620317_วิถีอาริยธรรม บ้านราช ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องถึงมูลสูตร 10
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1EQ_HLVQF6CGtofMyVVnROIZ4HVlByK0WKy9jzTfBfaE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1RvW1njbZcxlfXUX_piPgrxAoRE-b1RtY
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตและในเขต เหลืออีก 7 วันก็จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศไทย คนเอาภาพธนาธรกับลุงตู่ตอนหนุ่มมาเทียบกัน คือคนทุกวันนี้เลือกแต่เปลือกๆหรือวาทกรรม ก็เลยต้องเอารูปมาเทียบว่าใครหล่อกว่ากัน นักประชาธิปไตยยุคนี้อย่างพ่อครูก็มาแนะนำทางที่ถูกต้องไว้ พ่อครูเน้นเนื้อหาประชาธิปไตยไว้ว่า 1 อิสระเสรีภาพ 2 ไม่มีตัวตน 3 มีปัญญา ที่ไม่ใช่ปัญญาเฉโก แต่เป็นปัญญาระดับโลกุตระ
พ่อครูว่า…
_SMS วันที่ 15 มี.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู)
_3867กราบสณ.ฟ้าไทตามข่าวทุกช่องฤาเปล่า?สื่อแต่ละช่องลงโพลนิยมการเมืองตามสปอนเซอร์ที่หนุนแต่ละพรรค!โพลไม่ตรงกันสักช่องเดียว!นิด้าฯบ้านสมเด็จฯซุปเปอร์ฯรังสิตฯโพลดังว่า2พ.ใหญ่นำ!แต่โพลรังสิตว่าลุงตู่ฯพลังปชร.นำโด่ง!คนรุ่นใหม่นิยมตามโพลฤา?คนรุ่นเก่านิยมตามตำราฤา?
ครั้ง1เคยถามผ่านวิปัสสนาข่าวว่าคนบริจาคร่างกายให้เป็นวิทยาทานทางการศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ฯไปแล้ว ถ้าบริจาคอวัยวะบางส่วนจะทำให้ศพนั้นมีอวัยวะไม่ครบสมบรูณ์ต่อการศึกษากายชีวภาพฤาเปล่า? ก็ไม่ได้รับคำตอบ? ว่าที่อาจารย์ใหญ่ในอนาคตไม่ไกล!ที่อยากไปให้ไกลวัฏฏสงสาร!
พ่อครูว่า…อาตมาไม่เก่ง ให้ไปถาม google ดีกว่า
_6218ผมขอถามท่าน พระโพธิสัตว์ว่า พระคำภีร์ สัทธรรมปุณฑริกสูตร นั้นเป็น คำภีร์ คำสอนของใคร โปรดอธิบายด้วย ท. ท่าชนะ
พ่อครูว่า…ไม่รู้ว่าเป็นคำสอนของใคร ขอตอบพวกเราอาตมารู้ธรรมะไม่ได้ไปรู้พยัญชนะตำรา ฟังดีๆ อาตมาไม่ได้เก่งพยัญชนะตำรา แต่ว่าอาตมามีสภาวะ มีพยัญชนะก็รู้เท่าที่จำได้ แม้จะจำไม่ได้แต่เมื่ออ่านพยัญชนะแล้ว ก็ได้รู้จุดหมายความหมายองค์ประกอบ สาระของธรรมะได้ หลายพระสูตรอาตมาตอบไม่ได้ แต่หากให้อาตมาแตะรายละเอียดพยัญชนะก็จะอธิบายได้ทะลุ หัวใจจุดหมายของสูตรนี้
_เจน ฮู เชอร์ · พ่อครูคนเสกคนให้เป็นพระ เข้าใจเจ้าค่ะ. วัดอื่นเสกหินให้พระ ทำได้งัย หินปูนไม่มีจิตวิญญาณ
เป็นคอมมิวนิสแบบพระเจ้า ดีเจ้าค่ะ. ถ้าเป็นแบบ เกาหลีเหนือ ก็ดีนะเจ้าค่ะ สมน้ำหน้า พวกการเมืองทีชอบขี้โกง อย่างทักษิณ (มีเงินให้คอมมิวนิสหมด ดีเจ้าค่ะ )
ดิฉันว่าเป็นคอมมิวนิส ดีเจ้าค่ะ ไม่ต้องมีหรือเปลี่ยนนายกบ่อยฯ. แต่ต้องให้ ลุงจำลองเป็น ผู้นำเจ้าค่ะ. ท่านมีศีลเคร่ง เป็นปกติ แล้วค่ะ
พ่อครูว่า…เทวนิยมไปเดี่ยวดิ่งไม่รู้จักสองจะยาก ประชาธิปไตยขาเดียวไม่รู้จัก 2 ก็ยาก
มีคำความตอนท้ายคอลัมน์ใน นสพ.ไทยโพสต์
พลเอกประยุทธ์กล่าวอีกว่าเหตุผลที่ผมตัดสินใจ ตอบรับการเสนอชื่อ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ ไม่ใช่ความต้องการส่วนตัวของผม แต่ผมมองเห็นโอกาสของประเทศ ที่ต้องพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด และพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วยบุคคลที่หลากหลายทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ หลากหลายอุดมการณ์ หลากหลายความคิดแต่ทุกคน ต้องมาร่วมมือกันทำงาน ยึดหลักผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ทิ้งอดีตเอาไว้ข้างหลัง ทำอนาคตให้ดี
หากผมได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ผมจะสานต่องาน ให้มีการพัฒนาประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อพี่น้องประชาชน ผมจะยึดหลักธรรมาภิบาลกฎหมายต่างๆ เพื่อจะนำพาประเทศ ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างมั่งคั่งยั่งยืน ขอให้พวกเราคิดว่าการกระทำในวันนี้นั้น จะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าวันหน้าเราจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นทำวันนี้เพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่า ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง ตัวพวกเราเอง แต่พวกเรากำลังทำเพื่ออนาคตของประเทศชาติ ของลูกหลาน ของเราทุกคน ที่จะเติบโตมีอนาคตสดใส ในวันหน้า อย่าลังเลใจ ขอให้คุณกล้าไปกับผม”
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ส.ฟ้าไทว่า…นายกฯตู่ฉลาดไม่ไปเองแต่ส่งคลิปไปแทน การทำงานด้วยความหวังมากก็ทุกข์มาก หากต้องทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศก็ยิ่งยาก
พ่อครูว่า…ประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร
สำหรับภูมิปัญญาของอาตมา ประชาธิปไตยที่แท้จริงมี 3 หลักใหญ่
-
ประชาชนมีอิสระเสรีภาพเต็มที่ แต่แน่นอน ความมีอิสระก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น แต่ว่าให้เลยเต็มที่ทางกฎหมาย ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อกฎหมาย ให้อิสระประชาชนเต็มที่
-
ตัวประชาชนเองต้องมีความเห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าความเห็นแก่ตัว
-
ประชาชนสุขสำราญเบิกบานใจ เพราะไม่เป็นหนี้ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยคือประเทศไม่เป็นหนี้ ทำงานเลี้ยงตนได้อุดมสมบูรณ์ ในประเทศจะต้องสร้างสรรค์ต้องผลิต มีผลของการงาน อยู่กินใช้หรือขายก็ตาม หมุนเวียนเอามาเลี้ยงตัวเองได้อุดมสมบูรณ์ และมีเหลือกินเหลือใช้ จึงเอาไปเผื่อแผ่เกื้อกูลแจกจ่ายให้แก่ผู้อื่นได้ ด้วยปัญญา แต่ไม่ใช่แจกแจงไม่มีหลักเกณฑ์โง่เง่า แจกจ่ายอย่างมีปัญญา
จะเกิดปัญญาได้อย่างไร
ปัญญาเป็นภาษาบาลี บัญญัติของศาสนาพุทธเท่านั้น คนที่ไม่เข้าใจเอาคำว่าปัญญาไปใช้ว่าหมายถึงความเฉลียวฉลาดก็ผิดหมดไม่ตรงกับความหมาย
ความเฉลียวฉลาดคือผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้อย่างโลกุตระ เป็นนิยามที่ลึกซึ้ง ปัญญาไม่ใช่ เฉกา หรือเฉโก ที่เขาไม่ค่อยเอามาใช้มันเป็นความฉลาดแกมโกง แต่ว่าปัญญาไม่มีความโกงมีความซื่อสัตย์ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผู้อื่น
ปัญญาของพระอรหันต์คือผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน เป็นผู้รับใช้ ไม่มีอาการของความมีตัวตนอยู่ในจิต ต้องรู้จริงเป็นจริง อาตมาพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจมั่นใจในตัวเองว่ามีจริง อ่านอาการจิตออก
โดยเฉพาะอ่านจิต เวทนา 108 ศาสนาพุทธจะเจาะลึกลงในเวทนา 108 แล้วให้กระบวนการเวทนา 108 ปฏิบัติได้ครบถ้วนเลย จนสูงสุดจบ
(แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..)
-
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
-
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).
แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่..
-
สุขเวทนา
-
ทุกขเวทนา . .
-
อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา).
(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)
-
สุขินทรีย์
-
ทุกขินทรีย์
-
โสมนัสสินทรีย์
-
โทมนัสสินทรีย์
-
อุเบกขินทรีย์
(แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)
จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง
ได้แก่ มโนปวิจาร 18 (คือ เวทนา3 ร่วมกับอายตนะ6)
สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร (6ทวาร+โสมนัส)
ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร (6ทวาร+โทมนัส)
เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร (6ทวาร+อุเบกขา)
พ่อครูว่า…คือแยกกิเลสออกจากจิตได้ แยกกิเลสออกจากกายได้ กายก็คือจิต จิตก็คือกาย กายคือเชื่อมต่อกับภายนอก เกิดสภาพปรุงแต่งก็เป็นสังขาร เกิดความรู้สึกคือเวทนา ที่เกิดจากการปรุงแต่งของธรรมะ 2 ในเวทนาหรืออารมณ์เราก็เรียนรู้อันนี้เป็นสำคัญ
แยกการปรุงแต่งไปด้วยกิเลสได้ (ปุถุชนแยกไม่ได้) แยกกิเลสออก แล้วกำจัดกิเลสด้วยบุญ พลังงานสามารถกำจัดกิเลสได้คือบุญ ต้องทำใจในใจเป็นถึงบุญ ก่อนจะถึงบุญก็คือฌาน ฌานแปลว่าไฟ เป็นพลังงาน อุณหธาตุ ไปสลายไฟราคะโทสะโมหะ สามกองใหญ่
ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธต้องอ่านอาการจิตที่มีไฟราคะโทสะโมหะ
เวทนา 36
เคหสิตโสมนัส 6
เคหสิตโทมนัส 6
เคหสิตอุเบกขา ุ6
เนกขัมมสิตโสมนัส ุ6
เนกขัมมสิตโทมนัส ุ6 . .
เนกขัมมสิตอุเบกขา ุ6 . . .
ครบ 108 เวทนา โดยกาละทั้งสาม ได้แก่ . . .
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นอดีตทั้ง 36 ก็สูญแล้ว
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นปัจจุบัน 36 ก็สูญอยู่
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นอนาคต 36 ก็สูญอีก .
(ปัญจกังคสูตร พตปฎ. เล่ม 18 ข้อ 412-424)
เราอ่านจิตรู้จักเจโตปริยญาณ 16
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
พ่อครูว่า…จริตศรัทธาเจโตจะเป็นแบบสังขิตตังจิตตังเป็นก้อนๆ คนทำสมาธิแบบเทวนิยมคือพวกสังขตังทำให้แน่นเข้าอย่างเดียว ส่วนพวกชอบปัญญาแล้วไม่ใช่ปัญญาแท้ก็กระจายฟุ้งเป็นวิกขิตตัง เทียบเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นกระจาย กระจายได้เก่งก็เป็นเส้นตรง พุ่งออกนอกโลกไม่เส้นโค้งไม่กลับมาเลย ไม่รีเทิร์น ตรงทะลุไปไหนก็ไม่รู้พวกนิวเคลียร์ฟิชชั่น
ผู้สามารถเข้าใจสภาวะ เราสามารถรู้ว่ามันรวมหรือแยก ผู้ใดอยู่เหนือได้เป็นอุตรจิต
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
เราเป็นผู้มีอำนาจเหนือจิตเรา ทำการอภิสังขารจิตตนเองได้ อ่านอาการจิตแล้วแยกแยะวิจัย เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้น1 จัดการเอาพลังงานเสียพลังงานเลวเป็นพิษออกไปได้คือกิเลส แล้วปหาน การปหานกิเลสด้วยการกดข่ม ไม่สำเร็จ นอกจากปัญญา นอกจากความรู้เท่านั้น รู้ความจริงอย่างครบครันว่าอาการกิเลสเป็นตัวปลอมมารยา ไม่มีจริงเลยไม่เป็นตัวจริงเลย ถ้าปัญญามีพลังงานสูงจริง พระอรหันต์มีปัญญาเต็มถ้วน กิเลสมาเกิดในจิตไม่ได้เลยปัญญาเห็นก็หายวับเลย เพราะได้เรียนรู้ฝึกฝนตามพระพุทธเจ้า มีปุญญาภิสังขาร จับได้มีวิจัยวิจาร แยกตัวกิเลสออกมาได้มีกำลังปัญญาเต็มที่ ถ้ามันยังไม่เก่งก็จะต้องจ้องมันอยู่ ใช้ไฟปัญญาสลาย ปุญญะคือสลาย ปัญญาคือรู้ รู้กิเลส รู้ว่ากำลังจัดการกิเลส กิเลสสู้ไม่ได้จางคลายแล้วดับ พอเก่งก็ทำให้หายวับได้เลย จนเอ็งอย่าเข้ามาใกล้นะ โดนรัศมีไม่ได้เลยนะ พอเข้ามาในราศี ถ้าเป็นฉัพพรรณรังสี ของพระพุทธเจ้ากิเลสไปไกลหลายล้านปีแสง หากเป็นพระโพธิสัตว์กิเลสก็เข้ามาใกล้ได้กว่า กิเลสมันมีอยู่ในโลกเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่กับวัตถุ กับพฤติกรรมมนุษย์ ทุกอย่างที่สัมผัสอยู่ ตั้งแต่เห็นรูปจนถึงอาการวิญญาณ แม้ที่สุดไม่มีก็ต้องหาให้เจอ เนวสัญญานาสัญญาก็ต้องรู้
อากาศคือว่าง วิญญาณคือธาตุรู้ ตรวจสอบว่ามีหรือไม่ อากิญจัญฯ รู้ให้แน่ว่าไม่มีแน่นะ เนวสัญญาฯ ชัดเจนว่าไม่มี อากิญฯ ไม่มีแน่นะ เนวสัญญาฯ ทบทวนสมบูรณ์แบบเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ
อาตมาอธิบายตามสภาวธรรมไม่ใช่อธิบายตามท่องพยัญชนะมาสอน อาตมาอธิบายนอกตำราด้วย ตามสภาวะอาตมาเอง
ไม่อยากจะถามว่าใครเป็นอะไรหันมาเดี๋ยวจะยกมือกันพรึ่บ
ถามคุณรู้จักอรหันต์ของโสดาบันไหม แล้วฆ่ากิเลสอรหันต์ของโสดาบันได้ไหม..หมดไหม อย่างนี้ก็เป็นขั้นๆ หลายคนชัดเจนว่าเป็นอนาคามีได้ ไม่มีแล้วข้างนอกมีแต่ข้างใน แต่ถึงขนาดให้เราเป็นอรหันต์นั้น เดี๋ยวอย่าเพิ่งให้ตอบ
จะรู้กระทั่งเราเป็นอนาคามีเต็มรูป อนาคามีระดับสูง อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)
เราจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาวะนั้นแล้วมีจริงด้วย ที่เขาพูดกันแค่รู้จักสภาวะจิตเจตสิกต่างๆที่เป็นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็ยังไม่ค่อยถูกตัวถูกตน
จะต้องรู้จริงจับให้มั่นแล้วก็จัดการ ถ้าเราศึกษาเยอะไปหมดเลยเบลอๆก็ไม่ได้ มันต้องจัดการทีละคู่เป็นรูปนาม แล้วทำให้ชัดเจน มีภูมิปัญญามีธาตุรู้ เป็นธาตุปัญญาที่สูงขึ้นๆ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า ศาสนาพุทธมีความเป็นลำดับที่ละเอียดลึกซึ้งเหมือนฝั่งทะเล ลาดลุ่มละเอียด เป็นเรื่องที่มันน่าอัศจรรย์มาก ใครเข้าใจอย่างนี้ได้บรรลุอรหันต์เลย
หายากที่จะเรียงลำดับแล้วจะได้เร็ว หายาก แต่ก็มีไปตามลำดับ สูงสุดเป็นปัญญาธิกะดีที่สุด
อาตมาอธิบายสัจธรรมและเอามาขยายความ เข้าไปร่วมกันกับสังคมมนุษยชาติ พฤติกรรมของสังคม จนกระทั่งถึงพฤติกรรมของระบบสังคมมนุษยชาติ เรียกว่าระบอบเผด็จการก็ดีระบบคอมมิวนิสต์ก็ดี ระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้พยัญชนะแล้วเอาไปเทียบเคียงกับสภาวะจริงที่มีในมนุษยชาติ อาศัยภาษาสื่อสภาวะจึงจัดการกับสังคมได้ อาตมามีความรู้เรื่องการจัดการกับมนุษย์ พวกคุณได้ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติจึงเกิดผล แล้วจึงเป็นสังคมร่วมกันเป็นสังคมแล้วก็มีวิธีการพฤติกรรมสังคม ใครได้มาสัมผัสกับชาวอโศก จะได้สัมผัสสมาชิกแต่ละคนรู้ได้ว่าคนควรอยู่กันอย่างสงบร่วมกันในสังคมอย่างนี้ มีค่าเฉลี่ยรวมแล้วดี ไม่มีกิเลสออกมาเพ่นพ่าน ไม่มีราคะแรง ไม่มีโทสะแรง แน่นอนมันยังมีเหลืออยู่ ราคะก็ตามก็มีแต่ที่ชัดเจน สงบไม่มีอบายมุข ชัดเจนไม่มีอบาย กามก็ไม่จัดจ้าน รูป กามคุณ 5 รูปก็ไม่จัดจ้าน แต่มันมีรูปให้ดูดี มีมะระ มะเขือ ผ่องงามใส protoplasm ผิวผ่องใส ชุ่มชื่นสงบ เนื้อใน cytoplasm คงฉ่ำดี เต็มไปด้วยอณูสารอาหารน่าเจี๊ยะ หอเจี๊ยะ
เราสัมผัสด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ธรรมะพระพุทธเจ้าท่านสอน อย่าไปหลงปรุงแต่งมันเป็นตัวเก๊ เป็นอารมณ์ปรุงแต่งขึ้นมาบ้าบอเอง ถ้าเผื่อว่า รูปนี้สวย มันก็เอาคำว่าสวยรูปน่าดูน่ามีน่าเป็น ดีกว่ารูปน่าเกลียด เราก็แยกออกเป็นธรรมะ 2 ได้ เราก็ทำรูปน่ารักก็แล้วกันอาศัยได้ ไม่เอารูปน่าเกลียด แต่ที่เราทำมานี่น่าดูทั้งนั้น น่ากิน อย่างนี้เป็นต้น คนก็ชื่นใจชอบใจมีความยินดี
คนที่มีความรู้ความจริงว่าน่ายินดีเป็นแต่เพียงว่าเรารู้ถึงความเหมาะสม เราไม่ดูดดึงและไม่ผลัก ผลักแรงก็คือน่าชัง แม้ผลักเบาๆเราก็ไม่ผลัก มันไม่น่าก็ค่อยคัดออก มันน่ามีให้เราเลือก จนกระทั่งไม่มีตัวน่าชัง เลือกไม่ไหว ทุกอย่างดูน่ารักหมดเลย นี่ก็แสดงถึงความสำเร็จว่าเราสามารถทำได้ มะระนี่ผลมันน่าเจี๊ยะเหลือเกิน ไม่น่าทิ้งแม้ขั้วมัน ทิ้งไม่ลงเลย หมดนี่เลยแล้ว นี่คือเราทำได้สมบูรณ์แบบ
เอาสิ่งที่ชาวอโศกผลิตจริงมีจริงมาอธิบายสัจธรรม ชาวอโศกจึงอุดมสมบูรณ์ เราก็รู้ว่าอุดมสมบูรณ์บริบูรณ์ ครบครันสิ่งที่น่าใช้น่าอาศัย มีส่วนทิ้งน้อยมาก ขั้วมันยังไม่ยอมทิ้งเลย
คนที่ไม่วิปลาสก็จะมีปัญญาชัดเจน สิ่งที่จะร่วมกับคนอื่นด้วยอะไรที่สมควร ปโหติ ก็อยู่กับสิ่งที่เหมาะควร แน่นอนถ้ามีขยะหรือเศษบ้าง แต่เศษจะน้อย จึงเป็นผู้มีเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบ สามารถสร้างผลิตอะไรขึ้นมา มีส่วนเสียน้อยมีแต่ส่วนดีส่วนใหญ่ เราผลิตได้อย่าว่าแต่วัตถุสิ่งของ แต่ผลิตกายกรรมวจีกรรมก็เป็นปาสาทิโก อาการน่าเลื่อมใส่ กายกรรมวจีกรรมน่าดู ไม่มีจุดที่น่ารังเกียจขยะแขยง
พวกนี้คือพวกเศรษฐศาสตร์เป็นนักเศรษฐกิจ สร้างสิ่งที่ดีได้มาก สิ่งที่มันบกพร่องที่จะเอาออกเอาทิ้ง ก็หารร่วมมาก หารออกนิดหน่อย เอาทิ้งไปน้อยเหลือสิ่งที่ดีมาก หารคือการเอาออก เอาออกน้อยมีสิ่งสูญเสียน้อยมีแต่สิ่งเจริญด้วยคูณร่วมน้อย หารร่วมมาก มีแต่สิ่งดีๆ อัตราก้าวหน้าได้มากคูณร่วมได้มากๆๆ เป็นปฏิภาคทวีเยอะแยะไปหมด นี่เราเอามาใช้ทางวัตถุคณิตศาสตร์มาใช้กับนาม พวกเรามีสิ่งที่จะเอาออกไปจากจิต (หาร) เอาออกไปได้มากจนเหลือที่จะเอาออกน้อยลงๆ สูงสุดหมด ไม่ต้องหารแล้ว ทุกอย่างจบ สมบูรณ์ กลายเป็นบริหารคนอื่น พระอรหันต์ตนเองไม่ต้องหารอะไรออกจากจิตแล้ว มีแต่คูณๆๆ จนไม่มีอะไรต้านได้ เป็นสัมประสิทธิ์ที่มีประสิทธิภาพ คูณไปเยอะ ศึกษาแล้วก็ดี พวกเรามาร่วมกันก่อสร้างได้มากมีสิ่งบกพร่องสูญเสียน้อย
แม้แต่สังคม จะมีสิ่งตำหนิติเตียนน่าเอาออกหารออกก็น้อย ไม่ต้องหารร่วมมากมีแต่ตัวคูณร่วมน้อย หาตัวคูณที่จะไม่คูณได้ยาก จึงเรียกว่าคูณร่วมมาก มีแต่คูณร่วมกันมาก ตัวไหนจะพัฒนาทวีเป็นคูณ พวกเราจะหาคนขี้เกียจได้ยากมีแต่คนขยัน มีแต่คนมาคูณร่วมมาก
ในสังคมนี้หาคน คูณร่วม จะคูณไปให้แก่ตัวเองอย่างเดียว มันไม่คูณร่วมกันเป็นหมู่ เผื่่อแผ่กัน มันไม่มีใจแบบนั้น
สังคมพวกเราเป็นมนุษย์ ที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาศึกษาฝึกฝน เข้าใจได้แล้วก็ปฏิบัติได้เกิดมรรคผลอย่างแท้จริง ให้เป็นความภาคภูมิใจในทำมาอย่างยิ่ง ที่ยังสามารถนำธรรมะพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมะที่ยากลึกซึ้งมาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สันตะ สันตา สันติ สันเต สันโต เป็นความสงบที่มากขึ้นเรื่อยๆ สันตะ คือสงบอย่างคล่องแคล่วมากสุด จนนิ่งเหมือนลูกข่างกินน้ำจั้น ลูกข่างนอนวัน ที่อาตมาพูดเอาพยัญชนะขยายสภาวะให้พวกเราทำตามที่มีภูมิรู้ เปรียบเทียบกับจิตเรานิ่งอาตมามีจิตสันตะเป็นแกน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา นิ่งแข็งแรง
อัปปนา นิ่ง สั่งสมอเนญชา พยัปปนา นิ่งขยับไปอีกเป็นเจตโสอภินิโรปนาน ปักมั่นเป็นหลักที่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”มั่นปักหมุดไม่มีอะไรคลอนแคลนได้อย่างนิรันดรเลย
ผู้ที่ทำได้แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ปักหมุดแข็งแรงมากเท่าไหร่ก็จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงสูญถ่วงอะไรมาต้านแรงหมุนกับแรงเคลื่อนมี static กับ dynamic จะเกื้อกูลกันแน่นก็ยิ่งเร็ว เร็วก็ยิ่งแน่น ยิ่งแน่นก็ยิ่งเร็ว เร็วก็ยิ่งแน่น เร็วจนยิ่งกว่านักมายากล สิริมหามายา แสดงอะไรเหมือนคนกลับกลอกกลับไปกลับมา ถ้าหากคนรับไม่ทันก็ถูกหลอกเลย คนรับทันก็รู้แจ้งจบ รู้ตามว่าอะไรคืออะไรเมื่อไหร่กลับไปกลับมาก็ไม่สับสนไม่เวียนหัว
เป็นสภาวธรรมที่สุดยอด อาตมาเรียนตามจนกระทั่งถึงชาตินี้อธิบายได้ขนาดนี้ ยังสามารถลึกซึ้งมากกว่านี้อีกอาตมายังไปไม่ถึงก็ขอพักไว้ก่อน
พวกคุณทำได้แล้วมีมรรคผล นี่คือความสำเร็จของมนุษยชาติ ชาตินี้อาตมาเสียเวลาหลงไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เสียเวลา มันไร้สาระ พอมาทำงานนี้แล้วทำมา 40-50 ปี ยิ่งเห็นสังคมที่งมงายในระดับที่ใกล้ในระดับที่กว้าง จนกระทั่งถึงทั่วโลก หลงกันไม่โงหัวเลยมันจะฆ่าไปถึงไหน มนุษยชาติ เรานั้นหยุดฆ่าแล้วเราเลิกฆ่าแกงกันมีแต่ใจเมตตา เมื่อไหร่หนอเขาจะหยุดฆ่าทำลายกัน เมตตาช่วยเหลือกัน คนจะช่วยคนอื่นได้ต้องช่วยตนเองได้ก่อน ผู้ช่วยตนเองไม่ได้ก็ไปช่วยคนอื่นก็เป็นเตี้ยอุ้มค่อม หลักพระพุทธเจ้าให้ช่วยตนเองก่อนแล้วไปสอนคนอื่นจะไม่เสียหายไม่มัวหมอง อันนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญ คนส่วนมากไม่ทำตามนี้รู้นิดรู้หน่อยก็เบ่งเท่ากับวัวก็ท้องแตกตายเยอะ ไม่รู้ตัวไม่เจียมตัวไม่เข้าใจตนเองไม่สามารถช่วยคนอื่นได้จริง
คนที่จะสามารถรู้จักตัวเราเท่าไหร่ จะช่วยโลกได้เท่าไหร่ตนเองมีต้นทุนเท่าไหร่ รู้จักเขารู้จักเรา รู้ภาวะสองจัดสรรช่วยเขาได้ อาตมาทุกวันนี้ช่วยได้ก็พวกคุณ พวกคุณมีอัตตาให้อาตมาล้างได้ คนข้างนอกเขาก็มีอัตตา แต่ไม่ให้อาตมาล้างหรอก พวกที่ยินดีมาให้อาตมาล้าง สะดวก มูลสูตร 10 สุดยอดเลย
คนที่มีฉันทะ เราจะยินดีกับคนที่ยินดีมา คนที่ไม่ยินดีมาก็เงียบ ต้องมีความยินดีเป็นมูลกา เป็นต้น เป็นรากเค้าแล้วเราจะทำได้สบาย เรียกว่าเลือกลูกค้า ลูกค้าที่ยินดีเต็มใจศรัทธามาได้เลย เรียกว่าคนฉลาดไหม? ลูกค้าที่ไม่ค่อยชอบก็อย่าเพิ่งทำ แค่นี้ทำเต็มที่ไม่อวดดีว่า ฉันจะทำให้มากมีลูกค้าเยอะๆ ทำเท่านี้ก็พอมือแล้ว
ทีนี้การกระทำคืออะไร ทำที่จิต มนสิ แปลว่าที่มนะ มโน การ คือการกระทำ กระทำที่จิตตรงนี้เป็นสัมภวะ เป็นที่จะให้เกิดให้เป็นให้ตาย ที่ๆจะทำตรงนี้แหละในจิตของแต่ละคน แต่ละคนจะต้องจับจิตของตนเองให้หทยรูป อ่านจิตตนเองให้ได้ แล้วรู้ชีวิตินทรีย์ของมัน โดยเฉพาะชีวิตินทรีย์ ชีวิตตัวเล็กที่เป็นกิเลส ต้องแยกออกให้ได้จับตัวกิเลสที่ไม่มีชีวิตในจิตของเรา มันมีชีวิตอยู่ก็ได้อาหาร อาหารคืออะไร คือกิเลส อ๋อ เราก็ฆ่าอาหารมัน จัดการฆ่าอาหารมัน หมดไม่มีอาหารแล้ว กิเลสก็ตาย ไม่มีอาหาร ตายแหง๋เลย เท่านี้ศาสนาพุทธจบ
ผู้จัดการอาหาร แล้วทำลายกิเลสได้เป็นปริเฉทๆไป อย่าไปทำหมดทำเลอะ ต้องตีกรอบทำทีละ 2 ก็สำเร็จไปจนเจริญเป็นวิการรูป 5 จิตคุณก็สบาย ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา เป็นฐานของกายวิญญัติ วจีวิญญัติ
คุณควบคุมความเบาของจิตได้ จัดการจิตได้เร็วไวทัน แล้วก็จัดการให้เป็นการกระทำที่มี อัญญา เป็นกรรมการงานที่มีคุณค่าไม่มีพิษภัย มีแต่ประโยชน์คุณค่า อาตมามองชาวอโศกว่าพวกเรามี วิการรูป อาตมามีญาณปัญญาเห็น จริงมีความ Error บกพร่องบ้าง แต่น้อย สังคมใดที่ทำได้อย่างนี้มีเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ รัฐศาสตร์รัฐกิจ สังคมศาสตร์สังคมกิจ ได้อย่างนี้ก็จบแล้ว ตัวเองรับผิดชอบเท่าที่มีคนดีมาให้อาตมาช่วยเหลือ
จะมีประชาชนคนอื่นมาฟังอาตมาพูดยังมีสื่อสาร เขาก็รับฟังธรรมสื่อสาร ก็ยินดีต้อนรับผู้ที่ได้ฟังอยู่ข้างนอก จะเข้ามาสู่ข้างในนี้ก็เชิญเลย ที่นี่มีพื้นที่ มาสร้างบ้านเรือนกันอยู่ในชุมชน อยากจะได้พลเมืองสัก 1,000 คน จนป่านนี้แล้วอาตมาพูดมาตั้งแต่พ.ศ 2537 ตั้งหลักราชธานี ตอนนี้ 62 ก็ 25 ปี ก็ยังไม่ถึง 1,000 เลย
คนที่มีสิทธิ์จะไปเลือกตั้งได้มีกี่คนนะ มีพรรคพลังประชารัฐมาติดป้ายอยู่อันเดียวเราก็เลยจะลงให้พรรคพลังประชารัฐกัน คนนี้เขามีชื่อว่า นักโยธาทองคำ โยธากาญจน์ ฟองงาม อาตมาก็พูดไปตามบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรแฝง ใครจะว่าน่ารังเกียจก็ตาม ก็เรื่องของคุณอาตมาไม่ได้ทุกข์สุขกับใครจะมารักหรือจะชังหรือเกลียด ของใครของมัน
คนในโลกนี้สามารถเข้าใจสภาวะสัจธรรมอย่างที่อาตมาพูดนี้ได้ อาตมาก็ทำงานสบายใจทุกวันนี้ เป็นแต่เพียงว่าเราก็มีภาวะที่ไอเป็นตัววิบาก นอกนั้นไม่มีอะไร กำลังวังชาเทศน์ 2 ชั่วโมง ก็สบาย อาตมาก็มาทำจิตอาสารับใช้ทำงาน คนอื่นก็ไม่มาแย่ง
อาตมาทำงานประสพผลสำเร็จจนคนไม่กลัวความจน นี่เป็นผลของการทำเศรษฐศาสตร์ทำให้คนมีเศรษฐกิจดีทำให้คนไม่กลัวความจน จนกระทั่งสมัครใจมาจน จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ จนอย่างอุดมสมบูรณ์ จนอย่างมหัศจรรย์ในโลก ขอเป็นคนจนที่ช่วยคนรวย คนรวยไม่เคยหยุดรวย แต่เราหยุดแล้วเธอสิยังไม่หยุด รวยเป็นแสนล้านแล้วยังไม่หยุด ด่าได้ว่า ไอ้หน้าจน
ทุกวันนี้อาตมาภาคภูมิใจที่เป็นประชาชนที่ช่วยเศรษฐกิจแก่ประเทศพาให้ประชาชนมาเป็นผู้ที่ช่วยเศรษฐกิจไม่ไปแย่งกับคนอื่น เป็นคนที่ทำให้แก่ประเทศเพิ่มให้แก่ประเทศอุดหนุนจุนเจือให้แก่ประเทศ ไม่ได้เป็นคนแย่ง เศรษฐีใหญ่ที่ไม่รู้จักจบมันยังไม่รู้จักอยู่ แต่พวกเรานี้ มีแต่สร้างสรร ไม่มีสะสม ไม่กอบโกย มีแต่สร้างสรรให้มากขึ้นพวกเศรษฐีนั้นรวยไม่เข็ด
คนที่เข้าใจมีภูมิปัญญาหรือว่าที่นี่พาให้เจริญมาเป็นคนจน ถ้าหากผู้บริหารประเทศเข้าใจ พัฒนาให้คนมาจนให้ได้ อย่าไปพัฒนาให้คนไปรวยจะประสบผลสำเร็จ ประชาชนอาจตกใจ หากบอกว่าให้มาจน แต่ผู้บริหารเศรษฐกิจควรเข้าใจ บริหารคนให้รู้จักพอให้มาจน อย่างในหลวงร.9 ตรัส ท่านก็ตรัสว่าให้ทำแบบคนจน ขาดทุนคือกำไร
หากเราพยายามพัฒนาบริหารให้คนรู้จักพอมาจน เงินก็สะพัดหมุนเวียนคล่อง เศรษฐศาสตร์คือหมุนเวียนคล่องก็จบแล้ว แต่หากไปตั้งหน้าตั้งตาจะรวยมันก็แย่งกันแล้วเมื่อไหร่จะบริหารสำเร็จ ความจริงเราทำอย่างพระพุทธเจ้าก็บริหารเศรษฐกิจได้สำเร็จแล้ว นักบริหารก็เป็นศาสนิกชนแต่ไม่มีความรู้เรื่องนี้น่าเสียดาย หากผู้บริหารเข้าใจ ตัวเองต้องทำก่อนจะไปขี้โลภเอาแต่พอตัวพอกินพอใช้ หรือ เห็นว่าเป็นคนจนดีด้วย แต่ไม่ขาดแคลนอุดมสมบูรณ์เพราะเป็นคนที่มีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ในอนาคต ชาวอโศกได้เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าจะได้ขึ้นไปบริหารประเทศบริหารเศรษฐกิจ เอาตามหลักพระพุทธเจ้า ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจเจริญ เจริญอย่างประเทศนี้ไม่รวยตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส มีพออยู่พอกิน อุดมสมบูรณ์รวยพอตัวและมีส่วนเหลือส่วนเกินในประเทศ สิ่งหรูหรา แฟชั่นนิยมเราไม่ไปหลงกับเขา รู้จักแก่นสารสาระชีวิตมนุษยชาติ ในการกินใช้ สิ่งที่เป็นพิษภัยมอมเมา สิ่งเกินเลย เช่น สร้างอาวุธ ไม่เอาไม่ต้องไปเสียเวลา เพราะว่าเขาจ้างไปฆ่ากันบาปจะตายชัก ไม่เอา ทำสิ่งที่เป็นปัจจัย 4 จะเจริญด้วยปัจจัย 4 ยิ่งทุกวันนี้การคมนาคมดี สามารถส่งผลผลิตออกไปขายให้ถูกแจกฟรีได้ ประเทศไทยเราก็จะเป็นมหาอำนาจได้ ไม่ต้องเป็นมหาอำนาจเพราะว่ามีอาวุธปืนระเบิดร้ายแรง ไม่เอา เราสามารถที่จะยังชีพมนุษย์ ยังมีพืชพันธุ์ธัญญาหาร ส่งออกแจกจ่ายเป็นสถานีใหญ่ของพืชพันธุ์ธัญญาหารของโลก ทั้งคุณภาพและปริมาณ จะจ่ายให้แก่โลกส่งออกให้มากที่สุด คนนิยมที่สุดเพราะว่าเป็นของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ เพราะเสียเวลาในเรื่องเงินเชื่อ ไม่มีเงินสดซื้อก็ให้หรือให้ฟรี ถ้ามีพอ ถ้าไม่มีพอก็ไม่ให้ แต่ถ้าเผื่อว่าเราเหลือเฟือให้ฟรีได้ให้ แต่คัดเลือกก่อน ประเทศไหนควรได้ก่อน ค่าเฉลี่ยน่าให้เรามีเกินก็ให้มีทั้งแจกให้ ขายราคาถูก ราคาเท่าทุน หรือต่ำกว่าทุนด้วยก็เพราะเรามีเหลือเฟือจากเรากินใช้ ถ้าอย่างนี้แล้วประเทศไม่เป็นมหาอำนาจให้มันรู้ไป รับรองว่าประเทศที่ขายอาวุธระเบิดกัน จะมาแข่งกับเราไม่ได้หรอก
หากประเทศที่มีอาวุธร้ายแรงจะมากดขี่ประเทศเรา แต่เราไล่แจกไปไม่รู้กี่ประเทศแล้วประเทศอื่นจะยอมไหมให้มากดขี่ประเทศเรา เขาก็จะไม่ยอมให้มากดขี่ นี่คือสัจจะมันเป็นการถ่วงดุลกันในสังคม เพราะฉะนั้นเราอยู่อย่างนี้แหละ เข้าใจอย่างนี้แล้วเห็นอย่างนี้ทำอย่างนี้จะเป็นมหาอำนาจเป็นประเทศที่เจริญที่สุด อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส เราจะเป็นประเทศที่ไม่มีประเทศอื่นมาสู้ได้ เพราะว่าเป็นประเทศที่มีเนื้อแท้แก่นสาร
หากผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ อาตมามั่นใจว่าประเทศไทยจะเจริญอย่างที่ว่านี้ จริง
มูลสูตร 10
1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) คือความยินดีความต้องการความประสงค์ความปรารถนาว่าอันนี้ดีนะ นำจิตใจเรา ไม่มีใครบังคับคุณหรอ
2.มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
3.มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
4.มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน