620410_ตอบปัญหาเปิดโลกบุญนิยม ปลุกเสกฯ#43 บ้านราชฯ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1xejHBTJMw8vUgKjZAlDrl0zYJdx7kO0iaiywLyxIFD8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=17yR-j33V1SvzcH-iPtoAx8Edf8curIlL
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 10 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือนอ้ายปีกุน อาตมาเกิดปีจอ นี่ปีกุน แสดงว่าขึ้นรอบแล้ว 85 วันนี้วันรองสุดท้ายของงานปลุกเสกฯพระแท้ๆของพุทธ พระแท้ๆนะ ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่พระปลอมๆ ไม่ใช่พระเครื่อง แต่เป็นพระแท้ๆ ถ้าจะเอาความเป็นพระ ก็ต้องวัดที่พระโสดาบัน วัดสกิทาคามี วัดอนาคามี วัดอรหันต์ นั่นแหละคือพระแท้ จิตวิญญาณของเราเข้ากระแสตั้งแต่โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม
อวินิปาตธรรม แปลว่าไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา หมายความว่าจิตของเราเข้ากระแสโลกุตระ แล้วเราจะไม่หลุดออกจากกระแส จะไม่หลุดออกจากที่เคยเป็นเช่น เราถือศีล 5 ให้ได้ แต่ของเราสูงกว่านั้น มาละอบายมุขได้มากินมังสวิรัติได้ เราไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเราได้แล้วก็ได้เลยอย่างนี้คือโสดาบันมั่นคง ยิ่งข้ามไปถึงขั้นนิยตะ เที่ยงแท้แน่นอน นอกจากไม่ตกต่ำมีวูบวาบเล็กน้อยบกพร่องเล็กน้อย ขั้นที่ 2 อวินิปาตะ ขั้นที่ 3 ไม่บกพร่องแล้ว ขั้นที่ 4 สัมโพธิปรายนะ เดินทางก้าวหน้าออกสู่ที่หมาย สู่ที่สุดที่สูงแต่ถ่ายเดียว ก็ชัดเจน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นเครื่องวัดผลลักษณะของสัจธรรม
พวกเรามาเรียนรู้ความเป็นคนที่เราปฏิบัติไปแล้วเรามีคุณธรรม มีคุณสมบัติที่เป็นคุณวิเศษเป็นอาริยะเป็นพระอาริยะ ตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มั้ย แต่ละคนก็อ่านจิตใจตัวเองพฤติกรรมตัวเองความรู้สึกตัวเองมันชัดเจน สูงกว่านั้นก็เป็นพระโสดาบันที่มั่นคง เป็นพระสกิทาคามีก็ถึงขั้น นิยตะ สัมโพธิปรายนะเลยพยายาม มุ่งมั่นทำขึ้นไปจนกว่าจะหมดฐานกามภพ แล้วเราก็เป็นอนาคามี นี่เป็นเกณฑ์ที่ตรวจสอบได้เพราะเราก็ได้เป็นตามลำดับ ไม่ได้ไปนั่งหลับตาแล้วก็ไม่รู้ว่าได้อะไรขนาดไหน เอาแต่นั่งหลับตาๆ ไม่มีองค์ประกอบครบ
พระพุทธเจ้าตรัสท่านได้ตรัสไว้ พวกที่นั่งหลับตานึกว่าตนเองเป็นอรหันต์สะกดจิตมันก็ได้คุณสมบัติเหมือนกัน มันก็แน่น มันอัปปนา แน่นอย่างเดียว
_สู่แดนธรรมแสดงความเห็นมาว่า
…ฟังธรรม หูต้องไว แยกแยะวินิจฉัยให้ทัน
เรียกว่า ฝึกมีหูทิพย์นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
หูทิพย์ ก็คือ ความสามารถได้ยินเสียงที่สอง
เสียงที่สองคือเสียงกิเลสที่ซ่อนปนมากับเสียงปกติทั่วไป (นั่นคือเสียงที่หนึ่ง)
เสียงที่สองนั้นเกิดได้แม้แต่เสียงภายในหัวใจเราเอง ที่มันเป็นเสียงเรียกร้องจะเอาอะไรๆ(ที่ถูกจริตเรา) หรือจะไม่เอาอะไรๆ (ไม่ถูกจริต ไม่ถูกชะตากับเรา)
และเกิดได้จากลมปากของคนอื่น เสียงเล่าลือ เสียงเล่าอ้าง เสียงชักชวน ใส่ไข่มาฟองโตๆ หรือเหยาะน้ำหวานมา ที่แฝงแรงดึงดูดพูดมาให้เราอยากได้ หรือให้เราเกลียดชัง ผลักไส ฯลฯ นั่นแหละคือ เสียงสอง เราต้องฟังเสียงที่สองให้เป็น
นั่นคือ หูทิพย์ได้ยินเสียงความเอาแต่ใจของตนเอง หรือเอาแต่ใจของเขา แล้วเราควรปรุงแต่งจัดการให้มันกลางๆให้มันสงบ ให้เราหลุดจากความเป็นอย่างที่สอง
จนเหลือแต่ความเป็นหนึ่ง คือ เป็นไปเพื่อหน่าย คลาย เพื่อรู้แจ้งในความยุติความวุ่นวาย ที่เมื่อใครๆเป็นด้วย ก็จะเป็นตรงกัน หรือเป็นอย่างเดียวกัน ไม่เป็นอย่างอื่น หรือไม่เป็นอย่างที่สองอีกเลย / นี่แหละ คนผู้มีหูทิพย์ เขาเป็นไปเพื่อ “ตื่นขึ้น” อย่างนี้ เอวัง
พ่อครูว่า…ปฏิบัติให้เป็นอรหันต์เร็วๆมีความเข้าใจก็ดี
ทีนี้เริ่มจับปัญหา ใครจะถามปัญหาสด
_ลูกฟังพ่อครูเทศน์เรื่องบุญเรื่องกิเลสมาเยอะ ลูกจะขอสรุปว่า การปฏิบัติธรรมคือ “การลดกิเลส” โดยใช้บุญ ซึ่งเป็นตัวปัญญาที่เข้มแข็ง ช่วยตัดสินแยกแยะ (พ่อครูว่า แยกแยะไม่ใช่ปัญญาเป็นตัวทำสัญญาที่มีคุณสมบัติเป็นโพชฌงค์) แยะแยะตัดสินแล้วประหาร ตัดสินว่าตัวนี้คือกิเลสพ้นวิจิกิจฉา ตามที่เราได้เรียนมาคือมี ศีลพรต ศีลสมาธิปัญญาตามลำดับที่เราทำ แล้วประหารมันกำจัดหรือฆ่ากิเลสไม่ให้มันเกิดหรือลดลง ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_ธรรมารมณ์ .. รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์
พ่อครูว่า…ธรรมารมณ์รวมทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจแต่ว่ามีใจที่เป็นกลาง ในมโนปวิจาร18 กระทบแล้วรู้ที่มา รู้จักลักษณะที่แยกแยะ สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือมีอินทรีย์ 5 สุขหยาบทุกข์หยาบ สุขทุกข์ละเอียด ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็ครบ 18 แล้วรู้น้ำหนัก มากน้อยและจากภายนอกจากภายในด้วย
จริงๆแล้วมโนปวิจาร ที่เป็นตัวบ่งบอกการศึกษาของศาสนาที่ลึกถึงจิตเจตสิก สิ่งที่ถูกรู้เป็นรูปภายนอกจนกระทั่งถึงภายใน แล้วก็แยกแยะออกอาการลิงคนิมิต จับเครื่องหมายของอาการจิตได้ แล้วก็เข้าใจอาการที่มันเคลื่อนมันไวอย่างโน้นอย่างนี้ ลักษณะมันมีอารมณ์ มีธรรมารมณ์ อารมณ์โกรธอารมณ์โลภอารมณ์ราคะ มันเป็นอารมณ์อะไรอย่างหยาบ แล้วก็รู้ให้ชัดแล้วก็ลดด้วยการพิจารณา ด้วยการเห็น เห็นได้ชัดว่ามันเกิดมา อารมณ์ต่างๆ มันนอกเหนือจากความจริง
ตากระทบทุเรียน ก็เห็นทุเรียนเหมือนกันทุกคน ทุเรียนมันเป็นอย่างไรต่างคนก็เห็น ดมกลิ่นก็รู้ ถ้าผ่ามาชิมรสก็เหมือนกันรสเดียวกันอย่างเดียวกันรสของทุเรียนอันนี้ ถ้าประสาทรับรู้ทางลิ้นของคนใช้ได้ก็เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นไทยแขกฝรั่งจีน เป็นแต่เพียงภาษาเท่านั้นที่ต่างกันแต่สิ่งที่เป็นสาระแท้นั้นเหมือนกัน นั้นรสเดียว แต่อารมณ์จิตของเรามันชอบหรือไม่ชอบ มันมีส่วนสอง
อ่านตัวนี้ให้ออกจริงๆเลย ถ้าแยกแยะตัวนี้ไม่ออก โดยไปหลับตาปิดหู จมูกก็ไม่รับกลิ่น ให้จิตไปเพ่งแต่ในจิต หยุดๆๆๆ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ดังนั้นเป็นเดียรถีเขาทำมาแต่ไหนแต่ไร น่าสงสารจริงๆ ออกมาบวชเป็นพระกรรมฐานก็ไปนั่งหลับหูหลับตาทั้งชีวิต แล้วก็สมมุติตัวเองว่าบรรลุธรรมเป็นพระกรรมฐานเป็นเกจิอาจารย์ เสร็จแล้วก็โอ้โห ตายแล้วก็เอาใส่โลงแก้วไว้ยิ่งไม่เน่าก็ยิ่งกราบใหญ่ แท้จริงแล้วยิ่งเป็นคนไม่รู้เรื่องเลยของศาสนาพุทธ เป็นคนยึดมั่นถือมั่นในจิตในจิตเลย กูไม่ไปไหนกูจะอยู่นี่แหละมันก็ยึดอยู่อย่างนั้น ตายไปแล้วเป็นมนุษย์พืชไม่เน่า ไม่มีเหตุปัจจัย ถ้าหากใส่ท่ออาหารใส่ท่อลมเข้าไปก็เหมือนมนุษย์พืชอยู่ในห้อง ICU มนุษย์คนนั้นก็อยู่ต่อไปได้แท่งนั้น หายใจเองไม่ได้ให้เครื่องหายใจแทน มันก็สูบฉีดอาหารไปให้สังเคราะห์สรีระต่างๆ ก็อยู่ได้ ตายไม่รู้จักตาย เกิดไม่รู้จักเกิดไม่รู้ขีดของความเป็นจิตนิยาม พีชนิยาม หยุดได้แล้ว มันเป็นแค่พีชนิยามเท่านั้น หากพลังงานชีวิตมันไม่กระเตื้องไปสู่จิตนิยามนั่นแหละคือพืชแท้ๆ จนกว่าจะกลายเป็นอุตุนิยาม
พระพุทธเจ้าท่านแยกแยะ พลังงานเหล่านี้ชัดเจนรู้ชัดเจน ข้าวเป็นพืชหรือเป็นสัตว์ พืชมันไม่ทุกข์มันไม่สุขมันไม่มีบาปไม่มีบุญ พืชมันไม่ทำชั่ว มันไม่กระทบกระเทือนผู้อื่นให้ได้รับผลโทษภัยอะไรเลย จึงกลายเป็นคนที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร มีแต่ประโยชน์ต่อกันและกัน พระพุทธเจ้าท่านสร้างคนให้เกิดเป็นคนที่มีคุณภาพคุณค่าสูงกว่าพืช เพราะว่าจิตวิญญาณพลังงานที่เหลือนอกจากทำให้เป็นพืชได้แล้ว พลังงานที่เหลือก็เอาไปทำประโยชน์ช่วยเหลือโลก ได้อย่างมหาศาลเลย เป็นการสร้างมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ประเสริฐสุดยอดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นี่คือจุดสำคัญ ของศาสนาพุทธ ถ้าสร้างคนแบบนี้ได้โลกทั้งโลกทางด้านเศรษฐกิจรัฐกิจสังคมกิจ ก็จะแก้ปัญหาได้ตกทุกอย่าง เพราะเป็นคนหมดความเห็นแก่ตัว เป็นคนมีปัญญารู้รอบ ว่ามาอยู่กับสังคมที่จะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร สำหรับตัวเองนะ คนที่บรรลุอรหันต์แล้วจะไม่ห่วงตัวเองเลย จะมีคนอุดหนุนเกื้อกูลช่วยเหลือ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา คนอื่นจะเลี้ยงดูเอาไว้เองไม่ต้องห่วง สำหรับเรื่องกินเรื่องอยู่เรื่องไปเรื่องมา แต่เรามีหน้าที่ช่วยเหลือคนอื่นเท่านั้น พิสูจน์ได้เลย คนอื่นเขาจะดูแลเราเพราะเราเป็นคนที่มีคุณค่าคุณประโยชน์ คนเขารู้เขาก็จะดูแล คนรอบข้างจะรู้ชัดเจน
_คำว่าสิริมหามายา ผู้ที่สามารถใช้คำนี้ได้คือโพธิสัตว์ระดับไหนขึ้นไปคะ หรือว่าเป็นกัลยาณชนระดับไหนก็ได้คะ
พ่อครูว่า…ถามมาดี ของเราเข้าใจแม้แต่คำพูดหรือการแสดงออกที่เป็นสิริมหามายา คือเหมือนคนพูดไปแล้วกลับกลอก พูดไปแล้วแสดงกิริยานี้แล้ว บอกว่าแสดงอย่างนี้เป็นเรื่องที่ดี แล้วก็ไม่แสดงเหมือนว่าดี อย่างอาตมามีสงบแต่แสดงเหมือนไม่สงบ คนข้างนอกจะไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นคนสงบแล้ว เป็นสภาพสิริมหามายาเป็นสภาพ 2 หนึ่งสมมุติ สองปรมัตถ์
ผู้ที่รู้ว่าวาระใดกาละใด กาละปัจจุบันต้องการแสดงสมมุติก็แสดงสมมุติ แล้วควบคุมสมมุตินี้ให้ได้สัดส่วน เป็นแม่ครัวที่ทำอาหารให้ถูกรสปากคนอื่น ที่เป็นประโยชน์ ไม่ให้คุณติดยึดแต่ว่าให้คุณกินได้ แล้วพยายามลดความติด ให้ไม่ติดจนกระทั่งอาหารนั้นไม่มีสิ่งที่จะไปเป็นพิษ โทษภัยอะไรเลย โดยตัวเองซ้อน เจ้าตัวเองจะเป็นคนรู้ว่าเราติด เราลดได้หรือเราไม่ติด แต่ทุกอย่างเหมือนอย่างเก่า เราจะกระทบกับลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเราก็กระทบเหมือนคนอื่นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จิตใจเรารู้เท่าทันเรากลางๆได้
โดยเปิดทวารตาหูจมูกลิ้นกายแล้วกระทบรู้ใจ นี่คือปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า การไปนั่งหลับตาสะกดจิตอยู่อย่างนั้นมันโมฆะจริงๆเลย ทำอย่างไรทางสายกระแสหลัก ทางสายพุทธศาสนาหมู่ใหญ่ เขาจะฟังอาตมาแล้วก็ทำความเข้าใจให้ได้ เลิกที่พาตกต่ำ ศาสนาพุทธมันไม่มีคุณค่า มันไม่มีประโยชน์อะไรต่อสังคม มันมีแต่โทษ ขออภัยที่พูดความจริง มอมเมาแล้วเป็นเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ กลายเป็นเรื่องฐานอาชีพให้คนกลุ่มหนึ่งมาทำอาชีพที่ไร้สาระของพุทธ แถมสร้างจารีตประเพณีที่ไร้สาระเข้าใจศาสนาพุทธจนงมงายทั่วบ้านทั่วเมือง
พูดแล้วมันไปว่าเขาหนักแต่เลี่ยงไม่ได้ต้องพูดความจริงอย่างนั้นให้ชัดเจน เอาล่ะมันก็เท่าที่ได้ ใครฟังดูเข้าใจก็มาศึกษาฝึกฝนเปลี่ยนแปลงให้ได้ประโยชน์ของแต่ละคน
_หนึ่งขวัญ…หนูเคยเขียนหนังสือส่งไปที่บริษัทอมรินทร์ แล้วเขาตอบรับมา หนูจะลองอ่านบทความสั้นๆ “คนที่โชคดีที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่สูงด้วยศักดิ์ฐานะยศศักดิ์ แต่คน
“แม่คือผู้ให้ใครอกตัญญูผู้นั้นไม่ใช่คน” หนูเขียนเป็นหลายข้อความทำไมเขาไม่ตอบรับเลย ทำไมหนูแปลกไปหรือ แต่เขาเขียนตอบรับมาว่า สิ่งที่คุณเขียนส่งมาไม่ตรงกับสำนักพิมพ์ของเรา เราควรจะเขียนอย่างไรให้สังคมเปิดรับบ้าง
พ่อครูว่า…คุณอย่าไปแคร์คนเขาจะรับหรือไม่ ถ้าอาตมาแคร์คนรับหรือไม่รับอาตมาทำงานนี้ไม่ได้ มายุคนี้อาตมาเกิดมา เปิดเผยโลกุตระอาตมาไม่แคร์ อาตมาก็ทำของอาตมาไป ทำงานออกบวชจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่มีคนมาสนใจเอาชีวิตมาทางนี้เรื่อยๆ เท่าที่นึกออกเลย อาตมาไปบรรยายธรรมะ ผู้ที่สมัครเข้ามาใกล้ชิดเลยเป็นผู้หญิงซะอีก คือ นัยนา (มาบรรจบ) แล้วก็ใครต่อใครตามมาเรื่อยๆ คือหมายความว่า ผู้ที่สนใจและเอาชีวิตที้งชีวิตมากับทางนี้ มันเป็นจริง เขาทำงานอยู่กับทางโลกดีๆแล้วก็ทิ้งมาอยู่กับอาตมา เป็นปรากฏการณ์จริงแล้วก็มีคนมาเพิ่มกลายเป็นคณะหมู่กลุ่มชาวอโศกจนกระทั่งทุกวันนี้มีชุมชนชาวอโศกนี่ มันเป็นเรื่องที่จริงของชีวิตมนุษย์ ที่พิสูจน์จิตวิญญาณ ความรู้ และเห็นว่าอะไรจริงๆอะไรคือสัจธรรมที่ชีวิตเราจะต้องร่วมหัวจมท้าย แล้วคุณก็เอาชีวิตมาทางนี้เลย เพราะมันจริงๆๆ
หลายคนนึกเลยว่าแต่ก่อนเรามุ่งหมายจะไปรวยลาภแข่งขันกับบิลเกตส์ จะไปรวยยศชั้นจะกลายเป็นเจ้าโลก เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลก เหมือนกับโดนัลทรัมป์เขาพยายามจะเป็น หรือใครก็แล้วแต่ทางโลก มันจะเป็นอย่างนั้นเลยในโลก แต่เราเอง ไม่ไปแล้วเข้าใจแล้วแล้วมาทางนี้เลย ลักษณะจิตที่เรารู้เราเห็นชัดในความจริงแล้วเราเอาชีวิตนี้มา มันเป็นการยืนยันพิสูจน์ อาตมาทำงาน มีคนจริงเข้ามาได้ จนเดี๋ยวนี้อาตมากล้าพูดว่าในโลก ชุมชนชาวพุทธกลุ่มหนึ่งเหมือนกลุ่มชาวอามิช อิตโตเอ็น คิปบุช เขาก็อยู่กันอย่างมีพฤติกรรมสังคมของเขาแบบของเขา ของเราเป็นแบบพระพุทธเจ้า เป็นอาริยบุคคล ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า เกิดจริงเป็นจริงอยู่ในโลก จนเป็นชาวอโศกที่มีสถานที่เสนาสนะและมีคนมารวมกันอยู่เป็นสังคมกลุ่มมีชีวิตไป พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ มีเครื่องอาศัยกินอยู่ มีสิ่งที่เป็นปัจจัยและบริขาร อย่างไม่ขาดหกตกหล่นอุดมสมบูรณ์ มีอาหารสัปปายะ ที่สำคัญมีธรรมะสัปปายะ เป็นธรรมะที่พาให้เป็นผู้เจริญผู้ประเสริฐแบบนี้ พิสูจน์ได้ครบครันบริบูรณ์ ขอพูดข่มหน่อย ที่อื่นไม่มีกลุ่มอื่นไม่มีอย่างนี้
ยกตัวอย่าง ท่านพุทธทาสก็พยายามจะทำแต่ก็ไม่ได้ ไม่มีหมู่กลุ่ม ไม่มีมวลปรากฏจริงเป็นรูปธรรม มีศีลถาวร มีสัมมาสมาธิที่ปฏิบัติในการทำงานอาชีพการงานการกระทำทุกอย่างขณะพูดขณะทำขณะคิด ก็มีมโนปวิจาร 18 จัดการ มีมุทุภูตธาตุจิตเจตสิกเราเอง รู้เท่าทันจิตใจตัวเองจัดการกิเลสตัวเองจนกระทั่งเป็นคนที่มีอุเบกขาเป็นฐาน อย่างมีคุณสมบัติ 5 อย่างถาวร สัมผัสแล้วก็สะอาด กระทบสัมผัสอย่างไรก็สะอาดอย่างเก่า จิตใจเร็วๆปรับได้เร็วรู้ได้เร็วแล้วก็มีกรรมการงานที่สวยงาม ปฏิบัติกรรมกับใครต่อใครก็มีแต่ความเหมาะควรด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4ตัดสินทำงาน จัดสัดส่วนการงานได้พอเหมาะพอดีเป็น กัมมัญญา การงานที่ได้ผลเหมาะสมควรทั้งนั้นเลย จิตผ่องใสอยู่ตลอดเวลาปภัสรา
คุณสมบัติ 5 ประการนี้ใครมีบ้างเอ่ย?…
ไม่มีใครยกมือเหรอ ก็มีบ้างนิดหน่อยคุณภาพยังไม่ดีนัก ….พอสมควร นอกนั้นยังไม่กล้ารับรองตัวเองเลยนะ ว่า ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
มันมีเป็นเหตุปัจจัยไป เหตุปัจจัยอย่างนี้ๆเราทำได้แล้วสัมผัสแล้วก็บริสุทธิ์อยู่มี มุทุภูตธาตุ อยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างเราไม่ได้รังเกียจเลย ทำงานด้วยหรือไม่ทำงานด้วย กัมมัญญา จิตใจของเราไม่มีการผลักดูดอะไรจิตใจของเราก็ผ่องใสสะอาด ด้วยคุณสมบัติ 5 ประการของอุเบกขา
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา คุณสมบัติ 5 อย่างนี้เป็นฐานนิพพาน ถ้าทำจิตอย่างนี้กับทุกอย่างได้เมื่อกระทบสัมผัสกับสัตว์เราก็มีอุเบกขา 5 โดยเฉพาะตัวตนบุคคล กระทบกับของวัตถุก็ดีพืชพรรณธัญญาหารก็ดี จิตใจของเราก็มีอุเบกขา 5
กระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายใจไปกระทบจิตใจเราก็เป็นกลาง ไม่มีพยาบาทเกิดในจิตเลย กระทบแล้วก็รู้จริงตามความเป็นจริง ตากระทบรูปหูกระทบเสียงจมูกกระทบกลิ่นลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัสทุกอย่าง แม้แต่ใจในใจ สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่อย่างไรจิตใจก็ยังเป็นกลาง
อรหันต์คือจิตที่เป็นอุเบกขาเป็นกลางอย่างถาวร
นี่คือความสงบสมบูรณ์ จิตสงบเพราะหมดกิเลส กิเลสไม่เกิดอีกอย่างสงบ ไม่ใช่สงบเพราะไปนั่งนิ่งๆไม่กระดุกกระดิก แล้วก็ไม่รับรู้อะไรมันคนละเรื่องเลย สงบของพระพุทธเจ้านั้นคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว แล้วคล่องเร็วไวเท่าไหร่ก็มีมุทุภูตธาตุ รู้เร็วไวชัดเจนรู้ทันกิเลสเข้าแทรกไม่ได้ จะได้ไวเท่าไหร่กิเลสก็เข้าไม่ได้ไม่มีช่องว่างให้กิเลสเข้า อย่างนี้
อาตมาพยายามอธิบายด้วยพยัญชนะภาษาให้รู้สภาวะพอจะชัดเจนไหม …ชัดเจน ทำให้ได้
อาตมาอธิบายสภาวะธรรมจากบัญญัติต่างๆที่พระพุทธเจ้าสอนก็นำบัญญัติต่างๆมาขยายความไม่ได้นำบัญญัติตัวเองมาหรอก เอาแต่ของพระพุทธเจ้ามา เอามาขยายความทั้งนั้น
อย่างอุเบกขา 5 ไม่มีสำนักไหนเอาไปขยายความเลย ไม่มี
เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางที่จะไปบรรลุอรหันต์ นี่เป็นฐานอรหันต์ จริงๆ ฐานตั้งแต่พระโสดาบัน ถ้ารู้แต่ก็เป็นของหยาบ
ของหยาบเราก็สามารถ โสดาบันกระทบสัมผัสอย่างนี้แล้วเราก็รู้อุเบกขาได้ มันก็หลุดพ้น มันจะมีของจริงมันจะมีสิ่งที่รองรับ ถ้าเราฝึกฝนตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ มีเครื่องยืนยันได้ ว่าปฏิบัติธรรมไม่โมฆะไม่สูญเปล่า
พระพุทธเจ้าอธิบายธรรมะไว้ในพระไตรปิฎกมากเรื่องหลายอย่าง แต่เดี๋ยวนี้เขาบอกว่าไปนั่งหลับตาปฏิบัติ จะไปดูในตำราดูในตำราเดี๋ยวจะได้บรรลุอรหันต์ แล้วพระพุทธเจ้าจะตรัสไว้ทำไมให้เมื่อยปาก ถ้าให้นั่งหลับตาตะพึดตะพือก็จบแล้ว แยกแยะมันไม่ใช่เรื่องง่าย มันมากมายพิสดาร จะพูดให้ปากเปียกปากแฉะให้ปวดหัวไปทำไม คือพวกนี้ดูถูกคำสอนพระพุทธเจ้ามากเลย ตัวเองก็ตีทิ้งของพระพุทธเจ้า บาปนะ พูดและสอนในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ พูดข่มพูดทิ้ง เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนทิ้งไปหมดเลยคนนี้ก็บาป
_สู่แดนธรรม ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า เรากล่าวแล้วโดยปริยายมิใช่หรือ?
พ่อครูว่า…โดยปริยายคืออธิบายโดยรอบ ไว้ละเอียดลออ
_รบกวนพ่อท่านอธิบายสวรรค์ 6 ชั้นโดยย่อง่ายๆอธิบายให้ชัดเจน
พ่อครูว่า…สวรรค์เขาเรียกชื่อตามที่เขาเรียกกัน มีมาแต่เดิม เดียรถีย์ มาถึงธรรมะของพุทธก็ยังต่อเนื่องในภพชาติ ที่เขายกเป็นสวรรค์ ขอพูดตัวจบเลยพวกนี้ของเก๊ทั้งนั้นไม่มีหรอกเป็นภพชาติ ศาสนาพุทธนั้นไม่มีนรกไม่มีสวรรค์พูดอย่างตัวจบ อรหันต์ไม่มีนรกสวรรค์นรกสวรรค์เป็นของเก๊
เพราะฉะนั้นสวรรค์ที่คุณเองไปแสวงหาอยู่นี้โง่ทั้งนั้น
แล้วสวรรค์ 6 ชั้นคืออะไร
-
แย่งสวรรค์เป็นจตุมหาราชเบียดเบียนคนอื่นเบียดเบียนตัวเองโง่ดักดาน แย่งมากก็บาปมาก หนี้มาก พิษภัยมาก
-
แย่งให้ได้ตาวติงสะ อาการ 32 อยากได้ทั้ง 32 อาการมาบำรุงตาหูจมูกลิ้นกายใจหรือเอามาบำรุงผมขนเล็บฟันหนังตับไตไส้พุงน้ำเลือดน้ำหนองอะไรทั้ง 32 อวัยวะ จะเอามาบำรุงหมดเลยมาเป็นตัวกูของกูหมดเลยถ้าได้มาก็เป็นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ หอฮ่อ อารมณ์หลอกสมใจอารมณ์ได้มาตามต้องการ จะเป็นอาการกามก็ตาม อัตตาก็ตามก็สวรรค์ อัตตามันไม่มีจริงหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นการทรมานตนเป็นความโง่ ถ้าตาหูจมูกลิ้นกายใจภายนอกมันยังมีสิ่งภายนอก แต่อยู่ข้างในมีแต่นิรมาณกายสัมโภคกาย บริโภคเนรมิตเอาเอง เป็นอทิสมานกายก็ไม่เห็นไม่มี องค์ประชุมในสิ่งที่ไม่มี
เมื่อโง่งมงาย เป็นดาวดึงส์ มีสวรรค์ก็อยากให้สวรรค์นี้อยู่ยาวนาน
-
ยามา ให้สวรรค์นี้ไม่หายไปสวรรค์ชั้นนี้ต้องอยู่กับข้า ข้าต้องอยู่กับสวรรค์พวกนี้ก็ต้องอยู่กับภพชาติทางนั้น
-
ดุสิตเป็นแดนพัก ธรรมชาติก็ต้องพัก แต่พวกที่ติดยึดอยู่นี้ไม่มีแดนพัก แดนพักกูก็ไม่พัก ยังจะดันทุรังอยู่นั่นแหละใช้พลังงานเสริมเข้าไปอีก จึงเป็นนิมมานรดี
-
นิมมานรดี สร้างมันอยู่นั่นแหละ สร้างมาบำเรอ นิมมานรดี กิเลสต้องการ พากเพียรไม่หยุดเขาให้หยุดก็ไม่หยุด พวกนี้พวกดันทุรังทั้งนั้น ไม่ใช่พวก ดันสุรัง ดันไม่หยุด ไม่พอใจ อันสุดท้าย
6 ปรนิมมิตวสวัตตี ให้คนอื่นมาช่วยสร้างอีกแสดงอำนาจบาตรใหญ่ยิ่งกว่าจตุมหาราช ทำให้คนอื่นเชื่อว่าเราเองเป็นใหญ่เราเองนี่แหละมหาพรหม ข้านี่แหละเป็นเจ้าสวรรค์วิมานเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ แล้วก็มีบริวารมีคนมาทำให้เองล่ะทีนี้ นิมมานรดียังจะช่วยตัวเอง แต่พวกปรนิมมิตวสวัตตี นี้คนอื่นทำให้หมด (สู่แดนธรรมว่า..ให้คนอื่นเป็นนายกนอมินีรับหน้าไป) เข้าใจเปรียบเทียบนะให้คนอื่นรับหน้าตัวเองก็สบายสร้างอำนาจมีอำนาจรักษาอำนาจไว้ได้ เป็นมหาพรหม ให้ลิ่วล้อตากหน้าติดคุกแทนชิบหายแทน ตัวเองก็ซื้อเครื่องบินไปขับไปทั่ว ไปไหนมาไหน นึกว่าตนเองประสบผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่นี่เขาไม่รู้ตัวหรอก เปรียบเทียบทางโลกให้เห็นชัดเจน ขอบคุณทักษิณที่เป็นตัวอย่างอันเลวทรามให้คนอื่นได้รู้ แต่เขาไม่รู้ เขาหลงว่าเขาเป็น ปรนิมมิตวสวัตตี แต่เขาไปหลงสวรรค์ 6 ชั้นอย่างที่ไม่รู้เรื่อง
อาตมาวิจัยตีแสกหน้า สวรรค์ 6 ชั้น
ผู้ใดเข้าใจแล้วอ่านจิตใจตัวเองว่ามีสวรรค์แล้วก็เลิกได้ คุณหมดสวรรค์คุณก็หมดอารมณ์ เพราะสวรรค์นรก เป็นเทวะ เป็นธรรมะคู่ แยกไม่ออกหรอกคุณต้องดับทั้งสวรรค์ทั้งนรกหมดนั่นแหละคุณจึงจะพ้น เพราะฉะนั้นชาวเทวนิยมทั้งหลายไม่ได้ศึกษาจิต เจตสิก รูปนิพพานไม่ได้แยกจิตอ่านอารมณ์ที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นอริยสัจ ความดีความชั่วเป็นเรื่องของโลกียะ
ศาสนาพุทธนั้นเรียนรู้อาการของจิตที่สุขที่ทุกข์ แล้วทำไมความสุขความทุกข์หมดจึงมีนิพพาน ศาสนาอื่นเทวนิยมไม่ได้แยกความสุขความทุกข์ร้องว่าเป็นสุข ตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า พระจิตวิญญาณที่เป็นเจ้าของสวรรค์เป็นอาตมันปรมาตมัน เสร็จแล้วก็เป็นคนสั่งลงนรกได้ จริงๆแล้วนรกซาตานเป็นเจ้าของ นรกไม่ใช่พระเจ้าไปสั่ง ซาตานเป็นเจ้าของนรก แยกให้ออก จะไปทำว่าสั่งลงนรกไม่มีจริง นรกนั้นเป็นของสัตว์โลกเองจิตวิญญาณโง่ทำเอง ไม่มีใครมาเป็นเจ้าของไม่มีใครมาเป็นเจ้าสวรรค์นรกอะไรหรอก
ต้องทำพลังงานปัญญาที่เป็นบุญ ใช้พลังงานปัญญาสลายพลังงานไฟราคะโทสะโมหะ ก็เกิดพยัญชนะที่เรียกว่ามันสลายได้เรียกว่าบุญ สร้างปัญญาได้เรียกว่า ฌาน ฌานไม่มีปัญญา ปัญญาไม่มีฌานไม่เรียกว่า ฌาน ไม่เรียกว่าปัญญา
ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องมีฌาน
นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต
ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 25 ข้อ 35)
ปัญญาต้องมีภายนอก มีองค์กระบวนการของปัญญา จักขุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ต้องมีอาโลกมีแสงสว่าง มีตาลืม ลืมตาอยู่ แล้วกระทบกับภายนอกจึงจะเกิดปัญญา แล้วปัญญาจึงจะเกิดเป็นญาณ วิชา นี่คือกระบวนการที่ชี้บ่งถึงความเป็นปัญญาของพุทธ ไปหลับตาไม่มีแสง อาโลก ไม่มีดวงตาแต่เขาปิดตาด้วยปัญญาญาณวิชชาหาไม่ ไม่มีเจอไม่มีพบไม่มีเกิด
สรุปอีก หลับตาปฏิบัติไม่มีแสงสว่างหรือดวงตาปิดก็โมฆะบุรุษ ในศาสนาพุทธ เมื่อไหร่จะกระเทือนบัลลังก์ พระอินทร์จะอาสน์ร้อนสะเทือน
อาตมาเองมาจัดการความยึดติดที่เขายึดถืออย่างถาวรนี้มันยาก เขาติดเขายึดถือถาวร ไม่ฟังใคร ไม่มีปรโตโฆษะ ไม่มีโยนิโสมนสิการก็ไม่มีสัมมาทิฐิ
บอกบ่อยก็หาว่าอาตมาไม่ใช่อีก แต่อาตมาว่าอาตมาคือใช่คือตัวจริงที่จะมาแก้กลับศาสนาพุทธที่ได้ผิดเพี้ยนไปไกลแล้ว จนมันไปยึดผิดเป็นถูกยึดถือมิจฉาเป็นสัมมา
รวมแล้ววันนี้มาฟังธรรมกัน …
_คนจนที่มีแบบหน้า 133 บอกอาตมาว่า ภิกษุต้องอาบัติอยู่ทุกคำสวดแต่ไม่เดียงสาจริงๆทำอาบัติกันอยู่ได้ ทำลายพุทธศาสนาให้เสื่อมหนักหนาสาหัสยังไม่ประสีประสาไร้เดียงสาแท้ๆ นี่เป็นคำของอาตมาเขียนเอาไว้ในหน้า 133 หนังสือคนจนที่มีแบบ
ผู้ที่เขียนมาก็เลยบอกว่า เลยลองคิดหาความหมายคำนี้ลองแบ่งเป็น 3 ระดับ ล้วนเป็นแบบโลกียะ
ระดับที่ 1 ไร้เดียงสาแบบเด็กๆที่อ่อนต่อโลก
ระดับที่ 2 ไร้เดียงสาแบบผู้ใหญ่ (เฒ่าทารก) ที่มีลักษณะที่ยัง แพ้โลก สะสมเนิ่นช้าเวียนกลับวิปลาส งมงายเดรัจฉานวิชาเทวนิยมโลกียะ อาจจะรวมถึงไร้เดียงสาเฉพาะเรื่อง เช่น ไร้เดียงสาทางการเมือง ไร้เดียงสาทางประวัติศาสตร์ ไร้เดียงสาทางเครื่องมือสื่อสารอินเตอร์เน็ต (พ่อครูว่า..ระวังเถอะ ใครที่ไปอยู่กับเครื่องมือสื่อสารที่ห่างกันไม่ได้)
ระดับที่ 3 ไร้เดียงสาแบบโจรบัณฑิต มีลักษณะ เฉโก ด้วยมิจฉาชีพ อย่างหยาบ โกง กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา
มิจฉาชีพข้อที่ 5 นี้เป็นธรรมะของเอกบุรุษที่ยิ่งใหญ่มาก
ดูถูกอาชีพเลวที่สุดคือโกง เลวรองมาคือหลอกลวง ตลบแตลงเนมิตกตา แล้วก็ปฏิบัติให้หลุดพ้นไปเรื่อยๆจนกว่า นิปเปสิกตา จนอาชีพสูงสุดได้ พ้นลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตาทำงานฟรี
ในยุคพระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้เพราะว่าเป็นยุคของทาสหลุดพ้นจากสมบูรณ์แบบไม่ได้แต่ในยุคนี้ทำได้ อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศให้คนปฏิบัติจนพ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 ได้ พวกเราหลุดพ้นได้ หลุดพ้นจากมิจฉาชีพ 5 ยืนยันได้ คนสายกระแสหลักส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เรียนรู้อย่างพวกเราเข้าใจไม่ได้ เขาบอกว่าพวกนีี้มันสุดโต่งมันจะอยู่ได้อย่างไรมาทำงานไม่มีรายได้มันจะไม่ทรมานหรือ ตายอย่างทรมานนะ แล้วพวกคุณจะตายอย่างทรมานไหมนี่ ถ้ามีหมู่กลุ่มอย่างนี้อยู่กันอย่างนี้มีวัฒนธรรมทำอาชีพ เสนาสนะ สถานที่บุคคลอาหารธรรมะ มันเป็นแดนเกษม แดนอันเกษม
ถ้าไร้เดียงสาเป็นเช่นนั้น ก็เป็นอย่างนั้นแต่ทีนี้ รู้เดียงสา ก็น่าจะตรงกันข้าม
เดียงสา คือ ติงสะ ติงสา อาการ 32 มันไม่รู้อาการทั้งหมดของเราอาการข้างนอกข้างในทำตามหน้าที่ของมัน มันทำไม่ผิดหรอก แต่เราจะผิดตรงหน้าที่ข้างนอกนี่แหละ เกี่ยวข้องกับผมขนเล็บฟันหนังที่ท่านให้พิจารณาแยกกายแยกจิตนี่แหละ ไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันใดมันไม่ใช่กาย อันใดยังเป็นการอยู่อย่างเป็นสุขเป็นทุกข์ อันใดที่เป็นสุขเป็นทุกข์ หลงกายเป็นจิต หลงจิต โดยไม่เข้าใจกาย ไม่รู้จิตไม่รู้ พีชะ แยกไม่ออก ก็เลยจัดการกับจิตให้เป็นพีชะ แล้วมีพลังงานที่เหลือทำกรรมให้มีประโยชน์ที่ประเสริฐเป็นคุณค่าแก่มนุษย์โลก ตัวเองนั้นสุขสบายแล้ว ทำอย่างนั้นไม่ได้
เป็นไปในเชิงผู้ที่มีวรรณะถ้าทำได้อย่างรู้เดียงสา ก็จะเป็นไปอย่างผู้ที่มีวรรณะ เป็นอเทวนิยมโลกุตระ ถ้าเช่นนั้นคนที่รู้เดียงสาอย่างแท้จริงไม่สุขไม่ทุกข์แล้วก็มีแต่ลิงลมอมเข้าพอง คนที่รู้เดียงสาอย่างแท้จริงใช้ความไร้เดียงสาอย่างโลกุตระอย่างเช่นเด็กเล่นขายของแบบมนุษย์พืชแบบหุ่นยนต์ เป็นคนจนอย่างรู้เดียงสา พวกเราเป็นคนจนอย่างรู้เดียงสา
บุญเป็นเครื่องมือชำระกิเลสจากความไร้เดียงสา ให้บังเกิดความรู้เดียงสา แล้วถ้าอย่างนั้นเดียงสากับไร้เดียงสาก็เป็นธรรมะ 2 เป็นสิริมหามายา งานของพระโพธิสัตว์ที่เข้าถึงเดียงสา ซึ่งล้วนเป็นงานที่สุดยอดศิลปะไร้ความไร้เดียงสา ไร้ความไร้เดียงสา แทรกโอสถทิพย์เข้าสู่รูขุมขนช่วยโลกได้ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตด้านใด
คำถามครับ.
ผมมีความเห็นประมาณนี้ไม่ทราบว่ามีความเหมาะสมไหมครับ (พ่อครูว่า…ใช้ได้เหมาะสมแล้ว)
-
แล้วคำว่าไร้เดียงสาที่แท้จริงแปลว่าอะไร
พ่อครูว่า…สู่แดนธรรมค้นมา เดียงสาแปลว่ารู้ผิดชอบชั่วดี รู้สิ่งควรไม่ควรตามปกติสามัญสำนึก หรือตามวุฒิภาวะ Be Sensible
คำว่า Sensible นี้ลึกซึ้ง Sensitive เป็นอีกอย่างหนึ่ง Sensible เป็นความรวมทั้งหมดเลย Able สามารถรู้ sense เลย
เดียง เป็นคำกริยา แปลว่า รู้
สา ก็แปลว่ารู้ รู้ในส่วนรู้สึกเหมาะสมรู้ควร
จะแปลมาอย่างไรอาตมาไม่ติดใจ อาตมาตามในพยัญชนะที่คุณสืบมา คุณหมายถึงอะไรอาตมาไม่ติดในพยัญชนะ อาตมาอธิบายธรรมะใหม่ๆเอาสภาวะเป็นตัวแปร ไปแปลพยัญชนะกับเขาไม่ตรงกับเขาด้วย โอ้โห ท่านตีอาตมาเละเลย ว่าอาตมาไม่รู้ธรรมะไม่รู้ภาษา อาตมาก็เลยนึกได้ เขายึดพยัญชนะ ก็พูดแต่สภาวะของเราไม่ได้ ก็เลยต้องมาใช้พยัญชนะตามที่เขาสมมติเป็นไปตามลำดับ ก็ค่อยยังชั่วขึ้น แต่เขายึดติดแล้วว่าอาตมาพูดไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้นเขาก็หาว่าอาตมาเป็นคนเละเทะอยู่ ก็แล้วแต่ แต่คนที่เข้าใจแล้วก็รู้ว่า อ๋อ ตอนแรกอาตมายังเมาหมัดกับโลกีย์ เป็นลิงลมอมข้าวพองไปกับโลกเขาเหมือนพระพุทธเจ้าไปกับโลกเขาไปเข้าป่า 6 ปี จนกระทั่งท่านรู้ว่าทางนั้นไม่ใช่บรรลุธรรมได้ เป็นแบบนี้เดียรถีย์ เส้นทางที่ท่านจะต้องไปใช้วิบากสมัยเป็นโชติปาละมานพทำบาปไว้ แต่คนเข้าใจผิดว่าต้องไปนั่งทรมานอยู่ในป่าเหมือนพระพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ในป่า ต้องไปนั่งหลับตา เป็นพระธุดงค์กรรมฐานสู้มาแล้วกับเสือสิงลิงค่าง นั่งหลับตา นั่งปากถ้ำ สมาธิตกถ้ำไปตายไม่รู้ตัว ค้นหาไม่เจอมีเยอะ พระกรรมฐานพระธุดงค์พระป่าพวกนี้ เคยเห็นไหมพระกรรมฐานพระป่าแห้งตายอยู่ในป่าเขาถ้ำ อย่างนั้นแหละ ซึ่งศาสนาพุทธไม่ได้ออกป่าเลย พระพุทธเจ้าตีทิ้งด้วย แต่ทุกวันนี้เขาเข้าใจว่าพระปฏิบัติต้องอยู่ในป่า ในอัมพัฏฐสูตรพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ ตอนสมัยท่านสอนศาสนาใหม่ๆ ท่านบอกว่ามีความเสื่อม 4 ประการ ของศาสนาพุทธ 4ประการนั้นเป็นไฉน
-
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
-
ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
-
สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ มีอัคคียัญ สิญจนยัญ
-
สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม 9 ข้อ 163)