620407_เทศน์ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 43 บ้านราชฯ เปิดโลกบุญนิยม ตอน2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/16ISLN9IfdJ5-dOvjgR7i0sq4Jc_Kl2HCUsFLlwkvT_0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1fMJi0blTrdOGU_2b8kIdgrxiXtH5059P
พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2562 เป็นวันที่ 3 ของงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 43 ถือว่าเป็นประเพณีกิจกรรมที่สำคัญของชาวอโศกเรา อย่างน้อยที่สุด ปีหนึ่ง 2 ครั้ง งานพุทธาภิเษกปลุกเสกฯของเรา ทำกันมา 43 ปีแล้วไม่ใช่น้อย ก็จะได้จริงๆเพราะว่าเป็นการสำรวมสังวรทุกอย่างเป็นการปฏิบัติที่มีองค์ประกอบพร้อม ไตรสิกขา เป็นองค์ประกอบพร้อมทั้งจรณะ 15 วิชชา 8
ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราจะต้องมีศีลเป็นตัวต้น เป็นตัวหลัก หากไม่มีศีลเป็นตัวหลักก็สะเปะสะปะ ปฏิบัติยังไม่เข้าหลักไม่เข้าเกณฑ์ ตัวที่จะต้องจากหลักเกณฑ์อันนี้แล้วจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมประกอบมาเป็นชีวิต เกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ สัตว์ตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่จนถึงมนุษย์ด้วยกันทั้งหมดที่เราสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ จะต้องมีทวาร 5 ข้างนอกทวาร 6 คือใจ มีอายตนะสัมผัสกันอยู่มีอายตนะรับรู้ โดยเฉพาะเกิดเวทนา และเวทนาก็คือกรรมฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสนาที่มีหลักสำคัญที่สุด และเราได้เรียนรู้ทุกข์อริยสัจ ไม่ใช่ทุกข์โลกีย์ ที่คนทั่วไปเขาก็ไม่รู้ สุขก็เป็นสุขที่ อัลลิกะสุขเก๊ คนทั่วไปเขาก็ไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้
เพราะที่สุดทุกข์นี่แหละเป็นตัวตัดสินที่แท้ของศาสนาพุทธ เพราะหัวใจของศาสนาพุทธคือทุกข์อริยสัจ เรียนรู้ทุกข์แล้วก็รู้จักวิธีดับทุกข์ รู้จักตัวทุกข์อาการของทุกข์เหตุของความทุกข์ จะรู้เหตุก็ต้องมีปัญญารู้จักปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นเหตุปัจจัยๆ ต่อเนื่องกันไปเริ่มต้นตั้งแต่อวิชชาไปจนกระทั่งถึงลงท้ายเป็น โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส
เราศึกษาพยัญชนะเพื่อให้รู้จักสภาวะอาการของจิตที่แท้ จะชัดเจน รู้ทั้งกาย รู้ทั้งเวทนา รู้ทั้งจิต รู้ทั้งธรรม ที่เราทรงไว้ ทรงไว้อย่างไว้อาศัยไม่ใช่อยู่อย่างงมงายว่าธรรมะคืออะไร เรารู้ว่าทรงไว้คืออย่างไร มีอาการอย่างไร มีคุณธรรมคุณวุฒิคุณประโยชน์คุณค่า เขาไม่รู้เรื่อง แต่เราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าและจะรู้ สามารถที่จะชัดเจน
อย่างเช่นหลักเกณฑ์จรณะ 15 จากศีล สมาธิ ปัญญา เวลาปฏิบัติก็จะตั้งเกณฑ์ต้นด้วยศีล รู้ว่าศีล ปฏิบัติแล้วดีนะเจริญขึ้นนะ อธิ ข้อ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์เรารู้ตัวเพิ่มขึ้นมี สักกายะ มีตัวเราตัวเขามีรูปมีนามแบ่งแยกของเขาของเรา แล้วเราก็ไม่ไปรบกับคนอื่น รบแต่กับกิเลสของตนเอง สัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์ทั้งหลายแล้ว เราก็ไม่ไปรบกับคนอื่นไม่ไปเบียดเบียนทำร้ายคนอื่น รบกับตนเอง รบกับกิเลสตนเอง
มีศีลแล้ว เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ หลักปฏิบัติที่ไม่ผิดเรียกว่า อปัณณกปฏิปทา 3 คุ้มครองสำรวมสังวรในอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วก็ เรียนรู้จากสิ่งที่เรากินเราใช้ โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักจัดสรรรู้จักประมาณรู้จักการจัดการ แล้วก็รู้จักว่า เราใช้เรากิน ของกินของใช้แล้วเราสัมผัสมันก่อให้เกิดกิเลสที่สำคัญมากไหมของกินของใช้ จนเรายึดมั่นถือมั่นของใช้ เป็นของตัวของตนจนหวงแหน กระทั่งคนอื่นใช้ไม่ได้ เอาไปใช้บ้างไม่ได้ หวงจะตาย ตายใส่กุญแจไว้จนกระทั่งคนอื่นเขาหาไม่เจอก็สูญเสีย ขี้เหนียวถึงขนาดนั้นโดยเฉพาะช่าง ฝากถึงช่าง ขี้หวงแหน ตายไปจะเป็นเล็นเกาะหรือเป็นจิ้งจกเฝ้าเครื่องมือไม่ไปไหน ของกูๆ อันนี้ก็เตือนกันไว้ อื่นก็เหมือนกันของใช้ อะไรอื่นก็เหมือนกัน
ของควรจะใช้ร่วมกันให้เป็นเศรษฐกิจที่ดี แต่บางทีก็อ้างว่าเขาเอาไปใช้ไม่รู้จักรักษาไม่รู้จักซ่อม มันจะเสียหายอะไรต่างๆนานา ไม่เอามาคืน เราก็ต้องสอนกันเสียสละกัน คนที่พอให้ได้ก็ให้หน่อย จนกระทั่งหวงแหน ใครก็ไม่กล้าแตะ พวกเราละเอียดลออ หากแสดงอาการหวงจัดเขาก็ไม่กล้าแตะต้อง อีกหน่อยจะได้กลายเป็นจิ้งจกเฝ้าของนะ ไม่ให้ไปไหน
คนเราทั้งของกินของใช้สัมผัสแล้วมันจะเกิด ข้างนอกเรียกว่ากาม ข้างในเรียกว่าอัตตา มันก็จะปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตา เป็นกิลมถะ ลำบากต้องไปรักษาไปเฝ้าไว้ เกิดมาเฝ้าไม่รู้กี่ชาติก็ยิ่งลำบากไม่รู้กี่ชาติ เกิดมาอยู่กับสิ่งนี้ไม่ต้องเจริญพัฒนาหลุดพ้นอะไรอีกแล้ว กับสมบัติอันนี้ที่หวงแหน เอาไว้ เราติดอัตตาเป็นตัวเป็นตน เพราะฉะนั้น โภชเนมัตตัญญุตาเป็นกระบวนการของการขยายความต่างๆนานาไปอีก กระบวนการของสัจธรรมสูตรต่างๆของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นสูตร จรณะ 15 มูลสูตร 10 หรือ อวิชชาสูตร 10 เป็นต้น
เช่น ถ้าเราไม่มีสัตบุรุษ แล้วก็ไม่พบสัตบุรุษอย่างสมบูรณ์เราก็ไม่สามารถฟังสัทธรรมอย่างสมบูรณ์ นอกจากเข้าคบแล้วก็ต้องนั่งเข้าใกล้พยายามสดับตรับฟัง สังเกตกายวาจาใจ เพื่อที่จะได้รับซับซาบในความละเอียดละออของธรรมะ รับสัทธรรม คือธรรมะที่ดีได้ จึงจะสามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างบริบูรณ์
เมื่อได้ฟังสัทธรรมบริบูรณ์ เราก็จะได้ความเชื่อความเห็นความศรัทธาที่บริบูรณ์ที่เต็ม แล้วเราก็จะมีความรู้ที่สามารถจะไปปฏิบัติได้ เริ่มตั้งแต่โยนิโสมนสิการเป็น เราก็สามารถปฏิบัติธรรมถึงใจในใจ มนสิการ ซึ่งเป็นต้นตอของการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ รากเค้าในการปฏิบัติธรรมของพุทธ ถ้าใครไม่รู้มนสิการ ทำการมนสิการไม่เป็น ก็เลิกเลยศาสนาพุทธ
มูลสูตร 10 มี ฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด จะทำการมนสิการต้องทำที่ใจ ซึ่งมันไม่มีรูปร่างตัวตนอะไร มันต้องสังเกตถึงความเคลื่อนไหวอาการของจิตเรา อาการอย่างนี้เรียกว่าอาการกาย มีภายนอกภายในกระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมันมีการเคลื่อน กายต้องเป็น2 มีรูปนาม แล้วเราก็สามารถหยิบเอามาวิจัยวิเคราะห์เอาอาการของจิตนั้นขึ้นมาจัดการ กระทำ ทำใจนี่แหละ มนสิ ที่ใจนี่แหละ การ คือการกระทำ กระทำที่ใจมนสิการ ของใครของมัน ไม่มีใครทำให้ใครได้ แม่ก็ทำให้ลูกไม่ได้ ลูกก็ทำให้แม่ไม่ได้ ต้องทำของตนเองทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อการกระทำต่อ จากมนสิการ ในมูลสูตร 10 หากเข้าใจไม่ได้ครบและปฏิบัติไม่ได้จะไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ทำอันนี้ได้แล้วไปทำอันโน้น ทำอันนี้ตกหล่นแล้วก็ไปทำอันโน้นอีกมันก็เสียเวลาไม่เป็นลำดับที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นมนสิการได้ การจะเกิดตัวปฏิบัติคือเวทนา เป็นฐานปฏิบัติ เพราะฉะนั้นควรจะทำใจในใจทำตรงไหนทำที่เวทนา จัดการที่เวทนาเป็นกรรมฐาน ถ้าไม่มีผัสสะ ไม่เกิดเวทนา ก็ปิดประตูสำหรับพวกนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
สามารถอภิสังขารจัดการสำรอกล้างตัวกิเลส จนจิตของเราสะสมประชุมลงไปจากการที่ได้ล้างให้สะอาดในการทำให้เกิดเวทนาที่บริบูรณ์ เวทนา 108 แล้วก็มี ผัสสะ ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ ไปอ่านพระไตรปิฎกใน พรหมชาลสูตรให้ดี แม้แต่สูตรอื่น ต้องมีผัสสะ 6 ผัสสะ 3 ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีทางปฏิบัติได้ แม้แต่ในทางปฏิบัติ นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต้องมีผัสสะ ในรูป 28 นาม 5 รูปนามสองอย่างนี้ของศาสนาพุทธ ถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจในรูปที่ 28 นาม 5 แล้วปฏิบัติจัดการรูปนาม รู้จักเหตุปัจจัยของรูปนาม ในทุกปัจจุบันธรรมที่เชื่อมโยงสัมผัสปรุงแต่งกันมีอายตนะ ถ้าหากปฏิบัติธรรมไม่มีอายตนะไม่เกิดการสัมผัสแล้วก็มีสะพานเชื่อมโยง สะพานเรียกว่าอายตนะ เชื่อมโยงระหว่างสองสิ่งที่เรียกว่าเทวะ ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าต้องตีแตกแยกแยะ เมื่อเกิดผัสสะมีเวทนาแล้วจัดการกับเวทนาให้บริบูรณ์ ให้เป็นเวทนาที่เป็น เอกคตาธรรม
เอกธรรมกับเอกคตาธรรม ต่างกัน เอกธรรมคือธรรมะที่ทรงไว้ในความเป็นหนึ่ง การนั่งหลับตาทำให้จิตเป็นเอกธรรม ไม่ได้ทำจิตให้เป็นเอกคตาธรรม มันมีอะไรเคลื่อนไม่เอา สะกดให้เป็นหนึ่งจนได้สำเร็จแข็งแรงตั้งมั่นเป็นหนึ่ง คุณก็ได้ผลแบบสมถะจิต กดเข้านิ่งเข้าหยุดๆๆ แล้วถึงจะมีปัญญาโผล่ขึ้นมาเป็นความรู้ ซึ่งความรู้ที่เกิดขึ้นมาในจุดที่นั่งสะกดจิตนั้นมีแต่สัญญามีแต่ความจำเก่าเกิดมาให้รู้คุณไม่มีของใหม่ไม่มีสิ่งที่จะสร้างสรรค์ใหม่ศึกษาใหม่ปรับปรุงใหม่เรียนรู้ใหม่ทำให้เกิดแบบใหม่มีอะไรใหม่ ที่ประกอบไปด้วยทุกอย่างที่สัมผัส ทั้งความเป็นสัตว์และความเป็นของ ในกิเลสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นกามคุณ 5 ในภายนอก ซึ่งเป็นของหยาบ โอฬาริกอัตตา ตั้งแต่กาม ที่หยาบจนถึงอบาย
หากไม่สามารถเข้าใจที่อาตมาอธิบายเป็นพระสูตรต่างๆต่อกันเป็นจิ๊กซอว์ให้เห็นรูปร่างของกระบวนการ ที่อาตมาอธิบายได้อย่างที่พูดนี้เพราะอาตมาชัดเจนมีสภาวะพวกนี้หมดไม่ได้สับสนเลอะเทอะ ดูสัดส่วนทุกอย่างที่อธิบายตรงไหนบริบทไหน จะจัดการกับบริบทไหนหยิบประโยคไหนเอามาขยายความไม่สับสน มันจะเป็นจัดการของการปรุงแต่งกัน มีการสังเคราะห์สังขารกันในคำที่อาตมาได้อธิบายมาเป็นหมวดหมู่
สรุปตรงนี้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมไม่รู้จักรายละเอียดของนามธรรมที่อาตมากล่าวคร่าวๆนี้ คุณไม่ได้มนสิการ เมื่อทำใจในใจไม่เป็นก็จบเลย แม้คุณทำใจในใจเหมือนกัน ฤาษี นักปฏิบัติธรรมที่เขาสะกดจิตทำใจในใจแบบสมถะ วิธีสมถะถ้าเขาก็มีแตกต่างกันไปตามแต่ละอาจารย์แต่ละสำนักเยอะมาก แต่พุทธมีอย่างเดียวตรงกันหมด พุทธมีสำนักเดียว แม้จะแยกสาขาก็มีสำนักเดียวไม่ผิดเพี้ยนกัน สัจจะมีหนึ่งเดียว คุณจะแตกแยกสาขาไปกี่สาขาก็ไม่ไปพูดผิด บอกว่าอาจารย์โน้นปฏิบัติแบบนั้นแบบนี้แล้วไปนิพพานอย่างเดียวกันไม่มีหรอก
“มรรค มีองค์ 8″นั้นคือ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล.25 ข.30 ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย
ทางนี้คือทางอาริยะอันประเสริฐ มีทางนี้ทางเดียว
คาถาธรรมบท มรรควรรคที่ 20
[30] ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย ธรรมอันพระอริยะเจ้าพึงถึง 4 ประการประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลายวิราคธรรมประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย พระตถาคตผู้มีจักษุประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าและอรูปธรรมทั้งหลาย ทางนี้เท่านั้นเพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ ทางอื่นไม่มี เพราะเหตุนั้นท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละ เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
การไปนั่งหลับตาไม่มีสัมผัสเป็นเหตุก็เลิกเหมือนกัน ในมูลสูตรต้องมีสัมผัสเป็นเหตุในการปฏิบัติธรรม หากไม่มีสัมผัสผัสสะก็ไม่มีเวทนาที่เป็นทิฏฐธรรม เป็นสิ่งที่ปรากฏมาในปัจจุบัน ภาษาบาลี ทิฏฐะหรือทิฏฐิ หรือทิฏเฐ นี้แปลว่าปัจจุบัน ถ้าไม่มีสิ่งที่สัมผัสในปัจจุบันมันไม่จริง
ใน สาม กาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อดีตก็ไม่จริง อนาคตก็ยิ่งไม่จริงใหญ่เลย อดีตนั้นเป็นคลังสมบัติคลังความจำของเรา มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแท้เป็นเรื่องที่ยืนยันกับใครๆได้ในปัจจุบัน การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าท่านเน้นมาถึงที่สุดที่ปัจจุบัน แล้วมันจริงที่สุดไม่ต้องไปวกวนซับซ้อนไม่ต้องไปซุกไว้ก่อน ไม่ มันเรียงลำดับ เสร็จแล้วเสร็จเลยๆ ไม่ต้องไปทบทวนอะไรมากมาย มันเสร็จแล้วมันจบในตัวมันเอง ทำความเข้าใจให้ดีๆธรรมะของพระพุทธเจ้านี้
ล. 9 ข. [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
[87] ตตฺร ภิกฺขเว เย เต สมณพฺราหฺมณา ทิฏฺธมฺมนิพฺพานวาทา
สโต สตฺตสฺส ปรมทิฏฺธมฺมนิพฺพาน ปฺเปนฺติ ปฺจหิ วตฺถูหิ
เต วต อฺตฺร ผสฺสา ปฏิสเวทิสฺสนฺตีติ เนต าน วิชฺชติ ฯ
เวทนาเป็นสิ่งที่ถูกรู้โดยเรา มันเป็นนามธรรม แต่ตอนนี้มันถูกรู้ ด้วยจิตด้วยปัญญาของเราเป็นตัวประธาน ตัวเวทนาเป็นตัวถูกรู้เป็นตัวกรรมเป็น object ตัวธาตุรู้ปัญญาของเราเป็นตัว Subject จริงๆแล้วเวทนาก็เป็นนามธรรม แต่ตอนนี้มันเป็นรูปธรรมเป็นผล มันเป็นสิริมหามายา คนที่รู้สภาวะแล้วไม่เมาในพยัญชนะ เดี๋ยวก็บอกว่าเวทนาเป็นนามธรรม แล้วก็บอกว่ามันเป็นรูป มันเป็นรูปได้อย่างไร ก็อย่างนี้ เข้าใจให้ได้ซะ ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็ตายซะ
อาตมาสนุกที่ได้ร้อยมาลัยธรรมนี้ เป็นศิลปิน ซึ่งต่างจากศิลปะที่เขาเลอะกันเต็มไปหมดแล้ว นี่ก็กำลังบอกไม้ร่มให้จัดภูมิทัศน์ ตอนนี้คนนับถือไม้ร่มเป็นอาจารย์ก็ไปกันใหญ่เลย มาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ตอนนี้ก็อายุ 78 ปีแล้ว
หัวข้อที่เราจะบรรยายคือเปิดโลกบุญนิยม
เรื่องของบุญ อาตมาขยายความถึง บุญ ที่มันเป็นคุณ
คุณ หมายความถึงความเจริญที่ดีขึ้น ทำให้เป็นคุณคือเจริญดีขึ้น มันซ้อนลึกละเอียดมาก เพราะบุญมันเป็นภาษาเป็นคำของศาสนาพุทธ ปุญญะ แต่เดี๋ยวนี้เอาไปใช้เป็นกุศล เป็นสมบัติมันผิดหมดเลย เพราะว่าบุญมันเป็นเครื่องมือฆ่าอย่างเดียวไม่มีหน้าที่อื่นเลย น่ากลัว เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุแล้วเป็นอรหันต์แล้ว อย่าเอาบุญมาให้ฉันอีก คนนั้นคนนี้มายัดเยียด คนไม่รู้ก็เอามายัดเยียดให้แต่ถ้ารู้แล้วก็ไม่มีปัญหา คนไม่รู้อยากได้คำว่า บุญ แล้วไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ทั้งที่บุญคือเครื่องมือฆ่า จริง คนที่ทำเครื่องมือฆ่าให้แก่ตัวเองไม่เป็น สร้างเครื่องมือฆ่ากิเลส แล้วก็ฆ่ากิเลสอย่างเดียว แล้วมีปัญญาร่วมตลอด เป็นตัวเดียวกัน ปัญญามาก่อน ปุญญะใช้พยัญชนะ อะ สำหรับปุญญะ
สระ สั้นง่ายลัด สระอะ เป็น ลัดคัดสั้น เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่เดียว พลังงาน อะ อา อิ อี อุ อู หมายถึงดีกรีของพลังงาน น้ำหนักประสิทธิของพลังงานต่างๆ อะ อา อิ อี อุ อู หรือแม้แต่ตัวตน
รากเหง้าของภาษาบาลี
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
เสร็จแล้วก็คือตัวตนที่เกิดขึ้นจะไปร่วมกับพยัญชนะหรือสระ ที่ท่านตั้งขึ้นมาเพื่อทำให้เกิดองค์ประกอบสื่อสารให้คนรู้ คนเราฉลาดก็เอาพยัญชนะเหล่านี้มาต่อกัน รวมกันแล้วสะกดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือเอามารวมกันเป็นกลุ่มก้อน มาสะกดกันก็มีส่วนหนึ่ง ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ฝรั่งเศส มาสะกดกัน แต่ของจีน เกาหลี เอามารวมกันเป็นกระจุกๆ เป็นตัวๆ บอกสภาวะไป มันมีลักษณะของตัวพยัญชนะ 2 แบบใหญ่ๆ แม้แต่ของทางตะวันออกกลาง ไม่จุ้มแต่ใส่ข้างบนข้างล่างเป็นขีดขีดเป็นจุดจุด ทั้งของจีนของญี่ปุ่นก็เป็นกระจุกเป็นก้อน ส่วนของตะวันออกกลางยาวยืดยาด มันส่อจิตวิญญาณลึกๆเหมือนกัน เป็นอจิณไตย
พูดถึง 3 ลักษณะ ของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น กับแขกขาวตะวันออกกลาง กับเอเชียที่เป็นพยัญชนะแบบไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส พวกนี้เป็นลักษณะผสมกัน มันก็เป็น นัยยะของมนุษยชาติ ถ้าจะแยกแบบของทางจีน แยกออกก็ไม่มาก ก็เอามาเป็นกระจุก แต่ของทางตะวันออกกลาง แยกง่ายแต่ยาวยืด เดินทางไกล เพราะฉะนั้นพวกนี้อีกนาน
สรุปแล้ว สายยาวนาน สายที่จะเร็วกว่ากัน สายที่กระจุกนี้ตีแตกแยกยาก พวกถีนมิทธะเจโต บรรลุยากกว่า ส่วนสายของไทย นี้ตีแตก distinquish ตีแตกแยกง่ายกว่า โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าค้นพบสิ่งเหล่านี้ชัดง่าย จึงเอามากระจายเป็นพยัญชนะ สายพระพุทธเจ้าใช้ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษก็มีรากฐานจากบาลีมา
คำว่าบุญนี้ ขยายความที่ได้เรียบเรียงไว้
คำว่า ได้บุญ นี้เป็นสิริมหามายา คำว่า ได้บุญ คือไม่ได้ คนที่ได้บุญนี้คือคนที่ไม่ได้คือคนที่เสีย แต่ไม่ใช่เสียหาย เสียสิ่งที่ควรจะเอาออกไปจากตัวเองได้แล้ว เรียกว่าเนกขัมมะ เอาออก สละออกเกลาออกเฉือนออกไม่ให้มันมีในตัวเรา ล้างออกไม่ให้มันมี ไม่ให้มันเข้ามาอยู่ในตัวเราเป็นอันขาด ไม่อยู่ในตัวอัตตา
ผู้ที่จะเข้าใจ นามธรรมพวกนี้ ก็จะต้องเรียนรู้หมวดนามธรรม 5 รูป 28
รูป 28 มีครบทั้งดินน้ำไฟลม การปฏิบัติธรรมที่ไม่เกี่ยวกับดินน้ำไฟลมเลยก็อยู่แต่นามธรรม หากหลับตาเข้าไปอยู่ในนามธรรมเลย นี่คือประเด็นง่ายๆว่าพวกหลับตานี้สูญจากการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า โมฆะตั้งแต่นั่งหลับตา คุณไม่เกี่ยวกับดินน้ำไฟลม ที่สัมผัสเกิดเป็นเหตุปัจจัยแล้วเกิดรูปนามเป็นเทวะเป็นภาวะคู่ แล้วความเป็นคู่นี้แหละคุณจะต้องแยกแยะรูปนามสลับกันไปมาเป็นสิริมหามายา เริ่มต้นตั้งแต่ คุณมีตาหูจมูกลิ้นกาย เป็น ปสาทรูป แล้วก็โคจระ สามารถดำเนินโคจระ ตาหูจมูกลิ้นกายไปเกี่ยวข้องกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ภายนอก เมื่อไปเกี่ยวข้อง ตากระทบรูปก็เกิดสภาพให้เห็นรูป หูกระทบเสียงก็เกิดสภาพให้ได้ยินเสียงเกิดเห็นรูป เมื่อมันมีสังขารธรรมด้วยอวิชชา คุณก็ไม่เข้าใจสังขารสังขารนี้คือวิญญาณ สังขารเกิดกลุ่มชีวะของจิต ชีวิตินทรีย์ เกิดวิญญาณ แต่คุณแยกวิญญาณเป็นนามรูปไม่ได้ วิญญาณเป็นนามรูปแล้ว คุณจะต้องเข้าไปรู้ นามที่เป็นรูปของสังขาร สิ่งที่ปรุงแต่งกันเป็นสังขาร เมื่อคุณสามารถแยกแยะรูปนามได้ คุณก็มีธาตุรู้ปัญญา ก็จะรู้ว่าตัวนี้แหละคือตัวการที่จะปฏิบัติคือเวทนา คือความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์ แยกตัวเวทนาในเวทนา
ตัวเวทนาคือกายชนิดหนึ่ง กายตัวนี้ตั้งแต่หยาบคือดินน้ำไฟลม เกี่ยวข้องสัมผัสจนกระทั่งเข้ามาถึงจิต จิตก็วิเคราะห์วิจัยเป็นเจตสิกต่างๆแยกออกมาได้เป็นเวทนาเจตสิก โดยใช้สัญญาเป็นตัวเอก เป็นตัวประธาน หยั่งรู้กำหนดรู้เรียนรู้กำหนดหมายให้ชัดเจน แล้วพร้อมกันนั้นก็มีวิตก วิจัย วิจาร
วิจัยคือตัวกลาง วิตกคือเริ่มเกิด วิจารคือวิจัยอาการของตัวเกิด รวมเรียกสั้นๆว่าวิตกวิจาร ก็คือวิจัยนั่นแหละ 2 ตัววิตกวิจารเรียกว่าวิจัย เมื่อสัมผัสกันเกิดเวทนาเกิดความรู้สึก เกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วคุณไม่รู้ทันมันก็ปรุงแต่งเป็นสังขาร แล้วคุณก็เสพสังขารนั้นว่าเป็นความอร่อยเป็นความสุขเป็นความพอใจ อวิชชาคุณก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นทั้งนั้น สั่งสมลงไปเป็นความโง่ สั่งสมลงไปในอวิชชา คุณก็เก็บสมบัติอวิชชาสมบัติโง่สมบัติที่บอกว่ามันอร่อยมันสุขมันดี
แต่เมื่อคุณรู้ทันแล้วว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่สมบัติ มันอาศัยกันเกิดชั่วคราวเท่านั้น แม้แต่มันอาศัยกันเกิด คุณคิดว่ามันเป็นสุข แต่แท้จริงว่ามันไม่ใช่มันเป็นทุกข์ จริงๆแล้วสุขมันผีหลอก ตัวจริงมันคือทุกข์ มันเป็นผีหลอกใส่หน้ากาก นี่ล่ะ คนถ้ารู้ทันว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปไม่มีอะไรเลยในมหาจักรวาลนี้ แต่คุณไปถูกผีหลอกว่าสุขนะ ไปเกิดวิปริตว่า สุขเป็นทุกข์ วิปริตว่า มันไม่ได้เป็นสมบัติที่เที่ยง มันไม่เที่ยงแต่คุณก็ยึดว่ามันเที่ยง มันเกิดขึ้นมาใหม่คุณก็ปรุงแต่งขึ้นมาใหม่อีก แล้วไปหลงว่ามันคืออันเก่า ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ มันสัมผัสใหม่ในกาละ
อธิบายกาละ เหมือนเราใช้ปลายเข็มปลายปากกา จึ๊ก ทีหนึ่งจะไปจึ๊กที่สองไม่ได้ ความจริงมี จึ๊กเดียว ปัจจุบันมีจึ๊กเดียว แม้คุณจะจึ๊กซ้ำที่เก่า คุณก็ย้ำในอดีตนะ แม่นที่เดิมเลยไม่มีใหม่ให้เห็นเลยที่เก่าที่เดิมเลยคุณก็ย้ำอยู่กับที่นะ ฉึกแรกคืออดีต แต่ฉึกนี้คือปัจจุบันมันไม่ใช่อันเดียวกัน มันเก่าตกอยู่ในสมัย แต่มันใหม่เสมอๆ มันเก่าอยู่ในสมัย แต่ทุกกรรมกิริยามันใหม่เสมอ
อนาคตใหม่ นี่แหละคือตัวขี้หลอก ทันสมัยใหม่เสมอ มันจะเอาแฟชั่นใหม่มาหลอกอยู่ตลอดเวลา พวกที่บ้าแฟชั่นยังอีกนานไอ้หนูเอ้ย ที่จะเกิด ยังดักดาน แล้วหลงว่าใหม่เสมอ อนาคตใหม่แท้ๆมันคือเก่า เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้จักใหม่รู้จักเก่า ไม่ยึดติดในความใหม่ไม่ยึดติดในความเก่าเอาปัจจุบันอย่างเดียว แล้วก็อยู่กับปัจจุบัน ที่นี้คุณจะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างเป็นสุขคุณต้องมีบารมี คนไม่มีบารมีคุณก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่สุขหรอก
ก่อนจะมีบารมี ต้องมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเริ่มต้นจากสัตบุรุษ ถ้ามีพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าท่านเป็นมิตรสหายดีของเธอทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย ตอนนี้พระพุทธเจ้ามาอยู่แล้ว โพธิรักษ์จะมาว่าเป็นมิตรดีสหายดีของพวกท่าน พยัญชนะท่านเรียกว่าสัตบุรุษ ไม่ใช่ศาสดาหรอก คุณไม่เชื่อก็ฟรี ฟังฟรีไม่เก็บภาษีหรอกเชื่อก็ช่างไม่เชื่อก็ช่างเชื่อก็ไม่เก็บภาษีไม่เชื่อก็ไม่เก็บภาษี เพราะอาตมาไม่มีสิทธิ์ไปเก็บอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณมีมิตรดีแล้ว ตัวคุณจะต้องมาปฏิบัติโดยมีศีล อันนี้เป็นสุริยเปยยาลสูตร มูลสูตรก็อย่างหนึ่งเป็นแกนหลัก คุณจะเริ่มต้นแสงทองที่มาก่อน ที่คุณจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ คุณต้องมีความครบพร้อมของ 7 สภาพนี้ ถ้าคุณไม่มีความรู้ใน 7 สภาพนี้คุณปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้ตายอย่างไรก็สูญเปล่า คุณจะได้อาวุธไปประกอบ
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .ให้ราชธานีอโศกมีสมาชิกถึงพันคนตั้งแต่ตั้งมา 2532 ตอนนี้ก็ 25 ปีแล้วยังไม่ได้เลย ตอนนี้ลดราคาลงมาว่าขอสัก 777 คน พันคนมันยากฉิบเป๋งเลย ก็ลดราคา cut prize ลดราคา saleๆๆๆ 777 คน อาตมาก็ว่ามีคนคิดอ่านจะมาเหมือนกันก็มาเร็ว จะช้าก็ช้านะ มาซะจะได้ไม่ช้า ผู้ปฏิบัติสุริยเปยยาลสูตร จะต้องรู้ว่าการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องมีศีลเป็นตัวต้น เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญเป็นวิธีปฏิบัติ อาตมาหรือพวกเราเป็นมิตรดีซ้อนเป็นลำดับ
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ต้องมีศีล เมื่อคุณเองมีศีลต้องรู้ว่าสายนั่งหลับตาเขานั่งหลับตาอย่างเดียวไม่เอาศีล เดี๋ยวจิตบริสุทธิ์มันก็เกิดศีลเอง โดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีหลักการไม่มีจิตไปเกี่ยวข้องในศีล ศีลข้อที่ 1 เขาก็บอกว่าหลับตาไปแล้วมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์ไม่ได้ฆ่าสัตว์อะไรมันก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ตีขลุมไป คำอธิบายของคนอธิบายอย่างไรเข้าข้างตัวก็ได้หมด เมื่อคุณมีศีลแล้วคุณจะต้องยินดี ข้อนี้สำคัญมากเลย ฉันทะ
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค เพราะ ฉันทะ เป็นต้นตอของมูลสูตร 10 ถ้าคุณไม่มีความยินดีพอใจเต็มใจที่จะมาเอาตรงนี้นะ จ้างเลย ไม่มีทางได้ มูลสูตรเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ถ้าคุณไม่มีความยินดีในศาสนาพุทธ คุณยังฝังอะไรไว้ในยินดีมากกว่าพุทธไว้ในใจ แล้วคุณจะมาเสแสร้งว่า หลอกว่าฉันชอบศาสนาพุทธ ฉันอยากศึกษาศาสนาพุทธ ฉันอยากปฏิบัติศาสนาพุทธ แต่ก้นบึ้งของจิตลึกนั้นคุณไปยินดีในอีก ศาสดาหนึ่ง อีกทฤษฎีหนึ่งอีกแบบหนึ่ง อยู่ในก้นบึ้งเลย ลับเลย คุณจะมาปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ได้ ลึกซึ้งนะตรงนี้ เพราะฉะนั้นจึงยากมากเลยที่คุณจะไปถูกหลอกฝังไว้เป็นพวกเทวนิยมแล้ว แล้วจะมาเป็นอเทวนิยมมาเป็นพุทธได้ยากถอนตัวได้ยาก เอาเถอะยังไม่ถอนเต็มรูปแต่ถ้ามีความตั้งใจยินดีสัก 80% คุณจะฝังของคุณไว้อีก 20 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ว่า ปฏิบัติเข้าอีกหน่อย 80% ก็จะเข้าไปเติมเองเป็น 100 แต่ถ้าคุณไม่มีความยินดีมากพอ 50 50 ไม่ได้ 60 ก็ยังไม่ค่อยได้ 70 ก็ยาก แต่ถ้า 80 ขึ้นไปก็ค่อยจะได้หน่อย ต้องมีความพอใจยินดีว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น สิ่งนี้น่ามีน่าได้น่าเป็นมากกว่าสิ่งที่เรามีมาไม่รู้กี่ล้านชาติ อันนี้เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์นี่หว่า เจอแล้ว เกิดฉันทะเป็นมูล จะมาตั้งต้นเรียนรู้ อัตตาเป็นตัวสำคัญเลย
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค เทวนิยมตีอัตตาไม่ได้เลย ไม่รู้จักอัตตาว่าคืออะไร ตั้งต้นแต่ โอฬาริกอัตตา มีดินน้ำไฟลม รูป 24 ที่ต้องจัดการด้วยนาม 5 ต้องมีผัสสะเป็นเหตุปัจจัย ไม่มีผัสสะ นามที่จะไปปฏิบัติ คือเจตนา แล้วคุณจะใช้สัญญาไปรู้ คุณจะไม่มีคุณจะไม่รู้จักเจตนา เจตนาคือตัวเหตุ หรือพลังงานตัวการ มันจะเป็นเวทนาสุขหรือทุกข์ตัวเหตุนี่แหละ ตัวเจตนานี่แหละเป็นตัวการ เจตนามี 3 อย่าง
เจตนาต้องการให้เป็นกามภพ ต้องการให้เป็นอัตตาเป็นภวภพ
อัตตาก็ปรุงแต่งเป็นภพชาติ โศกปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ มาเรียนรู้เป็นเจตนาที่เป็นตัณหา ที่ฝังลงไปก็เป็นอุปาทาน คือ Static ส่วนตัณหาคือ Dynamic เป็นภาวะ 2 ที่เป็นภาวะที่เกิดจาก โคจรรูป ปสาทรูป รวมเป็น 10 แล้วเกิดภาวรูป โคจรสัมผัสกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ตาไปกระทบรูป หูไปกระทบเสียงจนเกิดภาวะรูปเป็นนาม แยก อิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ แยกให้ออกว่าเราจะเอาอย่างไร อย่างไรที่เราจะเอาออก ก็คืออิตถีภาวะ แล้วให้มั่นนะ อย่าไปสับสนกับตัวข้างนอกมากนะ ข้างนอกสัมผัสอยู่เป็นเหตุปัจจัยไม่ขาดจากกัน
เราชอบแตงไทย ยกตัวอย่าง สองลูกนี้เราชอบแตงไทย พอตาสัมผัสแตงไทย จิตก็ปรุงปุ๊บขึ้นมาเลย คุณเกิดจิต ต้องการแตงไทย สรุปจบเลย นี่ล่ะ สัมผัสปัจจุบันนี้มีอันนี้แหละ อันนี้ยังชอบอยู่ยังเอาปัจจุบันนี้ คุณก็อยากได้อันนี้อยากเกี่ยวข้องกับอันนี้มากินมาดมมาสัมผัส มากินใช้รสมาสัมผัสดมหอมเฉยๆอะไรก็แล้วแต่ในแตงไทยมีทั้งกลิ่นทั้งรส มันกรอบดีนุ่มดี สัมผัสโผฏฐัพพะ
ตัณหาที่มันอยากนั่นแหละจัดการมันให้ได้ นั่นแหละคือตัวโง่ ถ้ามันไม่ใช่ของเรา คุณจะได้มาด้วยสุจริตแลกเปลี่ยนซื้อหามาของเขา หากไม่ได้ก็ไม่ไปละเมิด แต่หากยึดมั่นถือมั่นจะเอาให้ได้ แย่งไม่ได้ก็ทำร้าย ก็ยังไม่ยอมให้ก็ฆ่าเลย นี่แหละคือความอยากได้มาจนกระทั่งเลวร้ายที่สุด ทำร้ายสัตว์อื่นเพื่อตนจะได้ อาตมาใช้ศัพท์บอก ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา แล้วมันก็เป็นนิยายอีกเยอะแยะ ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาอีกเยอะนิยายเรื่องนี้ เราก็อ่านตัวการใหญ่คือตัวต้องการตัวอยากที่จะเอามาบำเรออัตตาในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส บำเรอสมใจ บำเรอใจที่ต้องการมาเป็นตัวกูของกู แต่ถ้ามันเป็นของกินของใช้ของที่สัมผัสรสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เป็นกาม แม้เป็นวัตถุสมบัติได้มา มันก็เป็นสภาพของ ทั้งกามและอัตตา
คุณได้เพชรมา 1 ก้อน สวย ใส สะอาด เพชรก้อนโต เป็นสิ่งที่คนยึดยกย่องเชิดชู คุณก็ได้มาสมใจ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเผื่อว่าคุณแยกอัตตานี้ไม่ออก ที่แยกไม่ออกเพราะอะไร เพราะคุณไม่มีความฉลาดไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจเลย คุณยังมิจฉาทิฏฐิอยู่แต่ไหนแต่ไหน ไม่มีความรู้ความเห็นความฉลาดความเข้าใจทิฐิ เรียนมายังไม่สัมมาทิฐิ มีแต่มิจฉาทิฐิตลอดคุณจะต้องเจอมิตรสหายดีอธิบายให้คุณเข้าใจเรื่อง อัตตา เข้าใจเรื่องทางปฏิบัติ ให้คุณจะต้องเอาจริงมีฉันทะ จนคุณสามารถที่จะมีฉันทะ แล้วก็มาเริ่มปฏิบัติ ตั้งแต่ศีล วิธีปฏิบัติทางปฏิบัติ คุณยอมมีสัมมาทิฏฐิ 10 เข้าใจ เชื่อถือ เป็นความรู้ที่จริง แล้วคุณก็เอาไปปฏิบัติได้ เริ่มต้นตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ จากนั้นไปคุณไปปฏิบัติเป็น เข้าใจทฤษฎีในการปฏิบัติคือมรรคมีองค์ 8 หรือขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 ก็ดี ตัดสินไปแล้วก็เหลือโพธิปักขิยธรรม 37 ปฏิบัติได้คุณก็จะเกิดผล เป็นโยนิโสมนสิการ เป็นการทำใจในใจเป็น
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
ทำใจในใจให้เกิดมรรคผล โดยอยู่ในองค์ประกอบใดของโพชฌงค์ 7 และมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์คือการเดินก้าวไปในทาง ก็ไปในหลัก 7 ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเดินได้ 7 ก้าวตอนเกิดมา แต่ก้าวไปด้วยโพชฌงค์ 7 แต่พวกตีสิริมหามายาไม่แตก ก็เลยไปหลงกลของสิริมหามายาบอกว่าพระพุทธเจ้าเดิน 7 ก้าว เป็นตัวตนบุคคลเรา เดินไปแล้วมีดอกบัวมารับที่เท้าเป็นรูปธรรม อาตมาเคยถามว่า พระพุทธเจ้าเดินไปถึงก้าวที่ 7 แล้วนั่งลงหรือยืนอยู่หรือท่านนอนลง หรือท่านทำอะไร ก็ตอบไม่ได้
สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์เป็นตัวหลัก แล้วมันจะเกิดต่อเป็นปิติ คือมันปฏิบัติได้รู้แล้วอย่างนี้ได้มรรคผล ได้ความรู้จักกิเลส กิเลสลด ก็เกิดความยินดี ที่รู้ที่เห็นคุณจะมีปัญญา เป็นยาดำ สอดรู้สอดเห็นกับการปฏิบัติอยู่ วิธีนี้ถูกหรือเปล่าปฏิบัติแล้วถูกเนื้อตัวของกิเลสไหม ทำให้กิเลสลดลงได้ไหม ทำได้คุณก็เกิดปิติยินดี กับสิ่งที่คุณทำได้เสมอๆ พูดอย่างนี้แล้วรู้จักจิตตัวเองไหม มีปีติกับตัวเองอย่างนี้ไหม จับให้มั่นคั้นให้ตาย ปีติคือตัวนี้ เป็นโสมนัสเป็นเนกขัมมสิตโสมนัสเวทนา
ในเวทนาเขาไม่เอาคำว่าสุขเวทนามาอธิบายในมโนปวิจาร 18 แต่เรียก โสมนัสโทมนัส ปฏิบัติยังไม่ได้ก็เป็นโทมนัส เอาให้ได้ก็เป็นปิติ ได้มาแล้วมันกลับมาอีกก็โทมนัส โทมนัสกับโสมนัสจะสลับกันอยู่อย่างนี้ ในมโนปวิจาร 18 จนกระทั่งทำให้มันเที่ยงให้มันมั่นใจ ให้มันเป็นโสมนัสไปจนกระทั่งเป็น ปีติ ก็ปีติลดลงๆ หากไม่มีมิตรดี จะแรงขึ้นๆ เป็นอุพเพงคาปีติ มันจะแรงจนกระทั่งจับอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น ให้มันเป็นปีติที่เป็น ผรณาปีติ เป็นฐานที่สุขสบายเบา จะไปตื่นเต้น ที่จริงไม่ต้องไปทำอะไรมันก็เบาลง อุพเพงคาปีติ ไม่ไปทำอะไรเพิ่มมันก็จะชินชามันก็จะเบาลง เป็น ขณิกาปีติ
-
ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)
-
ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)
-
โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)
-
อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)
-
ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)
(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)
ขุททกะ เป็นตัวเล็กตัวน้อย เริ่มต้น ขณิก เป็นวาระ ชั่วแวบหรือนานก็ตาม แต่จะไปติดให้นานเกินอย่าให้เป็นก้อนแท่ง ถ้าเรียกเป็นเวลาคือ ยามะขณิกะ ส่วน ยาว คือขุททกะ อย่าให้มันมากและนานไม่อย่างนั้นจะสะสมตกผลึก หยั่งลงๆ เป็นก้อนแท่ง เป็นก้อนใหญ่ แข็ง เป็นสปริงใหญ่ อุพเพงคาปีติ ยุ่งยากมากเลย คนที่ไปสร้าง อุพเพงคาปิติมากๆจะเส้นโลหิตแตกตายได้ มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านมากมาย รวยมากมาย สูงส่งยศชั้นสรรเสริญมากมาย มันไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละ มันไม่เป็นตัวกูของกูทั้งนั้นแหละ หากไปหลงอยู่อย่างนั้นก็อีกนานชาตินะจ๊ะ เลิกเถอะ มาเรียนรู้ คุณต้องยินดีในนิพพาน ถ้าคุณไม่ยินดีในนิพพานก็ศีรษะใครศีรษะคุณ let it be ก็แปลว่าช่างเถอะ
ถ้าคุณสามารถเรียนรู้แม้แต่ปีติทั้ง 5 ก็เป็นฐานให้การปฏิบัติคือ ผรณาปีติ
ผรณาปีติ คือมันมีความยินดี ยินดีอย่างน้อย ท่านอธิบายเหมือนกับเอาจุนสีมาละลายอยู่ในน้ำ ให้น้ำเป็นสีฟ้า แล้วก็เอาตัวเข้าไปชุบไปแช่ เหมือนถ้าเอาไปแช่ สีจุนสีก็เข้าไปแทรกไปอยู่ในทุกส่วนของผ้า ไม่มีเอกเทศใดๆที่จุนสีนี้จะแทรกไปไม่ถึง มันก็ได้ทั่ว ได้ทุกจุด ไม่มีอะไรขาด จิ๊กซอมันเต็มหมด ไม่มีฟันหลอ เป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์
นี่ก็ขยายความให้ละเอียดละออจากพระสูตรต่างๆ เอาจิ๊กซอว์แต่ละตัวมา
สรุปแล้ว 7 แสงทองแสงอรุณ สุริยเปยยาลที่มีมาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น คุณจะเห็นพระอาทิตย์ได้หรือปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้คุณต้องเห็นแสงทอง สุริยเปยยาลนี้มาก่อน คุณต้องได้ความรู้เข้าใจอันนี้ถูกต้องทั้ง 7 อย่างแต่ก่อน โดยเฉพาะหลักสำคัญคือโยนิโสมนสิการ เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการคือตัวสำคัญมากเลย ถ้าคุณไม่ได้พบสัตบุรุษ แล้วคุณก็ไม่เชื่อสัตบุรุษ คุณไม่มีปรโตโฆษะ คุณก็ไม่ฟังหรือฟังคุณก็ไม่เอา คุณก็ทำการโยนิโสมนสิการไม่เป็น น้ำชาเต็มถ้วยแล้ว แต่ถ้าคุณรับฟังโยนิโสมนสิการเป็นอย่างนี้หรือ มันต้องโยนิโสมนสิการให้ได้ มีสัตบุรุษเท่านั้นที่จะอธิบายโยนิโสมนสิการ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเจอสัตบุรุษ ถ้าคุณไม่รู้ว่าสัตบุรุษคือใคร คือผู้ที่รู้แท้รู้ชัดเจนธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ จะเป็นปัจเจกบุคคล จะสยังอภิญญา หรือปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วแต่ แต่เป็นผู้ที่รู้ถูกรู้จริงมาอธิบายให้คุณได้ฟัง ถ้าคุณไม่รับอันนี้คุณก็จะอยู่ใน 2 มนสิการไม่เป็น ไปทำใจในใจแบบฤาษีสารพัดอย่าง ฤาษีดาบส สอนการทำใจในใจ ศาสนาเชนก็เป็นแบบฤาษีทำใจในใจแบบสะกดจิตทั้งนั้น ไม่ได้เป็นการเรียนรู้แยกแยะตีแตก แล้วก็ล้างออกๆๆ เหมือนแก้วน้ำที่มีฝุ่น
ศาสนาต่างๆทั้งนั้นเลย คุณเรียนรู้วิธีสะกดจิตให้ตกตะกอนแข็งอยู่ใต้ก้นแก้ว แข็งจนกระทั่ง เหนียว แข็ง แน่น จนกระทั่งตีไม่แตกเลย เพราะฉะนั้นพวกที่ปฏิบัติแบบนี้พวกตีไม่แตกมาไม่รู้กี่ล้านชาติ เลยกลายเป็น ฝุ่นก้นแก้ว กิเลสก้นแก้วอยู่อย่างตีไม่แตกเป็นเทวะ
ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ถึงกับต้องตีก็เขี่ยขึ้นมาให้รู้ ก้นแก้วนั่นแหละ เอาออกมาแล้วก็จับตัวฝุ่นแม้แต่เล็กละเอียดน้อยก็เอามันละเอียดนะฝุ่นนี่ ทำให้มันออกไปจากแก้ว สลายมันให้ออกไปไม่ให้มันมีในแก้ว และอย่างไม่ประมาท อย่าไปนึกว่ามันจะหมดเมื่อไหร่จะดี อย่างนี้มันจะมีดวงตามีความรู้ได้กว้างขยายเป็นปฏิภาคทวี มีความรู้ความสามารถที่เป็นเครื่องมือ ปหานคือตัวบุญ ที่จะเป็นบุญ ที่เป็นเครื่องมือประหารยิ่งกว่าอาวุธปรมาณูของคนในโลกสมัยนี้ ทำลายทั้งเร็วไวให้หมดสิ้นได้ทันทีทันใด เกลี้ยงสะอาด เป็นอาวุธมหาเก่ง อภิมหาเก่ง บรมอภิมหาเก่ง เป็นเครื่องมือที่สุดยอด
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะทำใจในใจเป็นนี่แหละ เพราะคบสัตบุรุษ ฟังสัจธรรม มีความเชื่อศรัทธาทำได้อย่างละเอียดละออบริบูรณ์จึงเข้าใจว่าโยนิโสมนสิการเป็นแบบนี้ จึงไปปฏิบัติทำใจในใจได้อย่างบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีต้นทางต้นฐานของ สุริยเปยยาล ตัวที่ 7 ได้อย่างพร้อม มีความสามารถพอ คุณถึงจะไปปฏิบัติธรรมได้สำเร็จตามหลักอวิชชาสูตร
ถ้าไม่เช่นนั้นคุณไม่ได้ถึงขั้นทำมนสิการเป็น คุณก็จะได้อาหาร
เพราะมีอวิชชาเป็นอาหารก็จะได้นิวรณ์ 5 ทั้งกาม พยาบาทเป็นอาหาร ไปตลอดกาล หากคุณลดกาม พยาบาทได้แล้ว ถึงจะค่อยๆมาตีแตก ถีนมิทธ อุทธัจจะไปเรื่อยๆอย่างพ้นวิจิกิจฉา ที่เป็นตัวกลางของอนุสัย 7 มันยังไม่สมบูรณ์แบบจะต้องมีอะไรค้างคา
ถ้าคุณเองคุณไม่สามารถที่จะรู้ว่าที่จริงตัวเหตุปัจจัยเป็นตัวการคืออวิชชา นิวรณ์ 5 จึงก่อให้เกิดทุจริต 3 หากคุณจัดการกับนิวรณ์ 5 ไม่ได้ทุจริต 3 ก็เกิด ในกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมก็เป็นอาหารให้แก่ชีวิตของคุณไปเรื่อย หยาบไปเรื่อยๆ ที่จริง ละเอียดไปเรื่อยๆ หยาบไปเรื่อยๆ แล้วก็ละเอียดขึ้นไปเรื่อย ทุจริต 3 คุณก็ไม่จัดการ ก็ไม่ได้สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 สะสมอะไรมากมาย เสร็จแล้วก็ตกเป็นนิวรณ์ หนักเข้าก็สะสมเป็นอวิชชาตลอดกาลนาน
เพราะฉะนั้นคุณจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 พวกหลับตาทั้งหลายเอ๋ย เมื่อไหร่จะตื่นเสียที ชาคริยา ให้ลืมตามาปฏิบัติอย่าไปงมงายในการหลับตาเลย อาตมาก็สงสาร อดไม่ได้ที่จะพูดแวะไปหาเขา เมื่อไหร่จะมีสักคนสองคน 5 คน 100 คน รู้ว่าหลับตาปฏิบัติธรรมนี้มันผิด บางคนอายุ 80-90 นั่งจนก้นด้าน พอเสียที
มาสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะแล้วจะเกิดปัญญา เป็นองค์ 3 เส้าของธาตุรู้ สติคือตัวเริ่มรู้ สังวรทั้งนอกใน พร้อมตื่นเต็ม ครบ 100 แล้วจะเกิดธาตุรู้ที่เป็นสัมปชัญญะ ให้เป็นสัมปาเทติ สัมปันนะ อะไรต่างๆ ซึ่งมีบาลีอีกเยอะ ก็คือ พัฒนาการของธาตุรู้ เป็นปัญญา สรุปก็คือเป็นสติสัมปชัญญะเป็นปัญญา เมื่อเกิดสติสัมปชัญญะปัญญา คุณก็ทำใจในใจได้ดี โยนิโสได้อย่างถูกต้องลงไปถึงที่เกิด ที่เกิดกิเลส รู้ตัวกิเลสกำจัดกิเลสได้ มันก็ได้ผล
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณทำใจในใจได้ดี คุณก็จะเกิดเชื่อมั่นเชื่อถือได้บริบูรณ์ ทำใจในใจได้ดี คุณก็ได้สิ่งที่ดี ทำใจในใจได้ดีคุณก็ได้สิ่งที่ดี เชื่อถือเป็นการรู้ เป็นการเห็นความจริง เป็นสัทธรรม เป็นธรรมะที่ดีก็เกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ เป็นสัทธรรมบริบูรณ์ เป็นธรรมะที่ดีแล้วถูกแล้ว ครบครันแล้ว เมื่อทำได้ธรรมะที่ดีบริบูรณ์ คุณก็ได้เป็นสัตบุรุษเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ นี่คือกระบวนการของบุญ
อวิชชาสูตรทั้งหมด ไล่จาก คบสัตบุรุษ
-
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
-
การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
-
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
-
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
-
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
-
สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
-
สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
-
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)