าใจที่ต้องชัดเจนในสภาวะธรรมต่างๆ
คำว่าเพื่อนคำนี้เป็นภาษาไทย ถ้าคำบาลี มิตรคือเพื่อน สหายก็เพื่อน
มิตโต คือ ร่วมอุดมการณ์ทางจิตวิญญาณ สหาโย คือรูปธรรม กัลยาณสัมปวังโกคือร่วมรูปธรรมทั้งโลกเลย
_ชีวิตผมให้วิบากกรรมเปลี่ยนเครื่องตัดสิน ผมไม่เอากายวาจาใจของผมเป็นเครื่องตัดสินถูกต้องหรือไม่
พ่อครูว่า…ไม่ถูกคุณต้องเอากรรมการกระทำในปัจจุบันเป็นตัวแก้วิบาก ไม่อย่างนั้นคุณก็ปล่อยไปตามยถากรรมกิเลสก็เป็นเจ้าเรือนโดยคุณไม่ควบคุมกรรมของคุณ กรรมทางกายวาจาของคุณอย่างน้อย อย่างหยาบ อย่างนี้มันผิดมันไม่ถูกคุณต้องลดมันให้ได้ หากปล่อยไปกิเลสมันก็เป็นเจ้าเรือน คุณต้องรู้ว่ากายกรรมนี้มันไม่ดีสังคมโลกถือว่ามีดีคุณต้องบังคับตัวเองอย่าไปทำ วาจาก็ตาม ต้องทำอย่างนี้ไปตามลำดับก่อน อย่าเพิ่งไปร่วมถึงมโน
_วิบากกรรม เปรียบเหมือนเงากับตัวเราใช่หรือไม่ เงาจะตามเราไปตลอดใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่
_ท่านมีความเห็นอย่างไรในปัจจุบันที่วัดมีการทำบุญแบบบังคับ
พ่อครูว่า…บาป ไม่ใช่บุญ คำนี้เขาบังคับแต่การบริจาคการทำทานไม่ใช่บุญ เพราะว่าบุญคือเครื่องตัดกิเลสเป็นอาวุธตัดกิเลสอย่างเดียว ต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่าบุญไม่มีหน้าที่อื่น บุญไม่ใช่สมบัติแต่บุญเป็นวิบัติบุญเป็นเครื่องทำลาย บุญไม่ใช่สิ่งสะสมเลย ใครยังมีบุญอยู่คนนั้นยังไม่บรรลุ คุณต้องหมดบุญคุณต้องไม่ใช้บุญ บุญไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเราอีกเลยในชีวิต ที่ยังเหลืออยู่ พระอรหันต์ทุกองค์ไม่ต้องใช้บุญอีกเลยเป็นคนไม่เกี่ยวข้องกับบุญ มีแต่คนอื่นที่ต้องใช้บุญอยู่คุณก็ต้องล้างบาปไปก็ต้องกำจัดบาปกิเลสของตนเองไปกำจัดอกุศลทุจริตนั้นไป หากเอาคำว่าบุญมาทำลาย อย่างธัมมชโยบอกว่าบุญใหญ่บุญมโหฬาร โป้งรวยๆๆแล้วหลอกว่าจะได้รวยในชาติหน้าชาติอื่น หลอกซ้ำซ้อน เป็นอนันตริยกรรม อย่างหนัก เอาคำว่าบุญของพระพุทธเจ้ามาปู้ยี่ปู้ยำ อย่าทำตาม หลอกคนให้ติดยึดแล้วจะได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นวิมานเพ้อฝันซึ่งไม่มีจริงเลย จนเขาจะจับเท็จ ธัมมชโย เคยรู้ไหม
เขาเลยทำเป็นทำจดหมายหนังสือเข้าไป สร้างเรื่องว่า พ่อผม ได้มาทำทานบริจาคกับที่นี่ บอกจำนวนเงินหลายล้าน แต่ตอนนี้พ่อผมตายไปแล้ว ท่านช่วยตรวจให้หน่อยเถอะ พ่อผมไปอยู่สวรรค์ชั้นไหนแล้ว เป็นทุกข์สุขอย่างไร ผมคิดถึงพ่อผมจังเลย ธัมมชโยก็เลยตอบไปว่า พ่อเธอมาทำทานขนาดนั้นเหรอ ตอนนี้อยู่สวรรค์เฟส 3 เฟส 4 ว่าไป เอาล่ะ พ่อก็คิดถึงคุณนะ มาทำบุญทำทานบ่อยๆมาทำมากๆ พ่อจะได้สบายมากขึ้นกว่านี้ นี่คือหลอกเข้าไปอีก
เสร็จแล้วคุณคนนั้นก็ไขความว่า โกหก ผมสร้างเรื่องมาหลอกคุณว่าพ่อผมตาย แต่แท้จริงแล้วพ่อผมยังไม่ตาย ผมสร้างเรื่องมาเพื่อให้รู้ว่าคุณมีอุตตริมนุสสธรรมจริงหรือเปล่าไม่รู้ว่าคนนั้นคนนี้ตายไปแล้วอยู่ที่ไหนหรือเปล่า แต่ที่แท้ก็โกหก เขาทำเปิดเผยมาแล้วแต่ก็ยังกลบเกลื่อนไป คนที่ยังโง่เง่าก็ถูกธัมมชโยหลอกไป ทั้งที่ถูกเปิดโปงมาแล้ว ไม่ได้มีคุณธรรมที่ระลึกชาติไม่ได้มีอาเทสนาปาฏิหาริย์อย่างที่ว่าเลย ทำให้ตนเองปาราชิกซ้ำ ก็ยิ่งทำให้คนรู้ว่านี่คืออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ปาราชิกด้วย เรื่องเงินทองตอนนี้ก็ยังตามอยู่ เรื่องเงินเรื่องทองหรือการอวดอุตริมนุสธรรมก็ปาราชิกทั้งสองอย่างเลย ยังไม่รู้ว่าเคยสั่งฆ่าคนหรือไม่นั่นก็ปาราชิกอีกถ้าทำ เรื่องผู้หญิงก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า อย่างน้อยที่สุดปาราชิก 2 ข้อนี้ก็ชัดเจนที่สุด อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน กับการยักยอกลักเงิน
_ตนเองติดยาเสพติดจึงชักชวนให้เพื่อนทดลองเสพด้วยจัดเป็นมิตรอย่างไร
พ่อครูว่า…เป็นคนเลวไม่ใช่มิตร มิตรคือผู้ที่หวังดีต่อกัน แต่อันนี้คือมารไม่ใช่มิตร มิตรกับมารต่างกันนะ คนที่ไปทำอย่างนี้ทั้งที่รู้ว่าตนเองติด ก็ยังไปชวนคนอื่นให้ลงนรกด้วยกันอีกมันก็เป็นบาปที่หนักไปด้วยกัน
_มีความรู้สึกอย่างไรบ้างเกี่ยวกับการ เข้าค่ายในครั้งนี้
พ่อครูว่า..ควรจะถามพวกคุณไม่ใช่มาถามอาตมา อาตมาก็รู้สึกยินดีด้วยมากที่มาเข้าค่ายเท่านั้นแหละมันจะยากอะไร พวกคุณเป็นคนหนุ่มสาวมาเข้าค่ายมาทนฟังอย่างนี้ได้ เป็นอย่างไรอยากจะกลับไปนอนหรือยัง มันสนุกเกิดธรรมรสขึ้นบ้างไหม สนุกสนานกับที่อาตมาบรรยายธรรมะนี้บ้างไหม
_ทำไมสมณะ ที่นี่จึงแตกต่างจากพระสงฆ์
พ่อครูว่า..ก็ต่างกันสิอันหนึ่งเป็นการจมในโลกียะ อันหนึ่งเป็นโลกุตระ แม้การสวดมนต์ก็ได้วิบากบาปเป็นอาบัติ เราเคยทำหนังสือเรื่องการสวดมนต์ให้ถูกพุทธนี่ก็จะทำขึ้นมาอีกใหม่ มีผู้รวบรวมแล้วก็ทำจะได้ให้รู้ เพราะว่าทุกวันนี้งมงายในเรื่องสวดมนต์มาก ไปเสียเวลารวมคนมาเป็นล้านคนแล้วก็สวดกันทั้งวันทั้งคืน สวดให้เป็นล้านจบ สวดล้านจบก็ได้อาบัติไป ล้านจบ ทุกคำที่ผิด ก็อาบัติอีกกี่อาบัติ อาบัติทุกคำกล่าวที่ผิด เช่นลากเสียงยาวก็ผิดใส่ทำนองก็ผิดแล้วไปทำให้คนหลงวิมานอะไรก็ผิดอีก
ในโลกนี้ การสวดมนต์เป็นเรื่องของศาสนาที่มีเดียรถีหรือไม่ใช่พุทธ งมงายติดยึดกันอีกเยอะ พระพุทธเจ้าแก้ยากมากเลย จนกระทั่งท่านสุดท้ายจึงได้ตรัส ในพระวินัยปิฎก เล่ม 7 ในข้อ 20 21
ข้อที่ 20 บอกว่า อย่าสวดมนต์ด้วยการลากเสียงอันยาว อย่าใส่ทำนอง อย่าเอามาร้องทำมาหากิน
ข้อที่ 21 เราอนุญาตสวดได้แต่สรภัญญะเท่านั้น จบ เขาก็ไปบอกว่า สรภัญญะคือการใส่ทำนองอันพอเหมาะ สรภัญญะคือ สระ กับภัญญะ สระต้องให้ตรง ทีฆสระกับรัสสระ มีสระสั้นกับยาวเท่านั้น ให้มันถูกเสียง อะอาอิอีฯ แม้คำว่า นะ โม ตัวนะ สั้น โม ก็ยาว แต่เขาสวดกัน นาาาาา มัวววววว ตัสสสสสส สะ อาตมาทำเสียงให้ดูผู้ยกตัวอย่างไม่ได้อาบัตินะ ไม่ได้ทำด้วยความยินดีพอใจอาตมากำลังแสดงวิชาการก็แสดงอธิบายความรู้ สาธยายสัจธรรมเท่านั้นไม่ใช่อาตมาทำด้วยความพอใจติดยึด
อาตมาถ้าจะให้ลากเสียงก็ทำได้เพราะเป็นนักร้องรุ่นเก่ารุ่นเดียวกับสุเทพวงศ์กำแหงนะ อายุเขาแก่กว่าอาตมา 2 เดือนเท่านั้น เข้าวงการมาพร้อมกัน แต่เขาดังอาตมาดับ ดับทางโลกีย์ ได้เข้ามาทำงานทางนี้เลย จริงๆอาตมาจะต้องมาทางนี้ทางโน้นอาตมาไม่เด่นไม่ดัง แต่ถ้าทำได้จริงๆจะไปทางโน้นก็เด่นดังได้ แต่มันเป็นวิบาก ถ้าไปทำทางโน้น สรุปแล้วอาตมาไม่ไปทางโน้นหรอกต้องมาทางนี้ ถ้าไปอาตมาต้องมีความเข้าพร้อมทั้งสรีระทั้งโอกาสทั้งอะไรต่ออะไร ถ้าไปจริงๆก็ไปได้แต่ไม่เอา วิบากมันนานมาแล้วหลายชาติเต็มที เดี๋ยวนี้เขาก็กำลังป่วยอยู่ที่ ICU เขาก็ไม่ค่อยอยากให้ใครไปเยี่ยม ไม่อยากเปิดเผย ไม่อยากให้ใครเห็นภาพพจน์ที่ไม่ดีก็เห็นใจเขาเหมือนกัน
_ยาสมุนไพร ปลูกอยู่ที่ชุมชนปฐมอโศกทุกอย่างไหม
พ่อครูว่า…ไม่ใช่ทุกอย่างหรอก ปลูกอยู่ที่อื่นเยอะ ที่บ้านราชฯมีที่ดินเป็นพันไร่ มีป่าที่เราซื้อและสงวนรักษาดูแลไว้ เป็นป่าใหญ่ป่ายาง ก็พยายามอยู่ พยายามที่จะรวบรวมแต่มันยังไม่มีประชากรมีคนที่จะไปทำมากก็ค่อยๆเป็นไปเรื่องนี้จะต้องทำ ที่นี่เราก็ทำมาแล้วที่นี่มีโรงงานยา ก็ทำช่วยสังคมประเทศชาติมาได้หลายปีแล้วก็จะทำต่อ พยายามพัฒนา
_ทำอย่างไรเราจะวางความอาฆาตพยาบาทคือความผูกโกรธได้อย่างแท้จริง
พ่อครูว่า…พิจารณาให้เห็นโทษ ความโกรธนี้ อย่าง หยาบกลางละเอียดบรรจุซอง ละอองธุลีอย่างไหนก็ตาม เข้าใจให้ได้ว่าอาการของความโกรธที่จิตเราเป็นอาการ อย่างหยาบอย่างแรง อย่างกลาง แม้จะเล็กน้อยเป็นละอองธุลีก็ตามรู้ให้ได้ อันนี้มันตระกูลความโกรธ อย่าไปให้มีในจิตใจเลย ไม่ต้องมีเหตุผล kick it out เอามันออกไปจากจิตปรับจิตเราเลยอย่าให้มีการอาฆาตพยาบาทโกรธเคือง ให้ใจเป็นเชิงสมาน หรือจะใช้การสัมพันธ์มีความชอบ ยินดีกับคนอื่น ก็ยังดีกว่าไปชังไปผลักไปโกรธ ไม่มีประโยชน์อย่างใดทั้งปวงเลยในตระกูลโกรธ แม้อย่างหยาบ กลาง ละเอียด เอาออกไปเลยหรือปรับใจให้ไปเชิงยินดีหรือชอบดีกว่า เช่นศัตรู เรามีอาการชังไม่ชอบใจก็ให้เลิกอาการนั้น ต้องหามุมที่จะให้เราเกิดความยินดีเกิดความชอบขึ้นมา แก้อย่างนี้ยังดีกว่า เพราะการยินดีแก่กันและกันมันมีผลประโยชน์ต่อกันและกันไม่มีความดีงามร่วมกัน แต่ถ้าเผื่อว่าเกิดการชังกันแล้วมีแต่การทำบาปทำร้าย
_หลังการเลือกตั้งเราต้องไปชุมนุมกันอีกไหมคะ
พ่อครูว่า…ถ้าไม่เข้าท่ารัฐบาลไม่เข้าท่า ไป จริง ถ้ารัฐบาลเข้าท่า รัฐบาลเข้าตาดีอยู่ก็ไม่ไป สรุปให้ฟังอีกทีว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์นี้ใช้ได้ เพราะว่าอาตมาไม่ได้ไปหลงหรืออะไร อาตมามีภูมิแค่นี้แหละใครจะตามเชื่อหรือไม่ก็ตาม
อาตมามีอายุเกิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2477 เกิดมารู้จักนายกมา อาตมาว่านายกรัฐมนตรีคนนี้แหละ เป็นคนที่มีประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ติดตามดูอาตมากำลังขยายความเรื่องประชาธิปไตยแบบไทย ซึ่งเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตยแนวเดียวกันกับของในหลวงรัชกาลที่ 9 ขอให้ศึกษาให้ดีๆ ศึกษาให้ดีแล้วจะเข้าใจประชาธิปไตยอย่างน้อยติดตามชาวอโศกให้ดีๆ ตอนนี้ชาวอโศกเราก็กำลังทำงานเข้ามาทางการเมืองเยอะ ตอนนี้ก็สนับสนุนนายกตู่ เพราะว่าไม่เห็นใครที่บริหารได้ดีเท่านี้ ผู้ที่เสนอว่าเป็นนายกตอนนี้รู้จักหน้ากันทั้งนั้น ก็เสนอได้เท่าที่เขาเสนอ เขาระบุมา พรรคไหนเจ้านายกคนไหนก็รู้กันหมด เรียงหัวเลย อาตมาขอยืนยันว่า ไปเลือกพรรคที่จะเอานายกตู่เป็นนายกก็แล้วกัน
_ทำไมการห่มจีวรของพระสงฆ์เท่าที่เห็นที่บ้าน รู้สึกจะมี 2 แบบคือ หมุนจีวรคล้ายลูกบวบ ไปด้านข้างแล้วก็หนีบไว้ที่รักแร้ เปิดหน้าอกเฉวียงไหล่ แต่จากที่เห็นตามงานพิธี โทรทัศน์ก็ตาม ปิดหน้าอก แต่ไม่เห็นหมุนเป็นลูกบวบ การห่มจีวรมีกี่แบบ
พ่อครูว่า…การห่มจีวรมีหลายสิบหลายร้อยแบบ แต่เท่าที่เราเห็นในเมืองไทยเท่าที่ชัดๆจะมีการยึดถืออยู่ 2 แบบคือแบบมหานิกายกับแบบธรรมยุต ส่วนแบบอโศกนั้นก็ต้องแยกออกมาแล้วต้องห่ม ไม่เหมือนกับธรรมยุตหรือมหานิกายเดี๋ยวผิดกฎหมายลอกเลียนแบบ เราจึงมาห่มแบบไม่เหมือน อาตมาเคยบวชทั้งธรรมยุตและมหานิกาย ห่มได้ แต่ห่มไม่ได้ เพราะเราแยกมาแล้วตามกฎหมาย ไปห่มแบบเขาก็ละเมิดเขาก็จับเข้าให้สิเพราะไปลอกเลียน มีห่มแบบเอาสังฆาฏิพาด เราพับผ้ามาพาดเอา
-
เราไม่ห่มสีเหลือง เพราะการนุ่งห่มสีเหลืองนั้นผิดพระวินัย ห้ามไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ท่านห้าม 7 สี โดยเฉพาะสีเหลือง สีแสด สีแดง สีคราม สีดำ สีเขียว สีบานเย็น 7 สีไม่ให้ใช้ ถือว่าผิดวินัย อย่างนี้เป็นต้นแต่สีย้อมน้ำฝาด ใช้ได้แต่สีเหลืองแสดในเมืองไทยมีน้อยลง เขาก็มีที่ดันทุรังไม่ใช่ดันสุรัง แค่วินัยแค่นี้ ก็บอกญาติโยมว่า อย่าเอาสีนี้มาให้ห่ม หรือแม้แต่ย้อมเองก็ทำให้ถูกพระวินัยสิ