620311_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 43
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1v64zKz_5WII70h2mzqOy4oDRfPWhRNoEISTz_wycVdI/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=14PBiuenQ9RefQ2gogQqAav-oJ-k2pmvs
พ่อครูว่า…ถ้าเรามีปัญหาก็ทำให้เรามีปัญญา คนที่ไม่มีปัญหาเลย คือคนไร้ปัญญา หรือว่าคนที่มีแต่จะไขความรู้ให้แก่คนอื่นได้เรื่อยๆ
กิเลสมีหลายลักษณะ ลักษณะไหนๆก็ไม่สำคัญเท่าลักษณะที่อยากได้สุข อยากได้มีก็ไม่เท่าอยากได้สุข คนที่รู้ว่าสิ่งนี้ชั่ว แต่ก็ทำเพราะเขาได้ทำแล้วมีสุขเป็นต้น คำว่าสุขทุกข์นี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษยชาติ คำว่าดีคำว่าชั่วก็คือกรรมที่ทำอยู่กับสังคม ในสังคมจะมีทั้งวัฒนธรรมมีทั้งกฎเกณฑ์ อะไรที่ตั้งไว้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ตามสมมุติสัจจะ ส่วนสิ่งที่เป็นโลกุตระนั้นคือสุขทุกข์
สุขทุกข์นี้คือความรู้ในระดับโลกุตระ ดีชั่วคือความรู้ในระดับโลกียะ นี่เป็นนัยสำคัญที่ควรรู้ไว้ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
ใครอยากจะถามสดๆ..(ยังไม่มี) งั้นอ่านคำถามแห้งที่ส่งมาก่อน
_หลวงปู่ครับ กรรมคือการกระทำ กรรมดีคือการทำสิ่งดี กรรมชั่วคือการทำสิ่งชั่ว แล้วการที่เราดื้อ กับรุ่นพี่ คุรุ สมณะ มันก็เป็นกรรมใช่ไหมครับ เราต้องชดใช้กรรมโดยการที่มีรุ่นน้องมาดื้อกับเราจริงไหมครับ แล้วผมไม่อยากมีรุ่นน้องดื้อ ผมต้องไม่ดื้อใช่ไหมครับ จะทำอย่างไรจึงไม่ต้องรับผลกรรมที่จะมีรุ่นน้องดื้อครับ
พ่อครูว่า…แน่นอนเราทำอะไรขึ้นมาถือว่าเป็นกรรมทั้งนั้น หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นกรรม พูดคือกรรมทางวาจา คิด คิดเล็กคิดน้อยคิดมาก ก็เป็นกรรม เราต้องชดใช้กรรมโดยการที่มีรุ่นน้องมาดื้อกับเราจริงไหมครับ เป็นได้ เราทำวิบากไว้ รุ่นน้องมาดื้อกับเราก็เป็นวิบากที่เราต้องชดใช้กรรม เป็นความประสงค์ไม่ดื้อก็ดี พยายามทำอย่างไร ก็ถูกต้องทำตนเองก่อนสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง จะไม่รับผลกรรมไม่ได้หรอก
พระอรหันต์หมดคำถามทางธรรมแล้ว แต่ แม้ว่าหมดคำถามทางธรรมแล้วก็จะเรียนธรรมะที่เป็นบัญญัติและสภาวะที่ซับซ้อนขึ้น อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ยังเรียนยังศึกษาความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้มากมาย อาตมาก็พยายามเรียนรู้ ความรู้ที่มากมายนั่นคือกรรม กรรมกิริยาของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาไม่รู้กี่ล้านคน แต่ละคนก็มีพฤติกรรมแตกต่างกันไปไม่รู้อีกกี่ล้านอย่าง นี่ล่ะมันมาก
โพธิสัตว์ต้องรู้กรรมกิริยาของคนต่างๆมากขึ้น เพื่อที่จะได้สอนเพื่อที่จะได้แนะนำ ให้แก่มนุษย์เหล่านั้นที่พึงเจริญ พึงเป็นประโยชน์คุณค่าแก่ตนและโลก
_สิกขมาตุแสงฝน…มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นโรคเนื้องอกที่สมอง ผ่าตัดประมาณ 3-4 ครั้งแล้วไม่หาย เขาเลยคิดว่าจะไปการุณยฆาตที่ต่างประเทศ เขามีเหตุผลว่าการที่ทำแบบนี้เพื่อ เขาจะได้ไม่ต้องให้พ่อแม่ต้องมาดูแลหลังการผ่าตัด ก็เลยเขียนจดหมายลาตาย มีคนสงสัยว่าเขาคิดแบบนี้ดีไหมถูกไหม เพราะคนอื่นจะเอาเป็นแบบอย่างได้
พ่อครูว่า…ไปถามเรื่องส่วนตัว บางทีอาตมาก็ไม่อยากจะตอบ เป็นความเห็นส่วนตัวความรู้สึกส่วนตัวของเขาเห็นว่า ทำอย่างนี้เป็นเหตุผลที่สมควร เหตุผลที่ดีสงบ ตัวเขาพึงกระทำของเขา มันเป็นจิตกุศลปรารถนาดีก็เป็นได้ แต่ที่ถามมา คนๆนี้ที่คิดแล้วทำตามที่คิด มันเป็นเจตนาที่เป็นกุศลไม่เป็นเจตนาอกุศลอะไร ไม่อยากจะให้คนอื่นเดือดร้อน การจะอยู่กับวัฒนธรรมอยู่กับความยึดถือ ของสังคม เขาจะให้เป็นไปตามสังคมก็ดูอย่างไรอยู่ ถ้าตัวเราจริงๆไม่อยากตายแต่เห็นว่าสุดวิสัย มันเป็นโรคภัยถึงขนาดนี้สุดวิสัยแล้ว เขาก็พอรู้ แล้วก็จะเป็นภาระเป็นเรื่องทุกข์ ถ้าเขาจะอยู่ก็เป็นภาระมันก็เป็นทุกข์ เขาก็เห็นว่าดีและสมควร เป็นเรื่องของแนวคิด เรื่องสำนึกของมนุษย์แต่ละคน จริงๆแล้วเป็นส่วนที่น่าชมเชยยกย่อง
ถ้าองค์รวมทั้งหมดแล้วอาตมาว่า มันก็ไม่น่าจะไปคิดทางด้านไม่ดีได้เลยนะความคิดคนๆนี้เท่าที่ประมวลดู
การุณยฆาต ต้องทำให้ตายโดยที่มีเหตุผลว่า ถ้าเจ้าตัวยอมให้ทำการุณยฆาตแพทย์ก็ทำให้ เป็นวิธีการฆ่าเขาให้ตาย ฟังแล้วน่ากลัว เจ้าตัวเขาต้องการจะตายแต่เมืองไทยไม่มีกฏหมายให้ทำถึงอย่างไรก็ต้องลากกันไป จะเป็นมนุษย์พืชหรือไม่ ก็ตาม แม้จะไม่มีสติสัมปชัญญะแล้วก็ตาม แต่เมืองนอกไม่ใช่
จริงๆแล้วมนุษย์เป็นจิตนิยาม เมื่อพลังงานทางจิตมันลดลง ลดลงไปอยู่ในระดับพืช เป็นมนุษย์พืชแล้ว มันก็เป็นพลังงานระดับพืช พีชนิยาม ในระดับไม่มีความรู้สึกไม่ใช่จิตแล้วมันตก drop ลงไปเป็นระดับพืช คือจะไม่มีเวทนาไม่ถือว่าเป็นวิญญาณ ไม่มีความรับรู้แล้วไม่รู้สึกแล้วไม่เจ็บไม่ปวด ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญ เหมือนกับพืช พืชไม่มีบาปอะไร เราไปตัดเอามาแกงก็ไม่บาป แต่ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นวิบากต่อกัน เป็นบาป การไปทำร้ายกันก็บาป หรือแม้แต่ตนเองทำก็เป็นบาปแก่ตนเองเป็นต้น เป็นนัยละเอียดหากเราเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะเข้าใจลักษณะพลังงานในระดับอุตุนิยามเป็นอย่างไรพีชนิยามเป็นอย่างไร จิตนิยามเป็นอย่างไร จะรู้กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
สั่งสมกรรมที่เป็นประโยชน์คุณค่าไม่เป็นโทษอย่างไรต่อไป เป็นพระอรหันต์แล้วก็สามารถดูแลกรรมของตนเอง มีพลังงานควบคุมดูแลจิตตนเอง และกรรมทางกายวาจาใจตนเองได้ ไม่ทำกรรมที่เป็นบาปหรืออกุศล พระอรหันต์ขึ้นไป พ้นบาป สัพพปาปัสสอกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง กรรมของพระอรหันต์ก็มีแต่กุศลเพราะท่านได้ทำจิตของตนให้หมดกิเลสแล้ว สจิตปริโยทปนัง จิตสะอาดบริสุทธิ์หมดจดได้แล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน บริหารกับอภิบาลคืออย่างไร
_พ่อครูก็ให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรเกี่ยวกับนักการเมืองไว้ว่า นักการเมืองไม่ใช่นักแย่งอำนาจ แต่คือผู้อภิบาลประชาชน ทำงานช่วยประชาชนมากกว่าบริหาร
ตอนนี้พฤติกรรมของนักการเมืองต้องเข้ามาบริหารทรัพยากรของประเทศ
-
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า นักเลือกตั้งหรือนักการเมืองคนไหน ที่จะมาอภิบาลประชาชน
-
นักการเมืองที่มีพฤติกรรมบริหาร กับนักการเมืองที่มีอภิบาลเราจะเห็นได้อย่างไร
พ่อครูว่า…คำว่าบริหารมันกว้างและไม่มีคำจำกัดที่ชัดเจนเท่าคำว่าอภิบาล คำว่าอภิบาลให้ความหมายที่ยืนยันได้ชัดกว่า ประเด็นว่าอภิบาลกับบริหารนั้น บริหารคือจัดการ ไม่ใช่นักเมืองก็บริหาร แม้แต่ในวงการโจรเขาก็บริหาร เขาจะต้องดูแลปกครอง ก็มีเชิงอภิบาลเหมือนกันก็ได้แต่ว่าโจรอภิบาลไปในเชิงอกุศล แต่บริหารนี่เป็นกุศลก็ได้อกุศลก็ได้อย่างโจรนี่มีบริหารก๊กตัวเอง
ส่วนอภิบาลคือช่วยเหลือเกื้อกูล ดูแลให้อยู่เย็นเป็นสุข จะอภิบาลให้อยู่เย็นเป็นสุขอยู่ดีกินดี ไม่ให้ได้รับทุกข์หรือทุกข์น้อยที่สุด เอาประเด็นดีหรือชั่วดูแลกันไป เมื่อเราเข้าใจภาษาก็ไปทำหน้าที่เราจะรู้ว่า นักเลือกตั้งคนไหนเป็นอภิบาล หรือบริหาร มันก็แยกยาก มันก็บริหาร แต่บริหารอย่างอภิบาล หรือบริหารอย่างไม่ใช่อภิบาล ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ถ้ามันดีขึ้นมาก็เรียกว่าอภิบาล ประชาชนได้ประโยชน์
ยกตัวอย่างบุคคล ผู้ที่อภิบาลไม่ให้เป็นเรื่องรุนแรง อยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปมากเลยนะ ผู้อภิบาลที่เป็นนายกรัฐมนตรี เช่น นายกฯสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับฉายาว่านายกฯมะเขือเผา ก็หน่อมแน้มไปหน่อย อ่อนไปหมดสุภาพนิ่งไปหมดเลย ไม่มีอำนาจไม่มีการแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวแข็งแรงพอสมควรก็เลยไม่เด็ดขาด ซึ่งบางทีก็มีข้อด้อย จะต้องทำให้เหมาะสม ทำให้พอดีๆในการแสดงออกทางกายวาจาใจ ก็มาจากจิตวิญญาณของแต่ละคน
จริงๆแล้วบริหารดี อภิบาลดีก็พูดได้ทั้งนั้น อาตมาพูดถึงนัยของบริหารอภิบาลเป็นเชิงความรู้เท่านั้น ความจริงแล้วผู้ที่จะทำงานกับประชาชน อย่างนายกฯจะต้องทำงานกับประชาชนทั้งประเทศ ก็ต้องใช้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่ถ้าว่าเข้าใจคุณลักษณะ พฤติกรรมที่ปฏิบัติประพฤติ ต่างนัยยะ กันนิดหน่อยเท่านั้นเอง ทีนี้นักการเมืองต้องไม่แย่งอำนาจ
นักการเมืองคือต้องไปเป็นผู้รับใช้ประชาชน บริหารก็รับใช้อภิบาลก็รับใช้ ผู้ใดสามารถอภิบาลประชาชนได้อย่างดี เมื่อได้เป็นนายกแล้วไม่เข้าไปเบ่งอำนาจ แต่ผู้ที่ใช้อำนาจมากหน่อยก็จะอยู่ในฐานะผู้บริหาร แต่ถ้าบางทีสังคมมันต้องใช้เชิงกำราบ บางกลุ่มสังคมประเทศก็ต้องอาศัยอย่างนี้อาศัยอำนาจกำราบ สำหรับคนที่ประพฤติไม่ดี
ยกตัวอย่างปัจจุบัน พวกที่ก่อความวุ่นวาย ผู้บริหารจำเป็นต้องใช้อำนาจ ข่ม กำราบด้วย มันมีนัยละเอียดอีกเยอะแยะ ประเด็นที่ว่านักการเมืองไม่ใช้อำนาจนี้เป็นคุณธรรมคุณวิเศษ จะเป็นนายกจะเป็นผู้รับใช้อะไรก็แล้วแต่
ที่อาตมาว่าเขาไม่ใช่ข้าราชการรัฐ อันนั้นคือหมายความว่าเป็นข้าราชการการเมือง ส่วนผู้ที่เป็นข้าราชการรัฐ คือ ข้าราชการประจำ และเขาไม่เรียกว่านักการเมือง ที่จริงแล้วคำว่านักการเมืองก็ดี ข้าราชการก็ดี คือ ผู้รับใช้ประชาชน ทั้งนั้น แต่มันมีนัยละเอียด
นักการเมืองหรือข้าราชการการเมืองที่เข้าไปรับหน้าที่ สส. สว. ไปรับหน้าที่รัฐมนตรีนายกรัฐมนตรี ที่เป็นข้าราชการการเมือง เป็นการไปทำหน้าที่เป็นครั้งคราว เป็นผู้ไปรับใช้ประชาชนเป็นครั้งคราว ได้รับหน้าที่ระบุลงไปในตำแหน่ง พอหมดวาระก็ปลด ส่วนข้าราชการประจำหากไม่ถูกไล่ออกก็ทำไปจนปลดเกษียณ
นักการเมืองไม่ใช่นักไปแย่งอำนาจ ใครก็ตามที่จะไปทำงานช่วยประชาชน ช่วยพลเมือง นักการเมืองจริงๆคือผู้ไปช่วยพลเมือง อย่างพวกเราชาวอโศกเป็นนักการเมืองเบอร์ 1 เป็นนักการเมืองที่ไม่ต้องการตำแหน่ง ไม่ต้องใช้หลักฐานใด ๆ ที่เป็นนิตินัยเลย แต่เราทำงานเป็นผู้ที่ช่วยพลเมืองให้ได้ หากเข้าใจนัยแล้ว ผู้เป็นนักการเมืองคือผู้ทำประโยชน์คุณค่าให้แก่สังคม
ผู้ที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ มีการประพฤติทำการงานโลภโมโทสัน เอาประชาชนเป็นเหยื่อในการที่จะล่ารายได้ ล่าลาภยศสรรเสริญ คนแบบนี้เป็นคนที่เป็นภัยต่อสังคม ที่ผู้รู้ตัวเองดีแล้วอย่างพวกเราจะไม่ไปประพฤติเช่นนั้น ก็ไม่เป็นภัยต่อสังคม คนอื่นก็ไม่ต้องมาดูแลเรามาก ก็ทำให้สังคมสงบสุขเย็น มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษภัย
เพราะฉะนั้นคนที่ไปแย่งอำนาจคือคนที่มีอัตตามานะ ยังไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมของบุคคลที่ดีงาม ไปใช้อำนาจ เบ่งคือการกระทำแบบสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ที่เป็นอาริยะเจริญแล้วจะไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้แต่เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือมนุษย์ชั้นสูง มนุษย์เจริญ มนุษย์ประเสริฐที่แท้จริง
นักการเมืองที่ไปแย่งอำนาจคือนักการเมืองที่เหลวไหลที่เลวร้าย แม้แต่ที่สุดรัฐศาสตร์ อาตมาเคยได้ยิน เขานิยามว่า นักการเมืองคือผู้ที่เข้าไปแสวงหาอำนาจ ฟังแล้วหยาบคายพูดอย่างนี้ฟังแล้วไม่เข้าท่า นักการเมืองคือผู้อาสาไปทำงานให้แก่ประชาชนอย่างมีตำแหน่งหน้าที่ แต่อย่างพวกเรานี้ไม่มีตำแหน่ง ทำตนเองไม่ให้เป็นโทษภัยต่อประเทศชาติ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่ไปกอบโกยต่อประเทศชาติไปเอาเปรียบเอารัดมวลมนุษยชาติได้มาแล้วก็รวย ๆๆ
ถ้าจะขยายความก็เป็นยศศักดิ์เสริมขึ้นไปอีก ใช้ทั้งอำนาจยศศักดิ์ อำนาจเงินอีก ก็รวยไปอีกโลภโมโทสันดูดเข้าไปอีก อาตมาเป็นคนหนึ่งจะไม่ไปเป็นคนที่มีโทษภัยอย่างที่กล่าวแล้ว จะเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคมช่วยมนุษยชาติอยู่อย่างดี
ที่อาตมาได้ช่วยประเทศชาติ ไม่ว่ารัฐบาลไหนขึ้นมาอาตมาก็ไม่ได้หยุดทำ ไม่หยุดทำช่วยประชาชน ทำให้ประชาชนมีพฤติกรรม ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไม่ไปเป็นโทษภัยต่อสังคม นี่จึงจะเป็นคุณค่าประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ ต่อตนเอง และตนก็เป็นคนที่เปลืองน้อยผลาญน้อย จนอาตมาประสบผลสำเร็จ พวกเราทำงานไม่เอารายได้ไม่เอาส่วนได้เป็นของตนเองเลย โอ้โหวิเศษสุดยอด พูดขึ้นมาทีไรก็ยิ่งใหญ่เหลือเกินตามแบบพระพุทธเจ้า แล้วก็เอามาพิสูจน์ในยุคนี้ได้
แสดงว่ายุคนี้เป็นยุคของมนุษยชาติโดยเฉพาะคนไทย ที่อาตมานำทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาประกาศอธิบายพวกเราปฏิบัติได้ จนถึงระบบสาธารณโภคี เป็นคนทำงานฟรี พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ซึ่งทำงานไม่ได้ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนเลย เป็นหมู่กลุ่มชุมชน เป็นหมู่บ้าน หลายหมู่บ้านก็เป็นตำบลรวมแล้วทุกที่น่าจะเป็นอำเภอได้ ชาวอโศกที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ถ้าเอามารวมกันเป็นจังหวัดได้ จังหวัดบุญนิยม ทั้งจังหวัดเป็นบุญนิยม ทำงานเข้าส่วนกลางหมดเลยมันยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ ยิ่งสูงส่งกว่าคอมมิวนิสต์ ทำงานเอาเข้าส่วนกลางกินอยู่กันอย่างเป็นพี่น้องร่วมกันเลย ยิ่งใหญ่มาก แค่จังหวัดทั้งจังหวัดน่าทำได้ เป็นจังหวัดสาธารณโภคีเลยยิ่งใหญ่ แหมแต่อย่างว่า มันยาก ยิ่งกว่ามะเร็งขั้น 4 ขึ้นคอ
_ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ…ทำอย่างไรหนูจะเลิกความอยากกินอาหารนอกมื้อ
พ่อครูว่า….ตอนนี้หนูกินกี่มื้อต่อวัน (ผู้ใหญ่บอกว่ากินทั้งวัน) ก็กำหนดสิ กำหนดจะกินอาหารเราก็ต้องกำหนดตัวเองว่า เวลาไหนเราไปเห็นอาหาร แต่ละคราวที่ไปตักกินเรียกว่ามื้อ พอกลางวันก็ไปตัก เย็นก็ตักมากินก็เรียกว่าสามมื้อ หากเวลาไหนก็กินไม่มีมื้อเลย อย่างนี้เสียสุขภาพไม่ได้ประโยชน์ มันจะมากไปไม่ดี ต้องเป็นมื้้อเป็นคราวจึงจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีอายุยืนยาว จะสวยด้วย ต้องจัดการเป็นมื้อเป็นคราว กินสามมื้อก็ได้ ก็ตั้งใจกินให้อิ่มในมื้อ เช้า กลางวัน เย็นก็จบ นอกนั้นก็อย่าไปกินอีก เสียนิสัย เสียสุขภาพร่างกาย
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน คนเราเกิดมามีกรรมแต่กำเนิด
_แก้วบุญ…คนเกิดมามีกรรมตั้งแต่เกิดหรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า…ต้องเข้าใจถามว่า กรรมคืออะไร … กรรมคือการกระทำ การกระทำในทางกายกรรม ดิ้นด๊อกแด๊ก เคลื่อนไหวเนื้อตัว กระพริบตา ก็เป็นกรรม เรียกว่ากายกรรม การพูดเรียกว่าวจีกรรม การคิดเรียกว่ามโนกรรม คนที่มีชีวะอยู่ในท้องเขาก็คิดตามประสาเขาแล้วมีกรรมแล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ได้ เกิดมาก็ยังพูดไม่ได้ก็เลยมีแต่กายกรรม มโนกรรม ตัวเล็กในท้องก็ดิ้นได้ ออกมาก็มีกายกรรม มโนกรรม จนกว่าจะพูดได้ก็มีวจีกรรม จนกว่าเราจะมาเรียนรู้ว่ากายกรรมอย่างไรไม่ควรทำเรียกว่าไม่ดี เป็นทุจริตเป็นอกุศล กรรมอย่างใดไม่ดีเป็นทุจริตเป็นอกุศลเราก็อย่าทำ เราทำแต่กรรมที่ดี ที่เป็นกุศล
กรรมที่ดีเรียกว่ากุศล กรรมที่ดียิ่งกว่านั้น เรียกว่าเป็นบุญ กรรมที่เป็นกุศลกับบุญต่างกัน กรรมที่ทำแล้วเป็นผลดีเรียกว่ากุศลเป็นสมบัติ กรรมที่เป็นบุญนั้นทำแล้วเป็นวิบัติ
บุญคือการกระทำที่จะต้องมีวิธีการใดๆ สามารถสร้างพลังงานในใจให้ฆ่ากิเลสได้ เพราะฉะนั้นถ้ากิเลสลดลง เรียกว่าได้ส่วนบุญ ถ้ากิเลสดับหมดเรียกว่ากิเลสหมดเลย เมื่อฆ่ากิเลสหมดแล้วบุญก็จบ บุญไม่มีได้ บุญมีแต่ฉิบหายเรียกว่าวิบัติ คนได้บุญไม่มี ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเพี้ยนไม่เข้าใจสัจธรรมนี้ ทำบุญไม่เป็นเพราะไม่เข้าใจสาระสัจจะนี้ ไปทำบุญก็ได้แค่กุศล เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ศาสนาพุทธจึงไม่มีการล้างกิเลสเพราะบุญไม่ได้เข้าใจว่าคือพลังงานอย่างนี้แหละ สร้างขึ้นเป็นพลังงานอย่างนี้ให้ถูกต้อง ถูกต้องอย่างไร
-
จะต้องมี สักกายทิฏฐิ คือต้องรู้จักกาย สักกะของตน องค์ประชุมของรูปนามแล้วต้องรู้จิตเจตสิกของตนที่ปรุงแต่ง เป็นธรรมะ 2 .มีกิเลสเข้าไปร่วม แล้วแยกกิเลสอาการของกิเลสในจิตนั้น ในกายนั้น กายไม่ใช่ร่างนะ แต่มีส่วนเป็นร่างด้วย แต่แยกไม่ได้ กายก็แปลว่าสอง กายคือมีทั้งภายนอกและภายใน อ่านอาการกิเลสในจิตได้ แล้วกำจัดกิเลสได้ก็เป็นพระอาริยะเป็นผู้ที่ทำบุญเป็น ทำบุญคือฆ่ากิเลสเป็น ทุกวันนี้เข้าใจบุญเป็นพลังงานฆ่ากิเลสไม่ได้เข้าใจบุญว่าคือกุศล พยัญชนะเรียกว่าบุญ ที่จริงมีหน้าที่ฆ่ากิเลสอย่างเดียว ไม่ได้เป็นกุศลเลย จะว่าดีไหม มันเกินกว่าดีเพราะมันฆ่ากิเลส พฤติกรรมคือเครื่องประหารชีวิต อันนี้ละเอียดมากไม่มีใครมาที่อธิบายถ้าไม่ใช่หลวงปู่ ในยุคนี้มีความรู้ละเอียดลึกซึ้งดี ตั้งใจฟังจะเกิดปัญญา ยิ่งใหญ่
ไม่เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงไม่มีการละกิเลสได้ ล้มเหลวหมดเลยศาสนาพุทธ แต่เข้าใจว่าบุญคือกุศล อย่างนี้เป็นต้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน อายุยืนยาวได้ด้วย 8 อ.
_หลวงปู่ครับ ตอนนี้หลวงปู่อายุ 85 และถ้าอายุ 151 ปี หลวงปู่จะออกกำลังกายอยู่ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ถามล่วงหน้าตั้ง 60 ปี ที่ตั้งตัวเลข 151 นั้นเป็นเรื่องสุดวิสัยของคน ทุกวันนี้ไม่มีในโลก ขณะนี้ คนอายุยืนยาวที่มีข่าวกันทางโทรทัศน์ มีอายุ 116 ปี เป็นผู้หญิงอยู่ที่ญี่ปุ่น สูงสุดที่เขาสำรวจกัน ยังไม่ถึง 120 ด้วยซ้ำ หายากคนจะอายุยาวขนาดนั้น หลวงปู่อายุ 151 ก็ตั้งตัวเลขไว้เท่านั้นแหละ ที่จริงตัวเองไม่ได้เจตนาจะมีอายุถึง 151 อะไรหรอก แต่มันมีเรื่องราวมีที่มา เขาก็ตั้งขึ้นมากันเล่นๆนะ เล่าก็ได้ มันจะจริงหรือไม่จริง จะอยู่ถึง 151 มันไม่ใช่เล่นนะ แต่หลวงปู่ทำ พยายามพากเพียรแต่ก็ไม่แน่ใจไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะอยู่ไปถึง 151 ปีได้ จริงๆนะ ที่ถามว่า 151 จะยังออกกำลังกายได้ไหมมันก็คงจะไม่ไหว เพราะว่าออกกำลังกายทุกวันนี้ก็มากอยู่นะ ถึงตอนนั้นกระดูกกระเดี้ยวกล้ามเนื้อคงจะไม่ไหวมั้ง
คนจะพากเพียรให้ได้อายุ 151 นั้น ก็รู้ในตัวเองแล้วว่าหลวงปู่จะตายตอน 72 ปี แต่ก็ได้ใช้สัมประสิทธิ์ได้ใช้ความเพียร 8 อ. ที่อธิบายเป็น อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ ทำให้ได้สมดุลมีสัดส่วนที่ดีจะอายุยืนยาว ก็พยายามจริงๆ พระพุทธเจ้าก็เชื่อว่าคนจะอายุยืนยาวได้ต้องมีอิทธิบาท 4 คนต้องรู้จักพักรู้จักเพียร จะอายุยืนยาวได้ หลวงปู่อายุเลยจาก 72 มาถึง 84 ปีแล้ว นักษัตรหนึ่ง 12 ปี นี่ก็เลยมา 1 นักษัตรแล้ว ได้ 84 ก็ย่างเข้า 85 ถ้าทำได้ถึง 90 อาตมาว่าสูตร 8 อ. ดูแล ตั้งแต่ใช้ความเพียรคืออิทธิบาท ตั้งใจแล้วก็ดูแลอารมณ์ ดูแลอาหาร ดูแลอากาศ ดูแลการออกกำลังกาย ดูแลการเอนกาย ดูแลการเอาพิษออกจากร่างกาย อาชีพ ครบ 8 อ. ซึ่งจริงได้ผลจริงได้ดูแลจริง จะมีสัมประสิทธิ์ของชีวิต โดยเฉพาะอารมณ์
อารมณ์หลวงปู่มั่นใจในเรื่องอารมณ์ อารมณ์เราไม่เกิดการสปาร์ค ไม่เกิดการทำพลังงานทางจิตของเราให้สูญเสียอำนาจ Spark ก็คือการโกรธ การโลภก็สปาร์ค ไม่ต้องโลภไม่ต้องโกรธคือจิตเราไม่สปาร์ค ไม่กระทบกระแทกกันจนสูญเสียพลังงาน อย่างหลวงปู่นี้ไม่มีความโกรธความโลภแล้ว ทุกวันนี้ประกาศตนเองเป็นโพธิสัตว์แล้ว พูดได้อย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ขัดเขินเลย บางคนที่ไม่เข้าใจจะหมั่นไส้แล้วหาว่าผิดปาราชิกผิดธรรมวินัย พวกรู้มาก เกินไม่เข้าเรื่อง แต่อาตมาว่าอาตมาไม่มีปัญหาไม่ได้ผิด เพราะอาตมาอย่างน้อยเข้าใจสัจธรรมแล้ว อาตมาประกาศว่าเป็นพระอรหันต์ อาตมาก็ไม่ได้มีอาบัติอะไรแล้ว คณะสงฆ์ก็ยกสติวินัยให้อาตมาแล้ว อาตมาพูดอย่างนี้ สงฆ์ยกให้ว่าอาตมาไม่พูดเสียหายหรอก อย่าไปติท่านเป็นพระอรหันต์ถือว่าทำกรรมอะไรไม่มีอาบัติไม่มีอกุศลเจตนาในจิตแน่ อาตมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ทำไมอาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นอรหันต์อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ก็เพราะว่าโลกทุกวันนี้ในศาสนาพุทธมันเข้าใจผิด จะเข้าใจอรหันต์เก๊ อาตมาก็บอกว่าอรหันต์นี่สิจริง อรหันต์เก๊ไม่ใช่ 1. อรหันต์เก๊ 2. อรหันต์เดา เพราะไปพูดว่าบอกตัวเองไม่ได้ว่าเป็นอรหันต์ก็เลยเดากันไปหมด ผิดไปจากคำสอนพระพุทธเจ้าในโลหิจจสูตร โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” . พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
มันเกินกว่าวิสัยของโลกที่จะทำได้ในยุคนี้เป็นยุคที่เสื่อมมาก อาตมาเข้ามารับหน้าที่ที่แบกหนักมาก ต้องเอาทั้งตัวเองเข้ามาทุ่มทุกอย่าง เพื่อที่จะกำราบปรับปวาทะ คนที่เข้าใจผิดให้กลับมาเข้าใจให้ถูกต้องให้ได้ มาทำงานหน้าที่นี้หนักมากเลย ซึ่งต้องลงทุนลงแรงหนักๆ ไม่เช่นนั้นทำเป็น แอ็คๆ อาตมาต้องใช้วิธีพวกนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน ทำอย่างไรจะสร้างฉันทะในการปฏิบัติธรรม
_ปรารถนาจน…ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นธรรม แล้วทำอย่างไรจะสร้างฉันทะในการปฏิบัติธรรมในเมื่อมีแต่ทุกข์
เวลาอยู่วัด แล้วเกิดอารมณ์สุขสำราญเบิกบานใจเราจะแยกได้อย่างไรว่าอันนี้เป็นสุขที่เกิดจากกิเลสหรือ เกิดจากสุขที่เป็นฉันทะ
พ่อครูว่า…ตอบอันหลังก่อน ก็ต้องเรียนรู้อาการจิต เราเสพสุข เสพสุขอารมณ์อย่างนี้ จะเป็นสุขในระดับสุขอัลลิกะ ที่หยาบเป็นกิเลสชัดหรือสุขอย่างสงบวูปสโมสุขไม่ถึงขนาดเสพ ก็จะมีคำที่ละเอียดลออในภาษาบาลีที่ท่านระบุสภาวะไว้ เราก็ต้องเข้าใจคำเหล่านั้นความหมายของคำเหล่านั้นแล้วก็อ่านอาการเหล่านั้นได้ คุณต้องเข้าใจเป็นลำดับ จะให้อาตมาอธิบายแต่ละคำไม่ง่ายหรอก แต่เรายังพอเข้าใจ ศึกษาของจริง หากถามโดยภาษา อธิบายอย่างไรก็ไม่จบ อธิบายอย่างไรก็ไม่ค่อยตรง ถ้าแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน จะรับรู้สึกไม่เหมือนกัน
ต้องการรส ต้องการสวย ต้องการความไพเราะต้องการความอร่อย เกณฑ์ของเราไม่เหมือนกับคนอื่น จะไม่ตรงกันอาจจะใกล้เคียงกันอร่อยเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้นซึ่งเป็นความละเอียดละออมาก อย่าไปคิดของคนอื่นคิดของตัวเองแล้วเราจะรู้สิ่งเหล่านี้
ง่ายๆก็คือ ความหมายของพระพุทธเจ้าที่พูดมาว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ทุกข์จริงๆแล้วก็คือสุข ความสุขจริงๆแล้วก็คือทุกข์ จริงๆแล้วเราจะสัมผัสอะไรในโลกทุกคนเลย ไม่ว่าไทย จีน แขก ฝรั่ง สัมผัสอะไรเหมือนกันหมด สัมผัสรูปอันนี้ นิ้วมือ ก็เหมือนกัน ใครมาสัมผัสนิ้วมืออาตมา เจ๊ก ไทยกับฝรั่งมาสัมผัสก็เหมือนกันหมด แต่คนนี้บอกว่านิ้วมือคนนี้ ก็แล้วแต่เขาจะคิดไป นี่มือคนนี้งอนิ้วมือคนนี้ขาวนิ้วมือคนนี้สวยนิ้วมือคนนี้ไม่สวย ก็ไปอีกไม่รู้กี่แง่กี่ประเด็นแล้วประเด็นต่างๆซ้อนลงไปว่าคุณมีความชอบหรือไม่ชอบความสุขหรือไม่สุขชอบใจหรือไม่ชอบใจ มันก็เป็นจิตวิญญาณกำหนดทั้งนั้น
สรุปแล้ว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีแต่ทุกข์ เพราะศาสนาพุทธให้เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ ถ้าหากดับเหตุแห่งทุกข์ให้หมด คนผู้นี้ก็ไม่มีทุกข์ เมื่อคนผู้นี้ไม่มีทุกข์คนผู้นี้ก็ไม่ต้องมีสุขมีแต่ความสงบใจ อาการนี้จะเป็นอาการที่ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้ใดทำอาการไม่ทุกข์ไม่สุขได้ อุเบกขาถาวรคนนั้นเป็นอรหันต์เท่านั้นเอง อรหันต์ ไม่ยากหรอก ตรงนี้เอง จบ
แล้วคนที่เป็นอรหันต์อยู่กับโลกเขาต้องรู้จักโลก จงอยู่กับโลกอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ หรืออภิปโมทยังจิตตัง อยู่ตลอดเวลา อย่างอาตมา สบายเบิกบานร่าเริงตลอดเวลา ไม่เห็นโศกเศร้าอะไร คนที่ตัวเองโศกเศร้า ตัวเองทำเองนะโง่จะตายชัก แล้วก็เบิกบานร่าเริง ถ้ามันเบิกบานร่าเริงมากแล้วจะติดรสจะต้องได้อย่างนั้น ไม่ได้อย่างนั้นก็เศร้า มันก็ไม่ดีไม่เอา แล้วก็รู้ว่าต้องเบิกบานร่าเริง แล้วอย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องได้ต้องมีต้องเป็นอย่างนี้เสมอ ทำแล้วก็วางได้ อย่างนี้ก็ช่าง ไม่ได้อย่างนี้ก็ช่าง แต่อย่าเศร้า โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส เราไม่มีเลย อาการมันเป็นอย่างไรสภาพของคำเหล่านี้ ถ้ามันไม่มีในจิตของเราเลยผู้นั้นแหละพ้นอวิชชาเป็นปฏิจจสมุปบาททั้งสาย
ผู้นี้สังขารก็เป็นสังขารที่ว่างสบายเบา วิญญาณก็เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ นามรูปก็เป็นธรรมะ 2 ที่เข้าใจตลอดเวลา เป็นเทวดาระดับพรหมสูงสุดเลย เรียกว่าโทมนัสไม่มี ทุกข์ไม่มี เวลาจะสัมผัสอายตนะ ไม่มีตัณหา ภพชาติ โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส อาตมาพูดได้เพราะว่าอาตมาไม่มีอย่างว่านี้ทั้งหมดเลย ชัดเจน ที่พูดนี้พูดด้วยสภาวะไม่ได้พูดด้วยพยัญชนะ
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่บรรลุได้ เป็นได้ ศึกษาให้ดีๆแล้วจะเข้าใจความจริง พวกเรานี้มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ ฟังอาตมาไปด้วยแล้วปฏิบัติมีสิทธิ์เป็นอรหันต์ มันอาจจะเป็นอรหันต์ที่ไม่ละเอียดลออเท่าที่อาตมาเป็น ก็แน่นอน มันต้องสั่งสมต้องมีความชำนาญต้องมี มุทุภูเต กัมมนิเย ต้องมีฐานอุเบกขาองค์ 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตมันบริสุทธิ์สะอาดแม้จะมีเหตุปัจจัยอะไรกระทบก็บริสุทธิ์ จิตของเรามีมุทุ มีความแววไวไม่มีความตกต่ำจะไปเปลี่ยนแปลงให้เป็นสิ่งที่มีทุกข์ โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส ไม่มีแล้ว มีการทำกรรมต่างๆด้วยปัญญา ทำกรรมต่างๆอย่างเหมาะควรที่ประเสริฐตลอดเวลา และตลอดกาล ยืนยงเป็นจิตปภัสสร ผ่องแผ้ว ไม่มีขุ่นมัวไม่มีหมองอะไรเลย
พระพุทธเจ้ามีทฤษฎีให้เราปฏิบัติได้อย่างนี้ อาตมาบอกตรงๆเลยอาตมามีจิตลักษณะนี้ อยากได้บ้างไหมเล่าอยากทำได้ไหม ศึกษาฝึกฝนเอาดีๆ ได้ เป็นของที่ศึกษาฝึกฝนเอาได้ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอกเราทำได้ของเราเอง
ผู้ที่บรรลุแล้วทุกข์ไม่มีแล้วพระอรหันต์ไม่มีทุกข์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์ก็บอกว่าโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ มีความทุกข์ที่เลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้ จะเกิดพ้นทุกข์ได้อย่างไร เราก็ต้องล้างกิเลสให้หมด ความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องมีอยู่ นิพัทธ์ทุกข์อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ประจำร่างกายเรา พยาธิทุกข์ วิปากทุกข์ มี 6 ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็จำนน ส่วนทุกข์อาริยสัจ ไปรักไปชอบอะไรที่เป็นทุกข์ ไปติดยึดอันนั้นอันนี้มาเป็นเราเป็นของเรา สิ่งนี้เรียนรู้ให้ดีแล้วเลิกได้ เป็นอรหันต์แล้วไม่มีทุกข์อย่างนี้เลย
ทุกอย่างแม้จะตั้งอยู่แม้จะเลี่ยงได้หรือเลี่ยงไม่ได้ ที่เลี่ยงไม่ได้แม้แต่เป็นอรหันต์ก็ยังต้องทุกข์ พระอรหันต์จึงพูดแทนผู้อื่นว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแม้หมดทุกข์ที่เลี่ยงได้แล้วก็ยังมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อีก 6 ประการ ก็ต้องอยู่กับมันไปจนตาย ถ้ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเกิดมามีขันธ์ก็ต้องเลี่ยงไม่ได้ อย่างอาตมาไอๆๆก็ทุกข์ ไม่สนุกเลย แต่เราก็ไม่ได้ติดยึดมัน ไอก็ไอ แต่ก็กุศลดีอยู่ว่าไม่เจ็บคอ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ทุกข์เพราะความยึดทางการเมืองแก้อย่างไร
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…ญาติธรรมมีทุกข์กับพ่อท่าน เพราะพ่อท่านว่า ให้เลือกพรรคที่เลือกลุงตู่ เขาคิดว่าคนที่อยู่กับลุงตู่เป็นพวกเสือสิงห์กระทิงแรดเก่า มันชำนาญในการทำอะไรต่ออะไรมา เขาไม่อยากจะเลือก ใจเขานี่อยากจะเลือกพรรคที่ใหม่ๆมีศรัทธาต่อพ่อท่าน มีโอกาสมาพบพ่อท่าน แต่พรรคนี้ไม่เห็นมีใครมาแสดงความศรัทธาต่อพ่อท่านเลยและแถมเป็นเสือสิงห์กระทิงแรดเก่ามาด้วย เขาก็บอกว่าต้องทำตามพ่อท่าน แต่เขามีความทุกข์
พ่อครูว่า..ทุกข์เพราะยึด ละเลียดไป เราก็ต้องดูองค์รวมว่าอะไรเหมาะควร มีการเลือกแบบบุคคลและเลือกพรรค อาตมาอธิบายไปแล้ว
ในขณะแรกเราก็ต้องเลือกพรรคก่อน เพราะพรรคต้องมีคะแนนรวมที่มีเปรียบ ถ้าเลือกพรรคนี้เข้าไปจะได้มีคะแนนไปนำเสนอนายกฯ ถ้าได้มาก ในสภาก็สามารถได้ตามควรเป็นดีกว่า ส่วนคนที่จะมองว่า ผู้ที่ไปอยู่ในพรรคนี้เป็นเสือสิงห์กระทิงแรด แล้วจะให้มันสะอาดบริสุทธิ์ได้หมดทุกคนเลยได้ตามที่เราต้องใจมันไม่ได้ทั้งนั้นแหละ คนเราก็ต้องใจไม่เหมือนกันด้วย เป็นไปไม่ได้หรอกรายละเอียดแบบนั้น อาตมาถึงบอกว่าให้เลือกพรรคก่อน ถ้าไปถึงคราวที่แต่ละพรรค แต่ละพรรค เข้าใจการเมืองดีได้ทำเพื่อสังคมประเทศชาติหมดเลยนั่นแหละเราถึงเลือกบุคคลได้เลย แต่นี่มันไม่มี ขนาดนี้ พรรคเพื่อไทยนี้ใหญ่มากเลย จะต้องเลือกพรรคเหล่านี้ ถ้าเผื่อว่า พลังประชารัฐ สมมุติถ้าพลังประชารัฐ ได้สส.มากกว่าใครเลย
สมมุติว่าผ่านการเลือกตั้ง 24 มี.ค.นี้ พลังประชารัฐได้ส.ส.มากกว่าเพื่อไทย จะเปลี่ยนหมดเลย แม้แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครเชื่อว่าพลังประชารัฐจะได้ส.ส.มากกว่าเพื่อไทย ทุกคนเชื่อว่าเพื่อไทยได้มากสุดแน่นอน แต่ถ้าพลังประชารัฐได้คะแนนมากกว่า ก็บอกว่าประชาชนคนไทยเข้าใจสิ่งที่ควร
เพราะฉะนั้นแพ้คะแนนด้วย อย่างหักปากกาเซียนหมดเลย
สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า.. ญาติธรรม มองรายละเอียดคนเล็กคนน้อยในพรรค แต่พ่อครูมององค์รวม ว่าใช้หมากตัวนี้เดิน แต่ญาติธรรมไปมองเล็กน้อย
พ่อครูว่า..หากไปแตกแยกเบี้ยหัวแตกก็ไม่ได้พลัง อันนี้เป็นแนวคิดอาตมาคนอื่นจะไม่คิดเห็นเหมือนกับอาตมาก็ได้
_สิริมา…1. ขณะนี้เรากำลังทำที่เก็บน้ำเรียกว่าธนาคารน้ำ แต่ดิฉันเห็นว่าธนาคารคือที่เก็บเงิน ธนะ แปลว่าเงิน (พ่อครูว่า…ที่จริง ธนะ ไม่ได้แปลว่าเงินอย่างเดียวเป็นทรัพย์สินก็ได้ด้วย น้ำก็เป็นทรัพย์สิน) แต่ดิฉันเห็นว่า หากใช้คำว่าสหบาลน้ำ (พ่อครูว่า…ไม่ต้องไปคิดเล็กคิดน้อย ก็เข้าใจกันดีแล้วว่าธนาคารน้ำ )
-
การุณยฆาตคือการทำให้ผู้ป่วยโรคร้ายที่มีความเสี่ยงต้องนอนติดเตียงไปทั้งชีวิต การรักษามี 2 แบบคือการุณยฆาตเชิงรุก คือให้สารเร่ง ทำให้ผู้ป่วยสิ้นชีวิตอย่างสงบ 2 การุณยฆาตเชิงรับคือไม่ยื้อไม่รักษาปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
การุณยฆาตเชิงรุกในประเทศไทยถือว่าผิดกฎหมาย แต่การุณยฆาตเชิงรับนั้นถูกกฎหมายในมาตรา 12 ทำได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องทำจดหมาย แสดงความจำนงไม่ยึดการตายเป็นการรักษา
ตามหลักพุทธศาสนาพ่อครูมีความเห็นว่าอย่างไร
พ่อครูว่า…ตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ กาลยุคนี้ที่เขามีกรณีพวกนี้ ทางวัฒนธรรมทางกฎหมายในยุคนี้ ยุคโน้นมันไม่มีเครื่องมือการรักษายื้อไว้ ไม่มีปัญหาพอถึงขนาดหนึ่งมันก็ตายเอง มันหมด จริงๆ สมัยโบราณจะไม่มีมนุษย์พืช จะไม่ค่อยมีเพราะไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่จะยื้อเขาไว้ มันเป็นมนุษย์พืช พีชะแล้วจะ drop ไปแล้วตาย แล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนยึดมั่นถือมั่นจะต้องให้อัตภาพนี้อยู่ต่อไปในอนุสัย ผู้ที่ศึกษาเทวนิยม ก็จะมี อัตตา ตายแล้วไม่ยอมตาย กลายเป็นมนุษย์พืช คนนี้ตายแล้วไม่เน่าไม่เปื่อย จริงมีโมเมนตัมมีอาหารเลี้ยงชีวิตไม่เน่าต่อไปได้ นอกจากไม่เน่าแล้วอาจแห้งลงๆ ไม่เน่าก็ได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไรเลยถ้าเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว
สายเจโต นั่งหลับตาสมาธิอย่างพระจีนตายไปแล้วก็ร่างแห้งไปไม่เน่า เขาก็ไปหลงกราบเคารพกันเป็นเรื่องนอกที่พระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจ จิตนิยาม ไม่เข้าใจความเหมาะควรเลยเถิด บูชาความขลัง เป็นเรื่องนอกพระพุทธเจ้าสอน คนที่ควรตายควรเกิดเป็นอย่างไร แล้ว ระยะหนึ่งเกิดมาแล้วก็ต้องตาย จิตวิญญาณก็ drop ลงแล้ว ไม่ช้าก็หมดลมหายใจ แต่นี่มาสอนกันไม่อยากตายก็ให้อ่อนลงไป ฝึกด้วยแต่อยู่ได้ด้วยพลังงานน้อย กลายเป็นเรื่องมนุษยชาติภาระสังคม แล้วหลงผิดบูชาสิ่งที่ผิดนอกความสมควรเละเทะไปหมดเลย ออกนอกความพอดี สมัยนี้มีกฎหมายมีเครื่องมือแพทย์อะไรต่างๆนานา อาตมาตอบไม่ได้หรอก สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีหรอก เครื่องมือแพทย์ก็ไม่มีกฎหมายก็ไม่มี เดี๋ยวนี้จะตายก็ไม่ให้ตาย ทรมานทั้งคนจะอยู่และคนจะตาย
คนจะตายก็ให้ตายเถอะถ้าเราไปยึดถือว่าเขาไม่ตายง่ายๆเขาก็ไม่ตายง่ายๆ ยึดถืออยู่อย่างนั้นมันก็ไม่ปล่อยร่าง แล้วก็ทรมานตัวเองและคนอื่นด้วยทั้งๆที่ตัวเองแม้แต่จะฟื้นขึ้นมาจากความเป็นมนุษย์พืชก็ไม่ได้แล้ว มันเลยกลายเป็นภาระ เพราะโง่เอง รู้จักวิธีทำก็โง่ๆ
สุดท้ายก็เลยเป็นอย่างนี้ แม้จะเป็นมนุษย์พืชจริงๆ ถ้าถอดเครื่องก็ตายก็เสียบเครื่องไว้ลากไว้ พยาบาลหมอต้องดูแลเป็นภาระหมด พ่อแม่พี่น้องเดือดร้อนต้องมาเฝ้า เพราะมันไม่ฟื้นอีกแล้วเสียเวลา ที่พูดนี้ไม่ได้เป็นคนใจดำ ยุคนี้พูดไปแล้วจะไปวิจารณ์เขาอย่างไร อาตมาก็ตอบไม่ได้ ไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ละประเทศกฎหมายก็ยึดถือไม่เหมือนกันอีก
พวกเรารู้แล้วก็บอกว่าอย่ามาใส่สายนะ ตายแล้วไม่เป็นภาระ ตายไปแล้วก็เกิดมาใหม่ถ้าหากยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
_หนึ่งจะตัดมโนกรรมทำอย่างไร, สอง เทวะคืออย่างไรทำไมต้องไปตีแตกมัน, ชั้นพรหมสุทธาวาสคือเทวะใช่ไหม, สาม แดนโลกธาตุคืออะไร สภาวะของเทวะนั้น ใช่หนึ่งในสามแดนของโลกธาตุหรือไม่
พ่อครูว่า…บอกเป็นพยัญชนะอธิบายไป ก็ไม่รู้หรอก ฟังเข้าใจบ้างแต่ไม่มีสภาวะ
จะตัดมโนกรรมนั้นก็ไม่น่าจะบอกอย่างนั้น น่าจะจัดการมโนกรรมมากกว่า จะทำได้ต้องมีจิตที่มีอำนาจในจิต วสวัตติโก ต้องฝึกต้องเรียนรู้เรื่องจิตแล้วสร้างพลังงานจิต ยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ คุณจะทำได้ดีต้องมีความรู้และไม่ให้มีพลังงานกิเลสมาร่วม แต่ถ้าเป็นอรหันต์ไปแล้วก็จะมีพลังงานจิตที่มี วสวัตติโก ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ คือ ไล่กิเลสออกไปจากจิตหมดแล้ว ก็สามารถทำให้จิตเราทำงานอย่างนี้อย่างนี้ได้ตามบารมี ผู้ใดมีการฝึกฝนมาก็ทำได้
-
คำว่า’เทว’แปลว่าอะไร