เม.ย.52019ศาสนา620405_พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ 43 บ้านราชฯ คนหมดตัวตนจะไม่หมดตัวตน อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1oZQxNdf6K8EESiWAenq42agJwWQrIE-9vANWsNRQX28/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=19TNDFumfYEbTG2ay6-ZKzMw3rIVVE6– พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 43 ได้เริ่มต้น ณ บัดนี้ วันที่ 5 จนถึงวันที่ 11 เมษายน 2562 ก็จะเป็นวันสุดท้ายของปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 43 ปลุกเสกฯเป็นภาษาไทย อภิเษกเป็นภาษาบาลีสันสกฤต ปลุกเสกฯหรือพุทธาภิเษกของเราเป็นการติว ปีหนึ่งครั้งสองครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันในรูปแบบ แพทเทิร์นเดียวกัน แต่นัยรายละเอียดความลึกซึ้งความรู้ความหมาย แม้แต่จะมาฝึกฝนมีพฤติกรรมมีการสัมพันธ์ ร่วมชุมนุมกันมา มากินอยู่ร่วมกัน อยู่เป็นสังคมที่เกิดการสัมผัส ผัสสะ สัมผัสทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย ใจด้วย เกิดการสังเคราะห์สังขาร ผู้มีภูมิปัญญาสามารถรู้จักการสังเคราะห์สังขารเป็นวิจัยวิจารณ์เป็น และเราก็แยกแยะจัดการ อภิสังขาร จัดการกับสภาวะในจิต กายกรรมดูไม่ดีเป็นความหยาบ กิริยาภายนอก เราก็จัดการปรับปรุงให้มันดีอย่างไรตามสมมุติโลก กายกรรมวจีกรรมเป็นส่วนสมมุติ ส่วนใจเป็นปรมัตถ์ เป็นประธานของชีวะ โดยเฉพาะประธานของความเป็นคนเป็นมนุษย์ เป็นตัวที่ยิ่งใหญ่ ศาสนาเทวนิยมเรียกว่าพระเจ้า แล้วพระเจ้านี้เขาก็บอกว่าเป็นอีกอันนึงที่จะมาสั่งกายวาจาใจเรา สั่งการหมด แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เราเป็นเจ้าของใจหรือกิเลสเป็นเจ้าของใจ คือสอง สองนี่แหละคือเทวะ หรือ เทฺว แต่ถ้าเข้าใจก็คือสัจจะเดียวกันเป็นสภาพ 2 อย่าง ตลอดกาลนาน ต่างคนต่างเข้าใจ 2 นี้ให้ได้ให้เป็นหนึ่ง คุณจะเหวี่ยงไปเป็นด้านไหน เราก็มั่นแม่นคมชัดลึก รู้ได้ ตัวที่ต้องการตัวที่จริงจังตัวที่จะใช้งานในปัจจุบันใดๆ คือตัวใด คือลักษณะไหน จะต้องมีจิตอะไรเรียกว่า มุทุธาตุ ชัดเจน จับได้แม่นมั่นแล้วเอามาใช้ถูกจังหวะถูกสถานการณ์ อยู่กับสิ่งที่ประกอบกันด้วย สังขารกันอยู่ ร่วมกันอยู่ อย่างได้สัดส่วน ได้คุณภาพ คุณธรรม คุณสมบัติ คุณวิเศษที่ดี เศษคือเหลือ วิ คือไม่ วิเศษคือไม่เหลืออะไรอีก ถ้าจะเหลือคือเหลือความยอดเยี่ยมความจบ มีแต่ดีสุด คือวิเศษ ถ้าจะเหลือก็เหลือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เหลือคือสิ่งที่ไม่ดีไม่เหลือเลย ปีนี้ อาตมาบอกได้ อาตมาชัดเจนถึงความเป็นเทวะ เทฺว หรือเทวดา หรือเทพ ตัวเดียวกัน เทวตา หรือเทวดา เป็นคำปัจจัยร่วมเป็นคำนาม ภาษาไทยเรียกเทวดา ภาษาบาลีคือเทวตา พยัญชนะกับสภาวะ สองอย่างนี้เรียนรู้ จะใช้อะไรสื่อภาษาการแสดงออกทางกายกรรมวจีกรรม ส่วนจริงคือสภาวะแท้ของมโนของธาตุรู้ชัดๆของชีวะ โดยเฉพาะจิตนิยาม จิตสัตว์โลกที่เป็นมนุษย์ แล้วเราก็สามารถจัดการกับชีวิตของเรา ทั้งแท่งภายนอกภายใน ให้เป็นไปอย่างสงบ เป็นไปอย่างเรียบร้อยเป็นไปอย่างไม่มีพิษภัย มีแต่คุณค่าประโยชน์ มีแต่สิ่งที่ดีงาม เราไปจัดการชีวิตแต่ละเจ้าตัว ตัวใครตัวมันจัดการได้อย่างดีที่สุด ก็เป็นคนที่มีคุณค่าประโยชน์ ปลอดภัยที่สุด ไม่มีพิษภัยต่อใคร มีแต่คุณค่าประโยชน์ต่อทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ดินน้ำไฟลม ต่อพลังงานในระดับอุตุ ถึงจิตนิยาม จนรู้ครบรอบถ้วนรู้บริบูรณ์สมบูรณ์รู้ดีที่สุด ซึ่งมนุษยชาติทุกคนจะเดินทางมาสู่จุดสุดยอดนี้ เป็นอรหันต์ อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ อรหะ กับ อันตะ อันตะคือที่สุด สุดจบแล้วไม่มีอะไรต่อจากนี้อีกแล้ว ไม่มีอะไรมากกว่านี้อีกแล้วไม่มีอะไรสูงกว่านี้ สุด อรหะ เพราะฉะนั้นอรหันต์จุดแรกคือ กิเลสของแต่ละคน ของเรามีกิเลสเท่าไหร่ เราทำกิเลสของเราดับตาย ไม่เกิดในจิตเราอีกเลยถาวรมั่นคงยั่งยืนนิรันดร ไม่มีอีกไม่เกิดอีกเลย นั่นก็คือจบ แค่นี้แหละในแต่ละคน ถ้าเรานึกว่าเราจบแล้ว พระอรหันต์ที่ยังไม่แน่แท้มีเศษธุลีเหลือ ยังมาเกิดแถมอยู่อีกๆ แต่ส่วนใหญ่ทำได้แล้ว อรหันต์ระดับต้นๆฆ่ากิเลสตายไปแต่มันยังมีตัวฟื้นจากสลบ หรือว่าตัวไม่รู้มันยังแอบอยู่หรือว่าจรมาใหม่ก็ตาม ทำให้หวั่นไหวอยู่มีกิเลสวอบแวบอยู่ เราก็ฆ่าอีก ทำอีก ทำไปจนกระทั่งมันมีอะไรที่จะอยู่ในโลก สัมผัสกับอะไรในโลกที่เรามีชีวิตอยู่ในชาตินี้ เราเกิดมาแล้วก็สัมผัสกับอะไรต่างๆเราก็รู้หน้าตาของกิเลส เราก็รู้ว่าเราทำให้กิเลสดับได้ สัมผัสแล้วกิเลสเกิดหน้าตาของกิเลสเป็นอย่างไร พอมันโผล่หน้ามาปั๊บ เราก็จัดการมันได้ กิเลสมันเข้ามาในจิตเราไม่ได้ อั้นนั่นแน่! กิเลสหาย สู้หน้าเราไม่ได้ กิเลสสู้หน้าเราไม่ได้ กิเลสมันแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะเห็นกิเลสแสดงอยู่เต็มโลก พระอรหันต์เบื้องต้นก็เห็นกิเลสเท่าที่ตนเองจะเห็น กิเลสมันมีมากกว่าที่ตัวเองเห็น นอกนั้นมันไม่รู้ว่ามีกิเลสไม่เห็น ไม่เห็นก็แล้วไป ถ้าไม่เห็นเราก็มายึดถือ เราไม่รู้เราไม่สะดุ้งสะเทือนก็เหมือนไม่มี คนที่ไม่เห็นมันก็เหมือนไม่มี เพราะฉะนั้น ง่ายๆตื้นๆของพวกปฏิบัติธรรมก็คือไปดับหลับตาไม่เห็นเสีย ไม่เห็นก็นึกว่าไม่มี พอลืมตาขึ้นมามีเยอะแยะ แต่พอหลับตาก็ไม่เห็น หยุดได้ ลัทธิหลับตาเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่อยู่เหนือ กิเลสมันดิ้นเพ่นพ่านอยู่ในโลก มันก็ดิ้นไปสิ แต่เราอยู่เหนือมันทำแบบเหนือ มันมาแตะเรามันก็ผลอยออกไปเอง แตะเราไม่ได้เข้าใกล้เราไม่ได้ด้วย ให้มันไปแตะเถอะ แตะก็ผลอยไป เข้าผิวหนังเราไม่ได้เลย เข้าไปสู่จิตเราไม่ได้เลย กิเลส นั่นคือผู้หลุดพ้น นี่พูดภาษาไทยๆ เข้าใจง่ายๆ คนทำได้ก็ง่ายไง คนทำไม่ได้ก็ยากสิ แต่ทำได้แล้วง่ายจริงๆ ง่ายจนไม่ต้องทำ สำเร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่ต้องทำมันง่าย ง่ายจนไม่ต้องทำจนมีพลังภูมิคุ้มกัน อันอื่นมาแตะผลอย หรือเราลุยกับมันเลย สัมผัสทุกอย่างเราก็มีอำนาจอยู่เหนือมัน ในขณะที่คนเป็นๆมีชีวิตในโลกก็มีดินน้ำไฟลมรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จะมีองค์ประกอบที่เราร่วมอยู่ด้วยในโลกปัจจุบัน แล้วก็สัมผัสสิ่งนั้นอยู่ ไม่มีเราก็ไม่กลัวอะไรเพราะเราอยู่เหนือมัน มันมาเป็นนายเราไม่ได้สักอย่าง แล้วเราก็ไม่ได้อยากได้ ไม่ได้ต้องการมัน สิ่งใดที่เป็นความจำเป็นที่ต้องการหรือต้องมีต้องเอามาใช้ ใช้สังเคราะห์เป็นร่างกายใช้สังเคราะห์ร่วมเป็นบริขาร เป็นเรื่องร่วมประกอบ เช่น ต้องการไมโครโฟน ถ้าไม่ใช่ไมโครโฟนเสียงมันไม่พอใช้ มันควรจะได้อย่างพอใช้ เราไม่มีไมโครโฟนมันก็น้อยไปเสียงเราพูดไปแล้วมันควรจะได้ประโยชน์มาก พอสมควร เราก็ต้องใช้อันนี้ประกอบ อย่างมีคนนั่งในที่นี้ เสียงก็ได้ยินทั่วให้คนเฉพาะในที่นี้ก็พอดีแล้ว ส่วนข้างนอกก็ไม่ต้องไปกังวล เขาได้ยินแว่วๆ ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่เขาก็เข้ามาฟังเองมีที่ให้เขาเข้ามาได้ ไม่ต้องไปเกินขอบเขต ไปให้คนอื่นได้อย่างไม่มีที่สุด มันก็ประมาณไม่ไหว คุณเองจะต้องใช้ไมโครโฟนใช้เครื่องมือที่จะกระจายเสียงไปจนกระทั่งถึงที่ไหนๆเขาก็รับได้หมดจนกระทั่งเหลือทิ้งกระจายทิ้งไป เพราะเรามีเหลือเฟือทำไปเถอะ แต่เราไม่มีเงินทองข้าวของวัตถุอะไรที่จะทำได้ถึงขนาดนั้น เราก็ทำตามควร ถ้าเรากระจายไปมากกว่านี้ ตอนนี้บุญนิยมก็กระจายไปหลายประเทศ แต่ก็ไม่ได้มากเท่าคนอื่นที่เขาไปรอบโลกเลย มีหยาบ กลาง ละเอียดอีกหลายชั้น เราไม่ได้ตักบาตรจะไปให้ทั่ว มันก็จะเฟ้อเปล่าๆ เขาก็เห็นว่าไร้สาระทั้งๆที่มันเป็นสุดยอดของสาระ เหมือนลิงได้แก้ว มันก็ว่าสู้กล้วยใบหนึ่งไม่ได้ เอาแก้วกับกล้วยให้ลิงเลือกมันก็เลือกกล้วยมากกว่าแก้ว คนที่ไม่รู้ค่าก็ต้องปล่อยเขาไป อาตมาไม่ได้กังวลไม่ได้ตกอกตกใจ เราทำสิ่งที่เป็นสัจจะความจริง อาตมาก็ประมาณตามมวลคุณภาพของพวกเราสูงขึ้นๆ ก็กระเถิบขึ้นไปตาม มีมวลเท่าไหร่เท่าที่อาตมาประมาณได้ เกินกว่านั้นเขาก็ขวนขวายเอง ก็เอาที่เรารับผิดชอบได้ให้ได้เพิ่มสูงเจริญขึ้น ตราบที่อาตมายังไม่หมดภูมิ ยังมีภูมิอีกที่จะให้ จนกว่าจะมีคนที่มีภูมิมากกว่าอาตมามาต่อให้อีก อาตมาก็ยังบอกว่าโพธิสัตว์ผู้พี่อยู่ไหนเอ่ยมา แต่ถ้าในยุคนี้กาละนี้ สังคมโลกมีแสงสว่างพระอาทิตย์ ใบนี้ทั้งใบไม่ใช่แต่ประเทศไทย โพธิสัตว์ผู้พี่อยู่ที่ไหน ที่มีโลกุตระมาสอนด้วย แต่โลกียะนั้นคนสอนเยอะแยะให้เขาสอนไปเถอะ จริงว่าเราอาจจะรู้โลกียะ แต่พวกศาสดาโลกียะมีเยอะ เดี๋ยวนี้มีลัทธิศาสนาที่รับช่วงอีกเยอะ ไม่ต้องไปกังวลโลกีย์เขาหรอก โลกุตระมีน้อย แต่สำคัญกว่าโลกียะ ที่จะช่วยโลกได้ คนโลกุตระนั้นไม่ต้องใช้อะไรของโลกียะก็ได้ เพราะลักษณะของโลกียะนั้นก็มีพอกินพอใช้เหลือเฟือแล้ว สร้างสิ่งที่เป็นโลกียะสามัญของโลก ที่สำคัญเอาไปเผื่อแผ่ให้แก่คนทั้งโลกด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ต้องช่วยหรอก โลกุตระไม่ต้องช่วยเขาหรอกเขาพอแล้วเขามีสันโดษแล้ว เขามีเหลือเฟือแล้ว ชีวิตก็สบายแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าพอมันจะเป็นจุดจบของพลังงาน จบกิริยาที่จะเอามาบำเรอเพื่อตน แต่พลังงานที่จะเอาไปสร้างสรรค์ได้มากได้เหลือกว่านี้ก็มีอีกทำเพื่อผู้อื่น อันนี้แหละพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราไม่สันโดษในกุศล สิ่งที่เป็นประโยชน์ของค่าดีงามพระพุทธเจ้าเราไม่พอ เราจะสร้างให้เผื่อแผ่ ให้ผู้อื่นได้เหลือเฟือไม่ต้องทิ้งขว้างถ้าเราสามารถทำได้ ให้มันเหลือจะได้ไม่แย่งกันจะได้มีอาศัย แม้แต่คนที่ตะกละขี้โลภก็ให้หอบไปให้เข็ดแบกให้เข็ด แบกเข้าไปโลภเข้าไป เสร็จแล้วเอ็งก็ตายจากไป ชาติหน้าเอ็งก็ไม่รู้หรอกของเอ็ง ถึงแม้รู้ว่าของเอ็งก็จะไปเอาจากคนอื่นได้อย่างไรเพราะมันเปลี่ยนมือไปแล้ว เอาไม่ได้หรอก สัจจะพวกนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอามาอธิบายได้ชัดเจนที่สุด อาตมาชาตินี้เกิดมาแล้วทำงานมา จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็พูดย้ำอีก มีคนมาซักถามว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นอรหันต์ โอ้โห ซาบซึ้งถึงทรวงในเลย อาตมานี่ตื่นโพลงเลย ชื่นใจเลย โอ้โห นี่มาถามเราได้ ว่าท่านรู้ได้ไงว่าท่านเป็นอรหันต์ ก็ทำไมจะไม่รู้ล่ะ อาตมามีอรหันต์อยู่ในกระเป๋านี่เต็มกระเป๋าเลย อรหันต์ของอาตมา ล้วงเข้าไปในกระเป๋าทีไรก็อรหันต์เราเต็มกระเป๋า ถ้ามาถามว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นอะไร มาถามเราได้เราก็ควักอรหันต์มาแจกให้ ก็นี่ไง เรามีเราเป็นจริงๆของเรา แล้วตัวเองไปเปิดดูสิ ก็อรหันต์ก็คือไม่มีไง เอ้า! ก็ไม่มี อาตมาไม่มีกิเลส แล้วกิเลสเป็นอย่างไรก็อธิบายกิเลสให้เขาฟัง ถ้าเขามีกิเลสอยู่ก็จะรู้ว่า อ๋อ อย่างนี้หรือกิเลส แล้วอย่างนี้แหละมันไม่มีในตัวเองก็เริ่มตั้งแต่ความเป็นสัตว์ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้อง เมื่อสัมผัสกับความเป็นสัตว์แล้วคุณก็ยังมีรักมีชังกับสัตว์นั้น จนกระทั่งถึงทำร้ายหรือว่ารักดูดดื่มเป็นเนื้อเดียวกับฉันเลย อาการอย่างนี้คุณมีไหม ต้องพูดกันจนรู้เรื่องว่าอาการอย่างนี้เรามี ถ้าคนที่พูดกันรู้เรื่องว่าอาการอย่างนี้ นั่นแหละ เราไม่มี แล้วเราไม่มีเป็นอย่างไร?คุณก็ต้องเอาของคุณออกเองให้ได้ล้างออกไปให้ได้จนกระทั่งจิตคุณไม่มีอาการอย่างนี้ ลองถามเขาดู อาการที่ไม่มีของคุณจะมีไหม? เช่น คุณไปเกี่ยวข้องกับไฟ คุณไปจับไฟนี่ร้อนไหม มันไหม้เลยนะ คุณก็ไม่อยากจับไฟ คุณมีไหม ตัวไม่มีตัวอยากจับไฟ มีแต่ตัวไม่อยากจับไฟ เพราะมันร้อนพอเจอไฟแล้วอย่าไปจับมันร้อน คุณก็ไม่มีความอยากจับไฟแล้ว แล้วตอนนี้คุณมีไหม คุณเจอไฟแล้วอยากจับไฟไหมตอนนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้ามันทุกข์มันร้อนเมื่อจับไฟแล้วมันทำให้เราไม่สบายเรารู้แล้ว แล้วคุณรู้ใช่ไหมไฟ คุณก็ไม่จับ ถ้าอะไรทำให้เราทุกข์ร้อนลำบาก เรารู้จริงชัด เราก็ไม่แตะไม่อยากได้ ฉันเดียวกันตัดกิเลสที่ทำให้เราทุกข์ ความทุกข์คือความไม่สบายมันร้อนเหมือนถูกไฟ เรารู้อย่างนั้นเลยชัดเจนอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น จิตจริงมันก็ไม่อยากไม่มีไม่เอา จิตของคุณก็จริงน่ะ เจออีกเมื่อไหร่คุณก็ไม่เอา จนกระทั่งของพระพุทธเจ้าสอนซ้อนไปอีกว่า แม้เราไม่เอามันก็จะมาแตะเรามาจี้เรา เราก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้อยู่ยงคงกระพัน ไฟก็ไม่ไหม้ ไม่ยิงก็ไม่เข้า แทงก็ไม่เข้า ยิงก็ไม่ออก แทงไม่เข้า นี่มาสัมผัส แทงจึ๊กก็ไม่เข้า อยู่ยงคงกระพัน ยิงก็ไม่ออก มีพลังงานที่เป็นภูมิคุ้มกันมีพลังงานราศรีรังสี ที่เป็นบัฟเฟอร์ เป็น wall เป็นผนังกั้นหนา ยิงก็มาแตะแค่ผนัง แต่บัฟเฟอร์ กั้น ยิงไม่ถึงเรา เข้าไม่ถึงเรา แรงขนาดไหน คุณจะมีพลังงานสร้างสิ่งที่จะเข้ามาซัดเราขนาดไหน ทำไปเลย แล้วก็มีซับซ้อน ถ้าเป็นวัตถุธรรม สิ่งนี้เป็นอจินไตยที่อธิบายยาก วัตถุธรรมที่เลวร้ายกับคนที่เลวร้ายไม่เข้ามาใกล้ แม้แต่จะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกัน อาตมาขอพูดให้ฟังแต่อย่าไปพูดต่อ ประเดี๋ยวจะเป็นการท้าทาย อาตมาว่าโดนัลด์ทรัมป์ ว่าทักษิณ ว่าธัมมชโย ก็ยังไม่รู้ว่าธัมมชโยตายหรือยัง ยังไม่เห็นตัว แต่ทักษิณยังเห็นแสดงออกมาอยู่ ธัมมชโยไม่แสดงตัว มี 2 นัย คนหนึ่งหนีเข้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าไปเลย อีกคนหนึ่งแสดงยั่วยวนให้เห็น ต่อให้พวกคุณเข้ามาเลยเขาก็จะไม่เกี่ยวกับอาตมา เพราะยังมีพลังงานในระดับที่เขาจะต้องจัดการก่อนที่จะมาถึงอาตมานี่อีกเยอะ อาตมาอยู่ส่วนกลาง เพราะฉะนั้นเขาจะต้องจัดการกับทางโน้นก่อนอีกเยอะ จึงไม่ถึงเราได้ง่าย เขาต้องผ่านกำแพงหยาบกลางมาอีก นี่เป็นสัจจะที่เป็นอจินไตย เป็นสัจจะความจริงที่เป็นอย่างที่ว่า ไม่โมเม หากไม่จริง อาตมาตายแหลกเป็นผุยผงแล้ว ขนาดนี้เขาไม่ไว้หน้าหรอก ที่อาตมาไปด่าไปว่าเขาก็ไม่ใช่ว่าสะใจอะไร อาตมาตำหนิ เพื่อให้คนรู้ข้อ ผิดข้อที่ไม่ดี ให้ผู้ที่ได้สัมผัสแล้วรู้ว่าเรามีอยู่อย่างนั้นบ้างหรือไม่ จะได้รู้ตัวว่าอย่างนี้เอง มันเป็นตระกูลหยาบแบบนี้ เราไม่มีอย่างหยาบใหญ่ แต่เรามีพอสมควรหรือเรามีละเอียดอีกอะไรอีก อะไรอีกเราก็อาจจะไม่มี แม้แต่ที่สุดนิดนึงน้อยนึง อากิญจัญฯคุณต้องรู้ แม้นิดนึงน้อยนึง ก็ไม่ให้มี จะมีนิดนึงน้อยหนึ่งคุณก็ต้องรู้ให้ได้ จนกระทั่งรู้ให้ได้แม้นิดนึงน้อย 1 ก็ไม่มี สมบูรณ์สุด ใช้พยัญชนะสื่อให้ฟัง ก็เป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ คือธาตุรู้ที่มีหน้าที่กำหนดหมายได้เก่งกำหนดรู้ได้เก่ง รู้เจาะไช ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งแล้วสุดท้ายจริงๆ สัญญาเวทยิตังนิโรธังโหติ เอาความสัญญากำหนดรู้เวทนาละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนซ้ำแล้วซ้ำอีก อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ย้ำ จนได้ผลตกผลึกเป็นอดีตที่จริงลงไปอีก มีกาละเวลายังมีสิ่งเกี่ยวข้องอีกก็ตรวจสอบอีกทำอีกดูอีก มันก็ไม่มีไม่มีไม่มีไม่มี อดีตปัจจุบันอนาคตคุณ สูญๆๆๆ เวทนา 36 36 36 สั่งสมอดีต 36 แล้ว 36 อีก 36 * 36 ยกกำลัง จนกระทั่งเป็นก้อน 36 ของ 0 จนเท่ากับเอกภพ มาอีกเท่าไหร่ในอนาคต แต่ปัจจุบันมีฤทธิ์อำนาจมากทำศูนย์ได้หมด จนกระทั่งมาเจออย่างไรก็เป็นศูนย์หมด เพราะมันมีฤทธิ์มีอำนาจ ปัจจุบันจึงเป็นตัวจบ อนาคตยังไม่มา มาเมื่อไหร่ก็เป็น 0 ผ่านเราไปไม่ได้ เพราะว่าเรามีฐานอดีต ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นกองทัพใหญ่มาก ถ้าเราเข้าใจเวทนา 108 คือ 36 36 36 แล้วก็ทำได้จริง กิเลสจะมาอย่างหยาบกลางละเอียดมากเท่าไหร่เท่าที่โลกตอนนี้มี ในโลกนี้มีกิเลสอยู่เท่าไหร่เราก็ชนะหมดแล้วก็เป็นอรหันต์ได้ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วก็ทำปรินิพพานเป็นปริโยสานให้ได้ แตกธาตุตัวเองก็เป็นอุตุนิยาม จะมีพีชนิยามนิดหน่อย นอกนั้นเป็นอุตุนิยาม จิตนิยามไม่เหลือ โลกจะมีอีกเท่าไหร่เราก็ไม่เหลือแล้วก็ศูนย์พระอรหันต์ก็รอด หมดทุกข์หมดโศกหมดตัวตนหมดทุกอย่าง แต่ถ้าคุณจะยังเป็นโพธิสัตว์ อรหันต์คุณก็ยังไม่ดับสูญ คุณเกิดอีกกี่ครั้งกี่รอบก็ตาม โลกที่ 1 2 3 จนถึงโลกที่ล้านๆๆ คุณก็ตามพิสูจน์ให้เป็น 0 ได้หมด จนกระทั่ง พอเสียที สัมมาสัมโพธิญาณสูงสุด ถึงอย่างไรเราก็รู้โลกหมด เกิดมาอีกกี่วัฏกัปป์ เราก็ทำจนแน่ใจแล้ว แน่ใจที่ 0 ไม่เปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนเป็นอื่นอีกเลยนี่คือตถตา แต่ถ้าเป็นของจริงที่เป็นเช่นนั้นด้วยอัตโนมัติเป็นเองแล้วต้องเป็นเช่นนั้นไม่มีแปรผันเป็นอื่นอีกเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” มันก็มีที่จบด้วยประการฉะนี้ อาตมาเป็นอรหันต์จนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นับไม่ถ้วนที่เป็นอรหันต์มาแล้ว ถึงเอามาพูดมายืนยัน เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่าที่มี อาตมาก็ได้นำมาขยายความได้ให้คนอื่นเข้าใจตาม แล้วคนเข้าใจตามก็เอามาปฏิบัติได้จนกระทั่งมาเป็นมวล รวมกันอยู่อย่างนี้เป็นอาริยธรรม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วพวกเราก็มีอรหันต์ในสกิทาคามี อรหันต์ในอนาคามี อรหันต์ในอรหันต์ แต่พวกเราจะได้อรหันต์ในอรหันต์ยังไม่มากพอจนกล้าจะประกาศตนว่าเราเป็นอรหันต์เท่านั้นเอง เพราะเรารู้แล้วว่า อาจจะยังไม่แน่อย่าเพิ่งประกาศตัวนะเดี๋ยวหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ เพราะมันไม่มีตัวตนแล้วจะไปอวดทำไม อวดแล้วตัวเองหน้าแหก คือตัวตนมี แล้วจะทำไปทำไมให้เขารู้ว่าเรามีตัวตนให้เขารู้ว่าเราไม่มีตัวตนดีกว่า เราไม่มีตัวตนได้ขนาดนี้แล้วอย่าไปอวดดีให้เขารู้ว่าเรามีตัวตน จะซวย เขาเข้าใจว่าเราไม่มีตัวตนก็พอแล้ว เราจะไปอวดตัวตนมากกว่าทั้งที่เรารู้ว่าเราอาจจะมีอีก เขามั่นใจว่าเราเป็นอนาคามีแต่แท้จริงเราเป็นอรหันต์ก็ไม่เป็นไร คนเขามั่นใจเขาเชื่อว่าเราเป็นแค่อนาคามีก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ตัวจริงเราเป็นอรหันต์ ใช่ไหม ก็อรหันต์จะไม่อวดอรหันต์ ฟังให้ดีนะ แต่อาตมาอวดอรหันต์ แล้วยืนยันย้ำกว่าอรหันต์ เพราะอาตมาเหนือชั้นกว่าอรหันต์ธรรมดา และผู้ที่ยังไม่ควรอวดอรหันต์หรือไม่กล้าอวดอรหันต์ แต่อาตมาเลยไปกว่านั้นหลายชั้นเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คุณตามไม่ได้จุดสูงสุดของก้นหอยมันบนอยู่นะแต่มันละเอียดกว่าที่คุณจะรับได้คุณไม่มีภูมิที่จะรับได้ เหมือนกับเสียงมีหลายอย่างที่หูของคุณรับไม่ได้แต่หูของหมามันรับได้ หรือหูของผู้ที่มีความสามารถแม้กระทั่งทางไอทีเขารับเสียงพวกนี้ได้ แต่เสียงระดับนี้คนรับไม่ได้แต่สัตว์อีกหลายชนิดรับได้ จะบอกว่าสัตว์มันเก่งกว่าคนก็เปล่า อย่างนี้เป็นต้น สลับกลับไปกลับมา อะไรที่นอกขอบเขต บริบท เราก็เอาแต่บริบทในความเป็นคนมาพูด อยู่ในบริบทของความเป็นมนุษย์ก็จบแล้ว แม้แต่ในมนุษย์ร่วมกันคนละบริบทซ้อนร่วมกันอีก คุณก็เลือกมาในบริบทหนึ่งเอามาเปรียบเทียบกันมันก็ไม่ได้ เขาถึงพูดกันในแต่ละบริบท ผู้ที่สามารถรู้บริบทและอยู่เหนือบริบทได้มากบริบท เหนือบริบทที่ยิ่งใหญ่พิสดารได้เหนือกว่า ก็สามารถพูดแต่ละบริบทได้มากมาย ยังไม่ถึงเวลาไม่ต้องพูดหรอก อาตมายังไม่มีเวลาพูดในอีกหลายบริบทในหลายประเทศ ยังเข้ามาใกล้ราศีของอาตมาไม่ได้ เขาก็ยังต้องต่อสู้แก่งแย่ง ซัดกันอยู่ ข้ามหัวข้ามหูกันไป ทรัมป์กับคิมหรือปูตินก็ยังสู้กันอยู่ ตอนนี้นายทรัมป์ก็เลยเลือกสู้กับคิมก่อน ตัวมันเล็กกว่ารัสเซียเยอะ ยิ่งสีจิ้นผิงก็ใหญ่กว่าอีก เขาก็มีปฏิภาณเลือก เขาก็ทำกำแพงกั้นประเทศเขาเป็นอาณาบริเวณ เป็นความฉลาดเฉโกของมนุษย์เขาก็ทำกันไปอาตมาก็ดูละครลิเกของพวกเขาไป เขาก็สมมุตินามตามท้องเรื่องข้าพเจ้าเป็นพระราชา แล้วก็แสดงบทพระราชาไป ซึ่งการได้เป็นพระราชาของเขานี่ ด้วยการขี้โกงเอาเปรียบเอารัดใช้ทุนนิยมเป็นตัวหลัก กับการสร้างบริวารไว้ให้เป็นฐาน ไม่ว่าจะเป็นนายโดนัลด์ทรัมป์หรือใครต่อใคร นายทรัมป์กับ Obama ประธานาธิบดีคนก่อนก็ต่างกัน โดนัลด์ทรัมป์ใช้อำนาจเงินกับอำนาจเบ่งข่ม เต็มรูป ส่วนโอบาม่า ใช้พลังงานของความรู้ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความด้อยที่เป็นคนผิวสี แต่มีคุณธรรมมีความรู้มีความจริงใจมีความเสียสละกว่าโดนัลด์ทรัมป์เยอะ มองออกกันไหม สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล โอบาม่าลิเกจบโรงแล้ว แต่โดนัลด์ทรัมป์ยิ่งทำยิ่งจะเห็น ยังไม่จบเรื่องของเขานะ เขายังมีคนดู สักวันคนอเมริกันจะบอกให้เลิกเล่น เขาไม่ใช่คู่รบของอาตมา ต้องมาเข้าสู่โลกุตระถึงระดับหนึ่ง แต่ถ้ายังเล็กๆก็มาเข้าถึงตัวอาตมาไม่ได้ ยังจะต้องเจออัศวินโลกุตระของอาตมาก่อนใช่ไหม..ใช่…ยังจะต้องเจอพลทหารของโพธิรักษ์ก่อน แล้วถึงจะไปเจอสิบตรี แล้วมาเจอจ่า ถึงเจอนายร้อย กว่าจะเจอนายพัน กว่าจะมาเจอโพธิรักษ์ พูดโดยใช้รูปธรรมมาแทนนามธรรม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) คนที่เข้าใจนามธรรมที่มันซ้อนกับภาษาวัตถุ ทหารก็ดี สิบตรีนายร้อยนายพัน คุณเข้าใจโดยอาศัยพยัญชนะมาอธิบายอย่างนี้เป็นต้น นี่แหละคือเทวคือสภาพ 2 ระหว่างพยัญชนะกับสภาวะ ผู้ที่จะตีแตกและขยายได้ก็จะต้องรู้รายละเอียดรู้ความมีเยอะแยะ แล้วก็สงบลงที่เป็น 0 ได้ จึงต้องเอาสิ่งที่มีมาพูดกับพวกคุณให้รู้เรื่องเพราะคุณต้องรู้สิ่งที่มีแล้วก็ทำสิ่งที่มีไม่ให้มี จนกระทั่งคนรู้ความไม่มีเป็นระดับจนกระทั่งไปถึง 0 ก็จบคนนี้ไปที ทำให้เขารู้ 0 ได้อันอื่นมาอีกก็เช่นเดียวกันทำให้เป็น 0 ได้ คนรู้สิ่งที่มีและไม่มีจนเป็นศูนย์ คุณจะมีเท่าไหร่ก็กว้างเท่านั้น คุณยังไม่กว้างกว่านี้คุณก็ต้องรู้ความกว้างของคนที่ติดยึดแล้วทำให้มันเป็น 0 ได้ คุณก็ต้องรู้ไปถึงสิ่งที่คุณติดยึด หากคุณไม่ติดยึดมาก็พูดกันง่ายหรือไม่ต้องพูดกันเลย เช่นเชื้อโรคอาตมามันไม่ติดยึดกันเลยก็ไม่ต้องพูดกัน ทั้งที่มันแปะอยู่ คุณก็อยู่กับของคุณ อาตมาก็อยู่ของอาตมา จะมาเข้าอาตมา แม้เข้ามาแต่มาก็ไม่เกี่ยวกับคุณ เชื้อโรค เพราะเรารู้ว่าอันนี้เป็นเชื้อโรคจะไปเกี่ยวข้องกับมันทำไม เรามีธาตุรู้ว่าอันนี้เป็นเชื้อโรค มันเข้ามาก็ช่างศีรษะมันปะไร มันก็อยู่ของมันไป ศีรษะใครศีรษะมัน ไม่เกี่ยวกันเลย ในโลกก็อยู่ด้วยกันแต่ไม่ติดไม่ยึดกัน ความไม่ยึดไม่ติดนี่แหละจึงอยู่เหนือ มันก็อยู่ติดกันนี่แหละ แต่เราต่างหากเราไม่ยึดไม่ติด เรามีความจริงอันนี้หรือพลังงานอันนี้ว่าเราไม่ยึดไม่ติด เพราะฉะนั้น ไอ้ที่ติดยึดอยู่นี่มันยึดมันติดเรา แต่เราต้องไม่ยึดไม่ติดมัน ขยายความใกล้ตัว พวกคุณยึดติดอาตมา แต่อาตมาไม่ได้ยึดติดคุณ เข้าใจใช่ไหม ทุกคนยึดติดอาตมาอยู่ เพราะจะต้องมาเอาสิ่งที่อาตมาจะมีอะไรให้พวกคุณ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เพราะสิ่งที่ให้นี้เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่ของที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่คุณจะต้องมาเอา อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรก็มาเอา อาตมามีสิ่งที่ดีที่จะให้ แล้วคุณก็มาเอาของอาตมา จนกระทั่งทุกวันนี้สิ่งที่ดีอันนี้คือโลกุตระ ก็เลยจะมีคนมาเอากับอาตมาเป็นจำนวนร้อยเป็นจำนวนพันเป็นจำนวนหมื่นเป็นจำนวนแสน คนที่รู้อีกก็จะมาเพิ่มจากแสนเป็นล้านขึ้นไปอีก อย่างนี้แหละอาตมา ตอบคนที่ถามได้ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ ก็เพราะว่าอาตมามีของดีและคนจะมาเอาอรหันต์นี่ไง ไล่ก็ยังไม่ไปเลย ไป… นี่มันพิสูจน์ยืนยันได้ว่ารู้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ พูดจนหมดพูดจนชัดเจนทุกอย่างแล้ว มาเอาอะไรจากอาตมาอาตมาไม่มี คนมาเอาอาตมามีแต่ความไม่มีจะมาเอาอะไร? มันจบภาษาแล้วนะ ไม่เหมือนธัมมชโย มาเถอะมีมหาศาล มีไม่สิ้นสุด มีๆๆ หรือจะเอาทักษิณก็ได้มีอำนาจ มีๆๆๆ อำนาจนี้ขี้เหนียวเงิน ทักษิณขี้เหนียวเงิน แต่เอาอำนาจไปแจกคนอื่น เอาอำนาจไปล่อแต่ขี้เหนียวเงิน คนก็วิ่งไปให้เขาแตะไหล่ติดยศ มอบให้คนนี้เป็นอันนี้อันนั้น แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้แล้ว ก็เลยขายสินค้าไม่ค่อยออก ตอนนี้ทักษิณสินค้าขายไม่ค่อยออก ให้ไม่ได้เหมือนอย่างเก่าแล้ว เพราะตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์จะไปตั้งใครให้เป็นอะไร ไม่ได้แล้ว หรือใครจะแห่ไปหาก็ตามไม่ได้ อะไรต่างๆนานา ตอนนี้เขาพยายามแสดงว่าเขาเป็นเจ้าอำนาจ ที่เขาจะให้อำนาจได้ เพราะเขารู้ว่าอำนาจเป็นลมๆแล้งๆกว่าเงิน ถ้าเขาหมดเงินเมื่อไหร่ อำนาจลมๆแล้งๆเขาไม่มีจริงหรอกแต่คนยังงมงายหลงอยู่ เพราะฉะนั้นคนที่ยังงมงายหลงว่าเขามีอำนาจมันซ้อนมากเลย เขาก็จะหลอกคนว่าเขามีอำนาจถึงขั้นระดับสูงสุดของประเทศไทยนะ แต่ตอนนี้คนไทยชักจะรู้แล้วว่า มันไม่มีจริงเลย มีแต่หลอกว่า ฉันมีอำนาจสูงสุดของสูงสุดในประเทศไทยเลยนะ เขาก็พฤติบท ว่าเขาแสดงได้ยิ่งใหญ่แล้ว แต่บทนี้แสดงแล้ว จ๋อย มันไม่มีประสิทธิผล อาตมากำลังพูดล่อแหลมมาก แต่ผู้ที่รู้เข้าใจแล้วว่าเห็นความจริงที่อาตมาพูดนี้ไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้สูงสุดของประเทศไทย ทักษิณก็หมดท่าแล้ว เพราะฉะนั้นก็เหลือเศษกลับไปที่อำนาจสิ่งสูงสุดหมดแล้ว กลับไปที่อำนาจใหม่ ทั้งๆที่หมดอำนาจไปแล้ว แต่เขาก็ยังเหลือเศษของอำนาจที่เหลือก็เลยเอาไปเก็บเศษขยะ เลือกเอาหน่อยมีเหล็กเศษทองคำเหลือไหมก็เอาเศษมาเลือกใช้ สักวันหนึ่งก็หมดสิ้น อาตมาไม่อยากให้เขาตายก่อนให้เขาใช้จนหมดสิ้นเลย อยากให้เขาอยู่ครบยก ไม่อยากให้เขาแพ้น็อค อยากให้เขาอยู่ครบยก จะได้รู้ว่าสุดท้ายคุณแพ้คะแนน ยับเยิน ไม่ใช่แพ้น็อค อย่าเพิ่งตายก่อน ชกไปเหอะ แล้วจะรู้ อาตมาพยายามอาศัยสิ่งเหล่านี้อธิบายสัจธรรม เป็นละครแห่งสัจธรรม เขาเรียกว่ามหากาพย์ของสัจธรรม แต่ที่จริงไม่ใช่ เรื่องทักษิณไม่ใช่มหากาพย์ แต่เป็นเรื่องลิเกบ้านนอก ลิเกจรจัด ลิเกเร่ร่อนลิเกพลาซ่า ตอนนี้ทักษิณจ้างคนดูเยอะนะ จ้างคนไปประกาศ เจ้าข้าเอยลิเกจะมาเล่นแล้ว เมื่อหมดทุนไปแล้วก็เสร็จ ตอนนี้จะเห็นได้ว่าทักษิณหยุดเอาเงินมาจ้างคนในประเทศ เพราะว่าคนในประเทศรู้หมดแล้ว ก็เลยเหลือเอาแต่จ้างคนนอกประเทศ ทักษิณกำลังถูกตัดขาดไปเรื่อยๆ ตนเองไม่รู้ตัวว่าเป็นแบคทีเรียของทักษิณ ไวรัสของทักษิณ พวกนี้ไม่รู้ตัวเองมันเป็นเช่นนี้ นี่ก็ให้เขาดิ้นไปให้เขาแสดงบทบาท ถ้าไม่มีการแสดงบทบาทมาอย่างเป็นขั้นตอนเราก็ไม่มีลิเกให้ดูอย่างละเอียดละออ แต่ละเรื่องแต่ละเรื่องเหมือนดูหนังจีน เรื่องนี้ลึกซึ้งซับซ้อนก็มีให้ดูเหมือนกัน ดูฟรีไม่ต้องจ้างเลย อย่าไปตกใจตื่นเต้นไปรักชอบพระเอกลิเกกับเขาด้วยก็จะยุ่ง แล้วก็ไปชังผู้ร้ายลิเกก็จะซวย อย่าไปได้ตกหลุมหลงชังผู้ร้าย รักพระเอกจะยุ่ง รู้ทันลิเก ดูเรื่องราวบทบาทมันมีอย่างไรจิตใจเราอย่าไปตกหลุมร่วมด้วย ไปรักหรือไปชัง ไม่หวั่นไหวตาม ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงจบ ที่พูดไปทั้งหมดเป็นความจริงหรือความรู้ที่อาตมามี แล้วพวกคุณก็เป็นตัวแสดงในเรื่อง แสดงนามตามเรื่อง แต่ละคน เป็นนิยายซ้อนนิยายแต่ละเรื่องๆ แต่ละกลุ่มๆ เสร็จแล้วผู้ที่สามารถรวมกลุ่มนิยายแต่ละเรื่องได้เยอะ เราก็กลายเป็นคนที่รู้ทันทุกเรื่อง แต่ละเรื่องก็รู้ทันทุกเรื่อง คุณก็เป็นมนุษย์ไม่มีตัวตนมนุษย์ว่างเปล่า เพราะฉะนั้นผู้คนหรือบริวารเจ้านายตัวละครเขาไม่เห็นเรา เราเป็น invisible เราเป็นตัวไม่มีตัวตน ตัวใส ตัวว่าง เขาไม่เห็นเราแต่เราก็ไปเห็นเขาหมด เขาก็ไม่ทำอะไรเรา เพราะเขาไม่เห็นเราแต่เราเห็นเขาหมด ชัดเจนขึ้นไหม เมื่อเขาไม่เห็นเรา เขาจะมาทำอะไรเราได้ พูดไปแล้วก็นึกถึง ตอนเรียนมัธยมได้เรียนเรื่อง The Invisible Man เป็นหนังสือภาษาอังกฤษที่ได้เรียนตอนมัธยม เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้เรื่องอะไรกัน หรือจะเรียนแฮรี่พอตเตอร์ ก็เป็นแนวคิดซับซ้อนจนกระทั่งบางอย่างเป็นนามธรรมที่เป็นอจินไตยหลายอย่าง JK Rowling ก็เก่งนะเอามาต่อเรื่องราวขายแล้วดังไปทั่วโลก อาตมาวันนี้เริ่มต้นงานปลุกเสกฯครั้งที่ 43 อาตมาจะเน้นเรื่องของบุญ ตอนแรกตั้งใจจะตีแตกเทวะ แต่มาเจาะบุญคืออาวุธ แล้วค่อยไปขยายเทวะ คู่ใหญ่ แต่บุญคืออาวุธใหญ่ เรารู้อาวุธแล้วจะไปรู้เรื่องเทวะได้ดี ก็ตั้งอกตั้งใจที่จะฟัง รายละเอียด หนังสือเรื่องเปิดยุคบุญนิยมอาตมาเขียนมาตั้งแต่ พฤษภาคม 2557 เปิดคอลัมน์นี้ เขียนมาจนถึงทุกวันนี้ 5 ปีก็รวม คิดว่าจะรวมเล่มเป็นเล่ม 1 พร้อมกับคนจะมีธรรมะได้อย่างไร โดยตั้งนามปากกาตนเองว่า เก่าสมัยใหม่เสมอ ส่วนคนจะมีธรรมะได้อย่างไรใช้ชื่อสมณะโพธิรักษ์เขียน มีนามปากกาอื่น เช่น โบราณ สนิมรัก แต่ก็เลิก มาเปลี่ยนเป็น โบราณ นวทัศน์ คนก็ไม่ค่อยเข้าใจ ก็เลยแปล นวทัศน์ ว่า ใหม่เสมอ ก็เลยเป็นนามปากกา โบราณ ใหม่เสมอ สุดท้ายแปลโบราณว่า เก่าสมัย เพราะไม่ว่าสมัยไหนเขาก็ว่าเก่า แต่สมัยไหนเขาก็ว่าเก่า แต่ทุกสมัย อันนี้แหละใหม่เสมอ จะไปยุคไหนสมัยไหนก็ของเก่านี่แหละ แต่มันก็เอี่ยมอ่องอยู่ตลอดกาล ใหม่เสมอๆ แต่ก็ของเก่า ถ้าใครเข้าใจตรงนี้เป็นอรหันต์เดี๋ยวนี้เลย มันจริง เหมือนพระจูฬปันถก ลูบผ้าขาวจนผ้าดำ ก็เลยบรรลุ มันยึดถือเอาไม่ได้ เท่านั้นคนที่มีปฏิภาณแหลมคมเหมือนน้ำจะเต็มขัน หยดเดียวก็เต็มขันเลย เป็นอรหันต์จ้อย ไม่เป็นของจริงตามแต่ละคนที่มีบารมีหรือมีสันดาน บารมีเป็นความสะสมทางคุณธรรม ความประเสริฐยิ่งขึ้น ส่วนสันดานนั้นสะสมทางด้านกิเลส ก็มีการอธิบายได้ 2 สภาพเสมอเป็นเทวะ _นักรบธรรมว่า ล้ำสมัยใสเสมอ พ่อครูว่า..คุณจะต่อไปอีกเท่าไหร่ก็ได้ ใช้ พยัญชนะไป อาตมาไม่ได้พูดเล่นว่าอาตมาเป็นอรหันต์ รู้จักความเป็นอรหันต์ แล้วพาคนมาเป็นอรหันต์มาเป็นอาริยะตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วสูงกว่าอรหันต์เป็นอนุโพธิสัตว์ เป็นอนิยตะโพธิสัตว์ จนเป็นนิยตโพธิสัตว์ ส่วนมหาโพธิสัตว์นั้นอาตมายังไม่ถึงก็บอกความจริงไป แต่อาตมาก็มีภูมิไปเรื่อยๆ เหลื่อมเข้าไป โอเวอร์แลปเข้าไปสู่มหาโพธิสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อาตมาไม่ตัดสินไม่ต้องอวดดี จะเป็น 8 ไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่ต้องอวดดี จนกว่าจะมีภูมิเต็มถ้วนระดับ 8 ก็มาประกาศ แต่อาตมาต้องรู้ตัวเองว่าเผื่อพอ ต้องมี 8 เข้าไปหา 9 นะ หากไม่มีเผื่อพอก็จะไม่เปิด 8 แม้อาตมาจะเปิด 8 อาตมาก็ไม่เปิด 100 อาตมาต้องยักไว้สัก 20% เปิดแค่ 80% ใครจะว่าอาตมาไม่เป็นระดับ 8 ก็ไม่เป็นไรนี่คือสัจจะที่เป็นจริง ถ้าเราไม่ต้องการไปอยากใหญ่อยากโตอะไร เอาความจริง คนไม่เชื่อง่ายๆหรอก คนไม่อยากอวดอยากใหญ่อยากโต คนโลกีย์จะไม่รู้ คนที่มีเชื้อโลกุตระก็จะเชื่อ คนที่เป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้วจะเชื่ออาตมาไม่มีสงสัย เพราะว่ามันเต็มชัดครบ คนอย่างนี้เป็นอรหันต์ เราเป็นอรหันต์แล้วเราจึงรู้ความเป็นอย่างนี้ คนที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่มีอยากอวดหรืออยากหลอกลวง ความต้องการอยากอวดเป็นสาเฐยจิต ที่เปิดอุปกิเลส สาเฐยจิต แล้วยังมี ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ อีก ผู้ที่มีสภาวะจริงแม้แค่พูดพยัญชนะนำแค่นี้เขาก็จะรู้แม้เขาจะไม่ถึงทั้งหมด โดยเอาตัวเขาเองเป็นตัวพิสูจน์ ตัวเขาเองได้ขนาดนี้แล้วถ้าเขาเป็นพระอาริยะระดับเลยพระอรหันต์แล้วตัวเองก็จะรู้ดี เพราะว่ามีอรหันตผลแน่นอน คุณจะไม่กล้าอวดตัวเองเลย ภูมิที่คุณมี ถ้าคุณมีอรหันต์ในตัวเอง แม้แต่ในระดับอบายมุขก็ตาม คนที่อวดดีในระดับอบายมุขนั้นตกกระป๋องลงไปสู่อบายมุขเยอะแยะ แต่เป็นอรหันต์แล้วจะต้องมีการเผื่อไว้อีกเยอะ “คนหมดตัวตนจะไม่หมดตัวตน” …แต่หมดเวลา เอาไว้แค่นี้ก่อน คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ ๓ จบ ก่อน] ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 43 ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญ ประพฤติตน อยู่ในศีล ๘ อันได้แก่ ปาณาติปาตา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ละเลิกความเห็นแก่ตัว อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม ๘ อีก และจะเว้นขาดการยึดในภวอัตตภาพทั้งปวง วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้และของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับประดา ประดิดประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่ ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้. ศีลเป็นข้อที่เรากำหนด ศึกษาในศีลแต่ละข้อ ผู้ที่ถือศีล 8 ไว้ก็อย่าให้ละเมิดศีล 8 ด้วยกายวาจา ส่วนใจเรานั้นทำตั้งแต่ศีลข้อ 1 2 3 ไปเรื่อยๆ ไม่ละเมิดกายวาจา ก็ดีอยู่พอสมควรแล้ว แล้วข้อถึงใจ สินค้า 123 สัมผัสกับสัตว์โดยเฉพาะคนก็เป็นสัตว์ สัตว์เดรัจฉานอื่นๆก็ไกลกับเราเราก็ไม่ได้ไปสัมผัสอะไรมาก กับสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับเราคือคน เราก็เอาความจริงที่สัมผัสในขณะนี้ มาปลุกเสก มาพัฒนาการ ตั้งการฟังธรรมประพฤติปฏิบัติช่วยกันอธิบายอยู่ในนี้หมด อันไหนที่มันเกิดอาการกิเลสในจิต เรียนรู้อาการทุกผัสสะจับให้ได้ แยกกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ซึ่งจะได้อธิบายสิ่งเหล่านี้ต่อไป เป็นโลกุตรธรรม กายในกาย เป็นโลกุตรธรรมข้อที่ 1 ในโพธิปักขิยธรรม 37 ฟังดีๆจะได้ปัญญาเอาไปปฏิบัติได้ ผู้ที่สัมมาทิฏฐิ แล้วอยู่กับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนำพากันและกรรมไปอยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ คนเป็นอรหันต์จะเป็นอย่างไร พวกคุณปฏิบัติจึงจะตอบได้ ผู้ที่ถามมาว่ารู้ได้อย่างไรเป็นอรหันต์ เอาแต่ถามนั้นอีกเป็นล้านชาติก็ไม่ได้ คุณเข้ามาในนี้แล้วปฏิบัติไปเรื่อยๆ จะมีปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ คุณจะได้กับตนแล้วหนอความหลุดพ้น ความละหน่ายคลายความดับสนิทมันเป็นอย่างนี้เอง แล้วจะรู้ได้ด้วยตนไม่ต้องถามใคร แม้แต่พระพุทธเจ้า แม้แต่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เราจะรู้ได้ด้วยตนอย่างแท้จริง เชิญ ยินดีต้อนรับ ทุกหน่วยแห่งอณูของมนุษยชาติ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ Category: ศาสนาBy Samanasandin5 เมษายน 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสำมะปี๋ซี่วิต Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620404ประชุมเตรียมงานตลาดอาริยะNextNext post:620406_เทศน์ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 43 บ้านราชฯ เปิดโลกบุญนิยม ตอน1Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024