620406_เทศน์ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 43 บ้านราชฯ เปิดโลกบุญนิยม ตอน1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1_ycEvKRSp6z_AqX-F_ZrLsFtdjp0-XcA5AGMIZvSf7g/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=175_YlhGze-wKTNi79pBdLi3RQ9lVD4Si
พ่อครูว่า…วันนี้วันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก อ.เป็นต้น เขียนกวี
ชูทวัชชมพูทวีป
จากอินเดียสู่ด้าว แดนไกล
อาทิตย์ทออุทัย ทาบฟ้า
ชมพูทวีปเคลื่อนไหว มาสู่ ไทยเฮย
ลงหลักปักแหล่งหล้า ลึกล้ำเหลือหลาย
ชูธวัชโบกสะบัดพริ้ว ปลิวไสว
เสมอมิ่งมงคลสมัย สวัสดิ์แผ้ว
แดนพุทธผ่องอำไพ ได้พึ่ง พิงเฮย
ลือลั่นสนั่นโลกแล้ว ตื่นรู้หรือยัง
สองสหชาติสหเชื้อ สหชัย
สองสหธรรมสหทัย สหแท้
สองสหจิตสหใจ สหจัด สหจริง
สองสหกรรม สหแก้ สหด้าวสหการ
องค์หนึ่งเสด็จสู่ฟ้า สรวงสวรรค์
เหลือหนึ่งประคองขันธ์ กอบกู้
เลี้ยงดูลูกนับพัน เป็นเอนก จริงเฮย
เหนื่อยหนักปักหลักสู้ เพื่อโพ้นพุทธภูมิ
อยากใดเล่าเท่ารื้อ ขนคน
เหตุผิดมิจฉาผล ย่อมได้
ธุดงค์เดี่ยวสัปดน บุกป่าไพรฤา
กู่ตะโกนบอกให้ ห่อนรู้สดับฤา
พุทธาภิเษกพ้น ผ่านไป
ปลุกเสกสร้างนิสัย ก่อเกื้อ
อาริยะตลาดไทย ไทยช่วยไทยเฮย
เอิบอิ่มด้วยยิ้มเอื้อ เอ่ยเอื้อน อวยทาน
ขาดทุนพ่อตรัสได้ กำไร
ทวนกระแสยุคสมัย แน่แท้
นักเศรษฐศาสตร์สงสัย คำตรัส พ่อแล
เครษฐกิจพอเพียงแล้ โลกล้วนสงบเย็น
เกิดมาชาติหนึ่งนั้น แสวงใด
อยากร่ำรวยใช่ไหม ก่อนม้วย
โลกทั้งโลกหอบไป ไหนเล่า สูเอย
ลาลับดับชีพด้วย เปล่าได้อันใด
เป็นคนบ่มจิตให้ มาจน
เสียสละเกิดกุศล ยิ่งไซร์
เอาเปรียบชาติทรชน อายติ – รัจฉาน
เตือนเพื่อนมนุษย์เอาไว้ สู่เวิ้งจักรวาล
เป็นต้น นาประโคน / 5 เม.ย. 62
อาตมาจะเอาคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยมที่เขียนในหนังสือเราคิดอะไรปี 2557 เป็นต้นมาเอามาบรรยาย เริ่มต้นด้วยก็คือทำไมต้องเปิดด้วยล่ะ เอา ก็ไม่ปิดไง? ขออภัยพูดหวัดไปนิดหนึ่งไม่ได้ยียวนนะ ไม่ปิดก็คือว่าตั้งแต่แง้มออกมาแล้วเผยอออกมาแล้วไม่ปกปิดไว้ในที่จำเพาะ เริ่มเผยตัวออกมาแล้ว
ความมีสภาพบุญนิยมที่เกิดในแต่ละคนแสดงภาวะองค์รวมจนผนึกเป็นปึกแผ่น ทั้งคุณสมบัติหรือคุณวุฒิ ในความเป็นบุญแบบพุทธ อย่างสัมมาทิฏฐิก็ดี หรืออื่นๆอีกนั้น เขาต้องมีภาวะแห่งคุณธรรม ที่ถึงคุณวิเศษ และจะต้องมี คุณนิธิ (คือคลังแห่งความดี) เพียงพอ กระทั่งมีคุณราศี (ก็หมายถึงมีคุณธรรมนี้เปล่งรัศมีออกมาจากตัวเองมากจนมีพลังที่คนสัมผัสได้) พอสมควร เมื่อคนได้สัมผัสแล้วจึงจะพอรับได้รู้ได้บ้าง จะต้องมีคุณนั้นก่อนจะเปิดตัว คุณนี่ก็คือสิ่งที่มันเป็นของดี เป็นความมีประโยชน์ไม่ใช่โทษภัย เป็นกุศล ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าบุญ คุณนี่ตรงกันข้ามกับคำว่าบุญ ซึ่งเป็นคำสองคำ เป็นสิริมหามายา เป็นทเว
คุณเป็นกุศลเป็นโลกียะ ส่วน บุญเป็นโลกุตระ
เราไม่เรียกว่ากุศล เพราะเป็นนักฆ่า บุญคืออาวุธชำระกิเลส ใครที่สามารถสร้างพลังงานในจิตตัวเองให้เป็นพลังงานขั้นเป็นบุญได้เป็นอภิสังขาร เป็นปุญญาภิสังขาร ก็เกิดการสังขารอย่างยิ่ง อภิสังขารเป็นโลกุตระ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร คนไม่เข้าใจแม้แต่พยัญชนะก็จะแปลผิด ไปแปล ปุญญาภิสังขารแปลว่า ปรับปรุงจิตใจตัวเองเป็นโยนิโสมนสิการจัดการกับใจตัวเองอย่างถ่องแท้ แล้วกิเลสลดได้เรียกว่าเกิดบุญ ชำระกิเลสได้ลดกิเลสทำลายกิเลสได้ก็เป็นบุญ อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ คนที่ลดกิเลสได้ ทำบุญให้เกิดประสิทธิภาพเป็นประสิทธิผล จนมีผลกำจัดกิเลสได้ กำจัดกิเลสเสร็จบุญก็หายไป บุญไม่เหลือสะสม บุญทำหน้าที่ขัดกิเลสอย่างเดียว ไม่อยู่ในที่ไหนไม่มีในที่ไหน สะสมไม่ได้ เป็นโลกุตระร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ในปัจจุบันที่ทำงาน คนใดกำลังมีสติสัมปชัญญะปัญญา มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยะ พยายามสร้างพลังงานจิตในบัดนั้นในปัจจุบันนั้นให้มีฤทธิ์ เมื่อสัมผัสอะไรแล้วเกิดกิเลสมา ก็ทำการจัดการ บุญเป็นกาละปัจจุบัน หมดปัจจุบันกาละ หมดปัจจุบันขณะแล้วที่บุญทำงาน บุญก็ไม่เหลืออีก จะทำงานสำเร็จฆ่ากิเลสได้ หรือไม่ได้ สร้างบุญขึ้นมาอีก กำจัดกิเลสอีก หมดหน้าที่จากปัจจุบันนั้นบุญก็ไม่มี ไม่ตกค้าง เป็นพลังงานที่หายวับไปทันที เกิดปัจจุบันเสร็จหน้าที่ในปัจจุบันหายไป ไม่ตกค้าง
คำว่าบุญ ซึ่งเป็นพลังงานทางจิตที่พิเศษที่สุดในศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นใดไม่มี แม้แต่ในพุทธศาสนาทุกวันนี้ก็ไม่เข้าใจความหมายความจริงของคำว่าบุญแล้ว บุญ เขาไปเข้าใจว่าเป็นความดีงามเหมือนกับกุศล ศาสนาพุทธจึงหมดมรรคผล เพราะเข้าใจคำว่า บุญ คำนี้คำเดียวไม่ได้ ว่าไปหมายถึงอาวุธกำจัดกิเลสเครื่องมือกำจัดกิเลส เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พิจารณากายในกายอย่างสัมมาทิฏฐิได้ รู้จักกายคือธรรมะ 2 พิจารณาภายนอกภายในสัมผัสและเกิดเวทนา ก็แยกแยะเวทนาได้จัดการกับเวทนาได้แยกกิเลสออกกำจัดกิเลสออกไปได้ อย่างนี้ถือว่าทำบุญสำเร็จแต่ทุกวันนี้ไม่เข้าใจแล้วบุญไปเหมือนกับกุศลทุกประการ เหมือนกับความดีงามทางกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม บุญก็ไม่ใช่นักฆ่าอีกแล้ว ความหมายของคำว่านักฆ่าหายไปด้วยไม่เหลือในศาสนาพุทธเลย เพราะฉะนั้นการฆ่ากิเลสจึงไม่มีในศาสนาพุทธ เพราะตัวเพชฌฆาตกิเลส พลังงานที่ไม่มีตัวตนเป็นนามธรรม ตัวตนของเพชฌฆาตหายไปหมดแล้วสร้างขึ้นมาไม่ได้สร้างขึ้นมาไม่เป็น เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีผลไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นมา จึงไม่เกิดคุณสมบัติ ความหมายเป็นโลกียะแต่เอามาเรียกเป็นโลกิยะว่า คุณสมบัติมันคือจิตสะอาดขึ้น บุญกำจัดกิเลสออกไปหมดหน้าที่บุญ สิ่งที่เหลืออยู่เป็นสมบัติคือกิเลสมันออกไป จิตสะอาดขึ้นมา เป็นคุณวุฒิของบุญนิยม วุฒิ แปลว่าเจริญ และเป็นคุณวุฒิที่จะต้องไปถึงขั้นคุณวิเศษไปถึงคุณสมบัติกำจัดกิเลสได้ หากกำจัดกิเลสได้ก็เป็นคุณวิเศษ
บุญในแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิจึงเป็นอุตตริมนุสสธรรมแท้เป็นคุณวิเศษจริง เพราะสามัญปุถุชนทำไม่ได้ ในศาสนาใดๆก็ทำไม่ได้ เทวนิยมทั้งหลายทั้งปวงไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ พูดไปแล้วเหมือนกับไปข่มเขา ไปยกตนข่มท่าน แต่นี่กำลังพูดถึงสัจธรรมวิชาการพูดถึงความจริง เพราะฉะนั้น คุณวุฒิคุณธรรม ของพุทธที่ทำให้เกิดบุญได้จึงเกิดคุณวิเศษ เพราะว่าเป็นประโยชน์เป็นคุณประโยชน์ที่ เกิดจากทาน ศีล ภาวนา ขั้นโลกุตระ
ทาน ศีล ภาวนา ขั้นโลกุตระ แตกต่างจาก ทานศีลภาวนา ที่ไม่เป็นโลกุตระเป็นแค่โลกียะอย่างไร
ทาน นัตถิทินนัง ทานคือการให้ ให้สมบัติวัตถุแก่คนอื่นไป ด้วยกายกรรมวจีกรรมก็พูดว่าจะบริจาคจะทานจะสละ หรือจะพูดเป็นภาษาอื่นที่เป็นทาน ก็มีกรรมกิริยาที่พอรู้ได้ พูดก็คือให้บริจาคสละ เสียให้อะไรก็แล้วแต่
จิตเป็นทานหรือไม่? จิตได้ให้ตามหรือจิตได้ต้องการอะไรคืนมาให้แก่ตนเองไม่ได้ให้จริงไม่สละขาด ไม่ได้หมดตัวตนจิต วัตถุออกไปปากก็บอกว่าจะให้ เสียไปสละไป แต่ใจไม่เสียสละจริง ใจย้อนกลับขอให้ได้กลับคืนมามากกว่าที่ให้ ทำบุญราคาอาจจะ 100 ต้องการกลับมาเป็น 1,000 เป็นแสนเป็นล้านตอบแทนคืนมา นี่คือการให้ขี้หมา เป็นการให้ผิดเป็นการทำให้เลอะเทอะ สับปลับโกหกตอแหล ตลบตะแลงเป็นการให้ที่ไม่จริง
เพราะฉะนั้นจะต้องเข้าใจถึงกรรมกิริยาภายนอกภายในที่สอดคล้องตรงกันโดยกำหนดจิต จิตให้จริงไหม ทาน นัตถิทินนัง หมายความว่าทานแล้วไม่มีผล ทานไปก็ไม่มีผล ผ่านไปแล้วต้องเอาสมบัติเอาวิมานกลับคืนมาในชาติหน้าชาตินี้ชาติไหนจะได้ตอบแทนคืนมาไหม ยังมีความหวังที่จะให้ สาเปกโข พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในทานสูตร จิตที่มันตั้งไว้มีอาการ สาเปกโข มีความหวังเป็น สาเปกโขทานังเทติ ทานไปแล้วก็ยังมีความหวังในการให้ทานนั้นอยู่ อย่างนี้ไม่มีอานิสงส์ ในการทานไม่มีประโยชน์ในการทาน ในทางปรมัตถ์ไม่มี
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล เขาสอนกันแค่ว่าปฏิบัติกายวาจา พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าปฏิบัติศีลคือสำรวมกายวาจาเท่านั้น มันต้องสำรวมกายวาจาก่อนด้วย แต่จะถึงศีลนั้นคือ ถึงจิต ที่ถึงศีลและถึงจิต เพราะคำว่ากาย ไม่ได้หมายถึงร่างภายนอกที่เป็นอุตุนิยามเท่านั้น มันหมายถึงใจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าการสำรวมกายนั้นไม่ยากหรอกเป็นของหยาบ แต่สำรวมใจนี่มันยาก เพราะฉะนั้นคำว่ากายเวลาปฏิบัติเวลาศึกษาเวลาสำรวม เราไม่ได้ไหมถึงกายว่า เป็นแต่เพียงภายนอกวัตถุ แต่เราหมายถึงกายคือจิตคือวิญญาณคือมโน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 ชัดเจน แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูติ คือ ประชุมด้วยดินน้ำไฟลม เรียกร่างกายนี้ว่า จิต พระพุทธเจ้าท่านเรียกร่างกายนี้ว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับไม่ได้ฟัง ไม่อาจจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัดหลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย
หากไม่ได้ฟังรายละเอียดอย่างที่อาตมาอธิบายพูด สำรวมกายไม่ได้หมายถึงว่าสำรวมแต่เพียงภายนอก แต่มันหมายถึงข้างในเชื่อมโยงไปถึงข้างนอกตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการสำรวมกายนี้จึงต้องหมายถึงจิต กายที่ไม่สุภาพเรียบร้อยไม่ผิดไม่มีอกุศลไม่ทุจริตก็แน่นอนเป็นของหยาบ เพราะกายกับจิตแยกกันไม่ได้ พูดถึงกายเมื่อไหร่ก็ต้องหมายถึงภายนอกและภายในต้องมีสองสภาพเสมอ กายต้องมีภายนอกด้วยภายในด้วยขาดกันไม่ได้ เป็นเทวะ
กายะ ในพจนานุกรม บาลี กายะ แปลว่า หมวดแห่งเจตสิก เจตสิกคือจิตนะ กายะหมวดแห่งเจตสิก 3 เป็นต้น คือ หมวดแห่ง เวทนาเจตสิก หมวดแห่ง สัญญาเจตสิก หมวดแห่งสังขารเจตสิกเป็นต้น
เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติกายปัสสัทธิหมายถึงกายวาจาใจสงบจากกิเลส กายยิ่งแคล่วคล่องเป็นกายปาคุญญตา หมายถึงแคล่วคล่องทั้งกายภายนอกก็แคล่วคล่อง เพราะว่ามีเวทนาสัญญาสังขารเจตสิก ที่เกี่ยวข้องเร็วไหวพริบ เป็นกายปาคุญญตา เพราะเป็น กายมุทุตา เป็นองค์ประชุมภายนอกและภายใน ทั้งสรีระและจิต มุทุ คืออ่อนปรับได้ไว มุทุตา ปรับกลับเร็วยิ่งกว่าสิริมหามายา ยิ่งกว่านักมายากล เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี จนไม่รู้ได้ว่ามีหรือไม่มีพูดอันไหนเป็นอันไหนไม่รู้ เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของจิตที่ดีที่เก่งนี้จึงสามารถควบคุมกายวาจาใจ ทำกรรมได้เก่งมาก กำจัดกิเลสได้เร็วไว เด็ดขาด กิเลสคือ กายกลิ หรือกาลี ตัวที่เป็นตัวไม่ดี ตัวชั่วช้า (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ตัวชั่วช้าอยู่ในใจของเราทั้งกายทั้งใจกายเป็นธรรมะ 2 ทั้งภายนอกและภายใน เป็นกายาสวะเป็นตัวหมักหมมอยู่ ถ้าเปรียบเทียบเป็นพลังงานก็คือพลังงานของแบคทีเรีย เล็กๆน้อยๆเป็นอาสวะหมักดองแต่งตัวอยู่ กายกลิ ให้กิเลส มันมีพลังงานแข็งแรง เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีวิธีปฏิบัติในกายคตาสติ คือใช้สติรู้ตัวทั่วพร้อมเสมอ แล้วก็พิจารณากรรมกิริยากายวาจาใจ โดยเฉพาะจะต้องถึงใจเสมอ กายหมายถึงจิตมโนวิญญาณ แล้วก็จัดการที่ใจ แน่นอนต้องจัดการภายนอกด้วยกายกรรมด้วย
ทุกวันนี้กายกรรมพวกเราชาวอโศกเสื่อมไปไกลมาก เสื่อมศรัทธา มันไม่สำรวมมันไม่สงบมันเป็นลิงเป็นค่าง ตั้งแต่อาตมาไปทีเดียว ขอสารภาพ เอากลับคืนมาได้ไหม …(ได้) สำรวมระวัง เริ่มต้นวันนี้ไป ดึงศรัทธาคืนมา
ทุกวันนี้ชีวิตสังคมชาวอโศกเราก็ดีขึ้นแล้ว ทำการงานอาชีพสมบัติต่างๆ ก็อยู่ในฐานะที่เรียกว่าพอกินพอใช้ อุดมสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็มาสนใจการสำรวมสังวรอย่างนี้ กลับมาสำรวมสังวรปฏิบัติกันให้ดีจริงๆ พยายามตั้งใจดู ไม่ต้องรีบร้อนนักหนาในเรื่องการกินกันอยู่ อาหารการกินก็ไม่ต้องอะไรมากแล้วทำที่มีอยู่แล้วให้สำเร็จเสร็จโครงการที่ออกแบบไว้แล้ว ไม่ต้องไปออกแบบใหม่อีกแล้ว คิดว่าทุกอย่างมันลงตัว อาตมานึกถึงตัวเองอายุ 85 ถึงมิถุนายนนี้ก็เต็ม 85 ก็ไปเรื่อยๆมันก็ยาวไปเรื่อยๆ พวกเราก็เลิกทางสะสมหรือเลิกทางวัตถุ สถานที่เสนาสนะก็พออยู่พอใช้แล้ว บุคคลในหมู่กลุ่มชาวอโศกเราก็เป็นปึกแผ่น พร้อมจะเป็นหมู่ใหญ่ที่ ช่วยกันประพฤติปฏิบัติหันมาสร้างแก่นแกน เพราะเราสร้างรั้วอาณาบริเวณภายนอกที่จะเป็นเสนาสนะ อาตมาว่าเพียงพอแล้ว เรามาเคี่ยวใน เข้มข้น บุคคล อาหาร ในสัปปายะ 4
เสนาสนะก็พอเพียง บุคคลก็ได้บุคคลที่จะมาเป็นชาวอโศก ใครจะมาร่วมเป็นสมาชิกจะมาเพิ่มเติมก็ยินดีต้อนรับ ด้วยพวกเราก็ควรจะต้องเป็นตัวของพวกเรา แต่ละบุคคล พึงเอาประโยชน์ตนให้มาก อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะผู้อื่นแม้มาก เพราะฉะนั้นน้อยก็ยังต้องเอา แม้ประโยชน์ผู้อื่นจะมีมาก เราก็ยังไม่เอาเลย แล้วนิดๆหน่อยๆจะไปเอาทำไม เราก็มาอาศัยการสังวรสำรวมปฏิบัติประพฤตินี้ให้ได้เป็นอันมาก ธรรมะสัปปายะ ให้เกิดธรรมะสูงขึ้นเจริญขึ้น พัฒนาขึ้นมาตั้งใจอันนี้
ตอนนี้เรามีคุณนิธิ มีประโยชน์ความเป็นคลังของความเป็นปึกแผ่นพอสมควร จนกระทั่งมีคุณราศีพอสมควร แต่ราศีของพวกเรามันไม่ใสสะอาด ถ้าพวกเราไม่สุภาพไม่เรียบร้อย มันแกว่งไกวก็เลยขุ่น ถ้าสงบราศีเราจะผ่องแผ้ว เป็นคุณวิเศษคุณประโยชน์ให้พวกเราแน่นขึ้น ผู้อื่นจะไม่เห็นมาสัมผัสได้ ก็ว่าอย่างนี้น่าศรัทธาน่าเลื่อมใส เป็นความดีความสงบสะอาดบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่น่านับถือน่าเคารพ เป็นปาสาทิกะ เป็นอาการที่น่าเลื่อมใสเป็นคุณธรรมคุณวิเศษที่พร้อมทั้งกายวาจาใจ ซึ่งไม่ใช่คุณธรรมที่ธรรมดาสามัญที่เขามีกัน แต่เป็นคุณธรรมขั้นที่มีทั้งนอกและในสอดคล้องลงตัวกันประสานกัน โดยมีการชำระกิเลสเป็นหลัก มีบุญเกิดบุญ ก็จะได้รู้ว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมเกิดบุญเป็นอย่างนี้เอง ก็คือสามารถที่จะชำระกิเลสได้ เรียกว่าบุญ
ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่รู้จักตัวกิเลสไม่รู้จัก สักกายะ ไม่รู้ตัวตนของกาย สักกะ แปลว่าตัวตน ตัวเรา มันไม่รู้รูปนามองค์ประชุมที่สังเคราะห์สังขารกัน แล้วเราก็แยก มีทำวิจัยสัมโพชฌงค์สัมผัสอะไรแล้วเกิด ตักกะ เราก็แยกแยะ วิจัย วิตก วิจาร แยกพฤติกรรมออกว่าอันนี้เป็นเวทนาแท้อันนี้เป็นเวทนาเทียม ที่มันปรุงแต่งเป็นความสุขความทุกข์ เราก็รู้ว่ามันมีเหตุ เป็นกิเลสบำเรอจิต บำเรอเวทนา สมกับที่ต้องการสมกับที่มันอุปาทานไว้ก็ดี หรือเป็นตัณหาอยากได้ แยกความเป็นตัณหาอุปาทานเป็นกิเลสออกได้ ก็จัดการกับตัวนี้ แยกมันได้แล้วก็จัดการกับอาการของกิเลส ไม่ใช่เลอะเทอะไป แลบเลีย เหลื่อมล้ำ ทำให้จิตใจบาดเจ็บทำให้จิตใจถูกเชือดเฉือนไปด้วย ให้เชือดแต่กิเลสออก ไม่ไประคายจิต จิตก็สะอาดเป็นธาตุรู้แท้ๆ ส่วนกิเลสเป็นตัวแฝงอยู่กับธาตุรู้ เป็นตัวปรสิต เป็นตัวกาฝาก ไม่ใช่ตัวแท้ของจิต เป็นตัวที่มาเกาะอยู่กับเราต้องกำจัดตัวนี้ออกให้ได้แล้วจิตใจเราจะใสสะอาด เราจะต้องทำให้มันชัดเจนอย่างนั้นจึงจะเป็นคุณค่าที่แท้เป็นประโยชน์ที่จริงในนักปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธรู้จักแยกอารมณ์ แยกสภาวะที่เรียกซ้อนไปที่เรียกว่าอัตตา ตัวตน แยกตัวตนหรืออัตภาพ ที่จริงมันแยกไม่ได้ แต่เราแยกได้เพราะมันเนียนเหลือเกิน กิเลสมันอยู่ในจิตเราเหมือนกับจิตเราเลยมันมีพลังงานหลอกว่าเหมือนเราเลยแต่มันไม่ใช่เรา มันเป็นตัวอกุศล มันเป็นตัวไม่ดีไม่งามพาให้เราตกต่ำพาให้เราทุกข์
ผู้ที่มีสติสัมโพชฌงค์คือความตรัสรู้ มีสติสัมปชัญญะปัญญาสัมผัสแล้วก็แยกจิตในจิต ตีแตกแยกแยะจิตในจิต แยกเอาส่วนที่เป็นกิเลสเป็นส่วนทุจริตเป็นสิ่งไม่ดีงามจะเรียกเป็นภาษาว่าบาปอกุศลทุจริตก็เป็นกิเลส เป็นกิเลสตัณหาอุปทาน แยกเป็นอุปกิเลส 16 ตั้งแต่อภิชาวิสมโลภะ โทสะ โกธะ อุปนาหะ จนไปถึง มทะ ปมาทะ ก็เข้าใจลักษณะต่างๆเรียกว่าบรรดากิเลสทั้งหลาย
อภิชาวิสมโลภะจตัวที่หนึ่ง หมายถึงตัวโลภตัวราคะทั้งหมดเลย ตัวตนของกิเลสเชิงโลภหมด จากตัว2 มันก็จะละเอียด พยาบาทก็ เป็นตระกูลต้นของอีกชนิดหนึ่ง เป็นแรงผลัก หากอภิชาวิสมโลภะก็เป็นแรงดูด พยาปาทะ หรือโทสะ เป็นตัวผลักตัวทำลายตัวร้าย และก็เบาลงมาเรียกว่าโกธะ
โทสะนี้แรงเต็มหรือพยาบาท มันมีโกรธแล้วผูกพยาบาทด้วย ทั้งโกรธ และผูกพยาบาทเรียกว่าโทสะ เบาลงมาเป็นโกธะ คนที่โกรธง่ายหายเร็วไม่ผูกพยาบาทก็ได้ ละเอียดลงไปอีกเป็นอุปนาหะ ยังมีผูกโกรธอยู่แต่มันเบา ขั้นลึกละเอียดเรียกอุปนาหะ ท่านแปลว่าผูกโกรธ มันไม่ถึงขั้นพยาบาทโทสะมันผูก จองเวรจองกรรมอยู่เรียกว่า อุปนาหะ พอมีเชื้อพวกนี้อยู่ก็เลยเป็นตัวเป็นตน
มักขะ ลบหลู่คุณท่าน สิ่งที่เขามีคุณก็ลบทิ้ง หรือว่าไปพูดผิดๆ อะไรก็แล้วแต่
ปลาสะ เสร็จแล้วก็ยกตนข่มเขา อาตมาแสดงธรรมอยู่ทุกวันนี้ สังคมศาสนาหยาบจนอาตมาต้องพูด กิเลสก็หยาบๆอะไรก็หยาบๆ เขาก็หาว่าอาตมาหยาบ สาย อภิชาวิสมโลภะก็แรงจัดจ้านเหลือเกิน พยาบาทก็แรงมาก แล้วซับซ้อน หลอกคนอื่นเหมือนกับตนเองไม่มีโทสะไม่มีพยาบาทแต่ที่จริงหลอกซับซ้อนทั้งที่ตัวเองถูกโกรธ อุปนาหะ ซับซ้อน
อุปนาหะ รุนแรงกว่าพยาบาท พยาบาทคือโทสะผูกโกรธ โกธะ คือไม่ชอบใจในปัจจุบัน เกิดปฏิกิริยาโกรธ ไม่ชอบใจเสร็จแล้วยังไม่พอ อุปนาหะ สะสมเข้าไปอีกยิ่งกินลึกเข้าไปพยาบาทผูกโกรธรวมไปเลย แต่ข้างนอกหลอกเขาว่ามันเบา ข้างนอกเหมือนดีแต่ข้างในหนักกว่า โกธะ อีก เสร็จแล้วก็เลย ลบหลู่คุณเขาหมด
ตีตนเสมอท่านด้วย ปลาสะ เสร็จแล้วก็อิสสา หรือริษยา ไม่ต้องการให้ใครได้ดีต้องการให้เขาตกต่ำให้เขาเลวร้ายไปใหญ่เลย อันนี้เป็นจิตเลวมหาศาล จิตใจที่เลวมาก อาตมาพูดเองเสมอว่าไม่ได้พูดดุด่าว่าตำหนิคนนี้อยู่ เหมือนแม่ที่มีลูกแบบสุดเข็นก็เลยได้แต่ด่าๆๆๆๆ แล้วลูกก็ประชดไม่ฟัง ยิ่งร้ายเพิ่ม นึกถึงผู้หญิงที่มีลูก ถึงจะด่ารุนแรงแต่ก็อยากให้ลูกได้ดี ปรารถนาดี มันไม่ได้มีความริษยาเลย อาตมาจะไปริษยาคนตกต่ำหนาด้วยกิเลสจะไปริษยาทำไม
อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 หากจะริษยา แต่โพธิสัตว์รู้แล้วจะไปริษยาทำไม ก็มีแต่เคารพบูชาเพราะมันเป็นสัจจะที่ตรงแล้วมันเข้าใจไม่สับสนกันแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีหรอกริษยา ไม่ต้องการให้เขาได้ดีจะไม่มีเลย แม้แต่คนชั่วก็ต้องการให้เขามาได้ดี ยิ่งชั่วหนักอย่างธัมมชโยอย่างทักษิณอยากให้เขามาได้ดี อาตมานี่ ละไว้ เอาปัจจุบันที่เขาร้ายยิ่งกว่า ไปจาบจ้วงแค่ธัมมชโยในสายพระ หรือสายฆราวาสก็แค่ทักษิณเท่านั้น ขอบคุณทั้งทักษิณและธัมมชโย ที่เป็นตัวตนตัวอย่างตัวจริงให้อาตมาหยิบเอามาพูดในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ไปเอาชาดกนิทานมาแล้วพูดถึงชื่อนั้นชื่อนี้ พวกคุณก็นึกไม่ออก พอบอกว่าธัมมชโยพอบอกว่าทักษิณ คุณก็ประมวลพฤติกรรมที่คุณพอรู้ได้ ไม่ดีอย่างไรดีอย่างไรต่อมาก็จะขยายกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กิริยาอาการที่ดีหรือไม่ดีนั้นออกมาว่าคนนี้ใช่
เราในอุปกิเลส 16 เราไม่ได้ไปอิสสา ใช้คำว่าอิจฉาไม่ได้ มันเป็นความต้องการกลางๆ อิจฉาวจร คือ จิตมีพลังงานเกิดขึ้น มีความต้องการเกิดขึ้นแบบกลางๆ ไม่ได้มีอกุศลหรือมีกุศลอะไร ส่วน อิสสา นี่ละ ริษยา คำนี้สับสน ภาษาภาคกลางคำว่าอิจฉาแปลว่าเป็นริษยา แต่ภาษาอีสานออกเสียง อิสสา แปลว่าริษยา
มัจฉริยะ คือตระหนี่ถี่เหนียว อโศกทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียวอะไร มีจิตใจเผื่อแผ่เกื้อกูลเสียสละ เห็นเป็นรูปธรรมได้ดีมาก ก็ขอบคุณพวกเรา แต่ที่เกิดได้นี้เกิดจากจิตใจเป็นประธาน มันจริงมันก็เลย
1.เราเป็นคนมักน้อย เรามีน้อยก็พอ อัปปิจฉะ
2.เรามีน้อยเราก็พอ
3.เราได้เรียนรู้ปฏิบัติประพฤติมามี สัลเลขธรรม มีการเรียนรู้พัฒนาขัดเกลาตัวเองด้วยศีล สมาธิ ปัญญา สูงขึ้นเรื่อยๆเรียกว่าธูตะ เขาก็เรียกว่าศีลเคร่ง ธูตะ คือข้อปฏิบัติต่างๆ ศาสนาพุทธก็มีศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ารู้แจ้งจบแล้วคุณก็ทำได้ สามารถรู้ศีลอันเป็นอริยะ ปฏิบัติสำรวมสังวรอันเป็นอริยะ มีปัญญาอันเป็นอริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ สันโดษอันเป็นอริยะ หมายความว่าจิตใจมันลดละมากน้อยแล้วก็พอสันโดษลงได้เรื่อย ก็จะมีอาการที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ ชาวอโศกมีอาการน่าเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นโลกๆ ไปเยอะ ก็ต้องกลับมาสำรวมสังวรกันใหม่นะ มันพอกินพอใช้แล้ว มันก็ทำไปตามที่มันพอเป็นไปได้ เราก็จะต้องมีอาการที่น่าเลื่อมใสขึ้นไปอีก
อปจยะ เราไม่สะสม เราไม่ได้สะสมทั้งหยาบ กลาง ละเอียด โดยเฉพาะไม่สะสมภายใน จิตใจเราไม่สะสม วัตถุเราก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา กิเลสเราก็เอาออกเราก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา กิเลสนี่แหละมันตัวยาก ต้องเอาออก ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเราไม่สะสมเป็นเราเป็นของเราจนกระทั่งตัวเรา ไม่มีของเรา แม้แต่เราจะอาศัยความเป็นเรา ความเป็นตัวตน เราก็เข้าใจสภาวะของดินน้ำไฟลม กับ จิตวิญญาณที่ร่วมเป็นกาย เป็นองค์ 2 กายเราก็เป็น เทวะ เทวะผู้ยิ่งใหญ่
เทวนิยมเขาตีไม่แตกแยกไม่ออก เขาไม่รู้ว่าความเป็นพระเจ้าที่สะอาด ตีแตกแยกออกจนรู้จักกิเลสอย่างไร ไม่ใช่กิเลสคือจิตวิญญาณแท้ๆเป็นอย่างไร ตีแตกแยกออกจนจัดการกิเลสเอาไปจากจิตแท้ๆ เรียกว่า จิตเดิมแท้เขาก็เรียก จิตใสๆ ไม่มีกิเลสในจิตอีกแล้ว กิเลสเข้ามาแตะปั๊บ ยิ่งกว่าปลิงที่มาแตะบริเวณที่เราทายาหม่องไว้ มันมาแตะไม่ได้ มันจะไม่จับมันจะไม่กล้ามันไม่ดูดเลย นั่นแหละคือหมายความว่าจิตของเราสะอาดบริสุทธิ์อย่าง ผ่องแผ้วแล้ว แล้วมีรังสีมีพลัง กิเลสจับไม่ติดกิเลสแตะแล้วแพ้เลย จนกระทั่งมีราศีรังสี ไกล ไม่ต้องแตะหรอก เข้ามาใกล้รังสีนี้ก็ออกไปแล้ว กัมมันตภาพรังสีของคุณสมบัติขั้นวิเศษ ขั้นกิเลสหลุด
ยกตัวอย่าง เช่น ชาวอโศกไม่ต้องมีรั้วรอบขอบชิดสมบัติเหล่านี้ คนเขาเอารถโกดังมาขนใส่ไปได้สบาย แต่เขาไม่มาละลาบละล้วง เพราะว่าราศีของเราเป็นผู้ให้ เราเป็นคนจน นอกจากคนหยาบว่าชาวอโศกเป็นคนรวย แต่คนลึกซึ้งเขาจะรู้ ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์เป็นกุศล สิ่งที่ไม่มีประโยชน์เขาไม่มีหรอก คนพวกนี้เป็นคนชั้นสูงคนประเสริฐ ไม่มาสะสมขยะอะไร เขาจะมีแต่สิ่งที่เป็นสาระอาศัยนิดๆหน่อยๆ แล้วเป็นของดีเขาก็จะรู้เขาใช้ของดี ชาวจนหยาบๆเขาไม่มี แบคโฮ 800 คนลึกๆจะรู้ว่ามันบอกมันจนแต่มี แบคโฮ 800 ได้อย่างไร แบคโฮ 400 คนอื่นก็หายาก เราก็ใช้อยู่ทั่วไป แบคโฮ 200 คนอื่นเขาหายากแต่ที่นี่มี แค่ ไม่ถึง 200 ถึงแค่ 150 ก็ยังมีใช้ มีแม้กระทั่งให้นายปองเอี้ยมเล่น
ชาวอโศกซ้อนลึกซึ้ง เป็นการปฏิบัติซับซ้อนทั้งทางวัตถุธรรมและทางกรรมกิริยา ทั้งทางนามธรรม มันเป็นตัวอย่างที่ขั้นที่เขาสัมผัสได้ ทั้งรูปธรรม อรูปธรรม ทางกาย ทั้งภายนอกสมบูรณ์แบบ อาตมาทำงานมา 49 ปีแล้วมีผล
พวกเรานี้สมบูรณ์แบบทุกวันนี้พวกเราเบิกบานแจ่มใสไหม? พวกเราเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายหรือมัธยัสถ์ มันเป็นนิสัย หรือวิสัย มัธยัสถ์จนบางทีขี้เหนียวเกิน ก็ให้รู้ตัวเองบ้างว่าอันนี้มันเกินไปแล้วนะ มัน มัจฉริยะแล้ว มันตระหนี่ขี้เหนียวเกินไม่ใช่มัธยัสถ์ พระบาลีของท่านชัดเจน มัธยัสถ์เป็นคนประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย แต่กล้าที่จะสละกล้าให้กล้าแจก ไม่ใช่คนมัจฉริยะขี้เหนียวมีเยอะแยะมากมายแต่แบ่งใครไม่ได้เผื่อแผ่ใครไม่ได้ พวกนี้มันเป็นพวก มัจฉริยะ ไม่ใช่มัธยัสถ์ มัธยัสถ์จะรู้ว่าอย่าทำเสียหายรู้จักเก็บงำรู้จักดูแลรักษาข้าวของ นี่เรียกว่ามัธยัสถ์เป็นกลาง ได้สัดส่วน ส่วนมัจฉริยะมันเป็นความขี้เหนียวเกินไป ส่วนสุรุ่ยสุร่ายภาษาบาลีมีไหม?..พหุลิโก
ผู้ที่มีคุณสมบัติที่เราไล่เรียงไปแล้ว ชาวอโศกอาตมาสรุปเอาไว้ว่า
-
เบิกบานแจ่มใส
-
มัธยัสถ์
-
สุภาพ คือสุภาวะ คือภาวะทางกายวาจาใจทุกอย่างดีหมดเรียกว่าสุภาพ อาตมาค่อนข้างมีจุดด้อยที่ กายวาจาใจที่ต้องเวอร์ไปหน่อย เพราะทุกวันนี้คนกิเลสหนา พูดแล้วเหมือนแก้ตัวแต่ก็พูดจากสิ่งที่เป็นจริง แต่ตอนนี้คิดว่าเมื่อยแล้ว ย่างเข้าหา90 แล้วเรี่ยวแรงไม่มากมายแล้ว การดุด่าว่าก็เยอะแล้ว อาตมาตั้งใจจะเพลาลง จะเอาเนื้อหาสาระสัจธรรมขยายที่มีอีกเยอะมาอธิบาย ขณะที่พูดนี้ก็จะขยายความไปใครฟังเป็น
-
สงบ คำว่าสงบของพระพุทธเจ้าคือ สันตา ปณีตา คือสงบที่คล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่สงบอย่างเฉื่อยช้าแข็งทื่อไม่ใช่ สงบทื่อกายก็ทื่อพูดก็ช้า ไม่ใช่ แต่พูดก็คล่องแคล่ว ปราดเปรียวแต่ไม่มีกิเลส สงบของพระพุทธเจ้านั้นความคล่องแคล่วของกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมนั้นคล่องแคล่ว เพราะไม่มีกิเลสมาถ่วงไว้หนืดไว้ นามธรรมกับรูปธรรมนั้นถ้ามันลงตัวแล้ว คนไม่มีกิเลสมันจะแสดงอาการแคล่วคล่องมันจะไม่เฉื่อยไม่เนือย ศาสนาพุทธทุกวันนี้เข้าใจผิด พอบอกว่ากายปัสสัทธิ อะไรก็เฉยชาไปหมด อันนั้นเบื้องต้นเป็นการสังวรระวัง ก็ใช่ คุณเร็วไปกิเลสมันก็เข้าคุณก็ไม่ทัน มันก็ใช้ไม่ได้คุณก็ต้องช้าไปจนจับกิเลสทัน แต่คนที่คล่องแล้วแล้วจะจับกิเลสทัน สันตา ปณีตา มันจึงเป็นความสงบที่คล่องแคล่ว ไม่ใช่สงบอย่างง่ายๆหยาบๆ นิ่งๆหยุดๆช้าๆ ไม่ใช่ อันนี้เป็นพยัญชนะแบบสิริมหามายา ฟังแล้วเหมือนกลับไปกลับมา จึงยากที่จะคาดคะเนด้นเดาเอา อตักกาวจรา เพราะณิปุณา ละเอียดลึกซึ้งระดับนิพพาน ผู้ที่เป็นบัณฑิตฟังแล้วก็จะเข้าใจฟังแล้วรู้เรื่องเอาไปปฏิบัติได้ ชาวอโศกเราปฏิบัติได้