620318_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 44
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1j7jbX3dgE6_miKtZtA8XTCXCaASDfPjsSjgVIltuegM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1DQmQvGdDAH-apl0s2vyY1XK05fGBB143
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
_เกร็ดดิน อโศกตระกูล…ขอเรียนถามเรื่องเจโตสมถะ จำได้ว่าตั้งแต่ออกมาอยู่กับพ่อท่าน ตอนแรกพ่อท่านสอนเจโตสมถะ แต่พ่อท่านเคยบอกว่าเป็นเรื่องสำหรับอนาคามีขึ้นไป ไม่ใช่เรื่องเบื้องต้น เพราะตอนนี้ทุกแห่งพวกเราจะสอนกับคนใหม่ให้เขามานั่งหลับตากับเดินจงกรม ดิฉันว่ามันไม่เป็นลำดับเลย เบื้องต้นนี้ต้องลืมตา ถ้าหลับตาไม่รอด
พ่อครูว่า…มันมีการอนุโลมสำหรับพวกที่ฟุ้งซ่านมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้วิธี กดข่ม วิกขัมภนปหาน นั่งสะกดจิตไปก่อน ก็อนุโลม ตามยุคสมัยตามเหตุปัจจัยองค์ประกอบของแต่ละกาละ ก็ต้องยอม การปฏิบัตินั้นต้องครบทุกทวาร 6 แม้แต่ตาบอดก็ยังหมดสิทธิ์ที่เป็นอรหันต์ หรือแม้แต่คนหูหนวก กิเลสมันมีทุกทวาร เพราะฉะนั้นถ้าประสาทเราทวารใดทวารหนึ่งเสียไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส จิตวิญญาณไม่ได้บอกว่าตาบอดแล้วละเว้นได้ ไม่ละเว้นกิเลส กิเลสมันสะสมอยู่ ไม่ได้ ไม่นับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นนั่งหลับตากิเลสข้างนอกก็ไม่ต้องรับสิ ไม่ได้ โดยเฉพาะศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายก็เกี่ยวกับกามคุณทั้ง 5
_ใจแก้ว…คราวที่แล้วได้เล่าเรื่องลูกศิษย์ธรรมกายมาประลองพลัง แล้วเขาเป็นผู้ชายด้วยเสร็จแล้วก็แพ้ ก็จบไปจะถามว่าทุกคนมีพลังลึกลับทุกคนหรือไม่หรือเป็นเฉพาะบางคน
พ่อครูว่า…พลังของแต่ละคนเท่าที่ตนเองมีไม่เท่ากัน
_ใจแก้ว…เวลาเราทำงานรู้สึกเมื่อย แต่ก็นั่งให้นานไปเรื่อยๆพลังนั้นจะออกมาใช้ได้ตลอด ไม่มีหมด
พ่อครูว่า..แต่ละครั้งเอาพลังออกมาใช้ มันเป็นพลังงานที่แท้จริงของสัจจะ พลังงานทางวัตถุก็ตาม พีชะก็ตาม จิตนิยามก็ตาม มันก็มีจำนวนพลังงาน มีการใช้ไปก็หมด ถ้าเป็นพืชก็เหี่ยว เป็นคนก็เหนื่อย มันก็พร่องก็หมดไปเกลี้ยงไป เป็นธรรมดา ถ้ามันหมดแล้วคุณจะเอามาจากไหน ของคุณ ขอยืมจากคนอื่นก็ไม่ได้
_เกื้อกูล …ตัวดิฉันเป็นคนมือไม้แข็งเมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยไหว้ครู เดี๋ยวนี้ก็พยายามอ่านบุญกิริยาวัตถุ 10 เห็นความน่ารักของคนที่เรานับถือเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือสมเด็จพระเทพ ก็ทำให้เราดีขึ้นบ้าง ถามหลวงปู่ว่า เราควรจะไหว้คนที่อายุน้อยกว่าถูกหรือไม่
พ่อครูว่า…ตอบใจตัวไม่ได้ เด็กที่อาจจะไหว้ในกาละที่ทำงานก็อาจจะมีเหตุปัจจัยไหว้ได้ อยู่ดีๆจะไปไหว้ ประเหลาะเขาก็ไม่ได้ มันจะทำให้คนๆนั้นเขาผยอง
_เกื้อกูล … มีปัญหาว่าเดี๋ยวนี้เด็กคิดว่าผู้ใหญ่เยอะเบื่อที่จะเจริญธรรม เด็กควรไหว้ก่อนหรือไม่
พ่อครูว่า..เป็นวัยวุฒิ อายุน้อยกว่า จะอย่างไรจะเก่งหรือจะฉลาดจะมีความสามารถกว่าผู้ใหญ่อย่างไรก็แล้วแต่เราก็จะต้องไหว้ด้วยอายุ ด้วยวัยวุฒิ เคารพกันด้วยวัย เด็กก็ควรจะต้องไหว้ผู้ใหญ่กว่าเสมอ แม้เราจะเก่งกว่าดีกว่าฉลาดกว่าอย่างไรก็ไหว้ด้วยอายุ เหมือนกับพระพุทธเจ้ามีกฎระเบียบวินัยว่าผู้ที่บวชก่อน ถือว่าเป็นพี่ ไม่ได้นับเอาอายุร่างกาย ผู้ใดที่บวชก่อนถือว่าเกิดก่อนเป็นอายุทางธรรม ผู้บวชทีหลัง จะเก่งเท่าไหร่จะเป็นพระอรหันต์เลยก็ตามก็ต้องกราบเคารพผู้ที่บวชก่อนที่เป็นพระ แม้แต่จะเป็นปุถุชน นี่เป็นเรื่องของการเคารพ คุรุกรณะ 1 เคารพกันด้วยวัยวุฒิ 2 เคารพกันด้วยอายุ 3 เคารพกันด้วยคุณงามความดี แม้แต่เขาอายุน้อยกว่าแต่เขามีคุณงามความดีกว่าก็ควรจะเคารพเขาได้ ผู้ที่มีอายุมากกว่าสู้คุณงามความดีของผู้ที่มีอายุน้อยกว่าไม่ได้ก็เคารพก็ได้ หรือจะเคารพกันด้วยสมมติ
แต่งตั้งนายคนนี้เป็นสิบตรีสิบโทเป็นนายร้อยก็ต้องเคารพกันตามหน้าที่ทำสมมุติ อย่างนี้เป็นต้น มันก็ต้องมีการเคารพ อีกหลายอย่างที่เราใช้ตามสังคมโลก
_เกื้อกูล …เท่าที่สังเกต คนทุกวันที่มีการศึกษาสูงรู้สึกว่าจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนน้อยลง เป็นการชี้ให้เห็นว่าการศึกษาล้มเหลวใช่ไหม
พ่อครูว่า..ใช่ ถ้าเผื่อว่าการศึกษาสูงแล้วถือตัวถือตน เราจะมีการศึกษาสูงมันเป็นกำไรส่วนตัวเรียกว่าเราได้เปรียบแล้ว เราอย่าไปเอาความได้เปรียบไปข่มคนอื่น พ่อแม่รวยได้ไปศึกษาเราก็เป็นกำไรได้เปรียบแล้วอย่างน้อย เราก็มีความรู้ความฉลาดมาก่อนเขา แล้วจะมาเอาเปรียบเขาด้วยการยกตนข่มท่านทำไม ก็แสดงออกสิ คุณเรียนมาแล้วคุณแสดงออกสู้คนที่ไม่ได้เรียนไม่ได้ แล้วมันจะได้อะไร คุณไปเรียนมาแล้วแสดงออกได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้เรียน เขาก็ทำสู้ไม่ได้ก็ถูกต้องตามสัจจะ แต่คนที่เขาไม่ได้เรียนเลยนะแต่เขาแสดงออกมีพฤติกรรมกายกรรมวจีกรรมได้ดีกว่าคนที่ได้เรียนมา ไม่ขายขี้หน้าหรือ
_จากม.2… หลวงปู่คะ ตัวหลวงปู่ก็เป็นสมมุติเทพใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…คำว่าเทพ มี 3 อย่าง
-
สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ 3. วิสุทธิเทพ
สมมุติเทพคือเทวดาสมมุติ เทวดาที่มีการเกิดทางจิตวิญญาณจริงเรียกอุบัติเทพ วิสุทธิเทพคือเทวดาที่บริสุทธิ์สะอาดเป็นพระอรหันต์เป็นต้น
อุบัติเทพ กับวิสุทธิเทพ เป็นโลกุตระ
อุบัติเทพ คือ พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ส่วนวิสุทธิเทพเป็นอรหันต์เป็นต้นไป สมมุติเทพเป็นโลกียะ
วิสุทธิเทพ เป็นคนดี 1 เทพมีเทพโลกีย์ทางกามเรียกกามเทพ เป็นผู้ที่ได้เสพรสทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือเสพรสได้ลาภ ยศ สมบัติ อะไรมาก็ดีใจสุขใจ ขึ้นสวรรค์ ได้สุขใจ เป็นความสุขทางโลกีย์ เป็นความสุขหลอกไม่เที่ยง ได้มาสมใจแล้วก็ขึ้นสวรรค์แล้วก็หายไปไม่เที่ยง อย่างนี้เป็นโลกียะที่เราไปติดยึดเลย ถ้าไปติดยึดจะวนเวียนอยู่ในโลก เป็นความดีก็ตามยินดีในความดีที่เราได้ทำดี มันก็ไม่เที่ยง ยินดียินร้ายก็เป็นเทวเป็นธรรมศาสตร์ ศาสนาพุทธดับความยินดียินร้าย อย่างไรๆจิตก็เฉยๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายไม่บวกไม่ลบไม่ไปข้างนั้นข้างนี้ไม่เกิดอาการนี้ จึงเรียกว่าอรหันต์ เพราะฉะนั้นก็ต้องลดสิ่งที่เป็นข้างโน้นข้างนี้อยู่ ไม่ลงตัวกลางอย่างนิ่ง
จิตจะไม่มีพื้นฐานของอุเบกขายังไม่เป็นวิสุทธิเทพ ถ้าพอเข้าใจแล้วรู้แล้วอ่านจิตเป็น เราเอียงไปข้างไหนข้างที่ชอบหรือชัง ข้างที่เสพรสไม่เสพรสเราก็ลดลงไปได้จนกระทั่งสูญ กลาง จนเที่ยงแท้เลยสัมผัสอีกอย่างไรจะมีเหตุทางตาหูจมูกลิ้นกาย จะมีสัมผัสวัตถุลาภยศสรรเสริญกระทบกระแทกอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลสเอียงไปข้างชอบหรือชังเลย หากเอียงอยู่ก็ไม่เป็นอรหันต์ยิ่งชอบมากชังมาก ก็ย่ิงไม่ใช่ ลดลงได้ ของเก่านี่แหละแต่เราชอบน้อยลงๆ ทั้งชอบและชังนะ ทั้งภาวะสองด้านต้องสมดุล
อันนี้ชอบมาก แต่ชังน้อยไม่ได้ ต้องทั้งความชอบและความชังให้สมดุลทั้งสองด้าน มีอันตาลดลง ปลายสองข้างให้น้อยลง จนกระทั่งไม่มีทั้ง 2 ข้าง ไม่มีอันตา กระทบอย่างไรจิตก็กลาง ใสว่าง ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ผลักไม่ดูด นี่คือฐานนิพพานฐานเป็นกลาง อ่านอาการจิตเราว่ามันมีการเคลื่อนไหวมีผลักมีดูด อ่านเองรู้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ เมื่อมันมีการกระทบสัมผัสของจริง ถ้าไม่เกิดถ้าสัมผัสของจริงคุณเดาเอาไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านไม่ยอมรับหากไม่มีผัสสะภายนอกไม่มีของจริงไม่ถือว่าเป็นสัจจะสมบูรณ์ จะต้องมีการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกแล้วค้นพบความจริง ผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัติตีทิ้งได้เลย ไม่มีทางเป็นพระอรหันต์ ไม่มีความจริง อยู่ในประตูจิตอย่างเดียวตาหูจมูกลิ้นกายตีทิ้งไป 5 ประตูก็หมดสิทธิ์เป็นอรหันต์ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติธรรมนั่งหลับตานั้นมีประโยชน์คือ เตวิชโช ได้
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
_สิกขมาตุฉันกระเทียมได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ฉันกระเทียมนี่ เป็นเรื่องของการถือเป็นวินัยระหว่างมหายานกับเถรวาท เถรวาทไม่ถือ เถรวาทนอกรีตซัดเนื้อสัตว์ด้วย ส่วนเถรวาทที่พยายามปฏิบัติลด ลดไม่กินเนื้อสัตว์เพราะว่าเป็นจิตนิยามลึกซึ้งละเอียด ส่วนเรื่องของกระเทียมนั้น เป็นพีชนิยามไม่มีวิบากเลย มันเป็นกิเลสเราเพียงผู้เดียว เราชอบหรือชังกระเทียมนี่เราชอบในรสกลิ่นมัน ผู้ใดเห็นว่าเรายังติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ยังติดรสเผ็ด กลิ่นฉึ่งเลย จัดจ้าน เพราะฉะนั้นส่วนตัวผู้ใดยังติดยึดอยู่ก็ต้องตั้งเป็นกฎเกณฑ์ของเราพยายามลดละเสียก็ดี
ส่วนผู้ใดที่หลุดพ้นแล้วเรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กลิ่นของกระเทียมรสของกระเทียมก็เฉยๆจริงๆ ก็กินเข้าไปเถอะ คุณติดมันอยู่ก็ต้องตั้งเป็นข้อศีลของคุณ สำหรับผู้ที่ยังติดยึดอยู่ เขาก็พยายามหาเหตุผลว่าจะเทียมมันก็มีคุณสมบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเยอะแยะล่ะ ทุกสิ่งที่เรากินมันก็มีธาตุอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวก็กินได้ไม่กี่อย่างอย่างนั้นน่ะอาหาร ก็จะเป็นการเบียดเบียนตัวเองเกินไป ประเด็นอยู่ที่ว่าคุณยังติดยึดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของกระเทียมไหมถ้าคุณไม่ติดในเรื่องของ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของกระเทียมแล้วก็กินเข้าไปเลย กระเทียมก็เป็นอาหารคุณอย่ากินมากเกินไป กินน้อยเกินไปมันก็ไม่ได้ธาตุอาหารที่เอาไปใช้ เท่านั้นเอง อย่างอาหารเจ เขาติดยึดอะไรบ้าง ก็มีกระเทียม กุยช่าย หอม หลักเกียว คื่นไช่ บางคนบอกว่ากลิ่นหอมกระเทียมกินเข้าไปแล้วมันรบกวนคนอื่น ก็อย่าไปกินให้มันมากก็แล้วกันจะไปติดในรสในกลิ่นอะไรของมันมาก
_สมณะถอนหญ้าได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ถ้าเผื่อว่ามันจำเป็นก็ให้ฆราวาสทำ อย่าให้มันผิดวินัยมันเป็น โลกวัชชะ ก็ให้สัญญาณแก่ฆราวาสเขาไปทำ โดยใช้ภาษาว่าหญ้ามันรกมากไม่ค่อยเข้าที อะไรเป็นต้น ฆราวาสก็ปฏิภาณมีก็ไปทำให้เอง ใช้ศิลปะในการพูด ถ้ามันไม่มีใครเลยพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องทำพร้อมแล้วก็มาปลงอาบัติ อย่างไม่ได้ถอนด้วยกิเลส เราทำแล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นกุศลไม่เสียหายอะไร มันไม่มีความจำเป็นเราก็อย่าไปทำ ถ้ามีความจำเป็นสุดวิสัยแล้วก็ต้องทำ ทำแล้วก็ไปปลงอาบัติเอา มันสุดวิสัย อย่างนี้ก็เป็นเรื่ององค์ประกอบของ กาละเทศะ
_ร่างกายสงสัยมีคนมาเป่าคาถาหยุดพิษไฟหลายครั้งอาการแสบร้อนหายไปมันเป็นอุปาทานหรือเปล่า แล้วอาการแสบร้อนจริงๆมันคงอยู่ใช่ไหม
พ่อครูว่า..การเอาคาถามาดับพิษร้อนนั้น คนเป่าคาถาไล่เราไม่รู้สึกร้อนความร้อนหายไป อย่าว่าแต่เป่าคาถาเลย คนเดินลุยไฟนี่ก็ไม่ร้อนและไม่ไหม้ด้วย ไม่พองด้วย เห็นไหมพลังมันทำได้ 1 ได้จนกระทั่งทำให้พลังงานของเนื้อหนังมังสามันคงทน ทนทานต่อพลังงานทางอุตุนิยามได้ มันก็เป็นจริง พลังงานนี้สู้ได้ตามแต่บารมีของแต่ละคนฝึกมา ทุกวันนี้ก็ยังเล่นกันอยู่ทั่วโลก มันมีพลังงานจริงหรือเบื่อพวกนี้แต่หมดพลังงานแล้วไม่ได้ ได้แต่เพียงชั่วขณะ ไม่ถาวรไม่เที่ยงแท้เลย อวดเก่งอวดดีไปเท่านั้นเอง ดีไม่ดีพลาดท่าก็ตาย
อย่างหน้าเจนี้ก็ทำได้ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วไปเข้าใจว่า เป็นเรื่องของเจ้ามาเข้าอีก มันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่เราไปอาศัยอุปาทานนั้นทำให้จิตใจของเรายึดมั่นถือมั่นแล้วเป็นได้ มันเป็นได้ทั้งนั้นเลยในอุปาทาน
เราศึกษาอุปาทานได้แล้วเราก็ไม่ต้องไปเป็น อาตมาเคยทำมาทั้งนั้นแล้ว เล่นได้จริง อาตมาเคยทำมาแล้ว ลืมไปเยอะแล้ว มันไม่ใช่สิ่งถาวรมันไม่ได้ลดกิเลส ทำไปแล้วยังเพิ่มกิเลสอีกมันก็ยิ่งเสียเวลา แล้วมันจะไปถึงนิพพานได้อย่างไร ถ้าคุณจะมาเอานิพพานก็ทิ้งไปเลย ถ้าคุณไม่เอานิพพานก็แล้วไป คุณจะติดยึดในเรื่องฤทธิ์เดช ความเก่งในการสร้างลาภยศสรรเสริญโลกียะพวกนี้ คุณก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกีย์ คุณก็ใช้ความสามารถแข่งกันสิ แข่งกันใหญ่แข่งกันชนะแข่งกันโก้ วิเศษวิเสโส ก็อยู่แค่นั้นเอง จะมาลดกิเลสแล้วเรื่องนี้มันเจ็บใจ ชาวอโศกเข้าใจเรื่องนี้ฤทธิ์เดชเดรัจฉานวิชชาพวกนี้ ไม่มีเลยในสังคมชาวอโศกเรา ใครจะบอกว่าเราไม่เก่งไม่เป็นไร อาตมาเคยทำได้มาแล้ว
เรามาลดกิเลส มันช่วยทั้งตัวเราและสังคมมนุษยชาติให้อยู่เป็นสุข แต่อย่างนั้นมีแต่การแข่งขันไปอวดดีกัน ดีไม่ดีก็ทะเลาะวิวาทกัน หนักเข้าก็ฆ่าแกงกันไม่ได้เรื่อง มันเป็นเรื่องโลกีย์ เข้าใจอันนี้ให้ชัด
ประเด็นที่มันคงอยู่ไหม มันก็ไม่เที่ยง อยู่ได้ขณะหนึ่งเท่านั้นแล้วคุณก็ต้องทำใหม่ มันมีตำนาน ฤาษีเหาะได้ เมื่อผ่านสระน้ำคลองในวัง เห็นผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยโป๊ๆเปลือยๆอาบน้ำ กามขึ้นก็ตกปุ๊บเลย อายขายขี้หน้าเหาะไม่ขึ้นเลย ก็เดินก้มหน้ากลับขายขี้หน้า เป็นเรื่องที่เอามายกตัวอย่างเป็นตำนานที่เขามีไว้ มันเป็นเรื่องจริง อาตมาไม่ได้สงสัยอะไร เรื่องนี้จริงมันเป็นเช่นนั้น
มันเป็นอุปาทานให้แสบร้อนหายได้ชั่วคราว แต่แผลมันมีอยู่ ปฏิกิริยาไม่ดียังคงอยู่ก็ต้องรักษามันไป
อาตมาเคยสะกดจิตให้คนปวดฟัน หมอฟันเขาไม่รักษาขณะปวดฟัน ให้หายก่อนจึงรักษา มาปรึกษาอาตมาก็สะกดจิตให้เขาไม่ปวดแล้วหมอก็รักษา ภายใน 7 วันไม่ได้ถาวร อย่างเก่งก็ไม่ปวดได้ใน 7 วันเขาก็ไปทำ หมอทำให้ก็ไม่ปวด ถ้าปวดอยู่หมอตรวจสอบไม่ได้ มันจะแผลมาก ประสาทรับรู้ไม่ได้มันปวด ไม่รู้ว่าเจ็บปวดมากไหมน้อยไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ปวดด้วยวิธีสะกดจิตหรือฉีดยาชาเขาก็ทำได้
_อกหักค่ะหลวงปู่ รักแต่เขาไม่ยอมรับ ตัวเองเลยเจ็บปวดดีค่ะ ทำอย่างไรคะเลิกชอบเขาไม่ได้เสียที
พ่อครูว่า…ให้มันตายๆกลอนสุนทรภู่ ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไปแต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน อีกอันหนึ่งก็มีของสุนทรภู่ว่า..มันก็หายไปได้ มันไม่เที่ยงหรอกมันเป็นของปลอม เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามันเป็นเพียงความรู้สึก เรียนรู้เวทนาให้ดี เราจะรู้อุปาทาน จิตเองไม่มีเจ็บไม่มีปวด แต่สรีระนั้นไม่สมดุลมันก็เจ็บปวด จิตกับกายมันเนื่องต่อกัน แต่ถ้าผู้ใดสามารถตัดความรู้สึกทางกายไม่ให้มาเกี่ยวข้องกัน ก็ได้มันก็ไม่เจ็บ เขาเรียกวาแยกจิตแยกกาย การแยกจิตแยกกายอย่างสมถะ ไม่ให้มันไปสังเคราะห์สังขารกันก็ทำได้ แต่ไม่เที่ยง สะกดจิตไปได้ เรารับรู้เสียเต็มๆแล้วเราก็รักษาเหตุก็คือตัวสรีระ ให้ถูกเป้าแล้วหายก็จบ แต่ถ้าไม่รักษา เอาแต่จิต แต่แผลมันเน่ามันเป็นกาย สัมผัสขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เจ็บ มันจะได้วาระหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าเรารักษาแผลรักษาเชื้อให้มันหมดไป มันก็หายไป
มีกวีว่า อดข้าวดอกเจ้าชีวาวายไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา …อดข้าวนี่ตาย แต่อดรักนี่ไม่ตายหรอก
อ่านสิ พระพุทธเจ้าสอนว่ามีรัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก 90 ทุกข์ 90 มีรัก 80 ทุกข์ 80 มีรัก 3 ทุกข์ 3 มีรัก 2 ทุกข์ 2 มีรัก 1 ทุกข์ 1 ไม่มีรักเลยก็ไม่ทุกข์เลย เราไม่รักเสียแล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเรายังรักอยู่ไปผูกพันเขารักในอะไร
ผู้ชายเขาว่า หนังควายหุ้มขี้ ถ้าเป็นผู้หญิงก็บอกว่าถุงขี้ผูกโบว์ ขี้ทั้งคู่ ผู้ชายก็ขี้ ผู้หญิงก็ขี้ มีขี้ทั้งตัว ตั้งแต่ขี้หัวขี้รังแคขี้เหงื่อขี้ไคลจนกระทั่งถึงขี้ เขลอะทั้งนั้น เป็นสิ่งที่จริงไม่ใช่สิ่งที่น่ารักใคร่น่าผูกพันอะไร เกิดมาด้วยเหตุปัจจัยชีวิต อยู่ร่วมกันก็ทำประโยชน์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไปเรื่อยๆอันนี้เป็นคุณค่าที่ดี ถ้ายังจะไปมีคู่มีวิบากต่อไปไม่ว่าชาติแล้วชาติเล่านับชาติกันไม่ถ้วน แล้วก็ไม่รู้จบสักที จะจบจะไปนิพพาน จะไปทางสุข แล้วก็ตัดได้เร็วเท่าไหร่ ตัดได้ชาติไหนได้สวย ขนาดนั้นคนใดยังมีวิบาก วิบากในคู่นี้เป็นล้านๆ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนเป็นสัตว์ล้านเซลล์มีคู่วิบากตั้งเท่าไหร่ สัตว์เดรัจฉานก็มีคู่นับไม่ถ้วน มาเป็นคนก็มีคู่ที่เป็นอวิชชาไม่รู้ที่จบ แต่ละชาติๆ บางคนชาติหนึ่งมีตั้งหลายคู่ ไปผูกพันเยอะแยะ ต้องมาลดล้างจริงๆ แล้วมีนัยอีกเยอะแยะ เราเป็นคู่วิบากกันในชาตินี้ พ.ศ.นี้ ในร้อยปีที่เรามีชีวิตอยู่ เขาไม่มาเกิดเราเกิดก็แล้วไป นึกไม่ออก ส่วนใหญ่จำไม่ได้ แต่ถ้าเกิดมาสัมผัสมันเป็นคู่เก่าจำได้ แต่ถึงอย่างไรเราจะไปนิพพานก็พยายามเลิกเสีย อย่ามานั่งผูก มันก็จะน้อยลงน้อยลงๆๆ สุดท้ายก็นิพพานได้
_ด.ญ.น้ำมนต์…ทำอย่างไรหนูจะกล้าหาญคะหลวงปู่
พ่อครูว่า..จะกล้าหาญทำอะไร…(ทำงาน) ก็เห็นความจริงว่างานนี้ถ้าหนูไปทำงานนี้จะดีไหม ได้งานไหมงานจะเกิดไหม ถ้าไม่ทำแล้วงานก็ไม่เกิด เราก็ไปทำงาน แล้วเกิดผลผลิตแรงงานที่เราทำ ก็เป็นประโยชน์เราก็ได้อาศัยคนอื่นก็ได้อาศัยจากสิ่งที่เราทำในงานที่เราทำ เราก็ได้ทำดี สิ่งที่ดีควรทำหรือไม่ ก็ควร คนเราต้องอาศัยสิ่งที่มีอยู่เป็นสิ่งที่ดี ถ้าสิ่งที่มีอยู่มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเราก็เลิกทำ ทำสิ่งที่ดีดีกว่า ชีวิตสัตว์โลกก็ต้องอาศัยสิ่งที่ดีแล้วยังไม่ตายก็ต้องอาศัยก็ต้องทำสิ่งที่ดีไว้อาศัย ตกลงเราต้องขยันทำงานพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายอยู่ในนี้มีงานให้เราทำได้ ก็ช่วยงานผู้ใหญ่
_แก้วบุญ…เจโตสมถะหมายถึงอะไร
พ่อครูว่า..คำว่าเจโต คือส่วนหนึ่งของจิต คำว่าสมถะคือสงบ เขาหมายถึงสมถะที่เป็นวิธีได้ด้วยการสะกดจิต คำว่าสงบมี 2 คำ คำว่าปัสสัทธิ ก็แปลว่าสงบ คำว่าสมถะก็แปลว่าสงบ
ปัสสัทธิ เป็นความสงบที่เกิดจากทำให้กิเลสลดได้จริง คนที่สงบจิตจากกิเลส จิตใจจะยิ่งคล่องแคล่วรวดเร็วว่องไว ส่วนจิตของคนที่สงบอย่างสมถะจิตจะยิ่งนิ่งหยุดแข็งทื่อไม่มีกิริยาอาการ มันใช้งานอะไรไม่ได้ แต่ถ้าสงบอย่างลดกิเลสออกไป จิตใจจะยิ่งคล่องแคล่วว่องไวเลย เรียกว่าปาคุญญตา ทำงานได้ดีขึ้นเพราะว่ากิเลสทำให้เป็นตัวช้ามันตายไป ไม่มีตัวมารบกวนจิตใจก็เลยยิ่งคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียวทำงานได้ดีมาก เพราะฉะนั้นปัสสัทธิสงบแบบนี้จึงเป็นความสงบที่พระพุทธเจ้าสอน มีความลึกซึ้งมีความดีงามได้เป็นประโยชน์กว่าสมถะ สงบมีอีกหลายคำ วิเวก สันตะ เป็นต้น
_ถ้าผมตื่นนอนตี 4 ด้วยตัวเองทุกวัน แล้วถ้าผมตาย จิตใจจะเป็นเหมือนการนอนหลับ ถึงเวลาตี 4 จิตใจผมจะเป็นอย่างไรครับ
พ่อครูว่า..จิตใจเราก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าเราตายไป ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เกินจะคิด ตายไปแล้วมีพระอาทิตย์ไหม หากหลับตาลงไปแล้วหลับสนิทจะมีพระอาทิตย์ไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นคุณจะไม่รู้
เวลาเลย ตายไปแล้วคุณจะไม่รู้เวลาเลยว่าพระอาทิตย์ขึ้นหรือยัง มันกี่โมงยาม คุณจะตื่นเมื่อไหร่คุณจะรู้หรือ คุณจะรู้ว่าตี 4 ได้อย่างไร เพราะมันต้องวัดตามพระอาทิตย์ขึ้น แต่นอนหลับแล้ววัดตี 4 ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้ถ้าเราฝึกอย่างไรจะได้อย่างนั้นต้องมีเหตุที่ว่านี้ต้องมีพระอาทิตย์ประกอบ ตื่นเท่านั้นเท่านี้มันบอกไม่ได้จะตื่นตี 4 แล้วตามที่ฝึกไว้ มันต้องมีองค์ประกอบมีพระอาทิตย์
_ถ้าหากลูกหลานหลวงปู่เป็นดารา หลวงปู่จะว่าลูกหลานหลวงปู่ออกสื่อไหม แต่ลูกหลานหลวงปู่คนเป็นดาราก็ยังกินมังสวิรัติอยู่นะคะ
พ่อครูว่า..ดาราคนนั้น เขาไม่กินเนื้อสัตว์ก็ได้ส่วนตัวของเขาเป็นผลวิบากที่ดีงามของตัวเองไม่มีวิบากที่เกิดจากกินเนื้อสัตว์ จะไปออกสื่อสารเป็นดาราก็ไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สิ่งที่สนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ ถ้าไม่เรียนรู้และเราก็ไปหลงในรสชาติพวกนี้จะยิ่งจัดจ้านเพิ่มขึ้นไป ก็เป็นดาราลงนรก ดาราสร้างสวรรค์และนรก สวรรค์คือความชอบใจ มีสวรรค์ที่สูงเท่าไหร่นรกก็ลึกเท่านั้น สวรรค์กับนรกเหมือนกันมันกลับขั้วกันไปมาเท่านั้น สวรรค์สูงก็ตกนรกลึก ชอบใจ เท่านี้ก็เสียใจเท่ากันไม่ได้ดั่งใจ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาสัจธรรมพวกนี้มันมี 2 ด้าน อันตาสองด้านต้องเลิกละให้จิตเป็นกลางไม่ติดยึด ในบันเทิงเริงรมย์ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ปหาสะ สัตว์นรก หาสะ แปลว่า ความรื่นเริง ศัพท์ใหญ่ๆเรียก ขิฑฑาปโทสิกะ มีการยึดติดความรื่นเริงบันเทิงใจ ชอบใจในความรื่นเริงบันเทิงใจเป็นหัวข้อใหญ่ของจิต มันจะติดยึดและสั่งสมมาก มากก็เรียกปหาสะ ยิ่งไปติดจัดจ้าน แล้วไม่ถึงใจ ไม่เป็นฮาร์ดร็อคถึงใจก็ไม่มัน ต้องสร้างรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ความดังความเก่ง อย่างพวกบอลนี่ เตะเข้าโกลเก่งฉิบหายเลย โอ้โห สะใจ ยิ่งมีลีลาลูกเล่น มีความพิเศษพิสดาร เตะด้วยส้นเท้าเข้าโกลไปเลย ไม่หันหน้าดูด้วยซ้ำ เตะเข้าโกลเลย คนจับทิศทางไม่ถูกเลยก็ไม่ได้หันหน้า มันก็มีเทคนิควิธีกลเม็ดความสามารถก็ว่ากันไป แล้วก็ไปชื่นชมในความสามารถ เก่งพวกนี้แล้วสะใจทำได้ ก็เท่านั้นเองในโลก
แล้วไปชมเชยยกย่องอย่างกับเทวดา ได้เงินได้ทองเยอะ มันก็เลยชอบใจกันไปใหญ่ พวกดาราทางไหนก็แล้วแต่ดาราทั้งสวยงามดีดเต้น แสดงท่าทาง ดาราทางกีฬา ไปในเชิงนั้นเชิงนี้มันก็มีอยู่แค่นั้นแหละในโลก หลวงปู่นี่เคยลองมาทั้งนั้น เล่นกีฬาแต่ไม่เก่งสักอย่างก็เลยไปเอาดีทางวิ่งแต่วิ่งก็ไม่เร็วก็เลยไปฝึกวิ่งทน ตอนไหนๆก็ต้องไปวิ่ง แล้วก็ต้องไปหาที่วิ่ง อยู่อุบลฯนี่แหละ ทุ่งศรีเมือง ไปวิ่งที่สนามแข่งม้า แล้วมันมีต้นไม้ที่คนผูกคอตายก็ต้องไปวิ่งอยู่ตรงนั้นกลัวก็กลัว เวลาผ่านต้นไม้ต้นนี้ แต่ไม่เคยถูกหลอกเลย เป็นหัวหน้าตั้งคณะด้วยนะกรีฑา กีฬา บางอย่าง เตะบอลก็มี แต่เป็นตัวสำรองไม่เข้าท่าอะไร
_ถ้าเราเกลียดเขา แต่เราไม่อยากเกลียด
พ่อครูว่า…ก็หาความดีงามความน่ารักของเขา เราไม่อยากเกลียดเขาก็ต้องหาความน่ารักของเขาให้เจอ คนนี้เขาทำงานดีคนนี้เขาจิตใจดี กายกรรมวจีกรรมน่าเคารพนับถือ อะไรต่างๆพวกนี้ดูสิ่งที่ดีงามของเขาให้ได้ในตัวเขาให้เรา ก็จะไม่เกลียดเขาเพราะเขามีสิ่งที่ดีในตัวเขาเยอะ ยินดีในตัวเขาดีกว่าไปเกลียดเขา ไม่ยาก ฝึกเถอะ อ่านดีๆ
_พระพุทธเจ้าท่านห่มจีวรสีเหลืองใช่ไหมคะแล้วเขาไม่ให้ห่มสีเหลืองใช่ไหม
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านห้ามสี 7 สี 1.สีครามล้วน 2.สีเหลืองล้วน 3. สีแดงล้วน 4.สีบานเย็นล้วน 5. สีดำล้วน 6. สีแสดล้วน 7. สีชมพูล้วน (พตปฎ. เล่ม 5 ข้อ 169) ที่เขาห่มกันทุกวันนี้มีสีแดงสีแสดส้มเหลืองอะไรพวกนี้ผิดอยู่ทางนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้นุ่งห่มสีเหลืองแต่นุ่งห่มสีน้ำสาดสีน้ำตาลมีทั้งน้ำเงินด้วย อย่างสีแสดสีเหลืองไม่มีสีครามน้ำเงินเลย ต้องผสมสัดส่วนสามสี เหลือง แดง น้ำเงิน ผสมกันสัดส่วนจะได้น้ำตาล เป็นสีที่ได้จากการย้อมเปลือกไม้ น้ำฝาด มีเหลืองก็เหลืองคล้ำ ไม่แดงแป๊ด แสดแป๊ด เพราะมีสีน้ำเงินทำให้เพี้ยนไป แต่ถ้ามีแต่เหลืองแดงนี้ไม่ได้เลย
สีเหล่านี้เป็นสีจัดๆโลกๆ แต่ถ้าสีมอซอหม่นไม่ชวนตาก็ใช้ได้ สีย้อมน้ำฝาดจากเปลือกไม้ยางไม้เป็นสีธรรมชาติ
_สไลเดอร์ทำไมไม่ค่อยสูงนัก
พ่อครูว่า..เอาเถอะ สูงนักก็จะมีอุบัติเหตุได้
_หลวงปู่ ไม่เชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ปาฏิหาริย์มี 3 อย่าง ดูกร เกวัฏฏะ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง เป็นไฉน ? คือ
-
อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)
-
อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)
-
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา 8 เป็นปัญญาสัมปทา)